เรียนรู้วิธีการ Import ข้อมูลในรูปแบบไฟล์ Excel ในแบบ Single และ Multiple sheet ด้วย ASP.NET (C#)

            “ข้อมูล” นับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญในการทำงานหรือการแสดงผลข้อมูลของระบบหรือเว็บไซต์ในปัจจุบัน ซึ่งอาจมีที่มาจากการจัดการเองผ่านระบบจัดการข้อมูล (Back office) หรือมีการนำเข้าจากแหล่งอื่นเนื่องจากข้อมูลที่ต้องการบันทึกเข้าสู่ระบบดังกล่าวอาจมีจำนวนมาก ทำให้การป้อนข้อมูลผ่านระบบทีละรายการเป็นไปอย่างลำบากและเกิดความผิดพลาดได้โดยง่าย เช่น ข้อมูลการเงิน ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น อีกทั้งยังพบว่ามีบางกรณีที่ผู้ใช้มีความต้องการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลและส่งออกมาในรูปแบบไฟล์อื่นๆเพื่อนำไปประมวลผลต่อไปได้โดยง่าย ซึ่งโดยทั่วไปผู้ใช้มักเก็บข้อมูลเหล่านี้ในรูปแบบไฟล์ต่างๆ เช่น ไฟล์ Excel หรือ ไฟล์ Access ดังนั้น นักพัฒนาของระบบที่มีความต้องการจัดการข้อมูลในลักษณะนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อมูลตามรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งในบทความนี้ ผู้เขียนขอเสนอวิธีการ Import ข้อมูลให้ออกมาในรูปแบบไฟล์ Excel พัฒนาโดยใช้ ASP.NET ด้วย C# เนื่องจากเป็นกรณีความต้องการที่พบบ่อยและสามารถนำข้อมูลจากไฟล์ไปใช้งานต่อได้โดยง่าย ซึ่งจะพูดทั้งในลักษณะแบบ Single sheet และแบบ Multiple sheet เพื่อที่จะช่วยให้ผู้พัฒนาที่มีความสนใจสามารถเห็นภาพการทำงานโดยรวม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบที่ท่านกำลังพัฒนาอยู่ได้ กรณีนำเข้าข้อมูล(Import) ซึ่งในบทความนี้จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ การนำเข้าข้อมูลแบบ Single sheet ถือเป็นการนำเข้าในแบบทั่วไป ไม่ซับซ้อนมากนัก ฝั่ง Client <%@ Page Language=”C#” AutoEventWireup=”true” CodeFile=”Excel.aspx.cs” Inherits=”ExcelTest” %> <!DOCTYPE html PUBLIC “-//W3C//DTD XHTML 1.0 Transitional//EN” “http://www.w3.org/TR/xhtml1/DTD/xhtml1-transitional.dtd”> <html xmlns=”http://www.w3.org/1999/xhtml”> <head runat=”server”> <title></title> </head> <body> <form id=”form1″ runat=”server”> <asp:FileUpload ID=”FileUpload1″ runat=”server” /> <div> <asp:GridView ID=”GridView” runat=”server”> </asp:GridView> <asp:Button ID=”btnImport” runat=”server” onclick=”btnImport_Click” Text=”Import” /> </div> </form> </body> </html> ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ protected void btnImport_Click(object sender, EventArgs e) { try { ////เป็นการกำหนดชื่อของไฟล์ที่ต้องการจะบันทึกลงเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีการระบุพาธรวมทั้งนามสกุลของไฟล์ตามไฟล์ที่รับเข้ามา string fileName =  Path.Combine(Server.MapPath(“~/ImportDocument”), Guid.NewGuid().ToString() + Path.GetExtension(FileUpload1.PostedFile.FileName)); ////บันทึกไฟล์ดังกล่าวลงเซิร์ฟเวอร์ FileUpload1.PostedFile.SaveAs(fileName); string conString = “”; string ext = Path.GetExtension(FileUpload1.PostedFile.FileName); ////เป็นส่วนของเงื่อนไขในการตั้งค่า ConnectionString ในการอ่านไฟล์ Excel ด้วย OleDb ซึ่งจะแยกด้วยนามสกุลของไฟล์ Excel ที่รับมา if (Path.GetExtension(ext) == “.xls”) { conString = “Provider=Microsoft.Jet.OLEDB.4.0;Data Source=” + fileName + “;Extended Properties=\”Excel 8.0;HDR=Yes;IMEX=2\””; } else if (Path.GetExtension(ext) == “.xlsx”) { conString = @”Provider=Microsoft.ACE.OLEDB.12.0;Data Source=” + fileName + “;Extended Properties=’Excel 12.0;HDR=YES;IMEX=1;’;”; } ////เป็นการเปิดการเชื่อมต่อผ่าน OleDb OleDbConnection con = new OleDbConnection(conString); if (con.State == System.Data.ConnectionState.Closed) { con.Open(); } DataTable dtExcelSchema; dtExcelSchema = con.GetOleDbSchemaTable(OleDbSchemaGuid.Tables, null); ////ดึงค่าชื่อของ Worksheet ที่อ่านมาจากไฟล์ Excel ที่รับเข้ามา string SheetName = dtExcelSchema.Rows[0][“TABLE_NAME”].ToString(); ////เขียนคำสั่งในการดึงข้อมูลจาก Worksheet ดังกล่าว ซึ่งลักษณะการทำงานจะคล้ายกับการเขียนคำสั่ง sql command ในการดึงข้อมูลตารางโดยทั่วไป

