การยืนยันตัวตนและการกำหนดสิทธิ์ Apache UserGrid 2.x

ติดตั้ง UserGrid เสร็จแล้ว ถ้าจะใช้งานต้องทำอย่างไร              จากที่เคยกล่าวไปแล้วเบื้องต้นในวิธีติดตั้ง Apache UserGrid [1][2] จะมี Port สำหรับเรียกด้วย Rest Service คือ port 8080 ส่วนหน้าสำหรับบริหารจัดการจะเป็น 80 ซึ่งเบื้องต้นจะไม่ใช่ ssl ถ้าต้องการความปลอดภัยต้องไปปรับแต่งเพิ่มเติม (ถ้าใช้ ha-proxy ก็ทำ ssl เฉพาะด้านหน้าก็ได้ครับ) โดยอาจจะต้องปรับแต่งที่ตัว Tomcat อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://usergrid.apache.org/docs/installation/ug1-deploy-to-tomcat.html               ในส่วนของบทความต่อไปนี้จะกล่าวถึง Authentication และ Permission ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดอยู่ใน Web Usergrid : https://usergrid.apache.org/docs/security-and-auth/app-security.html                โดยระบบยืนยันตัวตนของ UserGrid จะใช้ OAuth 2.0 ซึ่งสรุปสั้น ๆ คือ Client ขอตั๋วเข้าใช้งาน (Token) โดยได้หลังจากยืนยันตัวตน จากนั้น Server ก็จะให้ตั๋วมาเมื่อยืนยันว่าเป็นตัวจริง จากนั้น Client ก็เอาตั๋วไปยื่นขอใช้งานระบบต่าง ๆ ต่อ โดยมีอีก 3 สิ่งที่ต้องรู้ดังนี้ – Groups : คือการกำหนดกลุ่มของ User เพื่อกำหนดสิทธิ์ให้กลุ่ม แทนที่ต้องมากำหนดสิทธิ์ให้ทีละคน – Roles : คือการกำหนดสิทธิ์ว่าให้เข้าถึง Resource ใดได้บ้าง (User Profile, Application Data) ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นตัวที่ต้องกำหนดให้แต่ละคน หรือแต่ละ Group – Permission : เมื่อมีสิทธิ์ใน Resource นั้นแล้วจะมีสิทธิ์ทำอะไรกับ Resource นั้นบ้าง (Select, Insert, Delete, Update) สำหรับการจัดการ Group, Role, Permission สามารถจัดการผ่าน Rest API ได้หมด แต่ในตัวอย่างที่จะเสนอจะทำการจัดการผ่าน UserGrid Admin Portal ดังนี้ ตัวอย่างการเพิ่ม User ใหม่เข้าไปยัง Application ที่ต้องการ 1) เลือก Application ที่ต้องการ จากนั้นเลือก User และกดปุ่มเพิ่ม 2) กรอกรายละเอียดจากนั้นกด Create (รหัสผ่านเงื่อนไขเยอะจะตั้งยากหน่อย) ตัวอย่างการเพิ่มบัญชี test01 เข้าไปอยู่ใน Group CCStaffs 1) สร้าง Group CCStaffs ขึ้นมาก่อน ดังรูป    2) ทำการเพิ่ม User เข้าไปยัง Groups ซึ่งจริง ๆ แล้วทำได้ 2 แบบ คือ เข้าไปที่ User แล้วเพิ่ม Group หรือ เข้าไปที่ Group แล้วเพิ่ม User ดังรูป ตัวอย่างการเพิ่มบัญชี test01 เข้าไปอยู่ใน Role Guest 1) เบื้องต้นจะมี Role ให้เลือก 3 Role แต่จะเลือก Role Guest ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเหมือน Permission Template เพราะเราสามารถกำหนดสิทธิ์เพิ่มเติมนอกเหนือที่ระบุใน Role ได้อีกในภายหลัง (GET=Select,POST=Insert,PUT=Update,DELETE=Delete) 2) ทำการเพิ่ม User เข้าไปยัง Roles ที่ต้องการ  

Read More »

