ตอนที่ 1 : มารู้จัก SSRS กันเถอะ…

          SQL Server Reporting Services (SSRS) เป็น Technology หนึ่งของ Microsoft SQL Server Services ที่ใช้ในการสร้างและบริหารจัดการรายงาน เริ่มมีใน SQL Server 2005 และในปัจจุบันเป็น SQL Server 2016 ซึ่งข้อดีของการใช้ SSRS อาทิเช่น ไฟล์รายงานเป็นภาษา Rdl ที่เป็น Text File ธรรมดาสามารถเปิดด้วย Text Editor อะไรก็ได้ (ดูภาพประกอบที่ 1) อีกทั้ง SSRS แถมฟรีมากับ SQL Server ดังนั้นหากมี License การใช้งาน SQL Server ก็จะสามารถใช้ SSRS ทำรายงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติม และเมื่อมีการ Deployed รายงานไปแล้ว รายงานจะอยู่ใน Web Server ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกดูรายงานผ่าน Web Browser ได้ (ดูภาพประกอบที่ 2) โดยจะต้องกำหนดสิทธิการเช้าถึง Site และสิทธิการเข้าถึงรายงาน นอกจากนั้นยังสามารถนำรายงานไปฝังตัวไว้เป็นส่วนหนึ่งของ Application ก็ได้ เป็นต้น ภาพประกอบที่ 1 เปิดไฟล์ *.rdl ด้วย Notepad ภาพประกอบที่ 2 เรียกดูรายงานผ่าน Web Browser           SSRS มีสถาปัตยกรรมแบบ Multi-Tier สนับสนุนการใช้งานทั้ง Native Mode และ SharePoint mode ในที่นี้จะขอกล่าวถึงสถาปัตยกรรมของSSRSที่เป็น Native Mode ซึ่งประกอบด้วย Components ต่างๆ ดังนี้ (ดูภาพประกอบที่ 3) Report Processor เป็นตัวที่ควบคุมการทำงานทั้งหมดที่อยู่ใน Report Server ตั้งแต่ Data Processing จนถึง Authentication โดยการทำงานบางอย่างจะแสดงผลผ่าน Programmatic Interfaces Programmatic Interfaces เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่รับการติดต่อการทำงานจากผู้ใช้ แสดงผลการทำงานของรายงาน และ Report Server ให้ผู้ใช้เห็น โดยจะมีการทำงานรวมทั้งนำรายงานจาก Report Server Database มาแสดงผลให้เห็นด้วย Data Processing เป็นการประมวลผลข้อมูลที่มาจาก Data Source เพื่อนำมาสร้างรายงาน โดยถูกควบคุมการประมวลผลโดย Report processor Rendering เป็นการแสดงผลรายงาน ก่อนที่จะทำการส่งไปให้ผู้ใช้หรือสั่งพิมพ์นำไปใช้งาน Report Processing เป็นการประมวลผลรายงาน โดยจะรับข้อมูลที่ถูกส่งต่อมาจาก Data Processing มาประมวลผล Authentication (Security) เป็นการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน Report Server โดยแสดงหน้าจอในการ Log on เข้าใช้งาน ผ่าน Programmatic interfaces หาก Log on สำเร็จผู้ใช้ก็จะสามารถเข้าใช้งานได้ Scheduling and Delivery Processor เป็นตัวประมวลผลการตั้งเวลาและการส่งรายงาน ทำหน้าที่ควบคุม การส่งรายงาน จะมีการให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ได้ตั้งเวลาและทำการกำหนดการส่งรายงานให้กับเป้าหมายโดยผ่าน Programmatic interfaces Delivery เป็นการส่งรายงานให้กับผู้ใช้ที่เป็นเป้าหมาย   ภาพประกอบที่ 3 SSRS components ที่มา : https://msdn.microsoft.com/en-us/library/ms157231.aspx   ความสามารถในการ Authoring SSRS  สร้างรายงานได้จากหลายแหล่งข้อมูล (Data Sources) ที่มีอยู่ เช่น SQL Server, Oracle, OLE DB, OLEDB-MD, ODBC, XML, SAP BI NetWeaver, Hyperion

