ปิดช่องโหว่เหลือค้าง

หลังจากไม่ได้ตรวจสอบช่องโหว่มานาน วันนี้ Nessus ทำใหม่แล้วลองสแกนซักหน่อย ซึ่งจะพบว่ามี Medium สองรายการ คือ Browsable Web Directory และ WordPress User Enumeration โดย Browsable Web Directory คือ สามารถเข้าถึงรายการใน directory ได้ เช่น ชื่อไฟล์ มีไฟล์อะไรบ้าง ขนาดเท่าไหร่ เป็นต้น เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็น directory ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึง WordPress User Enumeration คือ สามารถเข้าถึง username ได้ว่ามี user อะไรบ้าง ปิด Directory Browsing ทำได้ 2 วิธีคือ แก้ไขแฟ้ม config ของ site ที่ต้องการปิด โดยทั่วไปแฟ้มจะอยู่ที่ /etc/apache2/site-enabled/site.conf โดย site.conf คือชื่อไฟล์ที่ต้องการ โดยเพิ่มในส่วนของ Directory ของไซต์นั้น ตัวอย่างเป็น /var/www/html/aaeee ให้ทำการแก้ไขหรือเพิ่มข้อความตามตัวอย่าง ส่วนสำคัญคือ Options ต้องไม่มีคำว่า Indexes เมื่อแก้ไขเสร็จ ให้ reload หรือ restart apache2 ด้วยคำสั่ง sudo systemctl reload apache2 หรือ sudo systemctl restart apache2 สำหรับวิธีที่สองนี้ ต้องมีการระบุ AllowOverride All ในแฟ้มของไซต์ ด้วยจึงจะใช้งานได้ (หากแก้ไขไฟล์ไซต์ของ apache2 ต้อง reload หรือ restart ด้วย) เช่น สร้างแฟ้ม .htaccess เอาไว้ใน Directory (จากตัวอย่างนี้คือ /var/www/html/aaeee) ที่ต้องการ โดยเพิ่มข้อความข้างล่างนี้วิธีนี้ มีผลทันทีไม่ต้อง reload หรือ restart apache2 ปิด WordPress User Enumeration ในไซต์ของ WordPress จะมีแฟ้ม .htaccess อยู่ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้ลงไป โดย yoursite.name คือชื่อเว็บไซต์ เมื่อทำสองอย่างแล้วให้ nessus เข้าตรวจสอบอีกครั้ง เย่….หายไปละ จบขอให้สนุก

Read More »

อ่านข้อความจากภาพ ด้วย Tesseract-OCR

OCR หรือ Optical Character Recognition จริง ๆ ก็มีใช้กันมานานมากแล้ว แต่การใช้งานก็จะผูกติดกับ Hardware พอสมควร แต่ในปัจจุบัน เราสามารถใช้ความรู้ด้าน Machine Learning / Deep Learning เพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาพได้ และสามารถนำมาประกอบกับเป็น Software สำหรับใช้งานของตนเองได้ ในบทความนี้ ทดลองใช้ Tesseract-OCR พี่พัฒนาโดย Google อ่านภาพ เอกสารที่ Print จาก Computer เป็นกระดาษ -> มีการเซ็นต์ชื่อ -> นำกลับมา Scan อีกครั้ง *** มันเป็น Paperless ตรงไหน ? กฏหมาย Digital Signature ก็มีแล้วนะ *** เอาเป็นว่า ดูผลงาน อ๊ะ บางคนบอกว่า เคยใช้แล้ว แต่ทำไมไม่ได้ผลอย่างนี้หล่ะ (โดยเฉพาะ ภาษาไทย) อิอิ มันมีรายละเอียดพอสมควร ไว้มีเวลาจะมาเล่าให้ฟัง แต่แบบนี้ ต้องทำอะไรเพิ่มก่อน จึงจะอ่านได้ ผลก็พอจะอ่านได้ แต่ต้องทำอะไรเพิ่มก่อนจะให้ OCR อ่าน –> อันนี้คือยังไม่ทำอะไรเพิ่ม มันไม่มีคำว่า “ก็ง่าย ๆ” หรอก หึ หึ หึ

Read More »

วิธีใช้ Google Calendar เพื่อบันทึกปฏิบัติงาน และใช้ Google Sheets เพื่อรายงานผลการปฏิบัติงาน