Kafka #01 Basic Installtion

Apache Kafka เป็น distributed streaming platform [1] กล่าวคือ สามารถ Publish และ Subscribe ข้อมูลแบบ Streaming ได้ คล้ายๆกับ Message Queue หรือ Enterprise Messaging System ระบบนี้ใช้ได้ทั้งเป็น Real-time Streaming Data Pipeline และ สร้าง Streaming Application ได้ Apache Kafka ออกแบบมาให้สามารถทำงานเป็นแบบ Cluster โดยเก็บข้อมูลเป็น Stream of Record ซึ่งจัดหมวดหมู่ในรูปของ Topics ข้อมูลแต่ละ Record ประกอบด้วบ Key, Value และ timestamp เอาเป็นว่า ระบบนี้เอาไว้สำหรับรองรับการส่งข้อมูลแนวๆ Streaming มาเพื่อทำการวิเคราะห์แบบ Real-Time แทนที่จะต้องบริหารเองก็แล้วกัน แถมด้วยความสามารถในการ Subscribe ข้อมูล สามารถย้อนไปดูข้อมูลก่อนหน้าได้ (ตามขอบเขตเวลาที่กำหนด) มาติดตั้งกัน บทความนี้ ทดสอบบน Ubuntu 16.04 ไป Download และ ติดตั้ง จาก https://www.apache.org/dyn/closer.cgi?path=/kafka/0.10.2.0/kafka_2.11-0.10.2.0.tgz ด้วยคำสั่ง wget http://www-eu.apache.org/dist/kafka/0.10.2.0/kafka_2.11-0.10.2.0.tgz tar -zxvf kafka_2.11-0.10.2.0.tgz cd kafka_2.11-0.10.2.0 Kafka ทำงานบน Zookeeper ดังนั้นให้เริ่มทำงานด้วยคำสั่ง bin/zookeeper-server-start.sh config/zookeeper.properties & แล้วจึง สั่ง Start Kafka bin/kafka-server-start.sh config/server.properties & ต่อไป Producer กับ Consumer จะติดต่อกันผ่าน Topic จึงต้องสร้าง topic ด้วยคำสั่งต่อไปนี้ bin/kafka-topics.sh –create –zookeeper localhost:2181 –replication-factor 1 –partitions 1 –topic test ซึ่งในที่นี้ จะได้ Topic ชื่อ test ทำงานบน Zookeeper บน Localhost ที่ Port 2181 ลองใช้คำสั่งต่อไปนี้เพื่อดู Topic ทั้งหมด bin/kafka-topics.sh –list –zookeeper localhost:2181 ทดลองส่งข้อมูลเข้าไปให้ Kafka ซึ่งจะทำงานที่ Localhost ที่ Port 9092 bin/kafka-console-producer.sh –broker-list localhost:9092 –topic test แล้วลองพิมพ์ข้อความอะไรลงไปดู เช่น Hello World This is a book Blah Blah ลองเปิดอีก Terminal ขึ้นมา แล้วใช้คำสั่งต่อไปนี้ bin/kafka-console-consumer.sh –bootstrap-server localhost:9092 –topic test –from-beginning ก็จะเห็นได้ว่า สามารถเรียกดูสิ่งที่ส่งเข้าไปใน Topic “test” ตั้งแต่เริ่มต้นได้ ตรงนี้ยังไม่แปลกอะไร และไม่น่าตื่นเต้นอะไร บทความต่อไปจะกล่าวถึงการสร้างเป็น Cluster แล้วก็ทำงานกับ หลายๆ Producer และ หลายๆ Consumer พร้อมๆกัน   Reference https://kafka.apache.org/intro

Read More »

Oracle MySQL Cluster :- The shared-nothing architecture (Manual Installation)