Read More »

ASP.NET MVC Part3: สร้าง Model ด้วย Entity Framework

จากบทความก่อนหน้า ซึ่งอาจจะนานมากพอสมควรที่ได้แนะนำ MVC ไปไว้แล้วในเบื้องต้น (ASP.NET MVC Part 1 : ทำความรู้จักกับ ASP.NET MVC และ ASP.NET MVC Part2: เริ่มต้นสร้างเว็บด้วย MVC with Bootstrap) บทความนี้จะมาแนะนำในส่วนของการสร้าง Model ในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ในการ query และจัดการกับข้อมูล เพื่อส่งให้กับ Controller และ View เรียกใช้ในลำดับต่อไป Model คือ ส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันตามรูปแบบ MVC Framework (Model-View-Controller) โดยจะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ Business Model หรือส่วนที่ติดต่อกับฐานข้อมูล โดยบทความนี้นำเสนอการนำเครื่องมือ Entity Framework มาใช้ในการสร้างและจัดการ Model ในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล สำหรับการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันตามรูปแบบ MVC Framework Entity Framework Entity Framework คือ tools ที่ทำหน้าที่จัดการกับฐานข้อมูล โดยแนวคิดของ Entity Framework อยู่ในรูปแบบของ O/RM (Object/Relational Mapping) คือ Entity Framework จะสร้าง Layer ทำหน้าที่เป็น Database Model ขึ้นมาเป็น Class ใน Project ของเรา โดยจะทำหน้าที่ Mapping ตัว Class ที่จะสร้างขึ้น กับ Table , View และ Stored Procedure จากฐานข้อมูบ มาไว้บน Project ซึ่งทำให้เราเราสามารถเรียกใช้มันผ่าน Class ที่อยู่ใน Project เราได้เลย ส่วนการเขียน Query หรือจัดการกับข้อมูลผ่านตัว Entity Model จะใช้ Syntax ของ LINQ to Entities ซึ่งเป็น syntax ที่สามารถเข้าใจได้ง่ายตามรูปแบบของภาษาเช่น VB.Net หรือ C#   วิธีการใช้งาน Entity Framework เบื้องต้น 1. เปิด solution ที่ต้องการใช้ขึ้นมา (ในบทความนี้เป็น project แบบ MVC Framework) 2. คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Model แล้วเลือก Add =>New Item 3. ที่ tab ด้านซ้ายมือ เลือก Data จากนั้นเลือก ADO.NET Entity Data Model และทำการตั้งชื่อ และกดปุ่ม Add   4. เมื่อเข้าสู่หน้าจอให้เลือก Model Content ให้เลือก EF Desiner from DataBase และกด Next จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป   5.ขั้นตอนถัดมาคือการเลือก Data Connection เป็นการเลือกการติดต่อกับฐานข้อมูลว่าจะให้ Entity ติดต่อกับฐานข้อมูลไหน โดยครั้งแรกหากยังไม่มี ฐานข้อมูลมาให้เลือกใน comboBox จะต้อง New Connection ขึ้นมาก่อน และทำตามขั้นตอนไปได้เลย แต่ถ้ามีแล้วให้เลือก Connection จาก ComboBox หลังจากนั้นให้กดเลือก Yes,include the sensitive data in connection string และเลือก Checkbox ให้ Save Connection string เข้าสู่ Web.Config และตั้งชื่อให้กับ Conection string โดย default ชื่อจะเป็น “Entities” และกดปุ่ม Next

Read More »

เล่าเรื่อง KM การใช้งานโอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ ตอน การทำวิดีโอสื่อการสอนง่าย ๆ

