นโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 23 มีนาคม 2561

นโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ผ่านความเห็นชอบการจัดทำแนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ่านได้จากไฟล์ตามลิ้งค์นี้ https://www.cc.psu.ac.th/pdf/PSU_IT_Sec_Policy_23Mar2018.pdf ซึ่งฉบับแรกผ่านเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 และล่าสุดทบทวนเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2561 โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อยู่ในบันทึกลำดับที่ 99 จากทั้งหมด 154 หน่วยงาน ตามประกาศ http://www.etcommission.go.th/etc-annoucement-sp-p1.html เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่มีการทบทวนนโยบายตั้งแต่มีการเริ่มประกาศใช้ ผู้ใช้ไอทีทุกระดับควรได้เปิดอ่าน ทำความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติความปลอดภัยไอที ม.อ. ทุกคนมีส่วนร่วมกันดูแล ครับ 😀 ก้าวต่อไปเพื่อเพิ่มความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่บนระบบไอที ม.อ. จะได้จัดทำแนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานของรัฐซึ่งตามข้อมูลเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560 มีเพียง 14 หน่วยงานที่ผ่านความเห็นชอบแล้วตามประกาศ http://www.etcommission.go.th/etc-annoucement-dp.html และมุ่งไปสู่ความปลอดภัยไอทีของ ม.อ. ที่มีการดูแลอย่างใกล้ชิดตามแนวทาง Center for Internet Security : CIS Control v7 ซึ่งผมได้เริ่มต้นแปลบางส่วน ให้ผู้สนใจเริ่มทำความคุ้นเคยได้จาก https://www.cc.psu.ac.th/pdf/CIS_Control_v7_1May2018.pdf

Read More »

วิธีการปิดช่องโหว่ Logjam,Freak,Poodle,Beast สำหรับ Windows Server 2003 R2

“จะทำอย่างไรทีดีกับช่องโหว่ SSL เยอะซะเหลือเกิน ปิดใช้แต่ TLS ก็ได้นิ นั่นสินะ” อย่างที่ข้างบนกล่าวไว้ครับวิธีการปิดช่องโหว่นี้ทำง่าย ๆ แค่ปิด SSLv2 SSLv3 และปิด Cipher Suite ที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มเติม แต่สำหรับ Windows Server 2003 เนื่องจากไม่รองรับ Cipher Suite ที่ปลอดภัยบางตัว จึงต้องทำการรัน hotfix ก่อน โดยสามารถโหลดได้ที่นี่ (อย่าลืมเลือกให้ตรง platform x86 x64 นะครับ) https://support.microsoft.com/en-us/kb/948963 ก่อนจะรัน hotfix ลองทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server ก็จะได้ดังรูปตัวอย่างนี้ (จะเห็นได้ว่า Grade ร้ายแรงมาก) เมื่อโหลดไฟล์เรียบร้อยแล้วทำการแตก zip และ run ด้วยสิทธิ์ administrator ดังรูป หลังจากนั้นเลือก Finish และทำการ Restart เครื่อง จากนั้นทำการโหลดโปรแกรมจาก web https://www.nartac.com ดังนี้ https://www.nartac.com/Downloads/IISCrypto/IISCrypto.exe จากนั้นรันโปรแกรมดังรูป จากนั้นทำการ Reboot อีกครั้ง ทำการทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server อีกครั้งก็ได้ดังรูป จะเห็นได้ว่ายังได้ Grade F (จริง ๆ ถ้าเป็น Windows 2008 R2 ขึ้นไปจะได้ A เนื่องจากรองรับ TLS 1.2) เนื่องจากช่องโหว่ POODLE(TLS) ไม่สามารถแก้ได้ เพราะจะแก้ได้ต้องปิด TLS 1.0 ใช้ TLS 1.2 ขึ้นไป ซึ่งจะ Windows 2003 และ Windows 2008 (ไม่มี R2) รองรับได้แค่ TLS 1.0 จึงแนะนำให้รีบเปลี่ยน Windows Server OS เป็น Windows 2008 R2 ขึ้นไปเพื่อความปลอดภัย จากรูปข้างบนซึ่งเป็น Windows 2003 เช่นกัน “สันนิษฐานว่า” อาจเพราะว่า เครื่องนี้ได้ Windows Update จึงทำให้ไม่มีช่องโหว่ ถ้า Update ถึงระดับนึง ทาง Microsoft น่าจะปิดช่องโหว่ POODLE (TLS) เรียบร้อยแล้ว ต้องแยกกันนะครับระหว่างเปิด TLS 1.0 กับ มีช่องโหว่ เพราะมีอีกหลายปัจจัย เพราะ TLS เป็นแค่ Protocol แต่กระบวนการที่เหลือทั้งวิธีการเข้ารหัส วิธีการแลกเปลี่ยน Key เป็นปัจจัยหนี่งของช่องโหว่ รวมถึงช่องโหว่จากบริการในเครื่องที่ใช้ TLS 1.0 ในการรับส่งข้อมูล แต่ถ้าปิด Protocol ตั้งแต่ต้นก็จะมั่นใจได้มากกว่า เพราะไม่แน่ว่าอนาคตอาจมีช่องโหว่เกี่ยวกับ TLS 1.0 ออกมาอีก แต่การปิด TLS 1.0 จะกระทบกับ Browser ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ window xp,vista อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ https://www.blognone.com/node/63653 https://en.wikipedia.org/wiki/Template:TLS/SSL_support_history_of_web_browsers สามารถอ่านวิธีแก้ไขช่องโหว่เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://sysadmin.psu.ac.th/2015/11/10/serversecuritypatch

