ใช้ Firefox beta อยู่เลยจะได้รับ Feature อะไรใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ จนเมื่อ beta 73 กว่าๆ เริ่มเข้าเว็บบางเว็บในมหาวิทยาลัยไม่ได้ จะปรากฏหน้าดังนี้ อ่านดูถึงได้รู้ว่าออ เค้าจะเลิก TLS1.0 และ TLS1.1 แล้วจริงประกาศไว้นานละว่าจะเลิกปีนี้!! สำหรับ Firefox จะเลิกในรุ่น 74 และ Chrome น่าจะรุ่น 81 ส่วน Microsoft และ Safari ก็จะปิดในครึ่งปีแรก ในปีนี้เช่นกัน เอ้าเลยเช็คเว็บตัวเองสักหน่อยเริ่มจาก ทดสอบกับเว็บที่เคยได้ A+ ผลเป็นดังรูป อัยย่ะละก๊ะ…. เหลือ B เพราะเปิด TLS1.0 และ TLS1.1 เอาไว้ ปิดให้ไว วิธีการคือ (สำหรับ Apache2) แก้ไขแฟ้ม /etc/apache/mod-enabled/ssl.conf หาข้อความว่า (บางคนอาจจะมี -SSLv2 ด้วยแต่ apache2 ไม่สนับสนุน SSLv2 โดยปริยาย (default) แล้ว) เปลี่ยนข้อความข้างต้นเป็น บันทึกแล้ว restart apache ให้เรียบร้อย เมื่อไปตรวจใหม่ได้ผลตามภาพ เย่ กลับมา A+ แล้ว จบขอให้สนุก เกี่ยวข้อง https://sysadmin.psu.ac.th/hardening-your-http-response-headers/ https://sysadmin.psu.ac.th/เปลี่ยน-certificate/
อะ แฮ่ม และแล้วก็เดินมาถึง Blog สุดท้ายในรอบ TOR ของปีนี้จนได้ แต่กว่าจะได้ฤกษ์เขียนได้ก็ปาเข้าไปกลางปีกันเลยทีเดียว (55+) มาๆๆ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ต้องบอกว่าหลายครั้งที่เราได้เข้าเว็บไซต์นู้นนั่นนี่ แล้วเห็น font สวยๆ แต่ไม่รู้ว่านั่นน่ะมันคือ font อะไร ชนิดไหน … วันนี้ทางผู้เขียนขอนำเสนอ Chrome Extension (อีกแล้วเหรอ !) ที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง นั่นคือ * WhatFont * WhatFont คืออะไร ??? WhatFont เป็นหนึ่งในส่วนขยายของ Google Chrome ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการดูได้ว่า Font ที่ใช้หรือแสดงอยู่ในหน้าเว็บไซต์ต่างๆ นั้น คือ Font ชนิดอะไร ขนาดเท่าไหร่ และมีค่าสี เป็นอะไร อ๊ะๆ ยังไม่หมดนะ มันสามารถระบุได้แม้กระทั่งความหนา ความบาง ของ Font นั้นๆ กันเลยทีเดียว เพียงแค่เรานำเมาส์ไปวางบนตัวอักษรที่เราต้องการจะดูรายละเอียดเท่านั้นเอง วิธีการติดตั้ง ดาวน์โหลดได้จาก Chrome เว็บสโตร์ คลิก จากนั้นให้คลิกปุ่ม “เพิ่มใน CHROME” หรือ Add to Chrome ระบบจะแสดง pop up ขึ้นมาให้คลิกเลือก “เพิ่มส่วนขยาย” เมื่อเราติดตั้งเรียบร้อยแล้ว หน้าจอก็จะแสดง pop up ขึ้นมาแจ้งให้เราทราบว่าได้ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับวิธีการใช้งาน ให้เข้าเว็บที่เราต้องการ จากนั้นให้คลิกที่ Icon ที่มุมบนด้านขวาของ Browser ให้นำเมาส์ไปวางไว้บนข้อความ / ตัวอักษร ที่เราต้องการจะรู้ว่าเป็น font อะไร และหากต้องการจะดูรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ขนาด สี ความหนา ความบาง ก็ให้คลิกเลือกบนข้อความดังกล่าว จากนั้นจะมีส่วนแสดงข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมาให้เราได้ดูกัน เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย ข้อมูลอันนี้นี่พอจะช่วยผู้อ่านได้บ้างมั้ย ?? ยังไงก็แล้วแต่ทางผู้เขียนอยากแนะนำให้ทุกคนไปลองใช้กันดูนะ ง่ายดี ฟรีด้วย แทนที่เรา จะมานั่งคาดเดา หรือมโน กันเองว่า เอ๊ ! ตัวนี้นี่มันเป็น font อะไรแล้วน๊าา แบบนั้นมันล้าสมัยไปแล้ว เสียเวลาเปล่าๆ ติดตั้งตัวนี้กันเลย ง่าย ครบ จบในตัวเดียว 55+ อย่าลืมลองเล่นกันดูนะ ไว้ปีหน้าฟ้าใหม่ เราจะมาเจอกันอีกใน Blog ถัดๆ ไปเน้ออออ ขอบคุณแหล่งอ้างอิง http://photoloose.com/what-font-chrome-extension/