สิ่งที่ต้องเตรียม ได้แก่ Ubuntu Server 16.04 (รุ่น x86_64 architecture) จำนวนอย่างน้อย 4 เครื่อง (แต่ควรอย่างน้อย 6 เครื่อง), IP Address 4 IP, Software MySQL Cluster โหลดที่ https://edelivery.oracle.com/ (ต้องสมัครสมาชิกให้เรียบร้อยก่อน) ใช้คำค้นว่า MySQL Cluster (จะมีรุ่น 7.5.5 ให้โหลด) โดยไฟล์ที่ใช้งานชื่อว่า V840854-01.zip MySQL Cluster 7.5.5 TAR for Generic Linux (glibc2.5) x86 (64bit) 4 เครื่องประกอบด้วยอะไรบ้าง 2 x data nodes เปลี่ยน IP ให้ตรงกับที่ใช้งาน 192.168.106.32  Data-node1 192.168.106.33  Data-node2 1 x SQL/NoSQL Application Node 192.168.106.42  SQL-Node 1 x Management Node 192.168.106.40  Management-node เริ่มที่ Management Node ssh 192.168.106.40 -l sudo_user (user ที่เรียกใช้คำสั่ง sudo ได้) คลายแฟ้ม V840854-01.zip ด้วยคำสั่ง unzip V840854-01.zip (อาจต้องติดตั้งเพิ่มเติมด้วยคำสั่ง sudo apt install unzip) จะได้แฟ้ม  mysql-cluster-advanced-7.5.5-linux-glibc2.5-x86_64.tar.gz คลายแฟ้ม mysql-cluster-advanced-7.5.5-linux-glibc2.5-x86_64.tar.gz ด้วยคำสั่ง tar zxvf mysql-cluster-advanced-7.5.5-linux-glibc2.5-x86_64.tar.gz เปลี่่ยนชื่อ mysql-cluster-advanced-7.5.5-linux-glibc2.5-x86_64 เป็น mysql mv mysql-cluster-advanced-7.5.5-linux-glibc2.5-x86_64 mysql คัดลอกแฟ้ม mysql/bin/ndb_mgmd และ mysql/bin/ndb_mgm ไปไว้ที่ /usr/local/bin cp mysql/bin/ndb_mgm* /usr/local/bin/ สร้างโฟลเดอร์ /var/lib/mysql-cluster และสร้างแฟ้ม /var/lib/mysql-cluster/config.ini sudo mkdir -p /var/lib/mysql-cluster/ เพื่อเป็นการบอก Management node ว่า Data Node และ SQL Node มีใครบ้าง ให้สร้าง config.ini ไว้ที่ /var/lib/mysql-cluster ด้วยคำสั่ง cat<< EOF | sudo tee /var/lib/mysql-cluster/config.ini เพิ่มข้อความต่อไปนี้ลงไป [ndbd default] NoOfReplicas=2 DataMemory=80M IndexMemory=18M [mysqld default] [ndb_mgmd default] [tcp default]# Cluster Control / Management node [ndb_mgmd] hostname=192.168.106.40# Data Node 1 [ndbd] hostname=192.168.106.32 DataDir= /var/lib/mysql-cluster# Data Node 2 [ndbd] HostName=192.168.106.33 DataDir=/var/lib/mysql-cluster# SQL Node [mysqld] hostname=192.168.106.42 # If you to add new SQL Node [mysqld] EOF เพิ่มข้อความต่อไปนี้ในแฟ้ม /etc/rc.local /var/lib/mysql-cluster/config.ini –configdir=/var/lib/mysql-cluster/ โดยเพิ่มให้อยู่บรรทัดก่อนคำว่า exit 0 ตัวอย่าง /etc/rc.local #!/bin/sh -e # # rc.local #

Read More »

