Download multiple files as Zip Archive (Compressed) file in ASP.Net MVC

ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงการ  download file ครั้งละหลายๆไฟล์ โดยมีการระบุว่าต้องการ   download file ใดบ้าง โดย  ผู้ใช้สามารถกดเลือกได้ทั้งละหลายๆไฟล์ หรือไฟล์เดียว แล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้งาน โดยหลังจากที่มีการกดปุ่มแล้วระบบจะทำการ zip ไฟล์รวมเป็น 1 ไฟล์ โดยในบทความนี้จะขอเสนอวิธีการพัฒนาโดยใช้ ASP.NET  ในรูปแบบ MVC ค่ะ     ในส่วนของ java script function DownloadFiles() { var items = []; $(“input:checkbox[name=chkThis]:checked”).each(function () { items.push($(this).val());   });   if (items.length <= 0) { alert(‘กรุณาเลือกข้อมูลที่ต้องการ Download ด้วยค่ะ/ครับ!!’); } else { $.ajax({ type: ‘POST’, contentType: ‘application/json; charset=utf-8’, url: ‘@Url.Action(“DownloadAndZipFile”, “NoteUpload”)’, data: JSON.stringify({ fileItemsAll: items }), success: function (resultDownload) { //window.location = ‘/NoteUpload/Download?fileGuid=’ + resultDownload.FileGuid //                   + ‘&filename=’ + resultDownload.FileName; window.location = ‘/NoteUpload/Download?fileGuid=’ + resultDownload.FileGuid; }, error: function (data) { alert(data); } }); } //   return items; } ในส่วนของ controller public ActionResult DownloadAndZipFile(IEnumerable<int> fileItemsAll) { if (!(ViewBag.IsAuthorized = (azResult = azService.Authorize(AccountingOperation.NoteUploadReader, this).Result).IsAuthorize)) { Danger(string.Format(“ไม่มีสิทธิ์ใช้งานในส่วนนี้: {0} ({1})”, azResult.Operation.OP_NAME, Convert.ToString(azResult.OperationEnum))); return View(); }   string handle = Guid.NewGuid().ToString(); MemoryStream output = new MemoryStream();   var zipMs = new MemoryStream(); string strZipName = “Accounting” + DateTime.Now.ToString(“yyyyMMdd”);   TempData[handle] = fileItemsAll;   var resultDownload = new { FileGuid = handle, FileName = strZipName + “.zip” }; return this.Json(resultDownload, JsonRequestBehavior.AllowGet); }   public FileResult Download(string fileGuid) { if (!(ViewBag.IsAuthorized = (azResult = azService.Authorize(AccountingOperation.NoteUploadReader, this).Result).IsAuthorize)) { Danger(string.Format(“ไม่มีสิทธิ์ใช้งานในส่วนนี้: {0} ({1})”, azResult.Operation.OP_NAME, Convert.ToString(azResult.OperationEnum))); return null; }   var zipMs = new MemoryStream(); string zipFisYear, zipPeriod, fileC, FileF, FileFinance,

Read More »

การบริหารโครงการโดยใช้เครื่องมือ Team Foundation Server (Phase 4 : การวางแผนงาน)