Read More »

รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 3 จบ)

สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านบทความก่อนหน้านี้ ตามลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ: รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 1) รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 2) มาถึงตอนสุดท้ายของบทความรวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ ตอนนี้มาช้าเนื่องจากผู้เขียนติดธุระทั้งวัน กว่าจะได้กลับมาเขียนก็ค่ำแล้ว ต้อขอโทษผู้อ่านด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราไปติดตามแนวคิดข้อถัดไปกันเลยครับ แนวคิดที่ 21 : Try Exposing Options instead of hiding them. _____แนวคิดนี้กล่าวถึงการนำเอา DropdownList มาใช้สำหรับให้ผู้ใช้เลือกตัวเลือกสำคัญๆในหน้าจอนั้น อาจทำให้ผู้ใช้เลือกตัวเลือกไม่ตรงตามที่ต้องการหรือเกิดข้อผิดพลาดจากการคลิก ทำให้ข้อมูลที่ได้ไม่ตรงตามต้องการ หรือส่งผลให้เป็นการโน้มน้าวใจผู้ใช้ให้เลือกตัวเลือกที่ถูกตั้งค่าเริ่มต้นกรณีที่ผู้ใช้ยังตัดสินใจไม่ได้ หรือในกรณีตัวเลือกที่มีให้เลือกนั้นมีจำนวนน้อย นอกจากการใช้ Dropdownlist ก็อาจเปลี่ยนมาใช้ Radio Button แทนได้ จะทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นตัวเลือกได้อย่างชัดเจน ลดขั้นตอนในการทำงานของผู้ใช้ได้อีกด้วย DropdownList จึงเหมาะกับกรณีที่มีตัวเลือกที่หลากหลายมากกว่า แนวคิดที่ 22 : Try Showing State instead of being state agnostic. _____ในหัวข้อที่ผ่านมาได้มีการกล่าวถึงการออกแบบให้รองรับสำหรับการแสดงผลแบบตารางกรณีที่ไม่มีค่าข้อมูลหรือเท่ากับ 0 นั้นเอง ซึ่งในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงการออกแบบสำหรับกรณีที่มีข้อมูลที่นอกจากจะนำข้อมูลมาแสดงผลแล้ว การแจ้งสถานะของข้อมูลในแต่ละรายการ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ใช้รับทราบถึงผลการทำงานได้ เช่นการแสดงผลของรายการอีเมล์พร้อมทั้งแสดงสถานะว่าอ่านแล้วหรือยังไม่อ่าน รายการเรียกเก็บภาษีพร้อมแสดงสถานะว่ารายการนี้ชำระแล้ว เป็นต้น ส่งผลให้ผู้ใช้รู้ว่าควรจะดำเนินการส่วนไหนต่อ หรือสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้นได้ผลลัพธ์เป็นเช่นไร แนวคิดที่ 23 : Try Direct Manipulation instead of contextless menus. _____ก่อนหน้านี้มีแนวคิดเกี่ยวกับการให้รวมเมนูต่างๆที่ซ้ำกัน มาไว้ในที่เดียวกันทั้งหมด เพื่อผู้ใช้จะสะดวกในการเรียกใช้เมนู แต่ในกรณีของแนวคิดนี้จะเป็นการให้เราแยกเมนูต่างๆลงไปยังรายการนั้นๆ เมื่อข้อมูลในแต่ละรายการ มีการเรียกใช้เมนูที่ไม่เหมือนกันหรือผู้ใช้สามารถจัดการกับข้อมูลแต่ละรายการได้มากน้อยไม่เท่ากัน การออกแบบให้เมนูอยู่คู่กับรายการจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สับสนได้ว่าทำไมบางรายการถึงกดใช้เมนูในแถบเมนูไม่ได้ และลดขั้นตอนที่ผู้ใช้ต้องทำการเลือกรายการก่อนถึงจะไปเรียกใช้เมนูได้ ถามว่าแนวคิดไหนผิด ผู้เขียนขอตอบว่าไม่มีแบบไหนผิด แต่ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานมากกว่าครับ แนวคิดที่ 24 : Try Opt-Out instead of opt-in. _____ในการออกแบบเงื่อนไขแบบ 2 ตัวเลือกนั้น ปัจจุบันส่วนใหญ่นักออกแบบจะใช้ Checkbox