จะทำอย่างไรให้สามารถดึงข้อมูลมาแสดงผลด้วย Progress bar โดยใช้ .Net (C#)

          จากบทความก่อนหน้านี้ ผู้เขียนได้แนะนำเกี่ยวกับ Progress bar และวิธีการใช้งานเบื้องต้นกันไปแล้ว ซึ่งใครที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ มาถึงในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอนำความรู้ดังกล่าวมาต่อยอดประยุกต์ใช้กับการทำงานจริงที่มีการดึงข้อมูลตอน Runtime มาแสดงผลด้วย Progress bar โดยผู้เขียนจะไม่ขอลงรายละเอียดในส่วนของการสร้างสไตล์ชีทและการกำหนดค่าต่างๆแล้ว แต่จะเน้นในส่วนของการดึงข้อมูลมาแสดงแทน โดยผู้เขียนจะพยายามยกตัวอย่างให้เห็นหลายแนว เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพในการนำไปใช้มากขึ้น ซึ่งแต่ละแบบจะต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ แบบแถบละสี ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล และจัดเตรียม Tag Html ที่จะใช้ในการแสดงผล 2. เมธอดในการแปลงค่าสไตล์ชีทเพื่อปรับสีตามจำนวนที่ส่งมาเป็นพารามิเตอร์ จากโค้ดข้างต้นจะเป็นการกำหนดสไตล์ชีทที่จะใช้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับจำนวนค่า % ที่ส่งมาเป็นพารามิเตอร์ โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง สีแดง ช่วงตั้งแต่ 0 – 25 % สีส้ม ช่วงตั้งแต่ 26 – 50 % สีฟ้า ช่วงตั้งแต่ 51 – 75 % สีเขียว ช่วงตั้งแต่ 76 – 100 % ตัวอย่างการเรียกใช้งาน ผลลัพธ์ แบบหลายสีในแถบเดียวกัน(แบบที่ 1)           โดยในตัวอย่างนี้ จะเป็นการแสดงข้อมูลจำนวนผลไม้เป็น % รวมในแถบ Progress bar เดียวกัน ซึ่งจะแยกตามสี และมีบอกจำนวนรวมถึงชื่อผลไม้ให้ทราบ อีกทั้งยังแสดงจำนวนรวมของผลไม้ทุกชนิดด้วย โดยมีวิธีการทำ ดังนี้ค่ะ ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล และจัดเตรียม Tag Html ที่จะใช้ในการแสดงผล           จากโค้ดตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าการสร้างแท็ก Html จะแตกต่างจากแบบแรก คือจะมีการสร้างใน <div class=\”progress\”> เดียวกัน ซึ่งมีหลักการคล้ายกับการสร้าง Progress bar อย่างง่ายหลายสีในแถบเดียวกันที่เคยกล่าวไว้แล้วในบทความก่อนหน้านั่นเอง ผลลัพธ์ แบบหลายสีในแถบเดียวกันและแสดงหลายแถบ Progress Bar(แบบที่ 2)           ในตัวอย่างนี้ เป็นการแสดงผลแถบสีแยกตามช่วงของข้อมูลบน Progress bar แต่ละแถบ โดยการแสดงผลจะแบ่งสีตามปริมาณข้อมูลในแต่ละช่วง ดังนี้ สีแดง ช่วงตั้งแต่ 0 – 25 % สีส้ม ช่วงตั้งแต่ 26 – 50 % สีฟ้า ช่วงตั้งแต่ 51 – 75 % สีเขียว ช่วงตั้งแต่ 76 – 100 % หากข้อมูลที่ต้องการแสดงผลตกอยู่ในช่วงใดก็จะมีการแสดงแถบสีนั้นขึ้นมาให้เห็นตามลำดับ โดยมีวิธีการทำต่อไปนี้ค่ะ ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล และจัดเตรียม Tag Html ที่จะใช้ในการแสดงผล 2. สร้างเมธอดที่ใช้ในการสร้างแท็ก Html ในการแสดงผลแถบสี ซึ่งในส่วนของกระบวนการคำนวณแถบสีจะไม่ขอลงในรายละเอียด แต่แสดงไว้ให้เห็นภาพการทำงานหลักๆเท่านั้น ดังนี้ค่ะ ผลลัพธ์ หมายเหตุ : จากตัวอย่างข้างต้น เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจการประยุกต์ใช้งาน และการทำงานร่วมกับ Progress bar เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งผู้อ่านสามารถดัดแปลง และมีวิธีการรวมถึงเทคนิคที่แตกต่างออกไปที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาเพื่อแสดงผลข้อมูล ขึ้นกับอัลกอริธึมของแต่ละท่าน           จากบทความนี้จะเห็นได้ว่า วิธีการดึงข้อมูลมาแสดงผลด้วย Progress bar แบบนี้ จะมีความยืดหยุ่นกว่าแบบที่มีการกำหนดค่าตายตัวในบทความก่อนหน้า อีกทั้งยังสามารถแสดงจำนวนแถบ Progress bar และสีได้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับข้อมูล การกำหนดเงื่อนไขในการแสดงผล และความต้องการของผู้พัฒนาที่จะดึงข้อมูลมาแสดงผลนั่นเอง และผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้ จะพอเป็นแนวทางในการนำไปใช้งานจริงให้กับทุกท่านได้นะคะ ขอบคุณค่ะ ^^ แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://bestjquery.com/tutorial/progress-bar/demo78/ https://www.jquery-az.com/boots/demo.php?ex=51.0_5

