Convert Solution Visual Studio 2005 to 2013

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงเครื่องมือในการพัฒนาตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Visual Studio โดยจะนำเสนอวิธีการ Convert Solution ASP.NET จากเวอร์ชั่นเก่าไปยังเวอร์ชั่นใหม่โดยไม่ต้องสร้างโปรเจคขึ้นมาใหม่ ตัวอย่างในวันนี้จะแสดงการ Convert Project Solution ที่พัฒนาด้วย Visual Studio 2005 ไปพัฒนาบน Visual Studio 2013 ซึ่งแน่นอนครับว่าจะต้องมีการ config ค่าเพิ่มเติมต่างๆ ผู้เขียนจะกล่าวไว้ช่วงท้ายนะครับ เราเริ่มขั้นตอนการ Convert กันเลยดีกว่าครับ ขั้นตอนแรก : เตรียมข้อมูลให้พร้อม 1. เตรียม solution ตัวเก่าของเราให้พร้อม (ในที่นี้เราใช้ solution ของ Visual Studio 2005 ชื่อ GSMISII ) รูปที่ 1 Folder Project Solution Visual Studio 2005 รูปที่ 2 ไฟล์ Project Solution Visual Studio 2005      2. เตรียม Visual Studio 2013 ให้พร้อม รูปที่ 3 Visual Studio 2013 ขั้นตอนที่สอง : เริ่ม Convert       1. เราจะทำการ Convert Solution โดยคลิกขวาไฟล์ Solution ( xxx.sln ) ตามรูปที่ 2 เลือก Open with… ก็จะปรากฎดังรูป รูปที่ 4 Keep using Microsoft Visual Studio Version Selector   2. เลือก Keep using Microsoft Visual Studio Version Selector รูปที่ 5 Review Project And Solution Changes      3. Visual Studio จะตรวจสอบว่ามีโปรเจคหรือ Solution ใดบ้าง ตามตัวอย่างมีแค่ 1 Solution กด OK รูปที่ 6 Loading solution projects…       กรณีมีการใช้ Crystal Report จะมีการให้ Backup ก่อนที่จะ Convert (ซึ่งหากต้องการใช้ Crystal Report จะต้องลง SAP Version ที่รองรับกับ Visual Studio 2013 ก่อน) รูปที่ 7 Loading solution projects…      กรณีที่มีการใช้ Source Control จะมีให้เลือกว่าจะ remove ออกหรือไม่ รูปที่ 8 Source Control remove      เสร็จเรียบร้อยแล้ว… จริงหรือ??   รูปที่ 9 Solution in Visual Studio 2013      เรามาลอง Build Solution กันดีกว่า… รูปที่ 10 Error Build Solution      Oops! Error!!

Read More »

การใช้ LINQ ในการจัดการข้อมูลอย่างง่าย สำหรับมือใหม่(Ep.2)