มาใช้ในการเลือกเงื่อนไขกันอย่างแพร่หลาย เช่น ให้ติ๊กยอมรับผล หรือให้ติ๊กถ้าต้องการอีเมล์ตอบรับจากระบบ เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่เราออกแบบโดยใช้ Checkbox จะทำให้ผู้ใช้เสียโอกาสต่างๆพอสมควรและเป็นการแสดงตัวเลือกได้ไม่ชัดเจนนักเนื่องจากบางครั้งผู้ใช้อาจลืมไม่ได้เลือกติ๊กรายการต่างๆ การเปลี่ยนมาใช้ Radio Button เราจะสามารถทราบถึงผลลัพธ์ ที่แน่นอนกว่าและลดกรณีที่ผู้ใช้ลืมไม่ได้ติ๊กเลือกรายการที่ต้องการได้ และไม่เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้ใช้อีกด้วย แนวคิดที่ 25 : Try Smart Defaults instead of asking to do extra work. _____มาตั้งค่าเริ่มต้นกันเถอะ เมื่อพูดถึงค่าเริ่มต้นในการกรอกข้อมูลแล้ว อาจเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก ยิ่งเป็นระบบที่กลุ่มผู้ใช้หลากหลาย การกำหนดค่าเริ่มต้นจึงทำได้ยากมาก โดยส่วนใหญ่จะยึดค่าเริ่มต้นตามกลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่ ซึ่งค่าเหล่านี้ต้องได้มาจากการรวบรวมข้อมูลของกลุ่มผู้ใช้และใช้ประสบการณ์ของผู้ออกแบบมากพอสมควร ซึ่งข้อนี้ผู้เขียนคิดว่าต้องระวังเป็นพิเศษ ถ้าออกแบบมาดีตรงตามกลุ่มผู้ใช้ส่วนใหญ่ ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้สะดวกสบายในการกรอกข้อมูลยิ่งขึ้นไปด้วย แถมเป็นการลดเวลาในการใช้งานระบบไปในตัว แต่ถ้าออกแบบมาไม่ดี จะส่งผลให้ผู้ใช้เสียเวลามากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แนวคิดที่ 26 : Try Inline Validation instead of delaying errors. _____การกรอกข้อมูลมักจะมาคู่กับการออกแบบเงื่อนไขเพื่อรองรับความผิดพลาดจากการกรอกข้อมูล ซึ่งผู้ออกแบบสามารถใช้เครื่องมือ Validater มาช่วยในการตรวจสอบข้อมูลตามเงื่อนไขที่เราต้องการได้ และเมื่อผู้ใช้งานกรอกข้อมูลไม่ตรงตามเงื่อนไข ก็ควรที่จะแจ้งเตือนความผิดพลาดทันทีเมื่อจบการทำงานในส่วนของการกรอกข้อมูลช่องนั้นๆ แทนการแจ้งเตือนความผิดพลาดทั้งหมดภายหลัง เพื่อผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาในการย้อนกลับมาตรวจสอบข้อมูลว่าส่วนไหนของรายการที่ผิดพลาดไป และลดความกลัวหรือกังวลให้กับผู้ใช้ได้กรณีที่ผู้ใช้ทราบผลการแจ้งเตือนของข้อมูลที่ผิดพลาดหลายรายการพร้อมๆกัน แนวคิดที่ 27 : Try Forgiving Inputs instead of being strict with data. _____แนวคิดนี้ต่อเนื่องมาจากข้อก่อนหน้านี้ที่พูดถึงการตั้งค่าเงื่อนไขเพื่อตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกเข้าสู่ระบบ ซึ่งควรออกแบบให้มีความหลากหลายในการกรอกข้อมูลแทนที่การจำกัดเงื่อนไขในการกรอกแบบตายตัว ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่เป็นมิตรกับระบบได้ แต่การออกแบบให้รองรับการกรอกข้อมูลหลายรูปแบบนั้น ค่อยข้างจะทำได้ยากและเสียเวลาในส่วนของการพัฒนาโปรแกรม เช่นการกรอกข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ รูปแบบในการกรอกค่อนข้างมีหลากหลาย ไม่ว่าจะใส่วงเล็บ ใส่เครื่องหมายขีดกลาง แม้กระทั้งเว้นวรรคระหว่างกลุ่มตัวเลข ในด้านการเขียนโปรแกรมอาจเขียนได้ยากพอสมควร แต่สำหรับด้านการใช้งานถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกและลดเวลาในการกรอกข้อมูลแก่ผู้ใช้ได้เช่นกัน แนวคิดที่ 28 : Try Progressive Disclosure instead of

Read More »

รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 2)

ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 แนะนำให้อ่านก่อนครับ ที่: รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 1) มาต่อกันกับบทความรวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ ตอนที่ 2 ซึ่งในชุดบทความนี้จะมีทั้งหมด 3 ตอน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปเริ่มข้อต่อไปกันเลยดีกว่าครับ แนวคิดที่ 11 : Try Merging Similar Functions instead of fragmenting the UI. _____แนวคิดนี้จะพูดถึงการจัดกลุ่มเมนูหรือลิงค์ที่มีการทำงานไปยังส่วนเดียวกันหรือเปิดไปทำงานในอีกหน้าจอ การออกแบบให้สิ่งเหล่านี้กระจายไปอยู่ตามจุดต่างๆของหน้าจอ อาจทำให้ดูเหมือนเข้าถึงได้ง่าย แต่จริงๆแล้วกลับส่งผลให้หน้าจอดูรกขึ้นมาโดยทันที และอาจจะทำให้ผู้ใช้งานสับสนได้กับเมนูที่มีซ้ำกันในหน้าจอ การย้ายเมนูหรือลิงค์ดังกล่าวมาอยู่รวมกันเป็นเมนูเดียวหรือสร้างเป็นเมนูย่อยจะทำให้หน้าจอของเรามีพื้นที่ใช้งานมากขึ้นด้วยครับ แนวคิดที่ 12 : Try Repeating Your Primary Action instead of showing it just once. _____สำหรับนักออกแบบ UI หลายท่าน การออกแบบให้มีปุ่มหรือลิงค์หลักกับผู้ใช้เพียงจุดเดียวเป็นสิ่งที่ดูเหมาะสมแล้ว แต่เมื่อนำไปใช้งานจริงบางกรณีอาจทำให้ผู้ใช้งานหน้าจอไม่สะดวกในการใช้งาน มักจะเกิดกับหน้าจอที่มีข้อมูลมากส่งผลให้เกิดสกอร์บาร์ขึ้น เมื่อผู้ใช้งานเลื่อนหน้าจอขึ้นลง ปุ่มหรือลิงค์หลักอาจหายไปจากหน้าจอได้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานต้องเลื่อนหน้าจอไปมาเพื่อที่จะกลับไปกดปุ่มหรือลิงค์ดังกล่าว กรณีนี้ควรเพิ่มปุ่มหรือลิงค์ขึ้นมาในส่วนล่างสุดและบนสุดของหน้าจอ โดยปุ่มหรือลิงค์ดังกล่าวควรมีหน้าตาที่เหมือนหรือคล้ายกันเพื่อไม่ให้ผู้ใช้เกิดความสับสน แนวคิดที่ 13 : Try Suggesting Continuity instead of false bottoms. _____จากที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ในการออกแบบรูปแบบการแสดงผลของบทความแบบคอลัมน์เดียวนั้น กรณีที่บทความนั้นยาวมาก หรือเป็นบทความหลายๆเรื่องต่อๆกันไปนั้น ผู้ออกแบบหน้าจอควรมีการเพิ่มช่องว่างหรือลำดับที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงของบทความเมื่อมีการขึ้นเรื่องใหม่หรือย่อหน้าใหม่ แทนการออกแบบให้บทความนั้นๆยาวต่อกันไปเรื่อยๆ เมื่อผู้ใช้เข้ามาอ่านบทความแล้วจะได้ไม่เกิดความสับสนหรือหาจุดที่อ่านต่อไม่เจอเมื่อมีการเลื่อนสอร์บาร์ แต่ข้อควรระวังคือ อย่าใส่ช่องว่างระหว่างบทความมากจนเกินไป จนทำให้ผู้ใช้รุ้สึกว่าบทความนั้นๆจบแล้ว แนวคิดที่ 14 : Try Visual Hierarchy instead of dullness. _____แนวคิดนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจในการออกแบบหน้าจอแสดงผลบทความแบบคอมลัมน์เดียว คือการจัดตัวนำสายตาหรือก็คือการจัดหน้าจอแบบการย่อหน้าเป็นลำดับชั้น ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการใส่เลขที่หัวข้อข้อย่อยในเอกสารจำพวก MS Word จะมีการเลื่อนระดับย่อหน้าเข้าไปเรื่อยๆตามลำดับชั้นที่เล็กลงไป วิธีนี้จะง่ายกับผู้ที่กำลังอ่านบทความได้ เพราะผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าบทความนี้จะจบลงที่ส่วนไหนของหน้าจอและผู้ใช้อาจไม่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเลย เราสามารถนำวิธีการนี้ไปใช้ร่วมกับการออกแบบในข้อก่อนหน้านี้ได้ แนวคิดที่ 15 : Try Grouping Related Items instead of disordering. _____การจัดกลุ่มรายการเครื่องมือการใช้งานพื้นฐานก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการออกแบบเพื่อผู้ใช้โดยเฉพาะ ซึ่งการจัดกลุ่มควรยึดตามหลักพื้นฐานทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นส้อมต้องคู่กับช้อน เป็นต้น หรือจัดกลุ่มตามประสบการ์ณการทำงานของผู้ใช้ เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เข้าใจได้โดยไม่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม การจัดกลุ่มและเรียงลำดับเครื่องมือจึงช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจการทำงานของเครื่องมือๆนั้นได้มากขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้น แนวคิดที่ 16 : Try Thanking instead of simply confirming completion. _____การขอบคุณดูเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่เมื่อนำมาใช้ใน