Category: Desktop Computer (PC, linux, windows, mac)

  • SSH:- no matching key exchange method found

    เดี๋ยวนี้ใน Windows 10 ก็มี ssh ให้ใช้งาน แต่พอใช้กับเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่าๆ ก็เข้าไม่ได้ซะงั้น ไปลอง ssh ฝั่ง Linux (WSL2) ก็ให้ผลเหมือนกันคือ!!!

    Linux
    Windows
    • ถ้าเป็นเมื่อก่อน วิ่งไปหา putty อย่างไว…. แต่ Windows อุตส่าห์ทำมาให้ใช้แล้วทั้งทีจะไม่ใช้ได้ยังไง
    • สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อนคือ man ssh_config สำหรับ Linux ฝั่ง client ว่ารองรับ ciphers และ kexalgorithms แบบไหนรองรับหรือไม่ ส่วนฝั่ง Windows 10 จะอิงตาม OpenBSD manual ซึ่งเหมือนกับ Linux แหละ
    KexAlgorithms
    Ciphers
    • สร้างแฟ้ม .ssh/config โดย
      • Linux ก็จะให้สร้างที่ /home/username/.ssh/
      • Windows ก็อยู่ที่ C:\Users\username\.ssh
    • สำหรับ error ว่า no matching key exchange method found. Their offer: diffie-hellman-group-exchange-sha1,diffie-hellman-group14-sha1,diffie-hellman-group1-sha1 ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้ลงในแฟ้ม .ssh/config โดย somhost.example.org เป็นชื่อและโดเมนเนมของ server เป้าหมาย
    Host somehost.example.org
    	KexAlgorithms +diffie-hellman-group1-sha1
    • สำหรับ error ว่า no matching cipher found. Their offer: aes128-cbc,3des-cbc,blowfish-cbc,cast128-cbc,arcfour,aes192-cbc,aes256-cbc,rijndael-cbc@lysator.liu.se ให้เลือกมา 1 cipher ที่ปรากฎใน error มาใส่ในแฟ้ม .ssh/config
    Host somehost.example.org
        Ciphers aes256-cbc
    • บาง server ต้องรวมทั้งสองอย่างเช่น
    Host somehost.example.org
        KexAlgorithms +diffie-hellman-group1-sha1
        Ciphers aes256-cbc
    • ถ้าไม่อยากสร้างแฟ้ม .ssh/config สามารถสั่งผ่าน command line ได้เลยเช่น
    ssh -oKexAlgorithms=+diffie-hellman-group1-sha1 oracle@somehost.example.org

    หรือ ถ้ามี error 2 อย่าง

    ssh -oKexAlgorithms=+diffie-hellman-group1-sha1 -c aes256-cbc oracle@somehost.example.org

    เมื่อสร้างแฟ้ม .ssh/config แล้วลอง ssh เข้าไปใหม่

    Linux
    Windows
  • Windows Subsystem for Linux Installation Guide for Windows 10

    เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เริ่ม

    • เปิด Powershell ด้วยสิทธิ์ของ Administrator แล้วพิมพ์คำสั่ง ต่อไปนี้เพื่อเปิดใช้งาน “Windows Subsystem for Linux” หรือ wsl โดยจะเป็นรุ่น 1 หรือ wsl1
    dism.exe /online /enable-feature /featurename:Microsoft-Windows-Subsystem-Linux /all /norestart
    wsl1
    • ปรับรุ่นให้เป็นรุ่น 2 โดย Windows 10 ที่ใช้งาน ต้องเป็น Windows 10 version 2004, Build 19041 1903, Build 18362 ขึ้นไปเท่านั้น
    • ตรวจสอบรุ่นของ Windows ด้วยคำสั่ง winver (start->run)
    winver
    • เปิดใช้งาน Virtual Machine Platform พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ ใน powershell ของ administrator
    dism.exe /online /enable-feature /featurename:VirtualMachinePlatform /all /norestart
    Virtual Machine Platform
    • restart เครื่องเพื่อให้การปรับรุ่น wsl1 เป็น wsl2 สมบูรณ์
    • ตั้งค่าให้ wsl2 เป็นค่าเริ่มต้นด้วยคำสั่ง
    wsl --set-default-version 2
    Set default wsl2
    • ซึ่งจะเจอข้อความตามภาพ ให้ไปดาวน์โหลด kernel ได้จาก https://aka.ms/wsl2kernel โหลดมาแล้วติดตั้งให้เรียบร้อย (Next technology)
    download kernel
    • สั่งคำสั่งเดิมอีกครั้งเพื่อตั้งค่าให้ wsl เป็นรุ่น 2 เป็นค่าเริ่มต้น
    Set default wsl2
    • สามารถดูรายละเอียดความแตกต่างของ wsl2 ได้ที่ https://aka.ms/wsl2
    • ติดตั้ง Linux ที่ต้องการจาก Microsoft Store หรือคลิกลิงค์ด้านล่างเพื่อเข้า Microsoft Store
    ubuntu 20.04
    • ติดตั้งเสร็จแล้วคลิก Launch ใน Microsoft Store
    • จะเป็นการเปิดหน้าของลินุกส์ขึ้นมาและให้ตั้งค่าต่างๆ username และ password
    Setup
    • ตั้งค่าเสร็จได้ดังภาพ
    Fin
    • ตั้งค่าลินุกส์ให้เป็น wsl2 ตรวจสอบว่าเป็นรุ่นไหนอยู่ด้วยคำสั่ง
    wsl --list --verbose
    check version
    • ซึ่งถ้าหากยังเป็นรุ่น 1 สามารถเปลี่ยนได้ด้วยคำสั่ง
    wsl --set-version <distribution name> <versionNumber>
    • โดยแทนที่ <distribution name> ด้วยชื่อเต็มที่ได้จากคำสั่ง wsl –list –verbose เช่น Ubuntu-20.04 และ <versionNumber> ด้วย 1 หรือ 2 ตามต้องการ
    • จบขอให้สนุก

    ต้นฉบับ

    https://docs.microsoft.com/en-us/windows/wsl/install-win10

  • Windows Terminal (1)

    เบื่อ cmd ใช้ Windows Terminal แทนกันดีกว่า… ให้ดูรูปก่อน

    สวยงามตระการตา!!!

    บางคนใช้แล้วอาจจะมีความสุข

    เริ่มได้

    • เหมาะสำหรับ Windows 10 version 1909 ขึ้นไป
    • ติดตั้ง Git
    • ติดตั้ง Windows Terminal จาก Microsoft Store หรือ จาก Github

    ถ้าหากติดตั้งจาก Github ต้องติดตั้ง Desktop Bridge VC++ v14 Redistributable Package ด้วย และโปรแกรมจะไม่อัพเดตตัวเองต้องโหลดมาปรับรุ่นเองทุกครั้ง

    ระวัง!!!
    • ติดตั้งแล้วเปิดใช้งานจะได้หน้าตาประมาณนี้
    • เราจะเปลี่ยนหน้าตากันเริ่มจากพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ (ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต)
    Install-Module posh-git -Scope CurrentUser
    Install-Module oh-my-posh -Scope CurrentUser

    Posh-Git เอาไว้แสดงข้อมูลของ Git ใน prompt
    Oh-My-Posh เป็น theme สวยๆ ของ powershell นั่นเอง