มีเพื่อน ๆ มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งที่เป็น ผู้ดูแลระบบ และ อาจารย์ที่ให้ความสนใจ จำนวน 20 คน ผู้นำในการแลกเปลี่ยนฯในครั้งนี้คือ คุณคณกรณ์ หอศิริธรรม ศูนย์คอมพิวเตอร์ ม.อ. ได้นำความรู้จากการปฏิบัติจริงมาถ่ายทอดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มด้วยแนะนำการบันทึกวิดีโอด้วย Hangouts on Air ผู้เรียนทุกคนใช้ PSU GAFE (Google Apps For Education) account ซึ่งก็คือ PSU Email ที่ใช้อยู่และได้ผ่านขั้นตอน Password Setting (https://webmail.psu.ac.th/src/resetpassword.html) ในหน้าเว็บ https://webmail.psu.ac.th/src/login.php แล้ว แต่อาจใช้ gmail account ที่มีอยู่ก็ได้ โดยเริ่มต้นที่ไอคอนรูป Google+ เมื่อมีไฟล์ presentation พร้อม (เช่น Microsoft Powerpoint เป็นต้น) ก็ทำการ share เข้ามาใน hangouts on air ซึ่งเลือกได้ว่าจะแชร์ทั้งหน้าจอหรือเฉพาะ presentation ที่เตรียมไว้ แล้วทำการเริ่มบันทึกวิดีโอ เมื่อเสร็จก็ไปตัดต่อไฟล์บน youtube สนุกมาก ง่ายด้วย ถัดไปก็แนะนำ CamStudio Screen Recorder ให้เอาจาก http://sourceforge.net/projects/camstudio/ แต่ให้ระมัดระวังอย่าคลิกที่ปุ่มสีเขียว Download แต่ให้คลิก hyperlink ที่เขียนว่า Browse All Files ข้างใต้ ซึ่งจะเป็นไฟล์ติดตั้งที่ปลอดจาก Adware ครับ CamStudio นี้ก็เอาไว้ใช้บันทึกหน้าจอที่เราจะบันทึกวิดีโอ ซึ่งเลือกได้เช่นกันว่าจะบันทึกเฉพาะบริเวณใด หรือ ทั้งหน้าจอ เมื่อทำการ Save จะได้ไฟล์ที่มีความคมชัดสูง ไฟล์ชนิด .avi ขนาดค่อนข้างใหญ่ อย่าบันทึกวิดีโอนานเกินไป เมื่อได้ไฟล์ชนิด .avi มาแล้ว เราก็นำไฟล์ไปผ่านกระบวนการตัดต่อด้วยโปรแกรม Windows Movie Maker ซึ่งติดตั้งจากที่นี่ Windows Movie Maker 2012 http://windows.microsoft.com/en-us/windows/get-movie-maker-download เมื่อตัดต่อ เพิ่มเสียงเพลง เพิ่มเสียงคำบรรยาย เพิ่มข้อความคำบรรยาย เพิ่มหน้านำ เพิ่มหน้าจบ เสร็จ ก็มีตัวเลือกให้อัปโหลด youtube ได้เลย สุดท้าย เราก็ได้เรียนรู้โปรแกม Screen Capture ที่น่าใช้มากทีเดียว ชื่อ Greenshot – a free screenshot tool optimized for productivity http://getgreenshot.org/ ใช้งานแทน Snipping Tools ของ Windows ได้ดีกว่า และใช้งานแทน Snagit ที่ต้องจ่ายค่าใช้งานซอฟต์แวร์ได้ โดยสรุปคือ เราสามารถทำการบันทึกเป็นวิดีโอได้ด้วยโปรแกรม Hangouts on Air จะได้ไฟล์เก็บอยู่ที่ youtube ทันทีแล้วค่อยดาวน์โหลดลงมาตัดต่อก็ได้ หรือ ตัดต่อด้วย Tools บน youtube ก็ได้ เราสามารถเลือกอีกโปรแกรมที่เป็น Client รันบน Windows คือ CamStudio แล้วนำไปตัดต่อด้วย Windows Movie Maker จนเสร็จ แล้วจึง upload ขึ้นบน youtube