UI ของเราจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยยกระดับ UI ของเราให้ดูดียิ่งขึ้น โดยให้มีการออกแบบการแสดงผลข้อความขอบคุณเมื่อผู้ใช้มีการกระทำบางอย่างที่เราต้องการในหน้าจอนั้นๆ นอกจากการแสดงผลรับหรือรายงานผลว่าเสร็จสิ้นแล้ว การเพิ่มข้อความขอบคุณผู้ใช้ จะทำให้ผู้ใช้เกิดความรู้สีกว่าตัวเองมีคุณค่าและได้รับความสนใจจากระบบของเรา ส่งผลให้ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อระบบในแง่ดีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาใช้งานระบบของเราอีกครั้ง แนวคิดที่ 17 : Try Softer Prompts instead of modal windows. _____Popup ถือเป็นส่วนหนึ่งในการตอบโต้กับผู้ใช้ ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวถึงไปแล้วในข้อก่อนหน้านี้ ซึ่งในปัจจุบัน popup ที่นักออกแบบนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายก็คงไม่พ้น modal popup ข้อดีของมันคือไม่มีการเรียกใช้จาวาสคริปแบบ popup รุ่นก่อนๆส่งผลให้รองรับการทำงานทุกเบราเซอร์และจุดเด่นอีกอย่างคือการล๊อคหน้าจอไม่ให้ผู้ใช้งานทำงานในส่วนของเบื้องหลังได้กรณีที่ popup ทำงานอยู่ แต่จุดเด่นข้อนี้จะกลายเป็นข้อเสียทันทีเมื่อเรานำไปใช้แบบผิดวิธี เช่นการ popup ให้กรอกข้อมูล ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับข้อมูลที่อยู่ด้านหลัง popup ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ย้อนไปดูข้อมูลหรือนำข้อมูลดังกล่าวมาอ้างอิงในการตัดสินใจได้ หรือกรณี popup ทำการแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ไม่ทำการบันทึกข้อมูลเป็นเวลานานๆ หรือผู้ใช้ที่กำลังจดจ่อกับการกรอกข้อมูลหรือกำลังทำงานบางอย่างกับหน้าจออยู่ เมื่อมีการแสดผล popup ขึ้นมา จะเป็นการรบกวนสมาธิหรือขัดจังหวะผู้ใช้งานได้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่พอใจหรือตกใจได้ ดังนั้นการนำ popup ประเภทนี้ไปใช้งาน ผู้ออกแบบควรพิจารณาว่าเหมาะสมกับหน้าจอนั้นๆด้วยหรือไม่ แนวคิดที่ 18 : Try Expectation Setting instead of being ignorant. _____การออกแบบหน้าจอให้มีการแจ้งเตือนสถานะของผู้ใช้ในปัจจุบันหรือการแสดงให้ผู้ใช้ทราบว่ากำลังทำงานอยู่ในขั้นตอนไหน และยังเหลืออีกกี่ขั้นตอน หรืออาจออกแบบไปถึงขั้นตอนที่บอกว่าจะได้อะไรในการทำงานในหน้าจอนี้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานระบบรู้ถึงจุดประสงค์ของการทำงานในแต่ละขั้นตอนหรือหน้าจอได้ และยังทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกเป็นกังวลว่ายังเหลือสิ่งที่ต้องทำอีกมากน้อยเพียงใดหรือทำไปเพื่ออะไร แนวคิดที่

Read More »

มาทำความรู้จักกับ Validator ใน ASP.NET กันเถอะ

            ในการพัฒนาโปรแกรมโดยทั่วไป สิ่งหนึ่งที่นักพัฒนาควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญในการรับค่าข้อมูลจากผู้ใช้ คือ การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รับเข้า เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มาจะเป็นประโยชน์ สามารถนำไปใช้ในการประมวลผลต่อไปได้ และลดปัญหาการเก็บข้อมูลขยะไว้ในฐานข้อมูลซึ่งอาจทำให้ฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น อีกทั้งยังถือเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในกรณีเลวร้ายอาจมีผลกระทบทำให้ฐานข้อมูลเกิดความเสียหายได้ ดังนั้น การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนบันทึกถือเป็นสิ่งหนึ่งที่นับว่ามีความสำคัญสำหรับนักพัฒนาที่จะต้องคำนึงถึงในการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้             วิธีที่ใช้ในการตรวจสอบสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งเดิมผู้พัฒนาจะต้องเขียน Client-Script (อาจจะเป็น JavaScript VBScript หรือ JQuery) เพื่อใช้ในการตรวจสอบเองทั้งหมด