    • ต่อด้วยคำสั่ง
    Set-ExecutionPolicy Unrestricted -Scope CurrentUser
    • ตรวจสอบโฟลเดอร์สำหรับเก็บ Profile ของ PowerShell ด้วยคำสั่ง
    echo $PROFILE
    • สร้างแฟ้ม $PROFILE (ไฟล์ขื่อ Microsoft.PowerShell_profile.ps1 ในโฟลเดอร์ C:\Users\haruo\OneDrive\Documents\WindowsPowerShell\) โดยมีข้อความต่อไปนี้
    Import-Module posh-git
    Import-Module oh-my-posh
    Set-Theme Paradox
    • ปิดแล้วเปิดใหม่ก็จะได้ดังภาพ
    • จะเห็นว่ามีเครื่องหมาย  อยู่ที่ prompt ด้วยจำเป็นต้องลงฟอนท์เพิ่มเติมนั่นคือฟอนท์ Powerline ซึ่งสามารถติดตั้งโดยโหลด Cascadia Code มาติดตั้ง
    • เมื่อติดตั้งแล้วให้เปลี่ยนฟอนท์ของ Windows Terminal โดยคลิก แล้วเลือก Settings
    • จะเป็นการเปิดการตั้งค่า default ที่เรียกใช้งานอยู่ ด้วย default text editor
    • เลื่อน cursor ลงมาประมาณบรรทัดที่ 38 แล้วกด enter เพิ่มข้อความว่า
    "fontFace": "Cascadia Code PL",
    "fontSize": 10,
    • save แล้วไปดูผลได้เลย
    • สวยแล้ว!
    • จบขอให้สนุก
    • Oh-My-Posh ยังมี Theme อื่นๆ ลองเข้าไปเลือกดูได้
    • เปลี่ยน theme ได้โดยแก้แฟ้ม $PROFILE เปลี่ยนจาก Paradox เป็นอย่างอื่นเช่น Darkblood เป็นต้น save ปิดแล้วเปิด Windows Terminal ใหม่
  • How to create LVM volume group and logical volume

    LVM ย่อมาจาก Logical Volume Manager ความสามารถของ LVM คือสามารถสร้าง logical partition ขยายไปบนฮาร์ดดิสก์หลายๆ ลูกได้ ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่ทำบน CentOS หรือ Oracle Linux หรือ ค่าย Redhat Enterprise Linux ส่วนฝั่ง Debian ก็สามารถใช้คำสั่งเดียวกันทำงานเหมือนกัน แต่อาจจะต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม

    โดยขนาดสูงสุดที่ LVM ทำได้ขึ้นกับชนิดของ CPU และ Kernel ที่ใช้งาน

    • สำหรับ Kernel 2.4 บน CPU 32-Bit มีขนาดได้ไม่เกิน 2TB
    • สำหรับ Kernel 2.6 บน CPU 32-Bit มีขนาดได้ไม่เกิน 16TB
    • สำหรับ Kernel 2.6 บน CPU 64-Bit มีขนาดได้ไม่เกิน 8EB
    • ป้จจุบัน Kernel รุ่น ? CPU 64-Bit ยังไม่มีคำตอบ

    แต่เมื่อ format ให้มีระบบไฟล์แบบ ext4 จะสร้างพาทิชั่นได้ไม่เกิน 1EB เท่านั้น

    ขึ้นกับ file system ใช้งานด้วย
    • เริ่มได้
    • เข้าระบบด้วยบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ของ root ซึ่งอาจจะเป็น root เอง หรือ user ที่อยู่ในกลุ่ม wheel หากเข้าด้วยบัญชีผู้ใช้อื่นๆ ที่ไม่ใช่ root ให้สั่งคำสั่ง
    su -
    ตามด้วยรหัสผ่านของ root

    หรือ

    sudo -i
    ตามด้วยรหัสผ่านของผู้ใช้ที่เรียกคำสั่งนี้

    จึงจะสามารถทำคำสั่งต่อไปได้

    • ตรวจสอบว่ามีฮาร์ดดิสก์ลูกไหนถูกใช้งานอยู่บ้างด้วยคำสั่ง
    df -h
    • ได้ผลลัพธ์ประมาณดังรูป
    df
    df
    • จากภาพข้างต้น /dev/sda ถูกใช้งานอยู่แล้วคือ /dev/sda1 และ /dev/sda2 ให้ตรวจสอบว่ามีดิสก์ลูกอื่นอีกหรือไม่ด้วยคำสั่ง
    fdisk -l|grep /dev
    fdsik
    fdisk
    • จะเห็นว่ามี /dev/sdb, /dev/sdc และ /dev/sdd ที่ว่างอยู่
    • จะใช้ /dev/sdb
    • เริ่มจากสร้างพื้นที่สำหรับทำ LVM ก่อนด้วยคำสั่ง
    fdisk /dev/sdb

