ตอนที่ 2 : จัดการรายงานด้วย Report Manager

การใช้งาน Report Manager มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ เปิด Browser และพิมพ์ URL ของ Report Server ในช่อง Address โดย URL มีรูปแบบดังนี้ http://<report_server_name>/Reports  จะปรากฏ หน้าต่าง Windows Security ขึ้นมา เพื่อให้กรอก User name และ Password ในการยืนยันตัวตนเข้าสู่ระบบ หากการยืนยันตัวตนเข้าสู่ระบบถูกต้องแล้ว ก็จะสามารถเข้าสู่หน้า Home ของ Report Manager (ดูภาพประกอบที่ 1) แสดง Contents ที่ประกอบด้วย ภาพประกอบที่ 1 Home ของ Report Manager       3.1 เมนูด้านบนขวาที่ใช้ตั้งค่าคุณสมบัติต่างๆ ของ Report Server ดังนี้             » Home เป็นลิงค์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าหลักของ Report Server ซึ่งก็คือหน้า Home นั่นเอง ประกอบด้วยเมนู ดังนี้ − New Folder เพื่อสร้างโฟลเดอร์ไว้สำหรับเก็บรวบรวมรายงาน, Data Source, Data Model และอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนแล้วไว้ภายใน Folder ที่สร้างขึ้นใหม่ − New Data Source เป็นการสร้าง Data Source ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับเป็นแหล่งข้อมูลของการสร้างรายงาน − Report Builder เป็นการใช้โปรแกรม Report Builder แบบ Click Launch โดย User สร้าง Ad hoc Report (โดยการอาศัย Data Model ที่ได้สร้างไว้บน Report Server นำมาใช้เป็นแหล่งข้อมูลในการสร้างรายงาน) − Folder Settings เพื่อกำหนดบทบาทในการเข้าถึงโฟลเดอร์ − Upload File เพื่อ Upload ไฟล์ต่างๆ เช่น Report (.rdl), Model (.smdl), Shared Dataset (.rsd), Report Part (.rsc) หรือ Resource อื่นๆ มายัง Home ของ Report Server − Layout  อยู่ด้านขวาสุดของเมนู เป็นมุมมองในการแสดงข้อมูล ซึ่งมี 2 โหมด คือ  Details View และ  Tile View           เมื่อคลิก Dropdown ที่โฟลเดอร์จะมีเมนู เช่น Move, Delete, Security, Manage และเมื่อคลิก Dropdown ที่รายงานจะมีเมนู เช่น Move, Delete, Subscribe…, Create Linked Report, View Report History, Security, Manage, Download และ Edit in Report Builder (ดูภาพประกอบที่ 3) ซึ่งหากคลิกที่ชื่อรายงานจะไปยังหน้าจอสำหรับเรียกดูรายงาน โดยผู้ใช้สามารถ Export ไฟล์ในรูปแบบต่างๆที่ SSRS Support ดังที่ได้กล่าวเอาไว้ในตอนที่ 1 และกด  เพื่อพิมพ์รายงาน (ดูภาพประกอบที่ 4) ภาพประกอบที่ 3 เมนูของรายงาน ภาพประกอบที่ 4 View Report            

Read More »