จาก บทความ “การบริหารโครงการโดยใช้เครื่องมือ Team Foundation Server (Phase 3 : ขั้นตอนการคัดเลือกความต้องการ และความหมายของ State)” ทำให้เราทราบแล้วว่าในรอบการพัฒนา (Sprint) เราจะต้องดำเนินการตามความต้องการ หรือ Backlog item ใดบ้างแล้วนั้น ต่อไปเราจะมาดูเรื่องการกำหนดทรัพยากรบุคคล และมอบหมายงานต่อไป ขั้นตอนการกำหนดทรัพยากรบุคคล ที่จะมาทำโครงการ เป็นขั้นตอนของการสร้าง Team และการเลือกคนเข้ามาอยู่ในทีมนั้นเอง ซึ่งแต่ละโครงการทีมงานอาจจะเป็นคนละคนกันได้ ในการสร้าง Team และกำหนดบุคลากร สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนดังนี้ จาก TFS เลือก หมายเลข 1 ตามรูปที่ 1 รูปที่ 1 ทำการสร้าง Team โดยทำตามขั้นตอนตามรูปที่ 2 รูปที่ 2 จะปรากฎหน้าจอ เพื่อให้ใส่ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูล Team ที่จะสร้าง ดังรูปที่ 3 รูปที่ 3 โดย หมายเลข 1 คือ ชื่อของ Team ที่ต้องการเพิ่ม หมายเลข 2 รายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Team หมายเลข 3 ประเภทของการตั้ง Team เพื่อจุดประสงค์ ใด โดย TFS มีให้เลือก ดังรูปที่ 4 รูปที่ 4 เมื่อเราได้ Team แล้ว เราจะมา Add สมาชิก หรือทรัพยากรบุคคล ใน Team ที่สร้าง โดยทำตามขั้นตอน ในรูปที่ 5 รูปที่ 5 จะปรากฎหน้าจอ ดังรูปที่ 6 จากนั้น จะทำการ Add Members หรือสมาชิกในทีม โดยทำตามขั้นตอน ข้อ 1 ในรูปที่ 6 รูปที่ 6 จะปรากฎหน้าจอ เพื่อให้การพิมพ์ชื่อ เพื่อจะ Add Member ดังรูปที่ 7 โดยสามารถ ได้ ทีละหลายๆ คน และทำการ Save changes เพียงครั้งเดียว รูปที่ 7 จากขั้นตอนนี้ เราจะได้สมาชิกในทีมที่จะมาดำเนินการโครงการ หรือทรัพยากรบุคคลที่จะมาทำให้โครงการสำเร็จนั่นเอง ขั้นตอนการกำหนดงานย่อย (Tasks) และมอบหมายงาน จากบทความก่อนหน้า นั้น เราได้มีการสร้างรอบการพัฒนา ที่เรียกว่า Sprint ไว้แล้ว และได้ตกลงกับผู้ใช้เพื่อเลือกความต้องการ หรือ Backlog items ที่จะทำให้แล้วเสร็จในรอบการพัฒนาที่สร้างไว้ ซึ่งจะทำให้เห็นว่ามีความต้องการอะไรบ้างที่จะต้องทำให้เสร็จ จากนี้ Project Manager จะต้องทำการแตกงาน หรือ Task ลงไปว่าในแต่ละ Backlog item แต่ละตัวนั้น จะมีงานย่อย หรือ Task อะไร บ้าง ซึ่ง Project Manager จะต้องวางแผนไว้ และสามารถมาบันทึกใน TFS ได้ ดังขั้นตอนต่อไปนี้   จาก TFS เลือกโครงการที่ต้องการสร้าง Task ย่อย ตามหมายเลข 1 รูปที่ 8 รูปที่ 8 คลิกเลือก ตามรูปที่ 9 เพื่อไปสู่การบันทึก Task รูปที่ 9 เมื่อทำตามขั้นตอนข้างต้น ทำการเลือก Sprint และ Backlog ในขั้นตอนที่ 1 และ 2 ของรูปที่ 10 จะได้หน้าจอเหมือนรูปที่ 10 รูปที่

Read More »

เขียน CSS Selectors อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ?

ในการเขียน css selectors นั้น เรารู้ดีว่ามี selectors แบบไหนให้เราเลือกใช้ได้บ้าง และแต่ละแบบนั้นมีวิธีการใช้งานอย่างไร แต่หลายๆ คน อาจไม่รู้ว่าการเขียน selectors ในแต่ละแบบนั้น มันมีผลต่อ performance ด้วย  Web Browsers แบ่ง CSS Rules ออกเป็นกลุ่มๆ เรามาทำความเข้าใจถึงหลักการทำงานของ web browsers กันก่อน ไม่ว่าเราจะเขียน css rules อย่างไร web browsers จะแบ่ง rules ของเราออกเป็น 4 กลุ่ม ด้วยกัน ดังนี้ IDใช้เวลาในการหาน้อยที่สุด Classใช้เวลาในการหามากกว่า ID เล็กน้อย Tagใช้เวลาในการหามากกว่า Class Universalใช้เวลาในการหามาก ซึ่งการจะดูว่า rule นี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มไหนนั้นจะดูจาก “key selector” หรือ selector ที่อยู่ขวาสุดนั่นเอง  กลุ่ม ID rule ที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้จะต้องมี id selector เป็น key selector #latest-news { } ul#latest-news { } #latest-news[title=”Latest News”] { } section > div > ul#latest-news:first-child { } จากโค้ดด้านบน จะได้ว่า rules ทั้ง 4 แบบ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม id ทั้งหมด  กลุ่ม Class rule ที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้จะต้องมี class selector เป็น key selector .list-item { } #latest-news .list-item { } div ul li.list-item { } ul > .list-item:hover { } จากโค้ดด้านบน จะได้ว่า rules ทั้ง 4 แบบ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม class ทั้งหมด  กลุ่ม Tag ถ้า key selector ของ rule นั้นไม่ใช่ทั้ง id selector และ class selector ให้ดูว่ามีการระบุ tag เอาไว้หรือไม่ ถ้ามี จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม tag a { } li > a { } #latest-news div[class*=”post”] { } ul#latest-news li.list-item a:hover { } จากโค้ดด้านบน จะได้ว่า rules ทั้ง 4 แบบ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม tag ทั้งหมด  กลุ่ม Universal หาก rule นั้นไม่ตรงกับ 3 กลุ่มข้างต้นเลย จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม universal * { } [id*=”post”] { } .home [class*=”entry”] { } form > [type=”text”] { } จากโค้ดด้านบน จะได้ว่า rules ทั้ง 4 แบบ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม universal

