Category: Linux (OS, shell script, etc)

  • มาใช้งาน letsencrypt กันเถอะ

    สำหรับใครก็ตามที่มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลเว็บเซิร์ฟเวอร์ในปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่าจะหลีกไม่พ้นที่จะต้องรู้เรื่องของการเซ็ตอัพให้เซิร์ฟเวอร์ที่ต้อดูแล สามารถใช้งานผ่านโปรโตคอล https ได้ นอกเหนือไปจากการใช้งานผ่านโปรโตคอล http ซึ่งเป็นโปรโตคอลมาตรฐานดั้งเดิม สำหรับการให้บริการเว็บเซิร์ฟเวอร์

    เอาล่ะ ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว งานที่ต้องเพิ่มขึ้นมาสำหรับการที่จะทำให้ เว็บเซิร์ฟเวอร์สามารถใช้ https ได้ ถ้าทำให้มันใช้ http ได้แล้ว โดยทั่วไปก็ไม่ได้ยุ่งยากมากขึ้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับเซอร์ติฟิเคท (certificate) ที่ใช้ด้วย แต่ว่ากันโดยทั่วไป ระบบที่มีผู้ใช้งานเยอะ ตัวติดตั้งซอฟต์แวร์ของระบบปฏิบัติการ ก็มักจะจัดเตรียมวิธีการตรงนี้ไว้ให้แล้ว เหลือแค่การเรียกใช้งานเพิ่มแค่ไม่กี่คำสั่ง ก็สามารถใช้งานได้เลย
    ขอยกตัวอย่างเลยก็แล้วกัน สำหรับระบบปฏิบัติการเดเบียนลินุกซ์ (Debian Linux) รุ่น เจสซี่ (jessie) และ ใช้งาน apache เวอร์ชัน 2 เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์

    วิธีการติดตั้งตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์ก็คือ

    $ sudo apt-get install apache2

    เพียงเท่านี้ เราก็สามารถใช้งานเว็บเซิร์ฟเวอร์ สำหรับให้บริการแบบสแตติกไฟล์ และสามารถใช้สคริปต์แบบ CGI ได้แล้ว
    แล้วถ้าต้องการให้มันรองรับแบบไดนามิก โดยใช้ภาษา php ได้ด้วยล่ะ? ก็ไม่ได้ยากอะไร ก็เพียงเพิ่มโมดูลของ php เข้าไป โดยใช้คำสั่ง

    $ sudo apt-get install libapache2-mod-php5

    ตัวโปรแกรมสำหรับติดตั้ง (apt-get) ก็จะตรวจสอบ แพกเกจที่จำเป็นต้องใช้และยังไม่ได้ติิดตั้งเอาไว้ เช่น php5 แล้วก็ติดตั้งแพกเกจเหล่านั้นให้ด้วยเลยโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นเราก็สามารถสร้าง index.php ในไดเรคตอรี่ /var/www/html/ แล้วก็เขียนโปรแกรมภาษา php ให้บริการบนเว็บได้เลย

    ทีนี้ถ้าต้องการให้บริการเว็บ โดยใช้ https โปรโตคอลล่ะ เพื่อให้มีการเข้ารหัสข้อมูลที่มีการรับส่งระหว่าง ตัวเว็บเบราเซอร์ และ เว็บเซิร์ฟเวอร์ อันนี้ ไม่จำเป็นจะต้องติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เพราะตัว apache ติดตั้งให้โดยปริยายตั้งแต่แรกแล้ว แต่ ไม่ได้เปิดให้ใช้งานโดยอัตโนมัติ ผู้ดูแลระบบจะต้องสั่งเพิ่มว่า ให้เปิดบริการแบบ https ด้วย โดยใช้คำสั่งดังนี้

    $ sudo a2enmod ssl
    $ sudo a2ensite default-ssl

    และสั่ง restart ตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์โดยใช้คำสั่ง

    $ sudo systemctl restart apache2

    เท่านี้ ก็จะสามารถใช้งาน https โปรโตคอลเพิ่มเติมขึ้นมาจากเดิม ที่ใช้งานได้เฉพาะ http โปรโตคอล