รายการสิ่งที่ต้องตรวจสอบเมื่อต้องเป็นผู้ดูแล Windows Server

เมื่อระบบที่พัฒนามีมากขึ้น Server ที่ต้องดูแลก็เริ่มจะมีมากขึ้น และแน่นอนว่าต้องดูแลสุขภาพของ Server ให้อยู่ดี มีสุขและต้องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ     เลยลองไปศึกษาดูว่าคนที่ทำหน้าที่ดูแล Server ที่เรียกว่า Administrator นั้นเค้าต้องตรวจสอบหรือทำอะไรบ้าง ความถี่ในการเข้าไปตรวจสอบเรื่องต่างๆ จึงวสรุปมาเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนหัวอกเดียวกัน (ทั้งพัฒนาโปรแกรมและดูแลสุขภาพของ Server) พอจะแยกเป็นข้อๆดังนี้ Updates -ตรวจสอบ New Package Update ที่ Windows Update โดยทำเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย แต่…ต้องแน่ใจว่ามี Backup หรือ Snapshot ล่าสุดที่พร้อมใช้งานสำหรับถ้า Update แล้วมีปัญหาต้อง Restored ระบบกลับมาให้ได้นะครับ (ส่วนนี้ถ้าเราดูแล Domain Server อยู่ด้วยก็น่าจะศึกษาเรื่อง Group Policy เพื่อสั่งตรวจสอบ server ทั้งหมดที่ดูแลอยู่ให้ Update ตาม Policy ที่ว่างไว้น่าจะดี ตอนนี้กำลังศึกษาเรื่อง Powershell scripts เพื่อให้ตรวจสอบข้อมูลและให้ส่ง mail ไปบอกอยู่ ถ้าทำสำเร็จจะมาเล่าให้ฟังในหัวข้อถัดๆไปนะครับ) -สำหรับ Server ได้ติดตั้ง Application อื่นๆนอกเหนือจากที่ Windows ให้มาก็ต้องตรวจสอบการ Update ด้วยนะครับถ้าให้ดีความทำ รายการ Application ที่ลงไว้ใน server ด้วยเพื่อสะดวกต้องการติดตาม Update และจะได้รู้ว่ามี Application แปลกปลอมอะไรเพิ่มเติมมาบ้างในเดือนที่กำลังตรวจสอบ Security -ตรวจสอบสิทธิการเข้าถึง Server พวก Administrator Group และ Remote access group น่าจะทำ 3-6 เดือนครั้ง -ตรวจสอบการเปิดปิด Firewall ports ต่างๆ น่าจะทำ 6-12 เดือนครั้ง -เรื่องการเปลี่ยน Passwords ของ User ที่มีสิทธิเข้าใช้งานระบบ น่าจะทำ 3 เดือนครั้งกำลังดี Backups -ฺBackups และ ต้องทดสอบ restores ระบบแบบสุ่ม 2-3 เดือนซักครั้ง Monitoring -ตรวจสอบการทำงานของ server โดยการตรวจสอบ logs ต่างๆที่ Server เก็บไว้ ตรงนี้ขอแนะนำ Log Parser Studio ลองไปโหลดมาเล่นดูครับ -ตรวจสอบการใช้งานทรัพยากรต่างๆของ Server Disk เหลือเท่าไร ใช้ RAM ไปเท่าไร ช่วงไหนทำงานหนักสุด -ตรวจสอบ Hardware Error ทำความเข้าใจกับ Windows logs > System, look for warnings and critical events. -Application ที่ลงไว้ตัวไหนไม่ใช้งานก็ความจะเอาออกจาก Server เพื่อลดความเสี่ยงที่ Application เหล่านั้นจะมีช่องโหวให้ถูกโจมตีได้ -ควรมีการ Run คำสั่ง chkdsk เดือนละครั้งเพื่อตรวจสอบ Disk -ควรมีการตรวจสอบพวก Virus และ Mal ware เดือนละครั้งตามที่อ่านๆมาก็พอสรุปได้ดังนี้ครับ และตามหัวข้อเหล่านี้ก็สามารถขยาย ต่อยอดศึกษาต่อไปได้อีก ที่ผมสนใจอยู่ตอนนี้คือการทำ automatic Task ด้วย Powers hell  ถ้าท่านใดมีความรู้หรือมีแหล่งความรู้แนะนำกันได้นะครับ ที่ลองทำและใช้งานอยู่ก็จะเป็นการสั่ง Backup SQL Server Database ไปเก็บไว้ใน Network Drive ซึ่งตัว Backup ของ SQL Server ที่มีมาให้ไม่สามารถมองเห็น Network Drive ได้ก็เลยลองเขียนด้วย power shell ก็ทำงานได้ดีและดูแล้วว่าถ้าใช้งาน Windows Server อยู่ความรู้เรื่อง Power Shell น่าจะช่วยให้ชีวิตการดูแล Server มีความสุขขึ้นมากแน่นอนครับ