Read More »

มาทำความรู้จักและเรียนรู้การใช้งาน Progress bar ในเบื้องต้นกันเถอะ

          โดยปกติแล้วในการพัฒนาเว็บไซต์ของเรา คงมีบางเวลาที่เราอาจจะอยากแสดงผลข้อมูลของเราในรูปแบบของ Progress bar ซึ่งเป็นแถบของข้อมูล เพื่อเพิ่มมุมมองให้กับการแสดงผลให้ไม่น่าเบื่อจำเจแทนที่จะเป็นเพียงการแสดงผลตัวเลขเฉยๆ โดยเจ้า Progress bar นี้จะทำให้เราเห็นภาพได้ว่า ข้อมูลของเราได้ดำเนินการใกล้ถึงเป้าหมายแล้วหรือยัง ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ ดังนั้นในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำวิธีการใช้งาน Progress bar แบบเบื้องต้น โดยจะมีขั้นตอนง่ายๆ 3 ขั้นตอน ดังนี้ การกำหนสไตล์ชีท โดยเราจะใช้สไตล์ชีทเหล่านี้ เพื่อช่วยให้การแสดงผลของ Progress bar ของเราสวยงามมากยิ่งขึ้น ซึ่งการกำหนดสไตล์ชีทสามารถทำได้ 2 วิธี คือแบบที่กำหนดในไฟล์เลย หรือแยกเป็นไฟล์สไตล์ชีทต่างหากได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนขอแนะนำให้ทำเป็นแบบแยกไฟล์สไตล์ชีทออกมาต่างหากแล้วอ้างถึงจากไฟล์ที่เรียกใช้แทน เพื่อง่ายต่อการปรับปรุง และใช้งานในครั้งต่อไปค่ะ ไฟล์ Progress.css เพิ่มเติม : การอ้างอิงไฟล์สไตล์ชีทจากภายนอก โดยที่อยู่ของไฟล์ก็ขึ้นกับการระบุของแต่ละท่าน 2. การกำหนดพื้นที่ในการแสดงผล Progress bar ในส่วนของแท็ก body ในไฟล์ html คำอธิบาย : จากตัวอย่าง จะเห็นว่าเราสามารถปรับแต่งและใส่ข้อมูลให้กับ Progress bar 3 ส่วนคือ ข้อความบนแถบ Progress bar ได้ในส่วนของ Progress-title คือ <h3 class=”progress-title”>Basic Progress</h3> กำหนดความกว้างของ Progress bar ได้ผ่านทาง style-inline คือ style=”width:85%;” แสดงข้อความจำนวนของข้อมูลบนแถบ Progress bar คือ <div class=”progress-value“><span>85</span>%</div> นั่นเอง 3. การเรียกใช้งาน jQuery เพื่อการแสดงผล Progress bar ของเราให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนเลขที่แสดงตั้งแต่ 0 จนถึงจำนวนเลขนั้น เช่น หากเลขที่ต้องการแสดงคือ 60% ตัวเลขแสดงจำนวนดังกล่าวจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นโดยเริ่มจาก 0 จนถึง 60 นั่นเอง ผลลัพธ์ เพิ่มเติม           จากตัวอย่างข้างต้น จะเป็นการแสดงผล Progress bar แบบพื้นฐานอย่างง่าย เพียงเท่านี้ท่านก็จะสร้าง Progress bar ได้ด้วยตนเองแล้ว แต่หากท่านใดที่อยากเพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับ Progress bar ของท่าน ก็สามารถทำได้ดังตัวอย่างนี้ค่ะ1. ปรับแก้เพิ่มเติมในส่วนของการกำหนดพื้นที่ในการแสดงผล 2. เพิ่มสไตล์ชีทที่ใช้สำหรับเพิ่มสีสันให้กับ Progress bar ของเรา ผลลัพธ์           จากตัวอย่างข้างต้น จะเป็นวิธีการสร้าง Progress bar ที่มีการใส่สีสันให้กับแต่ละแถบเส้น แต่ลูกเล่นของการแสดงผล Progress bar ยังสามารถทำได้หลายแบบ ซึ่งผู้เขียนจะขอแนะนำอีกวิธี ซึ่งเป็นการสร้าง Progress bar แบบหลายสีในแถบเดียวกันโดยมีวิธีการเพิ่มเติม ดังนี้ค่ะ การกำหนดพื้นที่ในการแสดงผล Progress bar ในส่วนของแท็ก body ในไฟล์ html           จากโค้ดตัวอย่างข้างต้น จะสังเกตเห็นว่าการกำหนดค่าต่างๆจะมีลักษณะกับหลักการที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่จะแตกต่างกันตรงที่การแสดงผลหลายแถบสีในแถบเดียวกันจะมีการกำหนด progress bar ภายใต้แท็ก <div class=”progress”> เดียวกัน และหากต้องการกำหนดให้มีกี่แถบสีก็สามารถเพิ่มสี และกำหนดขนาดของแต่ละแถบสีได้ตามต้องการ ผลลัพธ์           โดยบทความนี้ก็ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแนะนำการใช้งาน รวมถึงลูกเล่นของ Progress bar ในเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากรูปแบบและการใช้งานของ Progress bar ยังมีให้เลือกใช้ เลือกลองกันอีกมากมายหลายแบบเลยนะคะ ผู้เขียนหวังว่าความรู้จากบทความนี้จะเป็นพื้นฐานและตัวช่วยให้กับนักพัฒนาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานของตนได้ไม่มากก็น้อยค่ะ ^^ แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://bestjquery.com/tutorial/progress-bar/demo78/ https://www.jquery-az.com/boots/demo.php?ex=51.0_5

Read More »