          ความเดิมตอนที่แล้ว… ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับเรื่องการใช้งาน LINQ ในการจัดการข้อมูลในเบื้องต้น ได้แก่ วิธีการดึงข้อมูลโดยทั่วไป(Select) การดึงข้อมูลแบบมีเงื่อนไข(Where) และการเรียงลำดับ(OrderBy) เป็นต้น หากใครที่ยังไม่เคยอ่านบทความที่แล้ว และต้องการศึกษาในส่วนดังกล่าวสามารถหาอ่านได้จากลิงค์ “การใช้ LINQ ในการจัดการข้อมูลอย่างง่าย สำหรับมือใหม่(Ep.1)” เพื่อเพิ่มความเข้าใจพื้นฐานในการใช้งานเบื้องต้น LINQ เพิ่มเติม และสำหรับในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึงการใช้งาน LINQ ในส่วนอื่นๆที่นอกเหนือจากการทำงานทั่วไป ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้พัฒนาที่มีความสนใจในการใช้งาน LINQ จัดการข้อมูล ดังนี้ การคำนวณค่าร่วม/นับจำนวน ตัวอย่างที่ 1 : การคำนวณค่าผลรวมของฟิลด์ที่ดึงข้อมูลโดยใช้เมธอด Sum decimal sumLineTotal = (from od in orderdetailscollection select od.LineTotal).Sum(); หรือ decimal sumLineTotal = orderdetailscollection.Sum(od => od.LineTotal); คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น เป็นการดึงข้อมูลโดยมีการคำนวณค่าผลรวมที่ได้จากการดึงข้อมูลทั้งหมดในฟิลด์ LineTotal ผ่านเมธอด Sum โดยที่ไม่ต้องมาวนค่าเพื่อหาผลรวมของแต่ละฟิลด์ที่ดึงมาอีกครั้งในภายหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกและประหยัดเวลาในการพัฒนาให้กับผู้พัฒนาที่ต้องการทำงานในกรณีดังกล่าวได้ ตัวอย่างที่ 2 : เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยตามรหัส double RatingAverage = ctx.Rates.Where(r => r.Id == Id).Average(r => r.Rating); หรือ var RatingAverage = (from a in ctx.Rates where a. Id.Equals(id) select a.Rating).Average(); คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น เป็นการคำนวณหาค่าเฉลี่ยของฟิลด์ Rating โดยใช้เมธอด Average ภายใต้เงื่อนไขรหัส Id ในการดึงข้อมูล ตัวอย่างที่ 3 : เป็นตัวอย่างการคำนวณผลรวม และการนับจำนวนแถวของการอ่านข้อมูลโดยมีการจัดกลุ่มข้อมูลร่วมด้วย var ListByOwner = list.GroupBy(l => l.Owner) .Select(lg => new { Owner = lg.Key, Boxes = lg.Count(), TotalWeight = lg.Sum(w => w.Weight), AverageVolume = lg.Average(w => w.Volume) }); คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นการจัดกลุ่มของข้อมูลตาม Owner โดยใช้เมธอด GroupBy และมีการนับจำนวนแถวเก็บไว้ในฟิลด์ Boxes คำนวณผลรวมของคอลัมน์ Weight และหาค่าเฉลี่ยของคอลัมน์ Volume ใส่ในฟิลด์ TotalWeight และ AverageVolume นั่นเอง ตัวอย่างที่ 4 : เป็นการนับจำนวนข้อมูลตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยใช้เมธอด Count int[] numbers = { 5, 4, 1, 3, 9, 8, 6, 7, 2, 0 }; int oddNumbers = numbers.Count(n => n % 2 == 1); คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า เป็นการดึงค่าจากตัวแปรอาร์เรย์ที่ชื่อว่า numbers และนับจำนวนตัวเลขเฉพาะที่เป็นเลขคี่(หารด้วยสองและมีค่าเศษ 1)เท่านั้นด้วยเมธอด Count ซึ่งในส่วนของเงื่อนไขดังกล่าว ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานของตนในการนับจำนวนข้อมูลได้ ผลลัพธ์ : จากการอ่านข้อมูลจากตัวแปร numbers ส่งผลให้ oddNumbers มีค่าเท่ากับ 5 นั่นคือในการดึงข้อมูลพบเลขที่มีค่าเป็นเลขคี่ดังนี้ 5,1,3,9,7 การค่าที่น้อยที่สุดและมากที่สุดโดยใช้เมธอด Min/Max ตัวอย่างที่ 1 : การหาค่าที่น้อยที่สุดโดยใช้เมธอด Min string[] words = { “cherry”, “apple”, “blueberry” };

Read More »

