Raspberry Pi 3 [Automated Relay Controller]

ตอนที่แล้วเราได้ทดลองทำการสั่งงานรีเลย์แบบ Manual ผ่านหน้าเว็บไปแล้ว ครั้งนี้เราลองสั่งให้รีเลย์ทำงานโดยผ่านการประมวลผลค่าที่ได้จากเซนเซอร์ เพื่อให้ก้าวไปอีกขั้นของ IoT   โดยเราจะใช้เซนเซอร์ที่เคยได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว นั่นคือ DHT22 Temperature & Humidity Sensor (ต่อที่ PIN: 32 [GPIO 12]) และรีเลย์ 4 Channel ซึ่งสามารถนำไปต่อกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้ ต่อ PIN เดิมจากตอนที่แล้ว   ความต้องการเบื้องต้นคือ 1. เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าหรือเท่ากับ 28 องศา ให้เปิดพัดลมระบายอากาศ 1 (ที่ต่ออยู่กับ Relay 1) 2. เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 28 องศา ให้ปิดพัดลมระบายอากาศ 1 และเปิดพัดลมระบายอากาศ 2 (ต่ออยู่กับ Relay 2) 3. เมื่อความชื้นต่ำกว่า 50% ให้เปิดเครื่องสร้างความชื้น (Humidifier) (ต่ออยู่กับ Relay 3)  โดยไม่ต้องสนใจอุณหภูมิ เริ่มเขียนโค้ดเพื่อทำการประมวลผลกันเลย (โค้ดบางส่วน ได้อธิบายไว้ในตัวอย่างบทความก่อนหน้านี้แล้ว)   ทำการติดตั้ง Library Adafruit จากบทความก่อนหน้านี้ Raspberry Pi 3 [Temperature & Humidity Sensor] จากนั้นทำการเขียน python ด้วยคำสั่ง sudo nano automated_relay.py ด้วยโค้ดต่อไปนี้   import os import time import datetime while True :  temperature = os.popen(‘sudo /home/pi/sources/Adafruit_Python_DHT/examples/AdafruitDHT.py 2302 12 | cut -c 6-7’).read()  humidity = os.popen(‘sudo /home/pi/sources/Adafruit_Python_DHT/examples/AdafruitDHT.py 2302 12 | cut -c 22-23’).read()  now = datetime.datetime.now()  print ”  print ”  print now.strftime(“%d-%m-%Y %H:%M:%S”)  print ‘Temperature: ‘ + temperature + ‘Humidity: ‘ + humidity  if int(temperature) <= 28:   os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_off.py 2’).read()   os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_on.py 1’).read()   print ‘Temperature below 28C ==> Relay 1: ON. Relay 2: OFF’  else:   os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_off.py 1’).read()   os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_on.py 2’).read()   print ‘Temperature above 28C ==> Relay 1: OFF. Relay 2: ON’  if int(humidity) < 50:   os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_on.py 3’).read()   print ‘Humidity below 50% ==> Relay 3: ON’  else:   os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_off.py 3’).read()   print ‘Humidity above 50% ==> Relay 3: OFF’  time.sleep(5)     จากนั้นเซฟและทดลองรันด้วยคำสั่ง

Read More »

Raspberry Pi 3 [Relay Control via Web Interface]