    กด n ตามด้วย p ตามด้วย 1 แล้ว enter 2 ครั้ง

    กด t แล้วพิมพ์ 8e แล้วกด w ดังภาพ

    fdisk
    fdisk
    • สร้าง LVM physical volume โดยใช้คำสั่ง pvcreate
    pvcreate /dev/sdb1
    • สร้าง LVM volume group ชื่อ vg_u01
    vgcreate vg_u01 /dev/sdb1
    • สร้าง LVM logical volume group ชื่อ lv_u01 ใน volume group ที่ชื่อ vg_u01 โดยให้มีขนาดทั้งหมดที่มีอยู่ใน vg_u01
    lvcreate -n lv_u01 -l 100%FREE vg_u01

    ดังภาพ

    pvcreate, vgcreate, lvcreate
    pvcreate, vgcreate, lvcreate
    • ดูสถานะว่า LVM สร้างเสร็จแล้วด้วยคำสั่ง
     pvscan
    pvscan
    • ดูสถานะว่ามี Physical Volume เท่าไหร่ ด้วยคำสั่ง
    pvdisplay
    pvdisplay
    • ก่อนใช้งานอย่าลืม format โดย device ที่จะต้อง format จะกลายเป็น /dev/vg_u01/lv_u01 ให้มีชื่อว่า u01
    mkfs.ext4 -L u01 /dev/vg_u01/lv_u01
    mkfs.ext4
    • สร้าง mount point ให้กับ lv_u01
    mkdir /u01
    • mount lv_u01 เข้ากับ /u01
    mount LABEL=u01 /u01
    • ตรวจสอบว่า /u01 ถูกเรียกใช้งานแล้ว ใส่ -h เพื่อให้ระบุขนาดเป็น GMK
    df -h
    mkdir, mount, df
    • สั่งให้ mount อัตโนมัติทุกครั้งที่บูตเครื่องเพิ่มข้อความต่อไปนี้ในแฟ้ม /etc/fstab
    LABEL=u01       /u01    ext4    defaults 0 0
    fstab
    • จบขอให้สนุก
    • อาจจะยังไม่เห็นภาพว่าแล้วมันกระจายไปดิสก์หลายๆ ลูกได้อย่างไร อธิบายง่ายๆ /u01 สามารถอยู่ได้บนฮาร์ดดิสก์มากกว่าหนึ่งลูก โดยเห็นเป็นพื้นที่เดียวกันคือ /u01 ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วย /dev/sdb1, /dev/sdc1 ใน vg_u01
    • ยังมีเรื่องการเพิ่มขนาดภายหลังให้ดูที่ http://portal.psu.ac.th/blog/howto/6281 ไปพลางก่อน
  • การ Connect Navicat ผ่าน xampp-linux 7.3.12 บน Ubuntu 18.04

    1. Download ไฟล์ ntunnel_mysqli.php
      https://qrgo.page.link/6G6uX
    2. โยน File ชื่อว่า ntunnel_mysqli.php เข้าไปใน Server ที่ wwwroot
    3. ทดสอบโดยการเข้าเว็บบราว์เซอร์ ด้วย : 192.168.xxx.xxx/ntunnel_mysqli.php แล้วลอง login ดูว่าผ่านไหม ?
    4. เข้าไปที่โปรแกรม Navicat
    5. ไปที่เมนู Connection เลือกเอาเลยว่าต้องการ Connection แบบไหน

    6. ไปที่ General
    – Connection Name = ตั้งชื่ออะไรก็ได้
    – Host Name / IP Address = localhost
    – Port = 3306
    – User Name = root หรือ User ที่เรา Add ใน phpmyadmin
    – Password = Password ที่เรา Add ใน phpmyadmin