จับตา Bootstrap 4 Beta

เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2015 ผู้พัฒนา Bootstrap ได้เปิดตัว Bootstrap 4 Beta ออกมาให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์ได้ทดลองใช้งานกัน โดยได้มีการแก้ไข bug ที่เจอในเวอร์ชั่น 3 และเพิ่มเติมความสามารถต่างๆ เข้าไป ทำให้การพัฒนาเว็บไซต์สามารถทำได้ง่าย และเป็นที่น่าสนใจได้มากขึ้น โดยในเวอร์ชั่นนี้มีการปรับปรุงจากเวอร์ชั่น 3 ค่อนข้างเยอะ แต่ที่เด่นๆ ได้แก่   ใช้ Sass แทน Less ทำให้ compile ได้เร็วขึ้น ข้อดีของการใช้ Sass คือการมี community ขนาดใหญ่เป็นตัวช่วยสำหรับนักพัฒนาในการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม หรือขอความช่วยเหลือต่างๆ จาก community ได้ ปรับปรุง Grid System ให้รองรับกับขนาดหน้าจอของอุปกรณ์ต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น สนับสนุนการใช้งาน flexbox grid system และ component ใช้ Card component แทนการใช้ wells, thumbnails และ panel รวม HTML Reset ทั้งหมดไว้ใน Module เดียวกันชื่อ Reboot เพิ่ม option ในการ customize ก่อนการดาวน์โหลดมาใช้งาน เช่นการกำหนด gradients, transitions, shadows ให้กับ component ต่างๆ โดยเก็บไว้ในตัวแปร Sass แล้ว recompile เป็น CSS มาใช้งาน ยกเลิกการสนับสนุน IE8 แล้ว ส่งผลทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จาก Style sheet ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และในเวอร์ชั่นนี้ก็ได้เปลี่ยนการใช้งานหน่วย pixel มาเป็น rems และ ems แทน เนื่องจากหน่วยทั้ง 2 แบบนี้ จะช่วยให้การพัฒนาเว็บไซต์ในรูปแบบ Responsive ทำได้ง่ายขึ้น ทั้งในส่วนของ Typography และ component sizing แต่ถ้าหากยังอยากให้เว็บไซต์รองรับ IE8 ด้วย ทางผู้พัฒนา Bootstrap แนะนำว่าให้ใช้ Bootstrap Version 3 ตามเดิม เขียน Javascript plugin ใหม่ทั้งหมด ปรับปรุง auto-placement หรือการจัดวางตำแหน่งของ tooltips และ popovers ปรับปรุงเอกสาร Documentation ให้อ่าน และค้นหาได้ง่ายขึ้น และอื่นๆ เช่น Custom form control, มีคลาสสำหรับ margin และ padding ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น และ Utility Class สำหรับอำนวยความสะดวกในการพัฒนาเว็บไซต์ เป็นต้น   จะเห็นว่าจากรายการที่เปลี่ยนแปลงต่างๆข้างต้นนั้นมีความน่าสนใจมาก ทางผู้พัฒนาจึงได้สร้างเว็บไซต์ตัวอย่างไว้ให้ดูโดยสามารถดูได้จาก http://expo.getbootstrap.com/

Read More »