“ปัจจุบันกระแสการออกแบบเว็บเชิงตอบสนอง (Responsive design) ถูกนำมาใช้ในการออกแบบเว็บสมัยใหม่ เนืองจากสามารถดูได้ทั้งแบบผ่านเครื่องคอม แท็บเล็ต และมือถือ ได้โดยทันที” แต่ในระว่างการออกแบบ ถ้าผู้ออกแบบจะต้องมีการทดสอบบนอุปกรณ์แท็บเล็ต หรือมือถือ ต่างๆ ซึ่งมีความละเอียดของหน้าจอแตกต่างกันออกไป ซึ่งในส่วนที่ Chrome มีเครื่องมือที่ช่วยในการแสดงผลเว็บไซต์บนอุปกรณ์ Smart phone ได้ โดยไม่ต้องโหลดเพิ่ม แต่ประการใด !!! แถมวิธีการก็ง่ายแสนง่าย ขั้นตอนที่ 1 ให้ไปที่ More tools > Developer tools ดังภาพ ขั้นตอนที่ 2 เลือกที่รูปโทรศัพท์ ดังภาพ ขั้นตอนที่ 3 สังเกต ด้านซ้ายจะปรากฏหน้าจอมือถือขึ้นมา ให้ระบุ URL ที่เราต้องการดังภาพ จากภาพ จะเห็นว่าหากเป็นเว็บที่ออกแบบด้วยหลักการออกแบบเว็บเชิงตอบสนอง (Responsive design) จะมีการจัดหน้าจอให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ ขั้นตอนที่ 4 สังเกต ด้านบน เราสามารถเลือกรุ่นของ Smart Phone ได้หลายรุ่น แม้จะไม่มาก แต่ก็เป็นรุ่นหลักและหลากหลายความละเอียด หรือจะเลือกปรับขนาดเองก็ทำได้ และสามารถปรับให้แสดงแนวตั้งและแนวนอนได้อีกด้วย ดังภาพ จะเห็นว่าเครื่องมือด้งกล่าวใช้งานไม่ยาก ทำให้สามารถดูหน้าจอในหลายๆ ความละเอียดได้อย่างรวดเร็ว
เคยเจอปัญหาเหล่านี้เมื่อต้องไปใช้งานเครื่องอื่นที่ไม่ใช่เครื่องตนเองหรือไม่ ? จะเข้าเว็บไซต์ที่เคย Bookmark เอาไว้ในเครื่องตนเอง ก็ทำไม่ได้ ทำไงดีรหัสผ่านมากมาย เคยให้เว็บจำไว้ให้ แล้วตอนนี้จะใช้งานยังไงหล่ะ สภาพแวดล้อมไม่คุ้นชินเมื่อไปใช้เครื่องอื่น ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อใช้ Google Chrome และ ทำการ Sign In เอาไว้ คำเตือน: ผู้ที่จะใช้วิธีการนี้ ควรทำระบบ 2-Step Verification ไว้ก่อน เพื่อป้องกันรหัสผ่านรั่วไหล และป้องกัน กรณีมี Keyboard Logger ฝังตัวเพื่อดักการพิมพ์รหัสผ่านจาก Keyboard ซึ่งแม้จะมีผู้ร้ายดักรหัสผ่านไปได้ ก็จะติดขั้นตอนการยืนยันตัวตนอีกชั้นของ 2-Step Verification กรณีผู้ใช้ Google Apps ขององค์กร (ทั้ง For Education และ For Business) ระบบจะทำการสร้าง Profile แยกให้ แต่ถ้าเป็น Google Account ของ Gmail นั้น จะต้องทำการ Create Profile เอง แล้วจึง Sign In เข้าไป มิฉะนั้นข้อมูลของเราจะไปปะปนกับของผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง วิธีการนี้ ผู้ใช้ต้อง “Remove This Person” ทุกครั้งเมื่อจบการใช้งาน (จะอธิบายต่อไป) วิธีการใช้งาน เปิด Google Chrome ขึ้นมา ด้านขวามือบน ใกล้ๆ Tools Box คลิกรูป “คน” ดังภาพ แล้วคลิก Sign in to Chrome ใส่ Google Account (Gmail Account) หรือ Google Apps Account (Google Apps For Education/Business) และรหัสผ่าน จากนั้นคลิก Sign In สำหรับท่านที่ทำ 2-Step Verification จะพบหน้าต่างให้ใส่ Code ก็ให้ดำเนินการตามปรกติไป สำหรับบัญชี Google Apps ขององค์กร จะแสดงหน้าต่างให้เลือกว่า จะสร้าง Profile ใหม่หรือไม่ แนะนำให้คลิกปุ่ม Create a new profile ต่อไป คลิกปุ่ม “Ok, got it” ใช้เวลาไม่นาน ระบบจะ Sync ข้อมูล Apps, Autofill, Bookmark, Extensions, History, Password, Settings, Themes, Opentabs มาให้ (สามารถเลือกได้ว่าจะ Sync อะไรมาบ้างได้) และทำการเข้ารหัส รหัสผ่านไว้ด้วย (เลือกได้ว่าจะเข้ารหัสด้วย Google Credential หรือจะสร้าง Paraphrase แยกต่างหาก — ในที่นี้ เลือกเป็น Google Credential) คราวนี้ ก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนนั่งอยู่ที่เครื่องตนเองอีกทั้งวิธีการนี้ จะสามารถใช้งานได้ทั้งบน Smartphone และ Tablet ได้ด้วย ทำให้เมื่อ Save Bookmark เอาไว้บนคอมพิวเตอร์ ก็สามารถไปเปิดดูได้บน Tablet ได้ทันที เมื่อเลิกใช้งาน ให้ทำตามข้อ 2. แล้วคลิก Switch User แทน จากนั้น ที่รูป Profile ด้านมุมขวา คลิก Remove this person คลิก Remove this person อีกครั้งเพื่อยืนยัน เท่านี้ ข้อมูลก็จะปลอดภัยแล้ว 😉 หากต้องการปรับแต่งเรื่อง สิ่งที่ต้องการจะ Sync