    แต่ … มันไม่ได้จบง่ายๆแค่นั้นน่ะสิ ถึงแม้ว่าการให้บริการจะโดยใช้ https โปรโตคอลจะมีการเข้ารหัสข้อมูลที่มีการรับส่งระหว่างตัวเบราเซอร์กับตัวเซิร์ฟเวอร์ แต่ เซอร์ติฟิเคท (certificate) สำหรับกุญแจที่ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลนั้น จะเป็นแบบที่เรียกว่า self-signed certificate ซึ่งตัวเบราเซอร์โดยทั่วไปจะ ไม่เชื่อถือ (un trusted) ว่าเป็นเซอร์ติฟิเคท ที่ออกให้กับเว็บไซท์ ที่ระบุว่าเป็นโดเมนนั้นๆจริง

    ในการใช้งานเว็บไซท์ที่ตัวกุญแจเข้ารหัสใช้ self-signed certificate ตัวเบราเซอร์ก็จะ “เตือน”, และสร้างความยุ่งยากในการใช้งานให้กับ ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าใช้งานเว็บไซท์นั้นๆ

    นั่นอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร สำหรับเว็บไซท์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้บริการภายในหน่วยงานกันเอง ซึ่งผู้ใช้งานในหน่วยงาน อาจจะใช้วิธีการอื่นๆ เช่นเดินไปถาม, โทรศัพท์ไปถาม, ส่ง e-mail ไปถาม … หรือในกรณีที่เป็นจริงส่วนใหญ่ ก็คือ ไม่ต้องถาม ก็แค่กดปุ่มยอมรับความเสี่ยง ให้ตัวเบราเซอร์จำเซอร์ติฟิเคทนั้นไว้ แล้วก็ใช้งานไปแค่นั้นเอง

    แต่นั่น อาจจะเป็นปัญหาในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ถ้าเว็บไซท์ดังกล่าว เปิดให้บริการให้กับบุคคลภายนอกหน่วยงานด้วย

    ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเว็บไซต์ของภาควิชาใดภาควิชาหนึ่ง ในหลายๆคณะของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดให้บริการแบบ https ขึ้นมา และบุคคลภายนอก ซึ่งบุคคลภายนอกนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็น บุคคลภายนอกของมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งบุคคลากรของมหาวิทยาลัย แต่อยู่ต่างคณะ หรือแม้ต่างภาควิชา การที่จะตรวจสอบว่า เว็บดังกล่าว เป็นเว็บของหน่วยงานนั้นจริงๆ ก็เริ่มเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาระดับนึงแล้ว ถ้าต้องให้บริการกับบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยด้วย การที่จะตรวจสอบว่าเป็นเว็บของหน่วยงานนั้นๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่ ยุ่งยากเกินเหตุ … แน่นอน ในทางปฏิบัติ ใครที่จำเป็นจะต้องเว็บไซท์เหล่านั้น ก็คงจะต้องใช้ต่อไป ก็เพราะจำเป็นที่จะต้องใช้ ไม่ว่าตัวเบราเซอร์จะเตือนให้ระวังอย่างไร

    มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ในทางหนึ่ง มันเป็นการฝึกให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์ ยอมรับ ในความไม่ปลอดภัยที่อาจจะมี และ นำไปใช้งานกับเว็บไซท์อื่นๆด้วย

    ทางแก้ล่ะ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยาก “มาก” แต่อย่างใด ก็แค่หาเซอร์ติฟิเคทที่ยอมรับโดยตัวเบราเซอร์มาใช้งานแค่นั้นเอง

    อย่างไร? … ก็ … จ่ายตังค์ ซื้อ … 🙂

    นั่นอาจจะทำให้เป็นเรื่องยุ่งยาก “มาก” ขึ้นมาทันทีสำหรับ หลายๆหน่วยงาน (ฮา)

    สำหรับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาจจะมีอีกหนึ่งทางเลือก นั่นคือว่า ถ้าเว็บไซท์ที่ผู้ดูแล มีโดเมนเป็น .psu.ac.th และไม่ได้เป็นโดเมนย่อยของ .psu.ac.th อีกที ตัวอย่างเช่น เว็บไซท์ www.psu.ac.th ถือว่าอยู่ในโดเมน .psu.ac.th แต่เว็บไซท์ www.coe.psu.ac.th จะอยู่ในโดเมนย่อย .coe ของ โดเมน .psu.ac.th อีกทีนึง

    สำหรับเว็บไซท์ ที่อยู่ภายใต้โดเมน .psu.ac.th และไม่ได้อยู่ในโดเมนย่อย ก็จะสามารถติดต่อทาง ผู้ดูแลระบบเครือข่ายของศูนย์คอมพิวเตอร์ เพื่อขอใช้เซอร์ติฟิเคทสำหรับเว็บไซท์นั้นได้ เนื่องจากศูนย์คอมพิวเตอร์ จะซื้อเซอร์ติฟิเคทแบบที่เรียกว่า wildcard สำหรับโดเมน .psu.ac.th ซึ่งจะสามารถออกใบเซอร์ติฟิเคทสำหรับเว็บไซท์ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โดเมนย่อยของ .psu.ac.th ให้ได้