ตอนนี้เราจะมาสร้างหน้าเว็บสำหรับดูสถานะและควบคุมรีเลย์อย่างง่ายๆ   ก่อนอื่น ผมได้ทำการเปลี่ยน PIN ของ GPIO บน Raspberry Pi 3 เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว โดยผมได้เลือกใช้ PIN: 12 (GPIO 18), PIN: 16 (GPIO 23), PIN: 18 (GPIO 24) และ PIN: 22 (GPIO 25) สำหรับสั่งงานรีเลย์ตัวที่ 1-4 ตามลำดับ ดังรูปด้านล่างนี้   หลังจากการทดสอบการทำงานของรีเลย์ทุกตัว (ในบทความที่แล้ว) จากนั้นเราจึงเริ่มขึ้นตอนการติดตั้ง Apache Web Server, PHP และเขียนหน้าเว็บ ดังขั้นตอนต่อไปนี้ครับ   ติดตั้ง Apache Web Server และ PHP ดังนี้ ใช้คำสั่ง sudo apt-get install apache2 เพื่อติดต้ัง apache web server (หากขึ้นว่า Package apache2 is not available ให้ใช้คำสั่ง sudo nano /etc/apt/sources.list  จากนั้น uncomment บันทัดสุดท้าย เซฟไฟล์และใช้คำสั่ง sudo apt-get update เมื่อเรียบร้อยแล้วให้ลองใช้คำสั่งด้านบนอีกครั้ง) จากนั้นทดสอบเปิดเว็บด้วย http://localhost/ หรือ http://{RASPBERRY_IP}/   จากนั้นติดตั้ง PHP5 Module สำหรับ Apache sudo apt-get install php libapache2-mod-php   เมื่อเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้คำสั่งต่อไปนี้ cd /var/www/html เนื่องจากไฟล์ index.html จะมีเจ้าของเป็น root ทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้ ให้ใช้คำสั่งเปลี่ยน owner ดังนี้ sudo chown pi: index.html จากนั้นทำการลบไฟล์ index.html เพราะเราไม่ใช้ ใช้คำสั่ง sudo nano index.php เพื่อสร้างไฟล์และเขียนโค้ดต่อไปนี้ เพื่อทดสอบการทำงานของ php <?php phpinfo(); ?> และลองเปิดหน้าเว็บดู จะพบกับหน้านี้ ถือว่าติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว   จากนั้นเพิ่ม user ของ apache นั่นคือ www-data ให้สามารถใช้คำสั่ง sudo ได้ ด้วยวิธีการต่อไปนี้ sudo nano /etc/sudoers จากนั้นเพิ่มบันทัดต่อไปนี้ลงไปท้ายสุด www-data ALL=(ALL) NOPASSWD: ALL และเพื่อความสะดวก ทุกท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ที่ผมได้ทำเอาไว้แล้ว ==> relay_control_via_web.zip (สามารถแก้ไขรูปแบบการแสดงผลให้สวยงามขึ้นได้ในภายหลังได้ด้วยตัวท่านเอง) และทำการ copy file ไปไว้ที่ /var/www/html   โดยหลักการทำงานคือ เมื่อมีการเปิดหน้าเว็บขึ้นมา จะเรียกไฟล์ index.html และจะทำการ post ajax firstcheck.php เพื่อทำการตรวจสอบสถานะของรีเลย์ (ซึ่งภายใน firstcheck.php จะเป็นการเรียกคำสั่ง python firstcheck.py และส่งค่ากลับเป็น json) เมื่อมีการสั่งงานรีเลย์ จะทำการ post ajax changestate.php โดยที่ไปเรียกคำสั่ง relay_off หรือ relay_on (มี parameter คือชุดของรีเลย์ ที่ได้ทำการเซฟค่า BCM GPIO ID เอาไว้ในไฟล์ .py ดังกล่าวแล้ว) เพื่อเป็นการสั่งให้รีเลย์ดังกล่าว ทำงาน (เพื่อความปลอดภัย ในกรณีที่ท่านต้องการแยกไฟล์ .py ออกจาก web root directory

Read More »

Raspberry Pi 3 [Relay Control]