โดยวิธีการนี้ผู้พัฒนาจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ Client Script เหล่านั้นพอสมควร และอาจต้องใช้เวลานานในกรณีที่มีการตรวจสอบที่ซับซ้อน แต่นับว่าเป็นโชคดีของนักพัฒนาที่ใช้เครื่องมือ ASP.NET ในการพัฒนาโปรแกรม เนื่องจาก .NET framework ได้จัดเตรียมเครื่องมือในการตรวจสอบเหล่านี้ไว้ให้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เวอร์ชั่น Visual Studio .NET 2003 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พัฒนาสามารถหยิบมาใช้ได้โดยง่าย ทำให้การตรวจสอบไม่ใช่เรื่องยากและซับซ้อนอีกต่อไป และยังถือเป็นการประหยัดเวลา ไม่จำเป็นต้องเขียนสคริปต์ตรวจสอบเองทั้งหมด เพียงกำหนด properties ต่างๆที่จำเป็นให้ validator เหล่านั้นและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการก็จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้โดยง่ายดาย ผู้เขียนจึงเห็นว่าการทำความเข้าใจกับความสามารถของ validator เหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือก validator มาใช้ให้เหมาะสมกับงานและความต้องการในการตรวจสอบนั้นๆ             หากแบ่ง Validator control ที่มีใน ASP.NET ตามลักษณะการทำงาน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ • การตรวจสอบข้อมูลในฝั่ง Client โดยการตรวจสอบข้อมูลในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นทันทีเมื่อผู้ใช้มีการป้อนข้อมูลเข้ามาและการตอบโต้นี้จะยังไม่มีการส่งค่าไปยังฝั่ง server ซึ่งข้อดีของการตรวจสอบในลักษณะนี้ คือ สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในเวลาอันรวดเร็วและแสดงให้ผู้ใช้ทราบได้ทันทีว่าเกิดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล โดยไม่ต้องรอให้มีการเรียกใช้ไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์ก่อนจึงจะตอบสนองกลับมายังผู้ใช้ และยังถือเป็นการลดจำนวนครั้งในเรียกใช้ไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์โดยไม่จำเป็น ซึ่งหลักการทำงานของ Validator ของ ASP.NET ในลักษณะนี้ คือ Validator จะทำหน้าที่แปลง Validation เป็น JavaScript และถูกทำงานที่ฝั่ง Client ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการทำงานของ Validation Control แต่ละประเภทที่ใช้นั่นเอง • การตรวจสอบข้อมูลในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยการตรวจสอบในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีข้อดี คือ สามารถเพิ่มความปลอดภัยและความแม่นยำในการตรวจสอบอีกระดับก่อนจะบันทึกข้อมูลเหล่านั้นลงฐานข้อมูลในกรณีที่อาจมีข้อมูลผิดพลาดที่ตกสำรวจมาจากการตรวจสอบในฝั่ง Client โดยการตรวจสอบในลักษณะนี้ ผู้พัฒนาจะเป็นผู้เขียนโค้ดในการตรวจสอบตามเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นเอง ซึ่ง ASP.NET ก็ได้มีการเตรียม validation control เพื่อรองรับการตรวจสอบในลักษณะนี้ไว้แล้วเช่นกัน โดย Validation control ที่มีเตรียมไว้ใน ASP.NET ประกอบด้วย Validator ชนิดต่างๆ ดังนี้ • RequiredFieldValidator • RegularExpressionValidator • RangeValidator • CompareValidator • CustomValidator • Validation Summary             เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ผู้เขียนจะขอพูดถึงการกำหนดค่า Properties ให้กับ validator หลักๆที่สำคัญที่ทุกตัวต้องมีไว้เป็นเบื้องต้น และจะเพิ่ม properties เพิ่มเติมที่แตกต่างจาก properties หลักของ validator แต่ละตัวดังนี้ • ID : เป็นการกำหนดชื่อ ID ให้กับตัว validator ซึ่งผู้เขียนแนะนำให้ตั้งชื่อให้สื่อความหมาย เพื่อง่ายต่อการต่อยอดในการพัฒนาร่วมกับผู้อื่น • ControlToValidate : เป็นการกำหนดว่าจะให้ validator ดังกล่าวทำการควบคุมและตรวจสอบ control หรือ element ตัวใดในหน้าจอ • Display : เป็นการกำหนดลักษณะในการแสดงผลของ validator ซึ่งมีด้วยกัน 3 แบบคือ o Static : แบบจองพื้นที่ในการแสดงผล validator กรณีมีข้อผิดพลาด แม้ไม่พบข้อผิดพลาด validator ก็จะยังคงจองพื้นที่ส่วนนั้นไว้เช่นกัน o Dynamic : จะแสดงผล validator เมื่อพบข้อผิดพลาด และเมื่อมีการแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวแล้ว Error message ของ validator ตัวดังกล่าวจะหายไปและลดพื้นที่ส่วนการแสดงผลให้เหมือนก่อนจะพบข้อผิดพลาด o None : ไม่แสดงผลบนหน้าจอ • Error Message : เป็นการกำหนดข้อความที่ต้องการให้แสดง

