การติดตั้ง Apache2 + PHP5 บนเครื่อง Ubuntu 14.04 LTS

มาเริ่มขั้นตอนการติดตั้งกันเลยครับ วิธีการติดตั้ง Apache2 Web Server 1. ทำการติดตั้ง Apache ผ่าน apt-get ดังนี้ครับ # sudo apt-get install -y apache2 2. ให้ทำการ Restart Apache ด้วยคำสั่ง # sudo service apache2 restart จะเห็นได้ว่าจะมี Warning เกี่ยวกับ Domain Name ไม่ต้องตกใจครับ สามารถใช้งานได้ แต่เพราะยังไม่ได้จด Domain ให้กับ IP เครื่องที่ติดตั้ง ทุกครั้งที่ Restart ก็จะมีการฟ้องจนกว่าจะจดครับ ถ้าไม่ต้องการให้ขึ้น Warning ดังกล่าว ให้ทำการแก้ไขไฟล์ /etc/apache2/apache2.conf ดังนี้ – เปิดไฟล์ /etc/apache2/apache2.conf sudo nano /etc/apache2/apache2.conf – เพิ่มข้อความท้ายไฟล์ดังนี้ (วิธีการ save ให้กด Ctrl-X แล้วกด y แล้ว enter) ServerName localhost 3. จากนั้นทำการ Restart Apache อีกครั้งจะไม่พบข้อความ Warning อีกแล้ว # sudo service apache2 restart 4. ทำการทดสอบเข้าใช้งาน HTTP โดยพิมพ์คำสั่ง http://หมายเลขไอพีของเซิร์ฟเวอร์ เช่น http://192.168.99.1 5. ในกรณีที่ต้องการติดตั้ง SSL ให้พิมพ์คำสั่งเพื่อเปิด site ดังนี้ sudo a2enmod ssl sudo a2ensite default-ssl 6. จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ # sudo service apache2 restart 7. ทำการทดสอบเข้าใช้งาน HTTPS โดยพิมพ์คำสั่ง https://หมายเลขไอพีของเซิร์ฟเวอร์ เช่น https://192.168.99.1 8. ในกรณีที่ต้องการยกเลิกการติดตั้ง SSL ให้พิมพ์คำสั่งเพื่อปิด site ดังนี้ sudo a2dismod ssl sudo a2dissite default-ssl 9. จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ # sudo service apache2 restart *หมายเหตุ วิธีการดู IP ให้พิมพ์ดังนี้ ifconfig ให้วิธีการดูให้สังเกตุตามรูปตัวอย่าง – eth0 เป็น ip จาก nat interface – eth1 เป็น ip จาก bridge interface – lo เป็น ip จาก loopback interface วิธีการเปลี่ยน Apache Server Default Port *ยกตัวอย่างการเปลี่ยนจาก port 80->8080 1. เปิดไฟล์ /etc/apache2/sites-enabled/000-default.conf sudo nano /etc/apache2/sites-enabled/000-default.conf 2. แก้ไขข้อความในไฟล์ดังนี้ (วิธีการ save ให้กด Ctrl-X แล้วกด y แล้ว enter) <VirtualHost *:8080> 3. เปิดไฟล์ /etc/apache2/ports.conf sudo nano /etc/apache2/ports.conf 2. แก้ไขข้อความในไฟล์ดังนี้ (วิธีการ save ให้กด Ctrl-X แล้วกด y แล้ว enter) Listen 8080 3. จากนั้นให้สั่ง

Read More »