pGina fork 3.2.4.1 configuration

ในตอนที่แล้วได้พูดถึงว่า pGina fork คืออะไรไปแล้ว ในครั้งนี้จะพูดถึงการตั้งค่าสำหรับทำเป็น Windows Authentication ในเครื่องคอมที่เป็น Windows 10 ผมได้ทำ screen capture มาเฉพาะที่ผมได้ใช้งาน ซึ่งก็คือ Local Machine, RADIUS plugin, Single User plugin และ LDAP plugin ครับ ตามดูกันมานะครับ หน้าแรกคือแท็บ General จะแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมพร้อมทำงาน ให้ดูที่ข้อความที่แสดงเป็นสีเขียวใต้ข้อความ pGina Service status และตัวเลือกที่ผมเลือกใช้คือ Use original username to unlock computer (เพราะว่าผมจะใช้ Single User plugin ร่วมด้วย) แท็บถัดไปคือ แท็บ Plugin Selection อันแรกที่จะใช้คือ Local Machine คือ user ที่สร้างขึ้นภายใน Windows นั่นเอง สังเกตจะมีตัวเลือกที่ Authentication และ Gateway แก้ไขรูปภาพ Local Machine Plugin ต้อง ติ๊ก Notification ด้วย จึงจะมีผลกับ option Remove account and profile after logout จากนั้นให้คลิกปุ่ม Configure จะได้ค่าดีฟอลต์ ดังรูปข้างล่างนี้ ผมจะใช้ค่าตัวเลือก Remove account and profile after logout when account does not exist prior to logon เพื่อที่ไม่ต้องเก็บ user profile ที่เป็น user จาก user database ภายนอก เช่น จาก RADIUS server เป็นต้น และ หากต้องการให้ user นั้นมีสิทธิมากกว่า User ทั่วไป ก็ตั้ง Mandatory Group เช่น ตั้งเป็น Administrators เป็นต้น ต่อไปก็มาถึง RADIUS plugin เลือก Authentication และ Notification จากนั้นคลิกปุ่ม Configure จะได้ค่าดีฟอลต์ ดังรูป ผมจะเลือกใช้และใส่ค่าต่าง ๆ เหล่านี้ครับ เลือก Enable Authentication เพื่อสอบถาม username/password เลือก Enable Accounting เพื่อส่งข้อมูลบันทึกค่า Acct-Status-Type ไปยัง RADIUS Server แล้วระบุ Server IP และ Shared Secret ที่จะต้องตรงกันกับที่ระบุอยู่ใน config ที่ RADIUS server เช่น FreeRADIUS จะอยู่ในไฟล์ /etc/freeradius/clients.conf เป็นต้น (13 ก.ค. 2561) เลือก Called-Station-ID ด้วย หากต้องการเลข MAC Address เก็บด้วยนอกจากเก็บ IP (10 ก.ค. 2561) พบว่าจำเป็นต้องเลือก Accounting Options หัวข้อ Send Interim Updates เพื่อให้มีการส่งค่า accounting ได้ (โดยใช้ค่า Send update every 900 seconds ตามที่เป็นค่า default) แล้วระบุ IP Address

Read More »

pGina fork Open Source Windows Authentication

เราใช้งาน pGina for Windows เวอร์ชั่น 3.1.8.0 มาสักระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าแอดมินดูแลห้องคอมคงจะรู้จักกันดีว่าเป็นโปรแกรมสำหรับให้ผู้ใช้งานใส่ username และ password ของ user database ภายนอกได้ เวอร์ชั่นนี้ก็ยังคงใช้งานได้ดีอยู่ครับ แต่ตอนนี้หากเราจะให้ pGina ส่ง RADIUS Accounting ไปยัง RADIUS Server จะทำได้ไม่สมบูรณ์ ผมค้นหาอยู่ว่าจะมีเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่ามั้ย ก็พบว่าปัจจุบันนี้ เว็บไซต์เดิม pGina นั้นจะมีถึงเพียงแค่เวอร์ชั่นเก่า แต่มีคนนำไปทำเพิ่มเติมจาก project เดิม เรียกว่าการ fork project จึงเกิดเป็นเว็บไซต์อีกอันคือ pGina fork  ซึ่งเวอร์ชั่นปัจจุบันที่ผมทดสอบแล้วว่าใช้งานกับ Windows 10 ได้ คือเวอร์ชั่น 3.2.4.1 แม้ว่าจะมีเวอร์ชั่นล่าสุดกว่านี้ (3.9.9.7) แต่ Windows 10 มันแจ้งเตือนว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ไม่ได้ระบุ Publisher ที่แน่ชัด Windows 10 จึงเตือนให้อย่าติดตั้ง ผมก็ไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด  สรุปว่า pGina fork ก็คือ pGina ที่มีคนนำไปพัฒนาต่อโดยการ fork จาก project เดิม และมาเป็น project อีกอันที่นี่ http://mutonufoai.github.io/pgina/ หรือ ที่นี่ก็ได้ https://github.com/MutonUfoAI/pgina/ ดาวน์โหลดเวอร์ชั่น 3.2.4.1 ได้ที่นี่ https://github.com/MutonUfoAI/pgina/releases/download/3.2.4.1/pGinaSetup-3.2.4.1.exe ในตอนถัดไปจะมาพูดถึง pGina fork 3.2.4.1 configuration ครับ  

Read More »