Spam 2016-07-05
หากท่านได้รับ Email ลักษณะเช่นนี้ เมื่อคลิก Link อาจจะได้หน้าตาอย่างนี้ นี่เป็น Email หลอกลวงครับ
หากท่านได้รับ Email ลักษณะเช่นนี้ เมื่อคลิก Link อาจจะได้หน้าตาอย่างนี้ นี่เป็น Email หลอกลวงครับ
asp.net core คือ cross-platform framework สำหรับการพัฒนา web application ที่ทำงานบน .net core หรือ full .net framework เดิม ( .net core สามารถใช้งานได้ทั้ง Windows , Linux และ MacOS โดยที่ส่วนประกอบต่างๆของ .net core ไม่ว่าจะเป็น runtime, libraries, compiler, language และเครื่องมือต่างๆ เป็น open source ทั้งหมด ) ซึ่ง asp.net core ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพดีกว่า asp.net เดิมโดยแบ่งส่วนต่างๆออกเป็น module ย่อยเพื่อลด overhead ในการเริ่มต้นทำงาน ซึ่ง asp.net core ประกอบไปด้วยกลุ่มของ NuGet package แทนที่การใช้งาน System.Web.dll ใน asp.net เดิม ซึ่งผู้พัฒนาสามารถเลือกเฉพาะ package ที่ต้องใช้งานเท่านั้น ทำให้ application มีขนาดเล็กลง มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น,การพัฒนา Web UI และ Web API จะใช้ libraries เดียวกัน, สนับสนุนการใช้งาน dependency injection, web application สามารถใช้งานบน IIS หรือ self-host ภายใต้ process ของตัวเอง ในการพัฒนา asp.net core เราสามารถใช้เครื่องมือที่เป็น text editor ธรรมดาหรือจะใช้เครื่องมือช่วยในการพัฒนาอย่างเช่น Visual Studio ก็ได้ ในส่วนของโครงสร้างของ project asp.net core จะเปลี่ยนไปจากเดิม โดยการกำหนดค่า config ของ project สามารถกำหนดได้ที่ project.json { “title”: “asp.net.core”, “version”: “1.0.0”, “dependencies”: { “NETStandard.Library”: “1.6.0”, “Newtonsoft.Json”: “9.0.1” }, “frameworks”: { “netstandard1.6”: { “imports”: “dnxcore50″ } } } การ reference ไปยัง NuGet package ที่ต้องการใช้งานใน project สามารถกำหนดได้ใน project.json โดยพิมพ์ชื่อ NuGet package ที่ต้องการพร้อมทั้งระบุ vesrion ในส่วน “dependencies” ซึ่งเมื่อทำการบันทึก project.json เครื่องมืออย่างเช่น visual studio จะทำการ restroe NuGet package ให้กับ project โดยอัตโนมัติ asp.net core ได้รับการออกแบบให้รองรับ client-side framework ต่างๆเช่น AngularJS หรือ bootstrap โดยใช้เครื่องมือที่เป็น package manager ในติดตั้ง client-side package ที่ต้องการใช้งาน อย่างเช่น Bower ที่จะกำหนด package ที่ต้องการใช้งานใน bower.json { “name”: “asp.net”, “private”: true, “dependencies”: { “bootstrap”: “3.3.6”, “jquery”: “2.2.0”, “jquery-validation”: “1.14.0”, “jquery-validation-unobtrusive”: “3.2.6” } } หรือ npm ที่จะกำหนด package ที่ต้องการใช้งานใน package.json { “name”:
ภาพถ่ายที่ได้จากสมาร์ทโฟนที่มีขนาดไฟล์ใหญ่เป็น 1-2 MB แล้วทำให้มันมีขนาดไฟล์เล็กลงได้ด้วย tool อะไรบ้าง เพื่อนำภาพไปแขวนบนเว็บไซต์ของเราที่ไม่มีความสามารถในการช่วยบีบอัดขนาดไฟล์ให้อัตโนมัติในขณะที่อัปโหลดภาพ เราคงจะข้ามการพูดถึงโปรแกรม Photoshop ไปไม่ได้ นั้นเป็นสิ่งที่ใครก็ตามที่มีเงินซื้อโปรแกรมมาใช้ แต่หากต้องการหา tool ที่ใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จะมีมั้ยนะ ผมค้นใน google search เจอเว็บนี้ https://tinypng.com/ เป็นการนำภาพถ่ายของเราไปบีบอัดด้วย online tool ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ (เพียงแต่หากกังวลเรื่องไม่อยากให้รูปไปถูกเก็บไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ของเขา ก็อย่าใช้ครับ) ในเนื้อหาเว็บนี้บอกไว้ว่า ภาพถ่ายที่ได้จากการบีบอัดเมื่อนำไปวางบนเว็บไซต์ มันใช้ได้หมดทุกเบราว์เซอร์ ยกเว้น IE6 ซึ่งเก่ามากแล้ว และทางเลือกที่จะติดตั้งโปรแกรมเพิ่มบน Windows ครับ ขอแนะนำติดตั้งโปรแกรม GIMP for Windows (https://www.gimp.org/windows/) ทำดังนี้ ขั้นตอน 1.