    แล้วสำหรับผู้ดูแลของเว็บไซท์ ที่ไปขอเซอร์ติฟิเคทของศูนย์คอมพิวเตอร์มาใช้งานไม่ได้ล่ะ ไม่ว่าจะสาเหตุเนื่องจาก โดเมนที่ใช้อยู่เป็นโดเมนย่อยของ .psu.ac.th อีกที หรือ ใช้โดเมนอื่นอยู่ที่ไม่ใช่ .psu.ac.th ทำอย่างไรดี?

    ก็ … จ่ายตังค์ซื้อสิ … เฮ่ย ไม่ใช่!
    งั้น … ใช้ self-signed certificate ต่อ … เฮ้ย! … แล้วจะเขียนมาหาพระแสงของ้าว อะไร …

    โอเค อีกทางเลือกนึง ก็ตามที่เขียนไว้ในหัวข้อบทความน่ะแหละครับ มันมีทางเลือกที่เราจะใช้เซอร์ติฟิเคทที่รองรับโดยเบราเซอร์ทั่วไป และ ไม่ต้องจ่ายตังค์ นั่นคือใช้บริการของ letsencrypt ซึ่ง … ยังมีเรื่องที่ต้องพูดถึงกันอีกยาวพอสมควร และ โดยความขึ้เกียจของผู้เขียน ถ้าจะรอให้เขียนเสร็จเป็นบทความเดียวแล้วค่อยตีพิมพ์เลย ก็เดาได้ว่า คงจะไม่เสร็จแหละ สำหรับใครๆที่สนใจจะอ่านก่อนว่าขั้นตอนที่จะเอามาใช้งานทำได้อย่างไรบ้าง ก็เริ่มต้นจาก ที่นี่ https://letsencrypt.org/getting-started/ ได้ครับ

    ผมขอจบบทความนี้ ไว้แค่นี้ก่อน แล้วค่อยมาต่อ ภาค 2 (หวังว่า) ในเวลาอีกไม่นาน 🙂

  • วิธีนำไฟล์ iso Linux Mint ลง USB Flash Drive ด้วยโปรแกรม Rufus for Windows

    วิธีนำไฟล์ iso Linux Mint ลง USB Flash Drive ด้วยโปรแกรม Rufus for Windows

    เป็นการทำให้เราสามารถ boot Linux Mint ด้วย USB Flash Drive แทนการ Boot จากแผ่น DVD

     

    ขั้นตอน

    1.ดาวน์โหลด Linux Mint ISO file จากที่นี่ http://www.linuxmint.com/ (หรือในม.อ.ที่นี่ https://licensing.psu.ac.th)

    2.ดาวน์โหลดโปรแกรม Rufus จากที่นี่ https://rufus.akeo.ie/

    Rufus : Create bootable USB drives the easy way

    3.นำไฟล์มาวางไว้ที่ Desktop ใช้ได้โดยไม่ต้องทำขั้นตอนติดตั้งโปรแกรม

    rufus

    4.เสียบ USB Flash Drive

    5.เปิดโปรแกรม Rufus

    rufus02

    5.คลิกเลือก ISO file ที่ดาวน์โหลดมา และคลิก Start

    rufus03

    6.คลิก OK ยืนยันการใช้ค่าที่แนะนำ

    rufus04

    7.รอจนเสร็จ

    rufus05

  • psuautosigned for windows?

    เช้าของวันที่ 14 ธันวาคม 2558 คุณ คณกรณ์ post ถามไว้ในกลุ่ม PSU Sysadmin บน facebook ว่า

    เรียนสอบถาม (จะได้ไม่ต้องทำซ้ำ) บน windows 10 ใครมี script ให้ทำการ auto authentication บ้างไม๊ครับ บางเครื่องต้องเปิดค้างไว้ข้ามวัน จะได้เข้ามาดูทางไกลได้ น่ะครับ ตอนนี้ใช้ team viewer ก็ยังติดเรื่องนี้อยู่ดี