จากตอนที่แล้ว เราได้ลองต่อเซนเซอร์ภายนอก ซึ่งเซนเซอร์จะเป็นประเภท Input เพื่อนำข้อมูลไปประมวลผลต่อตามที่เราต้องการ ยังมีอุปกรณ์บางตัวที่เราสามารถต่อเป็น Output จาก Raspberry Pi ได้ด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นจะเป็นอุปกรณ์หลักที่นำมาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย นั่นคือ รีเลย์ (Relay) – (ไม่ใช่ Delay นะครับ กรุณาอย่าสับสน)   Relay คืออะไร Relay ถ้าให้พูดจากความเข้าใจคือ สวิตซ์ ประเภทหนึ่งครับ ที่จะทำงานตามกระแสไฟ นั่นคือ เมื่อมีกระแสไฟไปเหนี่ยวนำภายใน สวิตซ์ก็จะทำงาน (Energize) (พูดให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่งคือ เหมือนสวิตซ์ตามผนังนี่แหละครับ แต่แทนที่จะเอามือไปกด เราก็ใช้กระแสไฟเข้าไปให้มันทำงานแทนนั่นเอง) และในบางครั้ง ในระบบไฟฟ้ากำลัง อาจจะเรียกอุปกรณ์นี้ว่า Magnetic Contactor ซึ่งเป็นหลักการทำงานแบบเดียวกันครับ (ขออภัย หากรูปจะไม่ถูกต้องตามหลักการเป๊ะๆ เพราะวาดจากความเข้าใจ) จากในรูปด้านบนนี้ DC+, DC- คือ ไฟที่เราจะจ่ายให้ขดลวดแม่เหล็ก (ตาม spec ของ relay) เพื่อจะไปทำให้สวิตซ์ Relay ทำงาน โดยที่ขา C = Common ขาที่ต้องการให้กระแสไฟมารออยู่ หรือ กระแสไหลกลับ NC = Normal Close เมื่อไม่มีไฟจ่ายที่ขดลวดแม่เหล็ก ขา C และ NC จะเชื่อมต่อถึงกันอยู่ NO = Normal Open จะทำงานเมื่อมีไฟจ่ายมาที่ขดลวดแม่เหล็ก จะทำให้ขา C และ NO นั้น เชื่อมถึงกัน และทำให้ขา C ขาดการเชื่อมกับ NC วิธีการอ่านสเปครีเลย์ (ตัวสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินในรูปด้านบน) – 5VDC คือไฟที่เราจ่ายเพื่อให้รีเลย์ทำงาน (Energize) – 10A 250VAC คือ หน้าคอนแทคทนกระแสได้ 10A ที่ 250V AC – 15A 125VAC คือ หน้าคอนแทคทนกระแสได้ 15A ที่ 125V AC   รีเลย์ที่จะเอามาใช้กับ Raspberry Pi ควรจะเป็นรีเลย์ที่ทำงานด้วยไฟ 5V เพราะจะได้ต่อ +5V และ GND ออกจากบอร์ดของ Raspberry Pi ได้เลย ซึ่งรีเลย์ก็จะมีด้วยกันสองแบบคือ Active Low และ Active High นั่นคือ… – Active Low รีเลย์จะทำงานเมื่อมีการจ่าย Logic Low เข้ามา (จ่าย GND เข้ามา) – Active High รีเลย์จะทำงานเมื่อมีการจ่าย Logic High เข้ามา (จ่าย +5V เข้ามา) รีเลย์บางรุ่นรองรับทั้งสองแบบ แต่จะมี Jumper ให้เซ็ตว่าต้องการทำงานในแบบไหน   ** ถ้าหากไม่รู้จริงๆ ก็ลองเขียนโปรแกรมตามด้านล่าง เพื่อทดสอบได้ครับ ไม่พัง จ่ายผิด รีเลย์ก็แค่ไม่ทำงานครับ ** ** รุ่นที่ผมนำเอามาใช้งาน จะเป็น Active Low นั่นคือจ่าย GND หรือ Logic 0 (เลขศูนย์) เพื่อให้รีเลย์ทำงาน **   การเชื่อมต่อนั้นไม่ยากครับ GND ต่อกับ GND ของ Raspberry Pi VCC ต่อกับ +5V ของ Raspberry Pi IN1…4 ต่อกับ GPIO ขาที่ว่างอยู่ โดยดูจาก Pinout ของ Raspberry Pi ครับ

Read More »

Email tracking By Google Chrome Extension

เมื่อวันเวลาหมุนเวียนมาบรรจบพบกันอีกครั้ง ก่อนการเขียนผล TOR ในปีนี้ ก็ได้เวลาที่เหล่าเราทั้งหลายจะมาเริ่มต้นเขียน Blog กันอีกครั้ง และเช่นเคยสิ่งที่ผู้เขียนมีโอกาสศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือทดลองใช้งาน โดยมากแล้วก็จะเกี่ยวพันกับหน้าที่การงานในปัจจุบันนั่นแล ซึ่งหน้าที่หลักที่ผู้เขียนต้องทำทุกๆ วัน นั่นคือการรับแจ้งและตอบปัญหาให้กับลูกค้าผ่านทาง E-Mail และต้องขอบอกเลยว่าสำหรับผู้เขียน การตรวจสอบว่าเมลล์ถูกส่งไปถึงปลายทางหรือมีการเปิดอ่านหรือไม่นั้น มันเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ ในงาน IT เพราะนอกจากการโทรแล้ว อีกหนึ่งช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน แถมยังประหยัดรายจ่ายอีกต่างหาก นั่นก็คือการส่ง E-Mail นั่นเองแหละหนา โดยหนึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือการติดตั้ง Extension บน Google Chrome และใน Blog นี้ผู้เขียนจะขอแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักกับ Chrome Extension ที่มีชื่อว่า “Email Tracking for Gmail & Inbox” ต้องขอบอกว่าจิ๋วแต่แจ๋วนะจ๊ะออเจ้าทั้งหลาย !! Email Tracking คืออะไร ??? เอาแบบสั้นๆ เลย มันคือตัว App ที่ไว้คอย Track (ติดตาม) ว่า E-Mail ที่เราได้ส่งหรือตอบกลับไปนั้น ได้ถูกเปิดอ่านแล้วหรือไม่นั่นเอง วิธีติดตั้ง Email Tracking for Gmail & Inbox 1.เปิด Google Chrome Browser เพื่อติดตั้ง Extension คลิกที่นี่ จากนั้นเลือกเพิ่ม Extension ดังกล่าว                     2. จากนั้นให้เข้าสู่ระบบ Gmail เลือก Sign in with Google                     3.จากนั้นจะปรากฏหน้าต่างให้เรา อนุญาตให้ Mailtrack เข้าถึงบัญชีของเรา                     4.ถัดมาจะให้เราเลือกว่าจะใช้งานแบบไหน และระดับเราๆแล้ว จะเลือกอะไรได้ล่ะ เลือก Free เท่านั้นก็พอ !!               5.ระบบก็จะบอกเราว่า ยินดีด้วย คุณติดตั้ง Mailtrack เรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้คลิก “Go to my email”                   6.เมื่อเข้าสู่หน้าจอ E-Mail ของเราแล้วนั้นจะสั่งเกตุได้ว่าจะมี Icon ของตัว Mailtrack แสดงอยู่ตรงมุมบนขวา                   7.ในขั้นตอนต่อไปให้เราทดสอบโดยการเขียนและส่ง E-mail ไปยัง E-Mail อื่นที่เราสามารถเข้าไปเปิดอ่านเพื่อทำการทดสอบได้ เมื่อส่งไปแล้วก็ให้ทดสอบโดยการไปเปิดอ่าน E-Mail ดังกล่าว และกลับมายัง E-Mail หลักที่เราใช้ส่ง จะสังเกตุได้ว่าจะมีการ แจ้งเตือนกลับมาจาก MailTrack Alert ที่เราตั้งค่าไว้                 8.ถ้ามีการเปิดอ่าน E-Mail ของเราที่ส่งออกไป ระบบจะมี Notification แจ้งเตือนมี E-Mail แจ้งสถานะกลับมา และในกล่องจดหมายที่ส่งแล้ว จะมี Icon เครื่องหมายถูกคู่ซ้อนกันสีเขียว ตัวอย่างดังรูป