Migrate จากฐานข้อมูล MySql มายัง Oracle ด้วย Sql Developer

เนื่องจากงานที่รับผิดชอบ จะต้องมีการโอนย้ายข้อมูลจากฐานข้อมูลอื่นๆมายัง Oracle เป็นประจำ พบว่าการย้าย MySql มายัง Oracle นั้นสามารถทำได้ง่ายมาก (อาจเพราะเจ้าของเดียวกัน) โดยมีวิธีดังนี้ 1. ดาวส์โหลดและติดตั้ง Oracle SQL Developer 2. ทำการเชื่อมต่อไปยังฐานข้อมูล Oracle ด้วย User system 3. สร้าง Oracle User สำหรับเก็บข้อมูลจาก MySql และกำหนดสิทธิให้เรียบร้อย 4. ดาวส์โหลดไฟล์ Third Party JDBC Driver สำหรับ My Sql 5. เปิดการใช้งาน Third Party JDBC Driver โดยไปที่ Tools > Preferences > Database > Third Party JDBC Drivers 6. ทำการ Restart โปรแกรม Sql Developer เมื่อทำการ New Connection จะมีตัวเลือกเพื่อเชื่อมต่อไปยัง My Sql 7. ทำการเชื่อมต่อไปยัง My Sql  หากต้องการเพียง Data, Schema สามารถคลิกขวาตารางที่ต้องการเลือก Copy To Oracle ได้เลย เพียงเท่านี้ ข้อมูล Table, Field ก็จะถูกโอนย้ายและ Map Data Type ให้อัตโนมัติสามารถ Query จาก Oracle ได้เลย แต่สำหรับงานที่ต้องการ Constraint, Trigger, ฯลฯ ด้วย จะมีขั้นตอนเพิ่มเติมดังนี้ ไปที่  Tools > Migration > Migrate กำหนด User ที่จะใช้เป็น Migrate Repository (เก็บข้อมูลต่างๆขณะดำเนินการ Migrate) 2. กำหนดโฟลเดอร์จัดเก็บ Script, Log file 3. เลือก Connection My Sql ที่ต้องการ Migrate 4. เลือก My Sql User ที่ต้องการ Migrate 5. การ Map Data Type สามารถใช้ค่า Default ได้ 6. เลือก Sql Object ที่ต้องการ 7. เลือก Connection ของ DB User ที่ใช้เก็บโครงสร้าง และคำสั่งต่างๆ ที่ระบบใช้ในการ Migrate 8. กำหนด User เป้าหมายที่จะนำข้อมูลเข้า จากนั้นเลือก Finish เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยครับ ข้อควรระวังคือการเลือก Repository User ควรสร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจากจะมีการสร้าง Table ขึ้นมาระหว่างการ Migrate และการกำหนดสิทธิให้กับ User ต่างๆให้ครบถ้วน แบบที่สองดูเหมือนหลายขั้นตอน แต่ก็เป็นแบบ Wizard ที่ใช้งานได้ไม่ยาก หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ครับ

Read More »

[บันทึกกันลืม] วิธีย้ายทั้ง Folder จาก Google Drive ไปยัง Shared Drives ขององค์กร