    ขอบคุณครับ

    มีคุณ Thanongdat Noosrikaew กับคุณ ป้อม เภสัชฯ (Siripong Siriwan)  มาเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหา แต่ดูเหมือนจะไม่ตรงกับที่เจ้าของคำถามต้องการสักเท่าไหร่
    ผมอ่านแล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วผมจะต้องตอบคำถามนี้ ผมมีทางเลือกอะไรบ้าง?
    คำตอบที่มีให้กับตัวเองก็คือ หากินกับของเก่าที่เคยทำเอาไว้แล้ว … คือ… มีคำสั่งคำสอน ที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลครั้งเก่าโพ้น ในชนเผ่า sysadmin ว่า sysadmin ที่ดีจะเป็นคนขี้เกียจ อะไรที่ได้ทำไว้แล้ว และยังเอามาใช้ได้ ก็ไม่ควรที่ทำขึ้นมาใหม่ … อันนั้น เป็นเรื่องที่ผมได้ยินมานะครับ จะเชื่อถือได้แค่ใหนก็แล้วแต่ท่านทั้งหลายจะได้พิจารณากัน

    ผมก็เลยพยายามทำตัวเป็น admin ขี้เกียจ .. เฮ่ย ไม่ใช่ เป็น admin ที่ดี ซึ่ง … ก็คือ ขี้เกียจน่ะแหละ -_-”
    มีอะไรที่เคยทำเอาไว้แล้ว ก็เอามา recycle ขายใหม่ ถ้าขายได้ … เราต้องช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม … เกี่ยวกันใหม?

    คำตอบแรกที่ผมคิดได้ก็คือ

    ถ้า ยังหา solution บน Windows โดยตรงไม่ได้ และ ไม่รังเกียจที่จะติดตั้ง cygwin เพิ่มเข้าไปบนตัว windows ผมคิดว่า psuautosigned ที่เขียนไว้สำหรับ Linux ก็น่าจะพอดัดแปลงให้ใช้งานบน Windows ได้ครับ ฟังก์ชัน หลักๆ ต้องการแค่ shell ซึ่งอาจจะเป็น cmd.exe ของ windows เองก็ได้ กับโปรแกรมที่ชื่อว่า curl ครับ โปรแกรมอย่างอื่นเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ทั้งหมด รวมทั้ง shell และ curl มีอยู่ใน cygwin อยู่แล้ว

    ผมไม่มีเครื่องที่ใช้งาน windows 10 ให้ลอง ถ้าจะช่วยทดสอบให้ ผมก็ยินดีที่จะแก้ script ให้รองรับ windows 10 ด้วยครับ

    โปรแกรม psuautosigned ที่ผมอ้างถึงคือ ตัวนี้ ซึ่งเคยเขียนถึงเอาไว้แล้ว ที่นี่ , ที่นี่, ที่นี่, และ ที่นี่ … ซึ่ง มาคิดดูอีกที เยอะแฮะ กับ script ตัวเดียวทำไมจะต้องเขียนบันทึกเกี่ยวกับมันหลายบันทึกด้วยก็ไม่รู้ จะว่าไป บันทึกนี้เอง ก็นับเป็นหนึ่งในชุดนี้ด้วยแหละ

    ส่วน cygwin ก็คือ https://www.cygwin.com/ เป็น tools สำหรับ Windows ให้สามารถใช้งานได้เหมือน(หรือใกล้เคียงมากๆ) กับการใช้ชีวิตอยู่บน Unix Command Line … ซึ่งเนื่องจาก script psuautosigned พัฒนาและใช้งานบน Linux ถ้าจะให้เอาไปใช้งานบนเครื่อง Windows 10 ได้ตามความต้องการของคุณหนุ่ม ก็ต้องการเครื่องมือเหล่านี้ มาช่วยด้วย

    นั่นหมายถึงว่า ถ้าจะเอาไปใช้ จะต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม และ ถึงแม้ว่า cygwin จะสร้างสภาพแวดล้อมแบบ Unix บนเครื่อง Windows เจ้าตัว script ที่ผมเขียน และ ทดสอบบน Debian Linux ก็จะยังไม่สามารถเอาไปใช้งานได้ทันที มันจะต้องการแก้ไขบางส่วนแน่ ๆ

    พอนั่งทบทวนไปสักพักว่ามีส่วนใหนที่จะต้องแก้ไขบ้าง จากความจำที่ค่อนข้างลางเลือนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ cygwin เพราะไม่ได้ใช้ Windows นานมาก และ cygwin ก็ไม่ได้แต่นานมากเช่นเดียวกัน และ มีความขี้เกียจ เอ๊ย! ผิด! มีคุณลักษณะที่ดีของ sysadmin เป็นตัวกระตุ้น … ผมก็ได้ idea ใหม่แจ่มแจ๋วขึ้นมา