เปิดไฟล์เดิม 2.แล้วเลือก export as… ตั้งชื่อไฟล์ตามต้องการ 3.แล้วคลิก export จากนั้นมันจะมี dialog ถามให้กำหนด quality 4.จากเดิม 91% ผมลองลดลงไปถึง 41% ภาพถ่ายขนาดเท่าเดิม (กว้างxยาว) แต่ขนาดไฟล์ลดลงจาก 2.1 MB เป็น 601.7KB นอกจากนี้ ก็อาจเลือกใช้ ImageMagick (http://www.imagemagick.org/script/binary-releases.php) FastStone (http://www.faststone.org/FSResizerDetail.htm) JPEGmini (http://www.jpegmini.com/) Photoscape (http://www.photoscape.org/ps/main/index.php) ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ช่วยกันแนะนำมา และขอบคุณล่วงหน้าถ้าจะกรุณา comment มาครับ
ปัญหา: ผู้ใช้แจ้งว่าอีเมลจาก PSU ไม่ว่าจะเป็นส่วนบุคคลหรือ จาก group mail มักจะหลุดไปอยู่ใน Spam ของ Gmail วิธีการแก้ไข: ในช่อง Search ของ Gmail จะมี Search Options ให้คลิกตามภาพ 2. ในช่อง From ใส่คำว่า psu.ac.th แล้วคลิก Create filter with this search 3. คลิก Never send it to Spam แล้วคลิก Create Filter
จากคราวที่แล้วนำเสนอเรื่อง การรับชมภาพสถานที่และเส้นทางในมอ. ผ่าน Google Street View ไปแล้วนะคับ วันนี้เลยอยากนำเสนอวิธีการสร้างภาพ 360 องศา ด้วยมือถือแอนดรอยด์ แล้วอัพเข้า Google Street View ใน Google Maps กันแบบง่ายๆ นะคับ **ทำไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความเนียนในการเล็กภาพเพื่อให้เชื่อมต่อกันสนิท ขั้นตอนการทำ ติดตั้งแอพ Google Street View จาก Play Store 2. เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็เปิดแอพขึ้นมา ไปที่เมนู Explore > คลิกปุ่มวงกลมสีเหลือง (ตามรูป) 3. คลิกเลือก Camera เพื่อจะถ่ายรูป 360 องศา 4. แอพจะเตือนให้เราเปิด Location หรือ GPS เพื่อให้ Google ทราบตำแหน่งพิกัดที่เราอยู่ ณ ปัจจุบันที่จะถ่ายภาพ 5. เริ่มทำการถ่ายภาพ โดยจะมีลูกศรสามเหลี่ยมชี้นำทิศทางในการปรับมุมกล้องในการถ่ายแต่ละจุด 6. เลื่อนให้จุดวงกลมสีเหลือง เข้ามาซ้อนทับในวงกลมสีขาว แบบพอดีตรงกลาง เพื่อให้ได้ภาพรอยต่อที่เชื่อมต่อกันในแต่ละภาพ 6. เมื่อวงกลมทั้งสองอันมาซ้อนทับกันให้รอนิ่งๆสักครู่ อย่าเพิ่งขยับมือถือ **ระบบทำการประมวลภาพเก็บไว้ 7. ทำตามขั้นตอนที่ 6 ไปเรื่อยๆจนครบทุกมุม ***จะมีปรากฎลูกศรสามเหลี่ยมชี้นำทิศทางเหมือนในขั้นตอนที่ 5 จากนั้นคลิกปุ่มวงกลมสีเขียวที่มีเครื่องหมายถูก เพื่อสิ้นสุดการถ่ายภาพ 8. เมื่อระบบประมวลภาพเสร็จแล้วจะถูกนำเก็บไว้ใน gallery ของเรา > คลิกที่รูป แล้ว คลิก SELECT 9. คลิกที่รูป หรือ Add a place เพื่อเริ่มการอัพเข้า Google Street View 10. เราสามารถทำเบลอภาพ ณ จุดที่เราไม่ต้องการให้เผยแพร่ อาทิเช่น ผู้คน(เรื่องสิทธิส่วนบุคคล) ภาพอุจาดตา ฯลฯ โดยการลากกรอบสี่เหลี่ยมคลอบคลุมบริเวณจุดนั้นๆ จากนั้นคลิกเครื่องหมายถูก เพื่อเสร็จสิ้นการเบลอภาพ 11. คลิก Publish to Google Maps เพื่อทำการเผยแพร่ภาพบน Google Maps ในส่วนของ Google Street View 12. คลิก Publish เพื่อยืนยันการอัพภาพเข้า Google Maps 13. เปิด Browser > เข้า http://google.com/maps เพื่อดูภาพที่ได้ทำการอัพสำเร็จ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายๆคนที่อยากลองทำภาพอัพเข้า Google Street View ดูบ้างนะคับ และที่สำคัญ….. ช่วยๆกันอัพภาพบริเวณ ม.อ. ของเราให้เต็มพื้นที่ใน Google Maps เลยนะคับ ^______^ *** หากคิดว่ารูปถ่ายหรือรูปภาพที่ตัวเองทำยังสวยไม่พอ ก็อย่าเพิ่ง Publish เลยนะคับ เพื่อที่ว่าประชากรโลกหรือชาวโลกจะได้รับชมเฉพาะภาพสวยๆ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ของเรา ^^