Server High Availability คืออะไร

“เคยได้ยินคำว่า Server เรามี Uptimeถึง 99% ไหม”  High Availability มีชื่อย่อในวงการสั้น ๆ ว่า HA องค์กรหรือหน่วยงานมากมายในปัจจุบันมีการวัดประสิทธิภาพการให้บริการด้วย HA โดยจะมีหน่วยการวัดที่เรียกว่า Uptime ซึ่งคิดจากเวลาเป็น % ของการให้บริการ โดยมีชื่อเรียกระดับการให้บริการตามตารางดังนี้ Availability % Downtime per year Downtime per month* Downtime per week 90% (“one nine”) 36.5 days 72 hours 16.8 hours 95% 18.25 days 36 hours 8.4 hours 97% 10.96 days 21.6 hours 5.04 hours 98% 7.30 days 14.4 hours 3.36 hours 99% (“two nines”) 3.65 days 7.20 hours 1.68 hours 99.5% 1.83 days 3.60 hours 50.4 minutes 99.8% 17.52 hours 86.23 minutes 20.16 minutes 99.9% (“three nines”) 8.76 hours 43.8 minutes 10.1 minutes 99.95% 4.38 hours 21.56 minutes 5.04 minutes 99.99% (“four nines”) 52.56 minutes 4.32 minutes 1.01 minutes 99.999% (“five nines”) 5.26 minutes 25.9 seconds 6.05 seconds 99.9999% (“six nines”) 31.5 seconds 2.59 seconds 0.605 seconds 99.99999% (“seven nines”) 3.15 seconds 0.259 seconds 0.0605 seconds ระดับที่หลายหน่วยงานหรือหลายอุปกรณ์พยายามจะโฆษณา จะอยู่ที่ระดับ Five nines หรือ Uptime 99.999% นั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าจะมี Downtime แค่ 5.26 นาที ต่อปีเท่านั้น ซึ่งมองในด้านอุปกรณ์เครือข่าย จะมีปัจจัยน้อยที่จะทำให้เกิด Downtime แต่ในส่วนของ Server นั่นจะมีปัจจัยมากกว่าเพราะประกอบด้วยอุปกรณ์มากชิ้น แต่ปัญหาดังกล่าวในปัจจุบันน้อยลง หลังจากเข้าสู่ยุคของ Cluster หรือ Cloud เพราะจะมีเครื่องคอยทำงานแทนกันอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ตัวอย่างการทำ HA ระดับองค์กร โดยคำว่า HA มักจะใช้คู่กับสิ่งที่เราจะต้องการจะสื่อว่าจะทำอย่างไรให้ระบบมี Uptime สูง ๆ เช่น Server High Availability ก็คือทำให้เครื่อง Server มีการให้สามารถทำงานได้โดยไม่ Hang ไม่ดับ ถ้าใช้กับคำว่า Web Server High Availability ก็หมายความว่า จะทำอย่างไรให้สามารถให้บริการ Web Site โดยไม่มีอาการล่ม ซึ่งบางครั้งเราจะมีการ ตัด Downtime ที่เป็นการวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว หรือเรียกสั้น ๆ ว่าการ Maintenance ระบบนั่นเอง การที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า HA ก็มีอยู่

Read More »

WorkShop : Load Balance Web Server (Server High Availability)

“ทำไม Web ล่มบ่อยจัง, ทำอย่างไรได้บ้างถ้าไม่ต้องซื้อ Server แพง ๆ เพื่อใช้งานหนักเพียงไม่กี่วัน, Web ล่มแล้วจะติดต่อใครได้บ้าง” คำถามเหล่านี้เคยกวนใจคุณบ้างหรือเปล่า ? ขอนำเสนอวิธีการง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้ โดยในเนื้อหาหลักจะอธิบายแบบกว้าง ๆ และผมจะแยกเขียน blog อธิบายแบบละเอียดเป็นหัวข้อ ๆ ไปนะครับ ถ้าใครไม่เข้าใจสามารถคลิกเข้าไปดูเป็นเรื่อง ๆ ได้ครับ Workshop Outline ftp://ftp.psu.ac.th/pub/psu-lbs/workshop-outline.pdf เครื่องที่ใช้ในการทดสอบ (Oracle VM VirtualBox) *แนะนำให้เปิดกับโปรแกรม version ล่าสุด ** User : testlab , Password : 123456 มีทั้งหมด 3 เครื่อง เป็น Web Server 2 เครื่อง และเครื่องสำหรับทำ Load Balance 1 เครื่อง สามารถ Download ได้ตาม Link นี้ รายละเอียด URL Ubuntu Load Balance Server Ubuntu Web Server 1 Ubuntu Web Server 2 http://ftp.psu.ac.th/pub/psu-lbs/workshop.ova โดยจะแบ่งเป็น 7 ตอนโดยแยกเป็น 7 Blog ดังนี้ ตอนที่ ชื่อตอน ตอนที่ 1 Server High Availability คืออะไร ตอนที่ 2 การติดตั้ง Apache2 + PHP5 บนเครื่อง Ubuntu 14.04 LTS ตอนที่ 3 การติดตั้ง Lighttpd + PHP5 บนเครื่อง Ubuntu 14.04 LTS ตอนที่ 4 การติดตั้งโปรแกรมตรวจสอบประสิทธิภาพ Server : Apache Jmeter บนเครื่อง Windows ตอนที่ 5 การทดสอบประสิทธิภาพ Web Server ประเภท Static Page : Apache2 vs Lighttpd บนเครื่อง Ubuntu 14.04 LTS ตอนที่ 6 การตรวจสอบสถานะการให้บริการ Web Server ด้วย WGET และสร้าง Shell Script เพื่อตรวจสอบอัตโนมัติ ตอนที่ 7 การสร้างระบบ Load Balance Web Server ด้วยวิธีการ URL Redirect บทความเพิ่มเติม วิธีการเขียน Script ตรวจสอบ Server Performance สำหรับเครื่อง Linux Server วิธีการเขียน Script ตรวจสอบ Server Performance สำหรับเครื่อง Windows 2008 R2 วิธีการ Sync Source Code ระหว่างเครื่อง Linux (กำลังดำเนินการ) วิธีการ Sync Source Code ระหว่างเครื่อง Windows (กำลังดำเนินการ)  

Read More »