Read More »

รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 1)

     ปัจจุบันในการทำงานด้าน IT นั้น ผู้ทำงานต้องมีความสามารถหลายๆด้านเพื่อให้รองรับกับงานที่ได้รับ โดยงานส่วนใหญ่ก็คือการพัฒนาเว็บไซต์เป็นหลัก ซึ่งทำตั้งแต่เก็บ Requirement จนถึงส่งมอบลูกค้า ปัญหาใหญ่ของคนที่เป็นโปรแกรมเมอร์  เวลาทำเว็บไซต์ / แอพ คือจะขาดเซ้นส์ด้านดีไซน์  ไม่ว่าจะลองออกแบบยังไงก็เลือกสีได้ไม่โดน เลือกฟ้อนต์ได้ไม่สวยสักที หน้าจอผสมกันออกมาดูเละเทะ      วันนี้ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้ซึ่งอาจมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจและกำลังศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบ UI โดยเฉพาะกับคนที่ประสบปัญหาเดียวกับผู้เขียน  เลยนำบทความเทคนิคต่างๆมาเรียบเรียงเป็นภาษาไทยให้อ่านกัน ไม่ว่าคุณจะไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ หรือเป็นดีไซเนอร์ก็อยากแนะนำให้ลองอ่านดูครับ      ก่อนที่จะเข้าสู่รายละเอียดเรามาดูกันก่อนว่าภาพรวมทั้งหมดแล้วเกี่ยวกับอะไรบ้าง ________• การจัดวางเครื่องมือและองค์ประกอบต่างๆ ________• ส่วนตอบสนองกับผู้ใช้ ________• การนำเสนอและอำนวยความสะดวกกับผู้ใช้ แนวคิดที่ 1 : Try A One Column Layout instead of multicolumns. _____การจัดรูปแบบบทความให้มีเพียงคอลัมน์เดียวจะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมความต่อเนื่องของบทความได้ดี ช่วยอำนวยความสะดวกและสามารถกำหนดทิศทางการอ่านบทความของผู้อ่านได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากมีเพียงการเลื่อนขึ้นและลงเท่านั้น ในขณะที่การจัดบทความแบบหลายคอลัมน์จะทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน ส่งผลให้ผู้อ่านเสียสมาธิหรือหมดความสนใจในบทความดังกล่าวได้ แนวคิดที่ 2 : Try Distinct Clickable/Selected Styles instead of blurring them. _____ในการออกแบบหน้าจอโดยเฉพาะส่วนของ links, buttons สิ่งที่กำลังถูกเลือก(chosen items) และข้อความ(text)หรือบทความ(content) ควรออกแบบให้ไปในรูปแบบเดียวกันหมดทุกๆหน้าจอ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานไม่สับสนหรือต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมในรูปแบบพื้นฐานที่ได้ออกแบบไว้ ดังตัวอย่างภาพทางด้านซ้าย โดยผู้ออกแบบเลือกสีฟ้าแทนในส่วนของ links, buttonsและสีดำแทนส่วนที่กำลังถูกเลือก(chosen items) และสีเทาแทนข้อความโดยในแต่ละองค์ประกอบใช้รูปแบบเดียวกันภายในองค์ประกอบนั้น ส่วนในภาพทางด้านขวา เป็นการเลือกสีและรูปแบบที่หลากหลายในองค์ประกอบเดียวกันซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้สับสนกับหน้าจอดังกล่าวได้ แนวคิดที่ 3 : Try More Contrast instead of similarity. _____การเพิ่มความน่าสนใจหรือการยกระดับความคมชัดในส่วนขององค์ประกอบสำคัญๆส่งผลให้เกิดความแตกต่างจากองค์ประกอบรวมอื่นๆในหน้าจอจะเป็นการยกระดับ UI ของคุณให้มีประสิทธ์ภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทนสีที่เข้มขึ้น การไล่เฉดสีหรือการใส่เงาให้กับองค์ประกอบนั้นๆทำให้ผู้ใช้งานรับรู้ถึงองค์ประกอบสำคัญนั้นได้ทันทีจากการเข้าใช้งาน ช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวกและเข้าใจการทำงานของหน้าจอได้ง่ายยิ่งขึ้น