Read More »

การแก้ไข Certificate สำหรับ Lighttpd Web Server (Ubuntu 14.04 LTS)

“อยากแก้ Certificate บน Linux Lighttpd Server ทำอย่างไร” ในกรณีที่มีไฟล์ Certificate อยู่แล้วให้ทำการวางไฟล์ Certificate ใหม่ทับแล้วสั่ง Restart Apache Server เป็นอันเสร็จครับ (สำหรับการเปลี่ยน Certificate มีแค่ขั้นตอนนี้จบเลยครับ) ในกรณีที่ยังไม่ได้ติดตั้ง https รวมถึง Certificate ให้ทำการติดตั้ง https ก่อนดังนี้ sudo lighttpd-enable-mod ssl จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ sudo service lighttpd restart ทำการวางไฟล์ Certificate ไว้ในตำแหน่งที่ Lighttpd สามารถเข้าถึงได้ ในกรณีที่ที่นี้ผมจะวางไว้ที่ /etc/cer ในกรณีที่ได้มาเป็นไฟล์ .cer และไฟล์ .key มาต้องการทำไฟล์ .pem สามารถพิมพ์คำสั่งดังนี้ sudo cat [file_cer_name].key [file_cer_name].crt > [file_cer_name].pem ทำการแก้ไขไฟล์ 10-ssl.conf ดังนี้ sudo vim /etc/lighttpd/conf-enabled/10-ssl.conf โดยส่วนที่ทำการเปลี่ยนแปลงจะทำการเปลี่ยน 1 บรรทัดดังนี้ ssl.pemfile = “/etc/cer/[file_cer_name].pem” จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ sudo service lighttpd restart เป็นอันเสร็จครับ ง่ายมากจริง ๆ ครับ

Read More »

การแก้ไข Certificate สำหรับ Apache Web Server (Ubuntu 14.04 LTS)

“อยากแก้ Certificate บน Linux Apache Server ทำอย่างไร” ในกรณีที่มีไฟล์ Certificate อยู่แล้วให้ทำการวางไฟล์ Certificate ใหม่ทับแล้วสั่ง Restart Apache Server เป็นอันเสร็จครับ (สำหรับการเปลี่ยน Certificate มีแค่ขั้นตอนนี้จบเลยครับ) ในกรณีที่ยังไม่ได้ติดตั้ง https รวมถึง Certificate ให้ทำการติดตั้ง https ก่อนดังนี้ sudo a2enmod ssl sudo a2ensite default-ssl จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ sudo service apache2 restart ทำการวางไฟล์ Certificate ไว้ในตำแหน่งที่ Apache สามารถเข้าถึงได้ ในกรณีที่ที่นี้ผมจะวางไว้ที่ /etc/apache2/cer ทำการแก้ไขไฟล์ default-ssl.conf ดังนี้ sudo vim /etc/apache2/sites-enabled/default-ssl.conf โดยส่วนที่ทำการเปลี่ยนแปลงจะทำการเปลี่ยน 3 บรรทัดดังนี้ SSLCertificateFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].crt SSLCertificateKeyFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].key SSLCertificateChainFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].ca-bundle จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ sudo service apache2 restart เป็นอันเสร็จครับ ง่ายมากจริง ๆ ครับ

Read More »

การแก้ไข Certificate สำหรับ Windows Server 2008 / 2008 R2 / 2012 / 2012 R2

“อยากแก้ Certificate บน Windows Server 2008 ขึ้นไป ทำอย่างไร” เนื่องจาก Windows 2008 R2 ขึ้นไป มีการตั้งค่าคล้ายคลึงกันจึงขอยกตัวอย่างที่เป็น Windows Server 2008 R2 เท่านั้นครับ วิธีการเปลี่ยนให้เข้าไปยัง IIS ในเครื่อง Windows Server 2008 R2 เลือกชื่อเครื่องจากนั้นเลือกหัวข้อ Server Certificates ทางด้านขวาดังนี้ ในกรณีที่เคยมี Certificate เก่าอยู่แล้ว (ต้องการเปลี่ยน Certificate) ให้ดำเนินการ Remove ออกก่อนดังรูป จากนั้นทำการ Restart เครื่อง (ถ้ายังไม่เคยใส่ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปเลย) ในกรณีที่ยังไม่เคยมี Certificate ให้ทำการ Import ดังรูป จากนั้นทำการเลือก Web Site ที่ต้องการเปลี่ยน Certificate ในกรณีที่ยังไม่มี https ให้กด Add ในกรณีมีอยู่แล้วให้กด Edit จากนั้นเลือก SSL certificate ที่ต้องการใช้งาน จากนั้นกดปุ่ม OK เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเปลี่ยน Certificate ให้ล่าสุดและปลอดภัยครับ

Read More »