    นี่คือสิ่งที่ผม post reply ตามไปจาก reply ที่แล้ว

     

    หรือ อีกทางนึง ถ้ามี resource บนเครื่อง windows 10 เหลือเฟือ และไม่รังเกียจที่จะเสีย เนื้อที่ harddisk สัก 512MB และ memory สัก 32MB ก็ติดตั้ง virtualbox (เอ่อ เนื้อที่ harddisk กับ ram ข้างต้นไม่รวมของ virtualbox) และติดตั้ง linux ตัวใหนก็ได้แบบ minimal (แต่แนะนำ debian) ลงไปต้องการแค่ bash shell, basic linux utils และ ติดตั้งโปรแกรม curl เพิ่ม กำหนดให้ interface ของ VM เป็นแบบ NAT ก็จะสามารถใช้โปรแกรม psuautosigned สำหรับการ authen จากตัว VM ซึ่งเมื่อใช้งานเป็นแบบ NAT ก็จะ authen ให้กับ host ที่เป็น windows 10 ด้วยเลย วิธีการนี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดัดแปลง psuautosigned ใดๆทั้งสิ้นครับ

    และ

    ถ้า เลือกใช้วิธีการติดตั้ง debian บน VM ตอนติดตั้งจะต้องให้ memory ของเครื่องซํก 256 หรือ 512 MB ก่อนนะครับ เพราะตอนตั้ง มันจะใช้ RAM ค่อนข้างเยอะ ถ้ามี memory น้อยเกินไปจะติดตั้งไม่สำเร็จ แต่ พอติดตั้งเสร็จแล้ว ก็ค่อยลด memory ให้เหลือเท่าที่จำเป็นต้องใช้ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันต้องการเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้ run อยู่เลย ผมคิดว่า 32MB ก็เหลือเฟือครับ เครื่องของผมที่ run linux สมัยแรกๆ ใช้ RAM แค่ 8MB ก็ run ได้โดยไม่แตะ swap ในตอน boot และใช้แค่ console ไม่ได้ run X-windows

    ข้อดีที่สุดของวิธีการนี้ ถ้าคุณหนุ่มจะเอาไปใช้ก็คือ จะต้องไป download และ ติดตั้งโปรแกรม virtualbox จาก ที่นี่ แล้วก็สร้าง Virtual Machine ที่เป็น Linux ขึ้นมา ซึ่งถ้า Linux ที่เป็น Debian ตามที่ผมแนะนำ ตัว script ก็สามารถที่จะทำงานได้เลย โดยไม่ต้องแก้ไขใดๆทั้งสิ้น ปล่อยภาระของการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ให้เป็นการติดตั้ง Linux บน Virtual Box ของคุณหนุ่มไป ส่วนผม อยู่เฉยๆ ทำตัวขี้เกี… เอ๊ย ทำตัวเป็น sysadmin ที่ดี ที่มีทั้งหลังที่ยาว และ ขนตามตัวยาวเฟื้อยต่อไป 😉

    อันที่จริง วิธีการนี้ จะเป็นการใช้ psuautosigned script สำหรับการ signed in หรือ login สำหรับตัวเครื่อง Virtual Machine ที่เป็น Linux แต่ trick สำหรับกรณีนี้ก็คือว่า ถ้ากำหนดให้ชนิดของ Network Interface ของ Virtual Box เป็นแบบ NAT ตัว Host OS ของเครื่อง ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ Windows 10 จะส่งข้อมูลของการติดต่อ ของ Linux VM ไปยังเครื่องอื่นๆด้วย IP Address ของเครื่อง Windows 10 เอง เมื่อ Linux VM ไป authentication กับเครื่อง Palo Alto ก็จะใช้ address ของ Windows 10 ก็เลยเป็นการ authentication ให้กับตัว Windows 10 ซึ่งเป็น host computer ไปด้วยกันเลย ทำให้ไม่จำเป็นจะต้องใช้การ authen ใดๆจาก Windows 10 เอง

    และ ถ้าจะว่าไป ในกรณีนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ VirtualBox ก็ได้ อาจจะใช้ VMWare หรือ Virtualization อื่นๆที่สามารถใช้งานได้บนเครื่อง Windows ก็สามารถืำได้แบบเดียวกัน ข้อสำคัญก็คือ ชนิดของเครือข่ายที่จะให้ Linux VM ติดต่อออกสู่ภายนอก จะต้องเป็นแบบ NAT ก็ทำได้แบบเดียวกัน เพียงแต่ผมไม่เคยใช้งาน Virtualization Technology อื่นๆ ก็เลยไม่แนะนำครับ เพราะคงตอบคำถามเกี่ยวกับวิธีการ setup network ให้กับ virtual machine ไม่ได้