Read More »

สร้าง Barcode แบบง่ายๆ ด้วย Word

ถ้าพูดถึงการสร้าง Barcode ในปัจจุบันก็จะมีมากมายหลายวิธี แล้วแต่เราจะเลือกใช้ แต่สำหรับ Blog นี้ผู้เขียนจะขอแนะนำการสร้าง Barcode แบบง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน โดยที่เราไม่ต้องเพิ่มโปรแกรมเสริม หรือใช้โปรแกรมอื่นๆ เข้ามาช่วยเลย ขอแค่มี Microsoft Word version 2013 หรือ 2016 ในเครื่อง … เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว 🙂   มาทำความรู้จัก ระบบบาร์โค้ด (Barcode System) กันหน่อย  ระบบบาร์โค้ด หมายถึงการใช้สัญลักษณ์บาร์โค้ดบ่งชี้ไปยังข้อมูลตัวเลขหรือตัวอักษร และประยุกต์ต่อยอด โดยการนำตัวเลขหรือตัวอักษรเหล่านั้นบ่งชี้ไปยังสิ่งต่างๆ เช่น สินค้า (Product), วันหมดอายุ (Expiration date), บุคคล (Person), URL Website เป็นต้น ซึ่งจะมี 2 ประเภทหลักคือ 1 Dimension และแบบ 2 Dimension   *สำหรับคำสั่งในการสร้างบาร์โค้ด DISPLAYBARCODE ใน Blog นี้ที่เราจะพูดถึงนั้น จะรองรับบาร์โค้ดแบบต่างๆ ดังนี้ QR, CODE128, CODE39, JPPOST, EAN, JAN, UPC, ITF14, NW7, CASE   ขั้นตอนที่ 1 : เปิดโปรแกรม Word ขึ้นมา                       ขั้นตอนที่ 2 : กดปุ่ม Ctrl + F9 จากนั้นเราก็จะเห็นวงเล็กปิดเปิดเพิ่มเข้ามาใน Word ของเรา                       ขั้นตอนที่ 3 : พิมพ์คำสั่งตาม DISPLAYBARCODE ลงไปในวงเล็บ ตัวอย่างคำสั่งเช่น DISPLAYBARCODE “https://sis.psu.ac.th” QR \q 3                 ขั้นตอนที่ 4 : จากนั้นคลิก Alt + F9 เพื่อดูผลลัพธ์ แท่น แท๊นนน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย                       *ขออธิบายความหมายของแต่ละส่วนในคำสั่งสักนิดนึง เพื่อให้ผู้ใช้ได้เข้าใจง่ายขึ้น สำหรับส่วนแรก   DISPLAYBARCODE   — คือคำสั่งที่เราจะใช้ “https://sis.psu.ac.th” — เป็นข้อมูลที่เราจะใส่ในบาร์โค้ด ให้ใส่ไว้ภายในเครื่องหมาย ” ” QR — เป็นคำสั่งที่ระบุว่าสร้างบาร์โค้ดแบบ QR หากต้องการแบบอื่นเช่น CODE128 ก็เปลี่ยนได้ โดยให้อิงตามรหัสบาร์โค้ดที่รองรับ \q 3  — เป็นการกำหนด Error correction level สำหรับใน QR code เท่านั้น หมายเหตุ : ระดับการแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล (Error Correction Level) คือ ความสามารถในการกู้คืนข้อมูลที่เสียหาย สามารถกำหนดได้ 4 ระดับ ดังนี้ L=7%, M=15%, Q=25%, H=30% ซึ่งการกำหนดในระดับที่สูงขึ้นจะมีผลทำให้ขนาดของ QR Code เพิ่มขึ้น   เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย ง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอนเองใช่มั้ย สำหรับ Blog นี้ผู้เขียนก็จะนำเสนอแบบสั้นๆ ง่ายๆ แต่หากผู้ใช้ท่านไหนต้องการศึกษาแบบละเอียด