จากที่ Google Apps for Education หรือ Google Workspace for Education ปัจจุบัน ซึ่งจากเดิม ชูนโยบาย Unlimited Storage มาเป็น 100 GB ต่อ คน และ 100 TB ต่อ องค์กร — เพียงพอ ต่อการใช้งานเพื่อการศึกษาจริง ๆ ถ้าจัดการให้ดี เหตุแห่งการเปลี่ยนแปลง ผมว่า ก็เรา ๆ นี่แหล่ะ ใช้พื้นที่เค้าแบบไม่ใช่เพื่อการศึกษา ต้องยอมรับก่อน แล้วเรามาแก้ไขกัน มีบางคนในองค์กร เอาไปเก็บไฟล์หนัง ไม่เกี่ยวกับการศึกษา จริงหรือไม่ รู้อยู่แก่ใจ, เรื่องนี้ Super Admin ขององค์กรตรวจสอบได้ ด้วย Google Vault จัดการให้เด็ดขาด (Super Admin รายงานได้ ผู้มีอำนาจต้องตัดสินใจ … กล้าไม๊ ค่อยมาดูกัน) บางองค์กรไม่มีมาตรการควบคุมบัญชี สร้างมากเกินความจำเป็น แล้วบางคนเอาบัญชีไปขายใน Lazada, Shopee จริงไม่จริง รู้อยู่แก่ใจ บางคน เอาแต่ประโยชน์ส่วนตน ได้สิทธิ์ แต่เอาพื้นที่ Shared Drives ไปปล่อยให้ เว็บโป๊ เว็บหนังซีรี่ ใช้พื้นที่ซะงั้น ก็เป็นธรรมดา Google ลงทุนทรัพยากร แต่ไม่ได้ใช้ให้ถูกตามวัตถุประสงค์ ก็ต้องมีการควบคุม งานส่วนตัว ใช้ My Drive, งานของหน่วยงาน ใช้ Shared Drives จบ (บางคนบอกว่า ย้ายไป Microsoft OneDrive ก็ได้วะ 5TB … ทำเหมือนเดิม เดี๋ยวก็จะได้ผลเหมือนเดิม) ผมได้เล่าไว้บ้างแล้ว เกี่ยวกับการใช้พื้นที่ของ Shared Drives มาดูวิธีแก้ปัญหากันดีกว่า จากเดิม คนในสำนักงานก็จะชอบใช้ My Drive แล้ว Share ให้คนในหน่วยงานใช้กัน ก็เข้าใจได้ เพราะตอนแรกไม่มี Shared Drives เคยทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว คือ งานส่วนรวม เอาไปเก็บใน Shared Drive เอาหล่ะ สมมุติว่า เราเคยใช้ Folder หนึ่ง เก็บสารพัดสิ่งที่เกี่ยวกับงานจริง ๆ แต่มันอยู่ใน My