    โดยหลักๆ วิธีการแก้ปัญหา ของผมก็คงมีแค่นี้แหละ

    แต่หลังจากตอบคำถามไปแล้ว ก็เลยกลับไปดู script ที่เคยเขียนไว้อีกหน่อยนึง อันที่จริง ก็เขียนเอาไว้นานจนจำแทบไม่ได้เหมือนกันว่าได้เขียนอะไรไว้บ้าง แต่พอลองเอามาไล่ดูและ ตัดเอาเฉพาะส่วนที่จำเป็นออก ก็ได้ script สำหรับการใช้งาน บน Linux ประมาณนี้ครับ

    #!/bin/bash

    USER=”YOUR-PASSPORT-ID”
    PASSWD=”YOUR-PASSPORT-PASSWORD”
    COOKIES=”cookies.txt”

    /usr/bin/curl \
    –connect-timeout 10 \
    –max-time 10 \
    -s -k \
    -L ‘https://cp-ufw.psu.ac.th:6082/php/uid.php?vsys=1‘ \
    -c $COOKIES \
    -b $COOKIES \
    -d user=$USER \
    –data-urlencode “passwd=$PASSWD” \
    -d ok=Login

    และนี่คือคำอธิบายที่ผม post ตามไป

    อันนี้ ไม่มีการตรวจสอบอะไรทั้งสิ้น และมีการเรียกใช้งานเพียงครั้งเดียว ซึ่งมันก็จะ timeout ไปตามช่วงเวลา ถ้าจะให้มัน authen ได้ตลอด ก็อาจจะเรียกใช้จาก crontab ทุกๆช่วงเวลาก่อนที่มันจะ timeout ไป ผมไม่แน่ใจว่าค่า timeout ล่าสุดจะเป็นเท่าไหร่ แต่ที่ผมใช้อยู่ผมให้มัน loop ไป check login ว่า authenticate ไปแล้วหรือเปล่า ทุกๆ 10 นาที URL ซึ่งใช้ตรวจสอบการ login จะต่างไปจากนี้ แต่ผมคิดว่า ถ้าสั่งให้ authen ใหม่ ผลก็น่าจะไม่ต่างกัน script ข้างบน ถ้าจะให้ใช้งานได้จาก windows 10 ก็ คงเปลี่ยนบรรทัดแรกให้ไป อ้างอิง cmd.exe หรือ เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น .bat และ path ที่ใช้อ้างอิง /usr/bni/curl ก็เปลี่ยนไปใช้ของ Windows

    ส่วน parameter ของ curl ทั้งหมด ก็ลบเครื่องหมาย backslash ของทุกบรรทัดออก ให้เหลือคำสั่งแค่บรรทัดเดียวก็น่าจะใช้งานได้แล้วครับ

    อ้อ เปลี่ยน USER กับ PASSWD แล้วก็ COOKIES (ชื่อไฟล์สำหรับเก็บ cookeis) ให้เป็นค่าที่เหมาะสมด้วยครับ

    เนื่องจากโปรแกรมยังไม่ได้ทดสอบกับเครื่องที่เป็น Windows 10 จริงๆ ก็เลย ให้แนะนำตามในคำอธิบาย แต่ในแง่ของการติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม ตัว script ตัวนี้ น่าจะเป็นตัวที่มีขนาดเล็ที่สุดแล้วครับ code สามารถ download ได้ ที่นี่

  • การตั้งค่า IPV6 ให้กับ Apache Web Server สำหรับ Ubuntu Linux

    “อยากตั้งค่า Apache Web Server ให้เปิดใช้ IPv6 ต้องทำอย่างไร”