Read More »

ตอนที่ 1 : มารู้จัก SSRS กันเถอะ…

          SQL Server Reporting Services (SSRS) เป็น Technology หนึ่งของ Microsoft SQL Server Services ที่ใช้ในการสร้างและบริหารจัดการรายงาน เริ่มมีใน SQL Server 2005 และในปัจจุบันเป็น SQL Server 2016 ซึ่งข้อดีของการใช้ SSRS อาทิเช่น ไฟล์รายงานเป็นภาษา Rdl ที่เป็น Text File ธรรมดาสามารถเปิดด้วย Text Editor อะไรก็ได้ (ดูภาพประกอบที่ 1) อีกทั้ง SSRS แถมฟรีมากับ SQL Server ดังนั้นหากมี License การใช้งาน SQL Server ก็จะสามารถใช้ SSRS ทำรายงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติม และเมื่อมีการ Deployed รายงานไปแล้ว รายงานจะอยู่ใน Web Server ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกดูรายงานผ่าน Web Browser ได้ (ดูภาพประกอบที่ 2) โดยจะต้องกำหนดสิทธิการเช้าถึง Site และสิทธิการเข้าถึงรายงาน นอกจากนั้นยังสามารถนำรายงานไปฝังตัวไว้เป็นส่วนหนึ่งของ Application ก็ได้ เป็นต้น ภาพประกอบที่ 1 เปิดไฟล์ *.rdl ด้วย Notepad ภาพประกอบที่ 2 เรียกดูรายงานผ่าน Web Browser           SSRS มีสถาปัตยกรรมแบบ Multi-Tier สนับสนุนการใช้งานทั้ง Native Mode และ SharePoint mode ในที่นี้จะขอกล่าวถึงสถาปัตยกรรมของSSRSที่เป็น Native Mode ซึ่งประกอบด้วย Components ต่างๆ ดังนี้ (ดูภาพประกอบที่ 3) Report Processor เป็นตัวที่ควบคุมการทำงานทั้งหมดที่อยู่ใน Report Server ตั้งแต่ Data Processing จนถึง Authentication โดยการทำงานบางอย่างจะแสดงผลผ่าน Programmatic Interfaces Programmatic Interfaces เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่รับการติดต่อการทำงานจากผู้ใช้ แสดงผลการทำงานของรายงาน และ Report Server ให้ผู้ใช้เห็น โดยจะมีการทำงานรวมทั้งนำรายงานจาก Report Server Database มาแสดงผลให้เห็นด้วย Data Processing เป็นการประมวลผลข้อมูลที่มาจาก Data Source เพื่อนำมาสร้างรายงาน โดยถูกควบคุมการประมวลผลโดย Report processor Rendering เป็นการแสดงผลรายงาน ก่อนที่จะทำการส่งไปให้ผู้ใช้หรือสั่งพิมพ์นำไปใช้งาน Report Processing เป็นการประมวลผลรายงาน โดยจะรับข้อมูลที่ถูกส่งต่อมาจาก Data Processing มาประมวลผล Authentication (Security) เป็นการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน Report Server โดยแสดงหน้าจอในการ Log on เข้าใช้งาน ผ่าน Programmatic interfaces หาก Log on สำเร็จผู้ใช้ก็จะสามารถเข้าใช้งานได้ Scheduling and Delivery Processor เป็นตัวประมวลผลการตั้งเวลาและการส่งรายงาน ทำหน้าที่ควบคุม การส่งรายงาน จะมีการให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ได้ตั้งเวลาและทำการกำหนดการส่งรายงานให้กับเป้าหมายโดยผ่าน Programmatic interfaces Delivery เป็นการส่งรายงานให้กับผู้ใช้ที่เป็นเป้าหมาย   ภาพประกอบที่ 3 SSRS components ที่มา : https://msdn.microsoft.com/en-us/library/ms157231.aspx   ความสามารถในการ Authoring SSRS  สร้างรายงานได้จากหลายแหล่งข้อมูล (Data Sources) ที่มีอยู่ เช่น SQL Server, Oracle, OLE DB, OLEDB-MD, ODBC, XML, SAP BI NetWeaver, Hyperion