Read More »

Oracle / PLSQL: LISTAGG Function

LISTAGG เป็นฟังก์ชันการรวมสตริงของ Oracle ที่นำค่าข้อมูลในคอลัมภ์ที่ระบุมาเรียงต่อกัน และดำเนินการจัดเรียงลำดับของข้อมูลที่นำมาต่อกันตามคอลัมภ์ใน order_by_clause ซึ่งฟังก์ชัน LISTAGG สามารถแสดงผลได้หลายรูปแบบดังนี้ Single-set aggregate function : LISTAGG เป็นฟังก์ชันที่ดำเนินการกับข้อมูลแล้วคืนค่ากลับมาเพียงเร็คคอร์ดเดียว Group-set aggregate function : LISTAGG เป็นฟังก์ชันที่ดำเนินการกับข้อมูลและคืนค่ากลับมาหลายเร็คคอร์ดตามกลุ่มที่กำหนดในเงื่อนไข GROUP BY  Analytic function : LISTAGG เป็นฟังก์ชันที่ดำเนินการจัดแยกผลการค้นหาออกเป็นกลุ่มตามเงื่อนไขที่กำหนดใน query_partition_clause Syntax LISTAGG (measure_column [, ‘delimiter’]) WITHIN GROUP (order_by_clause) [OVER (query_partition_clause)] โดยที่  measure_column คือ คอลัมภ์ที่ต้องการนำค่าข้อมูลมาเรียงต่อกัน โดยจะดำเนินเฉพาะค่าที่ไม่เป็น null เท่านั้น delimiter คือ ตัวเลือกที่ให้สามารถระบุตัวคั่นระหว่างค่าข้อมูลที่จะนำมาเรียงต่อกัน order_by_clause คือ ค่าที่นำมาเรียงต่อกันจะเรียงตามค่าในคอลัมภ์ที่กำหนดใน order_by_clause   ตัวอย่างการใช้งาน  สมมติเรามีข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่ซึ่งประกอบด้วย 6 ฟิลด์ข้อมูลแสดงดังตัวอย่างด้านล่าง ข้อมูล: ตาราง TEST_NEW_STUDENT เป็นตัวอย่างข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่จำนวน 16 รายการ Single-set aggregate function ตัวอย่างในส่วนนี้จะแสดงชื่อ-นามสกุลนักศึกษาทุกคนที่อยู่ในคณะ ’06’ โดยจัดเรียงลำดับข้อมูลตามชื่อนักศึกษา(stud_name_thai) SELECT LISTAGG (stud_name_thai || ‘ ‘ || stud_sname_thai, ‘,’) WITHIN GROUP (ORDER BY stud_name_thai) “NAME LIST” FROM test_new_student WHERE fac_id = ’06’; ผลลัพธ์ที่ได้ : จะคืนค่ากลับมาเพียงเร็คคอร์ดเดียวตามเงือนไขที่ระบุ Group-set aggregate function  ตัวอย่างในส่วนนี้จะแสดงชื่อ-นามสกุลนักศึกษาทุกคนแยกตามคณะที่สังกัด โดยจัดเรียงลำดับข้อมูลตามชื่อนักศึกษา(stud_name_thai) SELECT fac_id,LISTAGG (stud_name_thai || ‘ ‘ || stud_sname_thai, ‘,’) WITHIN GROUP (ORDER BY stud_name_thai) “NAME LIST” FROM test_new_student GROUP BY fac_id ORDER BY fac_id; ผลลัพธ์ที่ได้ : จะคืนค่ากลับมาหลายเร็คคอร์ดตามเงื่อนไข GROUP BY Analytic function ตัวอย่างในส่วนนี้จะแสดงข้อมูลเฉพาะคนที่ได้คะแนนมากกว่า 60 และจัดแยกผลการค้นหาตามคณะที่สังกัด SELECT fac_id,stud_name_thai||’ ‘||stud_sname_thai student_name,eng_score, LISTAGG (stud_name_thai||’ ‘||stud_sname_thai, ‘,’) WITHIN GROUP (ORDER BY eng_score, stud_name_thai) OVER (PARTITION BY fac_id) AS “NAME_LIST” FROM test_new_student WHERE eng_score > 60 ORDER BY fac_id, eng_score ผลลัพธ์ที่ได้ : ดำเนินการจัดแยกผลการค้นหาออกเป็นกลุ่มตามเงื่อนไขที่กำหนดใน PARTITION BY 

Read More »