ข้อจำกัดและข้อควรระวังในการใช้เงื่อนไข IN ในคำสั่ง SELECT บนฐานข้อมูล Oracle

สำหรับบทความนี้ จะนำเสนอข้อจำกัดและข้อควรระวังในการใช้งานคำสั่ง SELECT บนฐานข้อมูล Oracle ซึ่งประสบมาจากการใช้งานจริงสองเรื่องด้วยกัน   เรื่องแรกจะเป็นข้อจำกัดในการใช้เงื่อนไข IN (value1,value2,value3,…) ในคำสั่ง SELECT  ส่วนอีกเรื่องจะเป็นเรื่องของข้อควรระวังในการใช้ IN ร่วมกับเงื่อนไขที่เป็น subquery ในคำสั่ง SELECT  เช่นกัน   การใช้คำสั่ง SELECT และเงื่อนไข IN นั้น เป็นรูปแบบคำสั่งพื้นฐานแบบหนึ่งที่นักพัฒนาที่ทำงานคลุกคลีกับฐานข้อมูลส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี  โดยรูปแบบที่เรามักจะใช้งานกันบ่อย คือ รูปแบบที่ 1 รูปแบบ SELECT * FROM TABLE1 WHERE FIELD1 IN  (value1,value2,value3,…)  โดยผลลัพธ์จะเป็นรายการข้อมูลในตาราง TABLE1 ที่ค่าของข้อมูลใน FIELD1 มีอยู่ใน value1,value2,value3 ,… รูปแบบที่ 2 คล้ายกับรูปแบบที่ 1  นั่นเอง แต่จะเป็นการใช้ subquery แทนที่ (value1,value2,value3,…)   โดยมีรูปแบบ SELECT * FROM TABLE1 WHERE FIELD1 IN  (SELECT FIELD2 FROM TABLE2) สำหรับผลลัพธ์จะเป็นรายการข้อมูลในตาราง TABLE1 ที่ค่าของข้อมูลใน FIELD1 มีใน FIELD2 ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการ SELECT ข้อมูลจากตาราง TABLE2   ข้อจำกัดในการใช้เงื่อนไข IN (value1,value2,value3,…) สำหรับใน Oracle นั้น list รายการที่อยู่ภายในเครื่องหมายวงเล็บ สามารถมีได้มากสุดไม่เกิน 1000 ค่า  ซึ่งบางท่านอาจจะสงสัยว่าในการ SELECT ข้อมูลตามปกตินั้น มีโอกาสน้อยมากที่เราจะพิมพ์ค่าของข้อมูลใน list จนถึง 1000  ค่า แต่ก็มีโอกาสที่จะพบได้คือ เมื่อมีการใช้งานคำสั่งนี้ผ่านโปรแกรมที่เขียนขึ้นนั่นเอง ตัวอย่างเช่น หน้าจอการทำงานของโปรแกรมที่มีลักษณะเป็นชุดของรายการข้อมูลที่ให้ผู้ใช้สามารถเลือกเองได้ จากนั้นรายการที่ถูกเลือกจะถูกส่งไปแปลงเป็นเงื่อนไขในคำสั่ง SELECT  อีกครั้ง ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดกรณีที่มี list เกิน 1000 ค่า ได้นั่นเอง ในภาพด้านล่างจะเป็นตัวอย่างของเว็บสำหรับสืบค้นหนังสือของห้องสมุด ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกรายการผลลัพธ์จากการสืบค้นและเก็บรวบรวมไว้เพื่อทำการ export ไปใช้งานต่อได้ ซึ่งก็มีโอกาสที่จะเลือกผลลัพธ์ได้เกิน 1000  รายการเกิดขึ้นได้ ถือว่าเป็นจุดหนึ่งที่ผู้พัฒนาควรระมัดระวังในการเขียนโปรแกรมที่มีการใช้เงื่อนไข IN ลักษณะนี้ในคำสั่ง SELECT   ข้อควรระวังในการใช้ IN ร่วมกับเงื่อนไขที่เป็น subquery ในที่นี้ขอยกตัวอย่างข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน  โดยมีข้อมูลจากตารางสองตาราง คือ TABLE01 และ TABLE02 สำหรับ TABLE01 เป็นข้อมูลที่ต้องการ SELECT เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ส่วนตาราง TABLE02 จะเป็นเงื่อนไขที่จะใช้ใน subquery  ข้อมูลในตารางทั้งสองจะเป็นดังนี้   ข้อมูลใน  TABLE01 ข้อมูลใน  TABLE02   จะยกตัวอย่างกรณีการ SELECT ออกเป็น 2 กรณีดังนี้ ต้องการข้อมูลใน TABLE01 ที่ข้อมูลในฟีลด์ F02 ของตารางนี้มีในฟีลด์ F02 ของ TABLE02 ด้วย คำสั่งที่ใช้คือ SELECT * FROM TABLE01 WHERE F02 IN (SELECT F02 FROM TABLE02); ผลลัพธ์ที่ได้คือ ซึ่งถูกต้อง   ต้องการข้อมูลใน TABLE01 ที่ข้อมูลในฟีลด์ F02 ของตารางนี้ไม่มีในฟีลด์ F02 ของ TABLE02 โดยปรับคำสั่งจาก IN เป็น NOT IN คำสั่งที่ใช้คือ SELECT * FROM TABLE01 WHERE F02 NOT IN (SELECT F02

Read More »