Read More »

Spam 14/1/59

จดหมายหลอกลวง โดยมันหลอกเอารหัสผ่านจากคนในของเราไป แล้วเข้ามาส่งจาก PSU Webmail ระบบตรวจสอบพบพฤติกรรมผิดปรกติ และทำการบังคับเปลี่ยนรหัสผ่านผู้ใช้ไปแล้ว 3 ราย ตั้งแต่ 1 นาทีแรกที่ทำการแล้ว ที่ยังหลงเหลือ และได้รับอยู่ มักจะมาจาก Mail Group ที่เปิดให้ส่งถึงผู้รับในกลุ่มโดยตรง โดยที่ผู้ดูแลประจำกลุ่มไม่ตรวจสอบก่อนกระจายครับ เรียนมาเพื่อทราบ

Read More »

การเรียกใช้งานเมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์/เว็บเซอร์วิสแบบ Ajax ด้วย jQuery (C#)

          ก่อนจะพูดถึงวิธีการเรียกใช้งานเมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์/เว็บเซอร์วิสแบบ Ajax ด้วย jQuery ผู้เขียนขอเกริ่นนำเกี่ยวกับที่มาที่ไปเกี่ยวกับแนวคิดแบบ Ajax เพื่อให้ผู้อ่านบางท่านที่ยังอาจงงๆได้ทำความเข้าใจเสียก่อน ว่าโดยปกติแล้วนั้น ในการพัฒนาเว็บไซต์(Web application)ของ ASP.NET จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ Client side และ Server side ซึ่งการทำงานในส่วนของ Client side จะหมายถึงส่วนของ browser หรือหน้าจอการทำงานของผู้ใช้ เช่น Google Chrome Firefox และ Internet explorer ส่วนในฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะมีการรับคำร้องขอ(request) จากฝั่ง Client ทำการประมวลผลและส่งค่าผลลัพธ์คืนกลับมายังฝั่ง Client อีกครั้งเพื่อให้ผู้ใช้เห็นผลลัพธ์การตอบกลับนั้นได้ ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นการพัฒนาจะประกอบด้วยโค้ด 2 ส่วน คือ Server-side code ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของการทำงานในการติดต่อไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์ และถูกนำมาใช้ในการพัฒนา Web application ซึ่งใน ASP.NET นั้นนับว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยจะมีการใช้งานผ่านทาง .NET Framework ในรูปแบบของภาษา C# VB หรือภาษาอื่นๆที่มีใน .NET ในการประมวลผลเพื่อติดต่อกับฐานข้อมูล หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆจากคำร้องขอในฝั่ง Client และทำการส่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมายังฝั่ง Client อีกครั้ง หลังจากมีการส่งผลลัพธ์ตอบกลับมาเรียบร้อยแล้วนั้น จะมีการ render หน้าจอดังกล่าวขึ้นอีกครั้งเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้เพจหรือหน้าจอที่ใช้งานมีการโหลดหรือ refresh เกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียทำให้ผู้ใช้รู้สึกล่าช้าในการรอการตอบกลับการประมวลผลพร้อมทั้งการแสดงผลจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยโค้ดในลักษณะนี้ผู้พัฒนาบางท่านอาจรู้จักกันในนามของ code behind นั่นเอง Client-side code อาจเรียกได้ว่าเป็น client-side script ที่ถูกฝังไว้ในฝั่ง client และมีการประมวลผลในส่วนของ Browser ของผู้ใช้ ซึ่งสคริปต์ที่นิยมใช้ในการพัฒนาโดยส่วนใหญ่จะเป็น JavaScript และโต้ตอบกลับมาโดยตรงด้วย element ที่มีใน HTML เช่น textbox ปุ่ม หรือตาราง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้งานของโค้ดภาษา