Upgrade / Patch VMWare Esxi 5.5 สำหรับปิดช่องโหว่ HeartBleed

VMWare Esxi 5.5 ทั้งใน Version ปกติ และ Version Update 1 อยู่ในข่ายมีช่องโหว่ HeartBleed ในกรณีที่ซื้อ License ก็จะมีวิธีการทำแบบนึง แต่ที่จะนำเสนอเป็นวิธีสำหรับเครื่อง Free License (วิธีนี้ใช้สำหรับ Upgrade Version Esxi ได้เช่นกัน) วิธีการเปิดใช้งาน SSH บน VMWare ESXi 5.5 ผ่าน Vsphere Client 1. ขั้นตอนแรกเข้า vsphere client ไปยัง Menu Configuration->Security Profile->Properties 2.ทำการ Start SSH Service (หลังจาก Restart Server ต้องทำใหม่นะครับ ไม่แนะนำให้เปิดทิ้งไว้) 3. หลังจากนั้นให้ทดสอบ ssh เข้าไปให้ได้ prompt ครับ สำหรับ 5.5 ที่ออกมาชุดแรกจะมีเลข Build 1331820 ซึ่งเราต้อง Upgrade เป็น 5.5 U1 ก่อน (ประมาณ Windows Service Pack 1) ซึ่ง U1 ก็ยังมีช่องโหว่นะครับ ต้อง Upgrade Patch อีกครั้งให้ได้ Build 1746018 ซึ่งปิดช่องโหว่แล้ว อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ http://kb.vmware.com/selfservice/microsites/search.do?language=en_US&cmd=displayKC&externalId=2076665 VMWare Esxi 5.5 -> 1331820 VMWare Esxi 5.5 U1 -> 1623387 VMWare Esxi 5.5 U1 + Patch HeartBleed -> 1746018 วิธีการ Upgrade จาก 5.5 -> 5.5 U1 1. เข้าไปยัง Web vmware : https://www.vmware.com/patchmgr/findPatch.portal เพื่อไปโหลดไฟล์ Patch ครับ ให้เลือก Version ดังรูปจากนั้นกด search 2. ทำการ Download ไฟล์ update-from-esxi5.5-5.5_update01 ซึ่งหลังจาก Patch Upgrade แล้วจะได้ BUILD : 1623387 3. หลังจากนั้นกลับมายัง Vsphere Client ไปยังเมนู Configuration -> Storage -> เลือก Datastore ที่ต้องการเก็บไฟล์ Patch -> Browse Datastore 4. กดปุ่ม Upload File ดังภาพ 5. ให้สังเกตุตำแหน่งที่วางไฟล์ จากรูปจะว่างไปยัง root folder ของ Datastore : DISK1 จากนั้นทำการเลือกไฟล์ในเครื่องที่เราโหลดไว้ชื่อ update-from-esxi5.5-5.5_update01.zip 6. จะปรากฎกล่องข้อความเตือนว่าถ้ามีไฟล์ชื่อเหมือนกันจะทำการทับไฟล์ทันทีจะดำเนินการต่อไหม ให้ตอบ Yes 7. จะปรากฎกล่องข้อความแสดงสถานะการ Upload File ดังภาพ 8. จากนั้นกลับมายัง SSH ทำการพิมพ์คำสั่ง เพื่อ Upgrade Patch ~ # esxcli software vib update –depot /vmfs/volumes/[Datastore]/update-from-esxi5.5-5.5_update01.zip 9. หลังจาก Upgrade Patch เสร็จให้ทำการสั่ง Reboot ดังรูป วิธีการ Upgrade จาก 5.5

Read More »

การตั้งค่า PSU Email สำหรับ Android device

การตั้งค่า PSU Email สำหรับ Android device โดยใช้ app Email (ที่ติดตั้งมาพร้อมกับเครื่อง) บางท่านอาจจะเจอปัญหาว่า เช็คเมลล์เข้าได้ แต่ไม่สามารถส่งเมลล์ออกได้ ลองทำตามขั้นตอนนี้ดูนะครับ ^^ 1. ไปที่ไอคอน Email บน android 2. ใส่ email address และ password 3. กดปุ่ม Next 4. รอการตรวจเช็คสักครู่ 5. เลือก IMAP account 6. ในส่วนของ Incoming server settings ให้ใส่ IMAP server ให้เป็น mail.psu.ac.th Port : 143 จากนั้น กดปุ่ม Next 7. ในส่วนของ Outgoing server settings ให้ใส่ ให้ใส่ SMTP server ให้เป็น smtp2.psu.ac.th Security type : TLS Port : 587 จากนั้น กดปุ่ม Next 8. กำหนดค่า Account options หากไม่ต้องการปรับแก้ ก็ให้กดปุ่ม Next ได้เลย 9. ทำการระบุ account a name และ display name หรือหากไม่ต้องการปรับเปลี่ยน ก็ให้กดปุ่ม Done เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการตั้งค่า   *** การตั้งค่าบน android นี้ จะเหมือนกับการตั้งค่าที่ Outlook Express เพียงแต่ว่าจะต่างกันตรงที่ จะต้องกำหนดค่า Security type  เป็น TLS refer : วิธีตั้งค่า PSU Email สำหรับ Outlook Express

Read More »