Read More »

ASP.NET MVC Part3: สร้าง Model ด้วย Entity Framework

จากบทความก่อนหน้า ซึ่งอาจจะนานมากพอสมควรที่ได้แนะนำ MVC ไปไว้แล้วในเบื้องต้น (ASP.NET MVC Part 1 : ทำความรู้จักกับ ASP.NET MVC และ ASP.NET MVC Part2: เริ่มต้นสร้างเว็บด้วย MVC with Bootstrap) บทความนี้จะมาแนะนำในส่วนของการสร้าง Model ในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ในการ query และจัดการกับข้อมูล เพื่อส่งให้กับ Controller และ View เรียกใช้ในลำดับต่อไป Model คือ ส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันตามรูปแบบ MVC Framework (Model-View-Controller) โดยจะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ Business Model หรือส่วนที่ติดต่อกับฐานข้อมูล โดยบทความนี้นำเสนอการนำเครื่องมือ Entity Framework มาใช้ในการสร้างและจัดการ Model ในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล สำหรับการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันตามรูปแบบ MVC Framework Entity Framework Entity Framework คือ tools ที่ทำหน้าที่จัดการกับฐานข้อมูล โดยแนวคิดของ Entity Framework อยู่ในรูปแบบของ O/RM (Object/Relational Mapping) คือ Entity Framework จะสร้าง Layer ทำหน้าที่เป็น Database Model ขึ้นมาเป็น Class ใน Project ของเรา โดยจะทำหน้าที่ Mapping ตัว Class ที่จะสร้างขึ้น กับ Table , View และ Stored Procedure จากฐานข้อมูบ มาไว้บน Project ซึ่งทำให้เราเราสามารถเรียกใช้มันผ่าน Class ที่อยู่ใน Project เราได้เลย ส่วนการเขียน Query หรือจัดการกับข้อมูลผ่านตัว Entity Model จะใช้ Syntax ของ LINQ to Entities ซึ่งเป็น syntax ที่สามารถเข้าใจได้ง่ายตามรูปแบบของภาษาเช่น VB.Net หรือ C#   วิธีการใช้งาน Entity Framework เบื้องต้น 1. เปิด solution ที่ต้องการใช้ขึ้นมา (ในบทความนี้เป็น project แบบ MVC Framework) 2. คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Model แล้วเลือก Add =>New Item 3. ที่ tab ด้านซ้ายมือ เลือก Data จากนั้นเลือก ADO.NET Entity Data Model และทำการตั้งชื่อ และกดปุ่ม Add   4. เมื่อเข้าสู่หน้าจอให้เลือก Model Content ให้เลือก EF Desiner from DataBase และกด Next จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป   5.ขั้นตอนถัดมาคือการเลือก Data Connection เป็นการเลือกการติดต่อกับฐานข้อมูลว่าจะให้ Entity ติดต่อกับฐานข้อมูลไหน โดยครั้งแรกหากยังไม่มี ฐานข้อมูลมาให้เลือกใน comboBox จะต้อง New Connection ขึ้นมาก่อน และทำตามขั้นตอนไปได้เลย แต่ถ้ามีแล้วให้เลือก Connection จาก ComboBox หลังจากนั้นให้กดเลือก Yes,include the sensitive data in connection string และเลือก Checkbox ให้ Save Connection string เข้าสู่ Web.Config และตั้งชื่อให้กับ Conection string โดย default ชื่อจะเป็น “Entities” และกดปุ่ม Next

Read More »

เล่าเรื่อง KM การใช้งานโอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ ตอน การทำวิดีโอสื่อการสอนง่าย ๆ