บทความนี้ นำเสนอแนวทางที่ผมใช้ในการ “บันทึกการปฏิบัติงาน” และ “รายงานผลการปฏิบัติงาน” เพื่อนำไปกรอกในระบบ TOR ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เครื่องมือที่ใช้ Google Calendar Google Sheets Google Sheets Add-ons ชื่อ “Timesheet” Google Keep เป้าหมาย การบันทึกผลปฏิบัติงาน เพื่อ รายงานผลการปฏิบัติงานในระบบ TOR ระบบ TOR ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ปฏิบัติงาน จะต้องตกลงกับหัวหน้าฝ่าย ว่า รอบ TOR นี้ เราจะทำอะไร และมีเป้าหมายอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่า … จะกำหนดเป็น “ภาระงาน” แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่1. งานประจำ2. งานเชิงพัฒนา/งานพิเศษ3. ผลงานอื่นๆ(ตามที่คณะกำหนด) ในแต่ละ หัวข้อใหญ่ ก็จะแจกแจงว่า ทำอะไร เป็นสัดส่วนเท่าไหร่ เช่น 1.1 5ส1.2 ประชุมติดตามงานของทีมงาน อะไรทำนองนั้น ซึ่ง นอกจากต้องทำงานในหน้าที่ ประชุม ๆ ตอบคำถาม แก้ไขปัญหา กิจกรรรม … ฯลฯ ก็ต้อง บันทึกว่า ทำอะไรลงไปบ้าง มีเอกสารอ้างอิง และ ต้องสามารถ ให้หัวหน้า (และคณะกรรมการประเมิน) สามารถเข้าไปดูได้ด้วย ขอยกตัวอย่าง หัวข้อ “ภาระงาน” ของผมใน TOR ปี 2562( TwT ) แล้วเราจะบันทึกผลการปฏิบัติงานอย่างไร ให้ ง่าย และสามารถ นำมากรอกใน TOR ได้ด้วย เริ่มจาก Google Keep เอาข้อหัวย่อย ของภาระงานข้างต้น มาสร้างเป็น Note ใหม่ใน Google Keep ตั้งหัวข้อว่า TOR 2562 (หรือใครอยากจะทำไว้ใช้ของ TOR 2563 ก็ค่อยลองทำดู) ต่อไป เราจะสร้าง Label ของแต่ละหัวข้อย่อย โดยการใส่ # ไว้ด้านหน้า หัวข้อย่อย เช่น 1.10 โครงการพัฒนาอะไรสักอย่าง เป็น[Update – สำหรับให้รายงานสวยงามยิ่งขึ้น แนะนำให้ Replace ” ” ด้วย “_”]#1.10_โครงการพัฒนาอะไรสักอย่าง พอใส่ # หน้า 1.10 แล้ว Google Keep จะขึ้น Popup ให้สร้าง Label “1.10” เราก็สร้างไว้ (มันมีเหตุผล ทำตามไปก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง) ทำจนครบทุกข้อ เราจะได้ Note ใน Google Keep อย่างนี้จากนั้น ให้คลิก รูป Pin เพื่อปักหมุดเอาไว้แล้วกดปุ่ม Close ด้านล่างได้เลย [Update: ใน Google Keep สามารถเอาภาพ เช่น เกณฑ์การประเมิน การพิจารณาว่าเรื่องนี้ เข้าในส่วน งานประจำ หรือ งานเชิงพัฒนา เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ จะได้ไม่ต้องไปค้นหาหลาย ๆ ที่] บันทึกการปฏิบัติงานใน Google Calendar ใน Google Calendar จะมี Panel ด้านขวามือ จะเห็น Icon ของ Google Keep สีเหลือง ๆ คลิกสิครับ รออะไร เราก็จะเห็น Note ของ Google Keep ที่เรา Pin ไว้ตะกี้ อยู่บนสุด

Read More »

Hello…Flatpickr!!