HTML และ CSS(Cascading Style Sheets) ร่วมด้วย แต่การพัฒนาในส่วนนี้ต้องมีการคำนึงถึงภาษาและโค้ดที่รองรับในแต่ละ browser ของผู้ใช้ด้วย ซึ่งการพัฒนาด้วยโค้ดในส่วนนี้ จะทำให้การตอบโต้กับผู้ใช้งานเกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้น เกิด overhead น้อย แต่ก็มีข้อเสียเกี่ยวกับการเลือกใช้ภาษาในการพัฒนาให้ครอบคลุมในความหลากหลายของ browser ที่ผู้ใช้ใช้งานในการเปิดเว็บไซต์ได้ Ajax (Asynchronous JavaScript and XML)           เทคโนโลยีและแนวคิดแบบ Ajax ได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและหลักการทำงานโดยทั่วไปที่มีอยู่เดิมของ web application เล็กน้อย คือจะมีการส่งคำร้องขอจากฝั่ง Client ไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์โดยตรงเพื่อตอบโต้กับ object ที่มีในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เช่น ฐานข้อมูล หรือไฟล์ เป็นต้น โดยปราศจากการ postback โดยแนวคิดของ Ajax จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม เช่น ข้อมูลในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เว็บเซอร์วิส และการเขียนสคริปต์ในฝั่ง client โดย client-side script จะใช้ในการเรียกใช้เว็บเซอร์วิสเพื่อประมวลผลกับฐานข้อมูลตามคำร้องขอ ซึ่งคำร้องขอดังกล่าวอาจเป็นการบันทึกหรืออ่านค่าข้อมูลจากฐานข้อมูล และการเรียกใช้แบบ Ajax นี้จะเป็นลักษณะ Asynchronous คือ เมื่อผู้ใช้มีการส่งคำร้องขอไปยังเว็บเซอร์วิส ในหน้าจอการทำงานจะไม่ถูกล็อคไว้ และสามารถทำงานในส่วนอื่นต่อได้โดยไม่จำเป็นต้องรอกระบวนการทำงานให้เสร็จทีละส่วน สามารถทำคู่ขนานกันไปได้ และหากส่วนใดเสร็จสิ้นการประมวลผลแล้วนั้นตัวเว็บเซอร์วิสก็จะส่งผลลัพธ์กลับมาให้แสดงยังฝั่งผู้ใช้เอง           โดยเทคโนโลยีที่ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นสำหรับ client-side script นั่นก็คือ jQuery ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเป็นที่นิยม เนื่องจากประมวลผลได้เร็ว มีขนาดเล็ก และมีคุณสมบัติอีกหลายประการที่จะเข้ามาช่วยทำให้การพัฒนาโปรแกรมมีประสิทธิภาพมากยิ่ง จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเว็บไซต์โดยหลีกเลี่ยงการ postback เมื่อมีการเรียกใช้งานไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ถือเป็นอีกทางเลือกของนักพัฒนาที่จะหยิบมาใช้ เพื่อลด over head ให้กับตัว web server และสามารถตอบสนองต่อผู้ใช้ได้รวดเร็วขึ้น ลดจำนวนในการโหลดเพจ และรอการตอบสนองทุกครั้งที่มีการส่งคำร้องขอ ผู้เขียนจึงขอแนะนำวิธีการเรียกใช้หรือส่งคำร้องขอไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์แบบ Ajax ด้วย jQuery ดังนี้ การเรียกใช้เมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ตามแนวคิดของ Ajax ด้วย jQueryหลักการเขียนเพื่อเรียกใช้เมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์/เว็บเซอร์วิส ที่มาของภาพ :http://www.aspsnippets.com/Articles/Call-ASPNet-Page-Method-using-jQuery-AJAX-Example.aspx   ตัวอย่างที่ 1 : การเรียกใช้งานเมธอดแบบส่งค่ากลับเป็น

Read More »