มีเพื่อน ๆ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งที่เป็น ผู้ดูแลระบบ และ อาจารย์ที่ให้ความสนใจ จำนวน 20 คน ผู้นำในการแลกเปลี่ยนฯในครั้งนี้คือ คุณคณกรณ์ หอศิริธรรม ศูนย์คอมพิวเตอร์ ม.อ. ได้นำความรู้จากการปฏิบัติจริงมาถ่ายทอดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มด้วยแนะนำการบันทึกวิดีโอด้วย Hangouts on Air ผู้เรียนทุกคนใช้ PSU GAFE (Google Apps For Education) account ซึ่งก็คือ PSU Email ที่ใช้อยู่และได้ผ่านขั้นตอน Password Setting (https://webmail.psu.ac.th/src/resetpassword.html) ในหน้าเว็บ https://webmail.psu.ac.th/src/login.php แล้ว แต่อาจใช้ gmail account ที่มีอยู่ก็ได้ โดยเริ่มต้นที่ไอคอนรูป Google+ เมื่อมีไฟล์ presentation พร้อม (เช่น Microsoft Powerpoint เป็นต้น) ก็ทำการ share เข้ามาใน hangouts on air ซึ่งเลือกได้ว่าจะแชร์ทั้งหน้าจอหรือเฉพาะ presentation ที่เตรียมไว้ แล้วทำการเริ่มบันทึกวิดีโอ เมื่อเสร็จก็ไปตัดต่อไฟล์บน youtube สนุกมาก ง่ายด้วย ถัดไปก็แนะนำ CamStudio Screen Recorder ให้เอาจาก http://sourceforge.net/projects/camstudio/ แต่ให้ระมัดระวังอย่าคลิกที่ปุ่มสีเขียว Download แต่ให้คลิก hyperlink ที่เขียนว่า Browse All Files ข้างใต้ ซึ่งจะเป็นไฟล์ติดตั้งที่ปลอดจาก Adware ครับ CamStudio นี้ก็เอาไว้ใช้บันทึกหน้าจอที่เราจะบันทึกวิดีโอ ซึ่งเลือกได้เช่นกันว่าจะบันทึกเฉพาะบริเวณใด หรือ ทั้งหน้าจอ เมื่อทำการ Save จะได้ไฟล์ที่มีความคมชัดสูง ไฟล์ชนิด .avi ขนาดค่อนข้างใหญ่ อย่าบันทึกวิดีโอนานเกินไป เมื่อได้ไฟล์ชนิด .avi มาแล้ว เราก็นำไฟล์ไปผ่านกระบวนการตัดต่อด้วยโปรแกรม Windows Movie Maker ซึ่งติดตั้งจากที่นี่ Windows Movie Maker 2012 http://windows.microsoft.com/en-us/windows/get-movie-maker-download เมื่อตัดต่อ เพิ่มเสียงเพลง เพิ่มเสียงคำบรรยาย เพิ่มข้อความคำบรรยาย เพิ่มหน้านำ เพิ่มหน้าจบ เสร็จ ก็มีตัวเลือกให้อัปโหลด youtube ได้เลย สุดท้าย เราก็ได้เรียนรู้โปรแกม Screen Capture ที่น่าใช้มากทีเดียว ชื่อ Greenshot – a free screenshot tool optimized for productivity http://getgreenshot.org/ ใช้งานแทน Snipping Tools ของ Windows ได้ดีกว่า และใช้งานแทน Snagit ที่ต้องจ่ายค่าใช้งานซอฟต์แวร์ได้ โดยสรุปคือ เราสามารถทำการบันทึกเป็นวิดีโอได้ด้วยโปรแกรม Hangouts on Air จะได้ไฟล์เก็บอยู่ที่ youtube ทันทีแล้วค่อยดาวน์โหลดลงมาตัดต่อก็ได้ หรือ ตัดต่อด้วย Tools บน youtube ก็ได้ เราสามารถเลือกอีกโปรแกรมที่เป็น Client รันบน Windows คือ CamStudio แล้วนำไปตัดต่อด้วย Windows Movie Maker จนเสร็จ แล้วจึง upload ขึ้นบน youtube

Read More »