Read More »

Choose Network Type In VirtualBox

เมื่อต้องไปจัดอบรม และต้องใช้ Oracle VM VirtualBox สำหรับสร้าง Virtual Machine (VM) จำนวนหนึ่ง (มากกว่า 1 ตัว ฮ่า ๆ) เราจำเป็นจะต้องรู้ว่า สภาพแวดล้อมของห้องบริการคอมพิวเตอร์ที่เราไปขอใช้งานนั้น จัด IP ให้กับเครื่อง Windows แบบใด เช่น ในกรณีที่มีการปล่อย DHCP IP แบบเหลือเฟือ การเลือกชนิด network ของ VM แต่ละตัว ก็ง่าย เราก็เลือกตั้งค่าเป็น Bridges ซึ่งแบบนี้ VM แต่ละตัวก็จะได้ IP อยู่ในชุดเดียวกันกับ Windows แต่หากจัด IP แบบตายตัวให้กับ MAC Address ของ PC นั้นเลย และไม่ปล่อย DHCP IP เพิ่มให้ อย่างนี้ เราก็ต้องออกแบบว่าจะให้ VM (Guest) เหล่านั้นใช้ IP อะไร จะทำงานร่วมกันได้อย่างไร และจะให้ VM เหล่านั้น ติดต่อกับ Windows (Host) ด้วยหรือไม่ แบบแรก NAT Network แบบนี้ VirtualBox จะสร้าง network จำลองขึ้นมาในโปรแกรมมันเองเท่านั้น ผลลัพธ์คือ VM (Guest) ทุกตัวจะทำงานร่วมกันได้ แต่จะติดต่อกับ Windows (Host) ไม่ได้ แบบนี้ VM (Guest) ทุกตัวจะได้รับ IP อยู่ในชุดที่ใช้สำหรับ NAT นั่นคือ 10.0.2.0/24 และ VM แต่ละตัวเมื่อได้ IP จะได้ค่า IP ของ DNS server ที่เครื่อง Windows ใช้งานมาให้ด้วย ทำให้ VM สามารถติดต่อไปใช้งาน Internet ได้ ตัวอย่างเช่น VM 2 ตัว ตั้งค่า network ชนิด NAT Network VM ตัวที่ 1 จะได้ IP 10.0.2.6 และได้ค่า IP DNS Server ชุดที่ใช้ใน Windows (Host) ใช้งาน Internet ได้เลย VM ตัวที่ 2 ได้ IP 10.0.2.15 และใช้คำสั่ง ping ไปยัง VM ตัวที่ 1 ได้ แต่ Windows (Host) จะใช้คำสั่ง ping VM ทั้ง 2 ตัว ไม่ได้ สำหรับวิธีการตั้งค่า NAT Network ก็เข้าไปที่ File > Preferences > Network  และเราสามารถแก้ หรือ เพิ่มใหม่ ได้ แบบที่สอง Host-Only Adapter แบบนี้ VirtualBox จะสร้าง Virtual network adapter เพิ่มลงใน Windows OS ให้ด้วย ผลลัพธ์คือ VM (Guest) ทุกตัวจะทำงานร่วมกันได้ และติดต่อกับ Windows (Host) ได้ แต่แบบนี้ VM (Guest) ทุกตัวจะได้รับ IP ในชุด 192.168.56.0/24 (ค่า default

Read More »