หลายคนอาจะเคยพบปัญหาการเลือก วัน เดือน ปี ในcalendar การกรอกข้อมูลที่เป็นวันที่ใน web ต่างๆ การเลือกช่วงวันที่ใช้งานยาก โดยเฉพาะในการเลือก ช่วงเวลา ที่ย้อนหลัง ไปหลายปี บาง web อาจต้องกดเลื่อนเดือนที่ละเดือนไปเรื่อยๆ ต้องใช้เวลานาน ทำให้รู้สึกเบื่อ… วันนี้เราจะมานำเสนอ Flatpickr ที่เป็นไลบรารี่ javascript ใช้สำหรับรับ input ที่เป็น datetime picker ที่ยืดหยุ่น มีขนาดเล็กและใช้ง่าย โดย output ที่ได้จะเป็น String ตาม format ที่เราต้องการ Flatpickr js รูปแบบจะเป็นแนว Lean กับ UX-driven สามารถใช้งานได้กับ JS ธรรมดาหรือ jQuery โดย Flatpickr รองรับภาษาไทยได้โดยเลือก Localization เป็นไทยเพื่อให้สามารถแสดงเป็นภาษาไทย และรองรับรูปแบบเวลาที่แสดง 24 ชม. เพราะจะเข้าใจง่ายกว่า AM กับ PM ซึ่ง library อื่นๆ อีกหลายตัวยังไม่สามารถรองรับ จุดเด่น คือ มีความสวยงาม ไม่ต้องการ dependencies ใดๆ สามารถใช้งานได้ทันที การใช้งานสามารถใช้ได้ง่ายๆ โดยใช้แค่ 2 ไฟล์ ก็สามารถใช้ option ได้เกือบครบ ซึ่งไฟล์ ที่จำเป็นประกอบด้วย ไฟล์ js 1 ไฟล์ และ ไฟล์ css 1 ไฟล์ <link rel=”stylesheet” href=”flatpickr.css”> <script src=”flatpickr.js”></script> ถ้าใช้งานร่วมกับ jquery ก็ต้อง เพิ่ม library jquery เข้ามาด้วย   <script src=”jquery.min.js”></script> การใช้งาน $(“.selector”).flatpickr( optional_config ); ตัวอย่างกล่อง input ที่ใช้เลือก วันที่  <input type=”text” id=”timePicker” placeholder=”Please select Time”> การแสดงเวลาแบบ Basic $(“#basicDate”).flatpickr({ enableTime: true, dateFormat: “F, d Y H:i”, time_24hr: true }); เราสามารถกำหนดช่วงของวันที่ค้นหาได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมี Range Calendar (ภาพที่ 2) ให้ใช้งาน หรือจะเป็นเลือกแบบ Multiple เลือกทีละหลายๆวันก็ได้ และยังมี Plugin หรือ Theme ให้เลือกใช้งานอีกด้วย การแสดงเวลาแบบ Range Datetime $(“#rangeDate”).flatpickr({ mode: ‘range’, dateFormat: “Y-m-d” });

Read More »

Xamarin Essentials : Easy access Native feature Platforms

ในบางครั้งการเขียน app เพื่อ access location ปัจจุบันของผู้ใช้ หรือต้องการสั่งให้โทรศัพท์สั่นตาม activity ที่ตั้งไว้ หรือแม้แต่จะ access ข้อมูล device information ของอุปกรณ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเหล่า developer ที่เขียน mobile app ยิ่งมีหลาย platform ไม่ว่าจะเป็น android , iOS, Windows ก็มีวิธีการเขียน code การขอ Access permission คนละรูปแบบไปอีก ซึ่งบทความนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำให้รู้จักกับ Xamarin Essentials ที่จะมาเป็นตัวช่วยให้ผู้พัฒนาเขียน code แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง Xamarin.Essentials คืออะไร? คือ  official library ที่ทาง Microsoft ได้พัฒนาและรวบรวม library ที่เป็น cross-platform APIs สำหรับให้นักพัฒนา mobile app ที่พัฒนาด้วย Xamarin.Forms ได้ใช้งานในการเข้าถึง native features ของแต่ละ platforms ด้วยการเขียน code จากที่เดียว มีอะไรให้เรียกใช้บ้าง ปัจจุบันมีทั้งหมด 33 feature ให้เรียกใช้งาน อ้างอิงจาก Microsoft Doc ซึ่งมีดังนี้ Accelerometer – Retrieve acceleration data of the device in three dimensional space. App Information – Find out information about the application. Barometer – Monitor the barometer for pressure changes. Battery – Easily detect battery level, source, and state. Clipboard – Quickly and easily set or read text on the clipboard. Color Converters – Helper methods for System.Drawing.Color. Compass – Monitor compass for changes. Connectivity – Check connectivity state and detect changes. Detect Shake – Detect a shake movement of the device. Device Display Information – Get the device’s screen metrics and orientation. Device Information – Find out about the device with ease. Email – Easily send email messages. File System Helpers – Easily save files to app data. Flashlight – A simple way to turn the flashlight on/off. Geocoding – Geocode and reverse geocode addresses and coordinates. Geolocation – Retrieve the device’s GPS

Read More »