แนวคิดที่ 4 : Try Fewer Borders instead of wasting attention. _____การจัดรูปแบบองค์ประกอบโดยใช้เส้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีการนำมาใช้เพื่อเพิ่มจุดน่าสนใจให้กับตัวUI ทั้งยังสามารถนำมาจัดหรือแบ่งขอบเขตของกลุ่มองค์ประกอบในหน้าจอได้อย่างชัดเจน จนบางครั้งนักออกแบบก็ใช้งานการจัดองค์ประกอบแบบนี้มากจนเกินจำเป็นไปในแต่ละส่วนของหน้าจอส่งผลให้กลุ่มองค์ประกอบนั้นถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิงและทำให้การควบคุมทิศทางของหน้าจอผิดจากที่ได้ตั้งเอาไว้ ดังนั้นการเลือกใช้เส้น ควรใช้แค่พอจำเป็นจนไม่ทำให้หน้าจอดูรกจนเกินไป เราอาจจะใช้วิธีอื่นๆมาช่วยในการจัดกลุ่มองค์ประกอบได้ ไม่ว่าจะใช้ช่องว่างระหว่างกลุ่มองค์ประกอบ การเน้นตัวอักษรหรือสีเป็นต้น แนวคิดที่ 5 : Try Designing For Zero Data instead of just data heavy cases. _____โดยทั่วไปแล้วเรามักจะออกแบบหน้าจอให้รองรับกับการแสดงข้อมูล ไม่ว่าเป็น 1, 10, 100 หรือเป็น 1000 ข้อมูลโดยบางทีเราอาจลืมออกแบบสำหรับกรณีที่ข้อมูลเป็น 0 ส่งผลให้เวลาแสดงหน้าจอ อาจเป็นหน้าจอว่างๆหรือมีการแจ้งเตือนว่าไม่พบรายการหรือข้อมูล โดยสำหรับนักออกแบบแล้วอาจคิดว่าไม่ส่งผลกระทบใดๆกับหน้าจอมากนัก แต่สำหรับผู้ใช้งานระบบที่เจอหน้าจอที่ว่างเปล่าแล้วอาจเกิดข้อสงสัยได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเกิดความสับสนว่าจะทำอะไรในขั้นตอนต่อไป ดังนั้นการออกแบบในส่วนของกรณีที่ไม่พบข้อมูลหรือรายการ อาจใส่ข้อความอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ไม่พบข้อมูลหรือแนะนำขั้นตอนที่จะทำให้เกิดข้อมูลต่างๆได้ ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่สะดุดและสะดวกกับการใช้งานระบบได้มากยิ่งขึ้น แนวคิดที่ 6 : Try Conventions instead of reinventing the wheel. _____การสื่อสารกับผู้ใช้ถือเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญในการออกแบบหน้าจอ ซึ่งในการออกแบบนั้น เราควรออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้งานของผู้ใช้ระบบหรือความเคยชินที่ผู้ใช้เคยได้ทำมาโดยตลอด ส่งผลให้หน้าจอที่ได้ออกแบบไว้ตอบสนองความต้องการและลดเวลาในการเรียนรู้หน้าจอเพิ่มเติม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีรูปแบบหลักๆอยู่พอสมควร เช่นการให้มีปุ้มปิดหน้าจอมุมบนขวา ปุ่มกดถัดไปอยุ่ด้านขวาและย้อนกลับอยู่ด้านซ้าย สัญลักษณ์รูปเฟืองสื่อถึงการตั้งค่า เป็นต้น แนวคิดที่ 7 : Try Bigger Click Areas instead of tiny ones. _____จากหัวข้อที่ 3 นี้ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่จะเพิ่มความน่าสนใจให้กับองค์ประกอบประเภท links, buttons ได้ คือการเพิ่มขยายหรือขอบเขตในการกดองค์ประกอบนั้นๆ เพราะในปัจจุบัน หน้าจอที่ได้ออกแบบไว้ถูกนำไปใช้งานในอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้นการออกแบบให้สิ่งเหล่านี้มีขนาดที่เหมาะสมในหน้าจอหนึ่ง อาจจะไม่สะดวกที่จะใช้งานในอีกหน้าจอหนึ่ง หรือการออกแบบให้ปุ่มกดหรือลิงค์เล็กจนเกินไป อาจส่งผลให้ผู้ใช้ไม่สะดวกกับการหาหรือกดสิ่งเหล่านั้นได้การขยายขนาดหรือขอบเขตของการกดจะช่วยให้ผู้ใช้สะดวกมากอีกขึ้น และยังมีวิธีการเพิ่มข้อความให้มีความยาวมากขึ้น หรือใช้ไอคอนร่วมกับข้อความ เป็นต้น แนวคิดที่ 8 : Try Icon Labels instead of opening for interpretation. _____ถ้าพุดถึงเรื่องของไอคอนแล้ว ไอคอนมีส่วนช่วยให้หน้าจอของเราดูดีขึ้นได้และยังทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจถึงการทำงานของไอคอนนั้นได้เกือบทันที แต่ในบางครั้งกลุ่มผู้ใช้งานบางกลุ่ม อาจจะไม่สามารถตีความหมายของไอคอนตามวัตถุประสงค์การใช้งานที่เราได้ออกแบบเอาไว้ หรือไอคอนที่เรานำมาใช้ อาจไม่แสดงความหมายได้คลุมเครือ

Read More »