Drive (พื้นที่ส่วนตัว) สมมุติใช้ Folder ชื่อ parent ในนั้นมี Sub folder ย่อย และมีไฟล์ย่อย ๆ ซ้อน ๆ ลงไปจำนวนมาก แนะนำว่า แต่ละหน่วยงาน เช่น ระดับภาควิชา หรือ ระดับหน่วยงาน ไปสร้างพื้นที่ไว้บน Shared Drives ปัญหาคือ … การย้ายไฟล์จาก​ Google Drives ไปยัง Shared Drives นั้น ทำได้ในระดับไฟล์ ไม่สามารถย้ายทั้ง Folder ได้ ใครใคร่ย้าย ก็เลือกไฟล์ แล้วคลิกขวา Move to ไป แต่กรณี ของผมมีไฟล์ ที่สร้างจากอุปกรณ์ ขนาด 400-800 kb จำนวน …. 60 GB คิดคร่าว ๆ 2 ไฟล์ เป็น 1 MB ก็ราว ๆ 60 x 1024 x 2 = 122,880

Read More »

[บันทึกกันลืม] แก้ปัญหารัน Shell Script กับมือทุกอย่างสมบูรณ์ แต่พอใช้ cron แล้วพัง

เรา “จำกันมา” ว่า การเขียน Shell Script นั้น ทำด้วยมืออย่างไร ก็เขียนลงไปในไฟล์ แล้วเอา Shell เช่น Bash ไป Run แล้วเอาไปตั้งในไฟล์ /etc/cron.d/mycron ปัญหาคือ บางทีเขียนด้วยภาษา Script เช่น python, R แล้วบางที ก็อยากจะเพิ่มภาษาไทยเข้าไป ตามสูตร ก็ต้องใช้คำสั่ง locale ตรวจสอบ ก็จะพบว่า เป็น UTF-8 สวยงาม เขียนใส่ข้อมูลที่ประมวลผลมา ก็จะได้เป็นภาษาไทยสวยงาม แต่ พอเอาไปใส่ Shell Script ผลออกมาเป็นตัวอักษรบนตัวเลข ซึ่งนั่นคือ UTF-8 HEX code เหตุของปัญหา ก็ลองเอา คำสั่ง locale ไปใส่ใน Shell Script แล้วดูผลในไฟล์พบว่า สรุปคือ locale ตอนใช้ cron เป็น Default อย่างนี้ (พอดีทำงานบน docker ที่ base image มาจาก debian) วิธีแก้ไขปัญหา google สิครับ รออะไร ไปพบข้อมูลจาก https://www.logikdev.com/2010/02/02/locale-settings-for-your-cron-job/ คือ ให้ใส่ ลงไปใน cron ด้วย อย่างเช่น แล้วก็อย่าลืม เป็นอันเรียบร้อย หวังว่าจะมีประโยชน์ครับ

Read More »