การ Encrypt/Decrypt ข้อมูลในไฟล์ Web.config

การเข้ารหัส (Encrypt) ไฟล์ Web.config ถือเป็นวิธีการหนึ่งในการช่วยเพิ่มความปลอดภัยและช่วยป้องกันการถูกโจมตีจากผู้บุกรุกในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล เนื่องจากไฟล์ web.config เป็นที่รวมการ config ค่าต่างๆ ของ web application ของเราไว้ เช่น ข้อมูลรหัสผ่านสำหรับการเชื่อมต่อฐานข้อมูล (ConnectionString), AppSetting, คีย์ API หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตั้งค่าต่างๆ โดยบทความนี้นำเสนอการเข้ารหัสและการถอดรหัส (Encrypt/Decrypt) ไฟล์ Web.config ด้วยคำสั่งผ่าน Command line โดยใช้ tools ที่มากับ .NET Framework ดังนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจะต้องมีการติดตั้ง .NET Framework ไว้อยู่ก่อนแล้ว สำหรับข้อมูลในไฟล์ Web.config จะถูกแบ่งออกเป็น section หลายๆ section ด้วยกัน โดยผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างการ Encrypt/Decrypt ข้อมูลในส่วนของ section<connectionString>ดังนี้   ก่อนทำการ Encrypt Web.config ที่ section <connectionStrings> ซึ่งเก็บข้อมูล config ค่าต่างๆ ของ Database sever ไว้ เช่น user/password เป็นต้น <configuration> <connectionStrings> <add name=”SqlServices” connectionString=”Data Source=localhost;PASSWORD=1234;Integrated Security=SSPI;Initial Catalog=Northwind;” /> </connectionStrings> </configuration>   Encrypt Web.config 1.เปิด Command Prompt ขึ้นมา (อย่าลืมเปิดแบบ Run as administrator ด้วยนะคะ) 2.พิมพ์คำสั่ง ดังนี้(Version ของ.NET Framework ขึ้นอยู่กับที่ลงไว้ที่เครื่อง) : cd C:\Windows\Microsoft.NET\Framework\v4.0.30319 3.เข้าไปที่ directory path ที่เก็บไฟล์ web.config แล้วพิมพ์คำสั่ง ดังนี้ aspnet_regiis.exe -pef connectionStrings C:\inetpub\wwwroot หมายเหตุ: “connectionString” เป็น case sensitive ตัวพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ต้องพิมพ์ให้ถูกต้อง   หลังทำการ Encrypt Web.config หลังจากทำการ Encrypt แล้วจะเห็นว่า ที่ section connectionString จะเป็นรหัสที่ไม่สามารถอ่านเข้าใจได้ <connectionStrings configProtectionProvider=”RsaProtectedConfigurationProvider”>    <EncryptedData Type=”http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#Element”      xmlns=”http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#”>      <EncryptionMethod Algorithm=”http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#tripledes-cbc” />      <KeyInfo xmlns=”http://www.w3.org/2000/09/xmldsig#”>        <EncryptedKey xmlns=”http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#”>          <EncryptionMethod Algorithm=”http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#rsa-1_5″ />          <KeyInfo xmlns=”http://www.w3.org/2000/09/xmldsig#”>            <KeyName>Rsa Key</KeyName>          </KeyInfo>          <CipherData>            <CipherValue>SryXAF+wpnIpZ8P3HMP8ffMDBorz9j08/oX2vXDA+9LkMHY1i50qeCqYmOYnQXK4C6iNhyIZx9R+AcE7yY7AQeHzzPhZ/bZ04NPuOpd7wD+NL82CWeec/fToTIBbHvE6zNBgenUSE+8zTv9II357tsqpjH1xaII+zmZbgo5+fnhjAD8nVffqd+NQ0x+IXDwyBraeT50TlEXx4lJlAph7jqdglg1Xf/yjSTfwrOB2NcVIHVaVWN3CrelWgQKASftGXdDVingbRn2RXphyooTuVsZgJdzbFMpd7H6fJHggORSPwOud1ZU5vE4aNAMHDa4fb6FOA3I8R0urWD4sT34YRg==</CipherValue>          </CipherData>        </EncryptedKey>      </KeyInfo>      <CipherData>        <CipherValue>iKttnP9CEMRfq+mhcHqN8f5GiwsySBLw0CWeiAxSQVIfoEQMNutubrRFruoNIb+m0XJnPL5FIypqqQ72dqZ4DSeQdUJwAVyO4HSlM5F3b+Jnogz9aMAuwdoww5QKdI94yH9fx8RwxhAzq1a9eApjLglAwTmKY84Wg/Lqpcn9wfvKyIZJyQaJCaLCEteGhB9bopjT9z+nmMZVQ2LrDEtKMEe1oltPoR8EvTel2/2jJ/gwvJK+vTw9sL2GMPJIoA/NZQWjR2CWaCGlEFIjmgqT8BjTwiSS6hEp90CEQVN14U9A71vXquH73X6ZAyIFScf2XJS1Y+iCaEFo6r8qIIiGdrAGUTgfa8r9EwHzb5emCzlQzEDWgzno5IUDxuMBNzJinFudgwPFkA/xhdAHcHnB+quFOGGKVZJw72o5Ix7IeWI1Frs2n8+JZMrpPNW5r4SHHLrMD/iPR5FSfDz/sQqR5f+3/N3i3aq0LX8NfthfYtS9N4oCdPBPbIReP1w05we1Q+PJMO4KVG4w3x8k9O7aT0zoi+5CuPgKR30IgbE0sL8fOeki5OKYfsscNMzV/6T23axh9Ky+axI9fAMarjjL5aeYfa8n6jeevpA4f2SmlkbvW6P72292Ihk3bD1HMghn7ibjZ2q6hLwTb9QWyQvSDjHPsqeoiuKBTNJZgsCqBA4QK8j6/9exufTsOe/SgTclHPfiXpSI7CgbaGd6JQ2P5QSDVwQNQPuaf4qFKsZdPWfdEGcCgxLVZtcU0Cd12AnpaWIpiVUjCz6pWl4YygEXsvntLQfLSQ7XX2Q8lA1DjqBOcDQXY9mMo6PvZi3IsqcdF/DEn931nwBPO09T2AqWJWuAaK/Vh4+olkVYFWuj/Eerp2UkG2ItJduUaRNWzXV9s1hQ/q/36S0RTxN0DgXPII6CowQWIV2d5ZYwSUKVgsiDM43GBPF4SFFJOUec37yzYv6XT3/BmDmNpq32a+VAUB/OP23k4mnTvm/Nay1Iy6E8sUOYSpCY1up6XAcFL1XsacpNKLpMTmH6LsROX9BhmdTNaWgCQaDNVNeAISoJ8HZ5lw/EX1f6Rtz4uWyvBfSOPPAWPkNQawexjVKl0FtR6fRSnAGMkgflURH5QNX5xm+y0sfZsNz9sAFZofoJLQ3rdV7ToFJE+JlEvPKRHFDVbxDCURQ5CynXFnqlLj+2LhBbyX0n6oHQwMgTTTIf/+PNcjOx3zBn6/V3T0PdD6fnjVtTDnbJzN7ct7SOuifW0OfCfyeKSs0IOzPm8BucZ4CODaTwjY1bz2kgGRTjuenCp1N1GIRhMJBIBJhWOs3nee6Y9DgtlpWc3SZRZeYkmOffT5xNwQeTLrIXvTZCByHZcN3+g8OG0HqlodUCbPgf8jK45dMeT8piyFwZem8Dotjz7mXOaJxF7C66SQKvFVfuJjXDmTbmdzqwt33z+w39TV8ueXGyB/5S1kpV/ul+c7LwTwked7bMJtFJpVwdFKFiUxMebDuu3vINlVSZJfo43SSmTD3rM2UXV8ol65KzlmacBhgCwXtLFg7/8uGQrrUVq9gqHsoPyEgt</CipherValue>      </CipherData>    </EncryptedData>  </connectionStrings>   Decrypt Web.config การถอดรหัส (Decrypt) ไฟล์ Web.config สามารถใช้คำสั่งเช่นเดียวกันกับการ Encrypt แต่เปลี่ยนจาก -pef เป็น -pdf ดังคำสั่งต่อไปนี้ : aspnet_regiis.exe -pdf connectionStrings C:\inetpub\wwwroot หมายเหตุ: “connectionString” เป็น case sensitive ตัวพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ต้องพิมพ์ให้ถูกต้อง การ Decrypt จะทำได้เฉพาะที่เครื่องที่ทำการ encrypt เท่านั้น จะไม่สามารถ decrypt ไฟล์ web.config นี้จากเครื่องอื่นได้ หากเรานำไฟล์ไป Decrypt จากเครื่องอื่นก็จะพบ message Failed ดังรูป โดยการ Encrypt/Decrypt ด้วยการใช้คำสั่งผ่าน command line สามารถทำได้กับทุก section (ไม่เฉพาะ connectionString)ในไฟล์ Web.confog เพียงแต่เปลี่ยนคำสั่งในส่วนของ section ตามที่ต้องการ   แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://msdn.microsoft.com/en-us/library/ff647398.aspx

Read More »