    • สำหรับวิธีเปิดใช้งาน IPv6 บน Apache จะขอยกตัวอย่างบน Ubuntu ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถตั้งเป็น IPv6 only ก็ได้ แต่ในที่นี่จะตั้งให้สามารถใช้ได้ทั้ง IPv4 และ IPv6
      1. เปิดไฟล์ /etc/apache2/ports.conf
        sudo vim /etc/apache2/ports.conf
      2. ทำการแก้ไขโดยเพิ่มในส่วนของ IPv6 Config ดังนี้ (xxx yyy ไปหามาใส่เอาเองนะครับ เป็นแค่ค่าสมมุติ)
        Listen 192.168.xxx.yyy:80
        Listen [2001:xxxxxx:101]:80
      3. สั่ง Restart Web Service เป็นอันเรียบร้อยครับ
        sudo /etc/init.d/apache2 restart
      4. สามารถตรวจสอบผ่านคำสั่ง netstat ได้ดังนี้ครับ
        netstat -na | grep ":80"
    • การทดสอบในกรณียังไม่ได้จด DNS6 เราไม่สามารถพิมพ์ URL เป็น IPv6 ตรง ๆ บน Browser ได้ ถ้าจดแล้วสามารถทดสอบผ่าน http://ipv6-test.com/validate.php ดูได้ครับ
  • การตั้งค่า IPV6 ให้กับ Nginx Web Server สำหรับ Ubuntu Linux

    “อยากตั้งค่า Nginx Web Server ให้เปิดใช้ IPv6 ต้องทำอย่างไร”

    • สำหรับวิธีเปิดใช้งาน IPv6 บน Nginx จะขอยกตัวอย่างบน Ubuntu ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถตั้งเป็น IPv6 only ก็ได้ แต่ในที่นี่จะตั้งให้สามารถใช้ได้ทั้ง IPv4 และ IPv6
      1. เปิดไฟล์ /etc/nginx/site-available/[site-file]
        sudo vim /etc/nginx/site-available/psu-v6
      2. ทำการแก้ไขโดยเพิ่มในส่วนของ IPv6 Config ดังนี้ (เพิ่มเฉพาะตัวสีแดงนะครับ)
        server {
          listen [::]:80;  
          ...
        }
      3. สั่ง Restart Web Service เป็นอันเรียบร้อยครับ
        sudo /etc/init.d/nginx restart
      4. สามารถตรวจสอบผ่านคำสั่ง netstat ได้ดังนี้ครับ
        netstat -na | grep ":80"
    • การทดสอบในกรณียังไม่ได้จด DNS6 เราไม่สามารถพิมพ์ URL เป็น IPv6 ตรง ๆ บน Browser ได้ ถ้าจดแล้วสามารถทดสอบผ่าน http://ipv6-test.com/validate.php ดูได้ครับ
  • การตั้งค่า IPV6 ให้กับ Lighttpd Web Server สำหรับ CentOS Linux

    “อยากตั้งค่า Lighttpd Web Server ให้เปิดใช้ IPv6 ต้องทำอย่างไร”

    • สำหรับวิธีเปิดใช้งาน IPv6 บน Lighttpd จะขอยกตัวอย่างบน CentOS 6.7 ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถตั้งเป็น IPv6 only ก็ได้ แต่ในที่นี่จะตั้งให้สามารถใช้ได้ทั้ง IPv4 และ IPv6
      1. เปิดไฟล์ /etc/lighttpd/lighttpd.conf
        sudo vim /etc/lighttpd/lighttpd.conf
      2. ทำการแก้ไขโดยเพิ่มในส่วนของ IPv6 Config ดังนี้ (แทนที่ [web-path] ด้วย location จริง ๆ เช่น “/var/www”)
        $SERVER["socket"] == "[::]:80" {
         accesslog.filename = "/var/log/lighttpd/ipv6.access.log"
         server.document-root = [web-path]
        }

        *หมายเหตุ : server.use-ipv6 = “disable” ไม่ต้องแก้ไขนะครับ เพราะ ด้วยชื่อ domain เดียวกันจะไม่สามารถเปิด port 80 สอง port ได้พร้อมกัน ทำได้แค่เพิ่ม SERVER Socket config เข้าไปอย่างที่เห็นข้างบนครับ (จะใช้ก็ตอนที่จะเปิดเฉพาะ IPv6 only ครับ)

      3. สั่ง Restart Web Service เป็นอันเรียบร้อยครับ
        sudo service lighttpd restart
      4. สามารถตรวจสอบผ่านคำสั่ง netstat ได้ดังนี้ครับ
        netstat -na | grep ":80"
    • การทดสอบในกรณียังไม่ได้จด DNS6 เราไม่สามารถพิมพ์ URL เป็น IPv6 ตรง ๆ บน Browser ได้ ถ้าจดแล้วสามารถทดสอบผ่าน http://ipv6-test.com/validate.php ดูได้ครับ
  • การตั้งค่า Interface IPv6 สำหรับเครื่อง CentOS/Redhat Server

    “อยากให้ CentOS/Redhat Server เปิดใช้ IPv6 ต้องทำอย่างไร”

    • สำหรับวิธีเปิดใช้งาน IPv6 บน CentOS/Redhat จะขอยกตัวอย่าง CentOS 6.7 โดยทำการตั้งค่า Interface ในส่วนของ IPv6 ดังนี้
      1. เปิดไฟล์ /etc/sysconfig/network-scripts/[interface-setting-file]
        sudo vim /etc/sysconfig/network-scripts/ifcfg-eth0
      2. ทำการแก้ไขโดยเพิ่มในส่วนของ IPv6 Config ดังนี้ (xxx คือ censor นะครับ)
        IPV6INIT="yes"
        IPV6ADDR=2001:xxxxxxx:34
        IPV6_DEFAULTGW=2001:xxxxxxx::1
        
      3. สั่ง Restart เครื่องเป็นอันเรียบร้อยครับ (ในกรณีที่เป็น CentOS 6 สั่ง sudo service network restart ก็ได้ครับ)
        sudo reboot
      4. สามารถตรวจสอบผ่านคำสั่ง ifconfig ได้ดังนี้ครับ
        ifconfig
    • อย่าลืมตรวจสอบ Firewall ด้วยนะครับ แต่โดยปกติ CentOS จะมี Firewall ตั้งแต่เริ่มติดตั้ง ในกรณีที่ไม่ได้ Disable Firewall ให้เข้าไปแก้ได้ที่
      sudo /etc/sysconfig/ip6tables
    • ในกรณีที่ใช้ Shorewall ลองศึกษาเพิ่มเติมดูครับว่าต้องแก้ไขอย่างไร
  • การตั้งค่า Interface IPv6 สำหรับเครื่อง Ubuntu Server

    “อยากให้ Ubuntu Server เปิดใช้ IPv6 ต้องทำอย่างไร”

    • สำหรับวิธีเปิดใช้งาน IPv6 บน Ubuntu จะขอยกตัวอย่าง Ubuntu 14.04 โดยทำการตั้งค่า Interface ในส่วนของ IPv6 ดังนี้
      1. เปิดไฟล์ /etc/network/interfaces
        sudo vim /etc/network/interfaces
      2. ทำการแก้ไขโดยเพิ่มในส่วนของ IPv6 Config ดังนี้ (xxx คือ censor นะครับ)
        iface eth0 inet6 static
                pre-up modprobe ipv6
                address 2001:xxxxxxxx:101
                netmask 64
                gateway 2001:xxxxxxxx::1
        
      3. สั่ง Restart เครื่องเป็นอันเรียบร้อยครับ
        sudo reboot
      4. สามารถตรวจสอบผ่านคำสั่ง ifconfig ได้ดังนี้ครับ
        ifconfig
    • อย่าลืมตรวจสอบ Firewall ด้วยนะครับ แต่โดยปกติ Ubuntu จะไม่มี Firewall ตั้งแต่เริ่มติดตั้ง อาจจะต้องระวังในกรณีที่ Gateway ของหน่วยงานยังไม่ได้ตั้งค่า IPv6 Firewall อาจโดน ssh จากข้างนอกได้ครับ (ลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Shorewall IPv6 หรือ ip6tables ดูครับ) ซึ่งจะมีผลกับเครื่องที่จดชื่อแล้วซะมากกว่า เพราะจะให้ Scan หา IPv6 เยอะ ๆ เพื่อจะเข้าผ่าน IPv6 ตรง ๆ น่าจะลำบากอยู่
  • รวมวิธีการเปิดใช้งาน IPv6

    “บทความนี้เป็นบทความเกี่ยวกับวิธีการเปิดใช้งาน  IPv6 สำหรับบริการที่เป็น Web Server รวมถึงวิธีการตรวจสอบ Client และ Server ว่าพร้อมหรือยังที่จะใช้งาน  IPv6”


    Blog 1 : การตรวจสอบสถานะการใช้งาน IPv6 สำหรับ Client และ Server


    Blog 2การตั้งค่า Interface สำหรับ Windows Server


    Blog 3 : การตั้งค่า Interface สำหรับ Ubuntu Linux


    Blog 4 : การตั้งค่า Interface สำหรับ CentOS/Redhat Linux


    Blog 5 : การตั้งค่า Apache Web Server สำหรับ Ubuntu Linux


    Blog 6 : การตั้งค่า Lighttpd Web Server สำหรับ CentOS Linux


    Blog 7 : การตั้งค่า Nginx Web Server สำหรับ Ubuntu Linux