    7. ไปที่ HTTP
    – ติ๊กเลือก Use HTTP Tunnel
    – Tunnel URL : https://192.168.xxx.xxx/ntunnel_mysqli.php หรือ https://xxxx.com/ntunnel_mysqli.php

    8. Test Connection

    หาก Connect ไม่ผ่าน ให้เข้าไปแก้ไฟล์ my.cnf บรรทัดที่เขียนว่า skip-networking ให้ไป # ปิดใว้ แล้ว Restart Service ใหม่อีกครั้ง

    หมายเหตุ : ผมได้ทดสอบกับ xampp-linux 7.3.12 บน Ubuntu 18.04
    php 5.4 up มันจะใช้ mysqli เป็นส่วนใหญ่ เลยต้องใช้ ntunnel_mysqli

  • การประยุกต์ใช้ Windows Command และ Batch File ในการจัดการไฟล์

    สืบเนื่องจากผู้เขียนได้รับโจทย์มาจากเพื่อนร่วมงาน แต่ยังไม่ได้เริ่ม งานนั้นก็ถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในใจก็มีโซลูชันอยู่แล้วว่าจะจัดการอย่างไร จึงอยากมาบันทึกเก็บไว้ เผื่อผู้อ่านท่านอื่นๆ อาจจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย

    โจทย์ที่ว่าก็คือ ผู้ใช้มีไฟล์รูปภาพจำนวนหนึ่ง ประมาณหลายพันไฟล์

    ต้องการแยกเฉพาะรูปที่ต้องการออกมาจำนวนหนึ่ง โดยรูปที่ต้องการมีเป็นรายการอยู่ในไฟล์ excel

    วิธีการที่ง่ายที่สุดคือ เปิดไฟล์ excel นั้นขึ้นมา แล้วก็ไล่หาไฟล์รูปที่ต้องการทีละไฟล์แล้วย้ายไปไว้โฟลเดอร์อื่นจนครบ ถ้าไฟล์ที่ต้องการมีจำนวนไม่มากนัก วิธีการนี้ก็สะดวกและไม่ได้ใช้เวลานานมากจนเกินไป แต่ถ้าไฟล์ที่ต้องการมีเป็นหลักร้อยหรือพัน วิธีนี้คงไม่สะดวกแน่ๆ ผู้เขียนจึงขอแนะนำการใช้ Command และ Batch File เพื่อแก้ปัญหานี้

    ก่อนอื่นเราไปซ้อมมือกันก่อน สมมติว่าไฟล์ต้นฉบับอยู่ใน d:\sources และต้องการย้ายไฟล์ที่ต้องการไปไว้ที่ d:\destinations

    ให้เราเปิด cmd ขึ้นมา จากนั้นพิมพ์คำสั่ง

    copy d:\sources\wp_ss_20130130_0001.png d:\destinations

    คำสั่งนี้จะเป็นการ copy ไฟล์ wp_ss_20130130_0001.png ที่อยู่ใน d:\sources ไปยัง d:\destinations ซึ่งเราสามารถใช้คำสั่งนี้จากที่ไหนของเครื่องก็ได้ แต่ถ้าเราอยู่ในโฟลเดอร์ sources อยู่แล้ว เราสามารถระบุเฉพาะชื่อไฟล์เพียงอย่างเดียวก็ได้ เช่น copy wp_ss_20130130_0001.png d:\destinations

    จากความรู้ด้านบนจะเป็นการ copy ไฟล์ทีละไฟล์ ถ้าต้องการ copy หลายๆ ไฟล์ เราจะใช้สิ่งที่เรียกว่า batch file เข้ามาช่วย โดยทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

    1. เปิด notepad ขึ้นมา และพิมพ์คำสั่ง

    copy wp_ss_20130130_0001.png d:\destinations
    copy wp_ss_20130130_0001.png d:\destinations

    จากนั้นเซฟเป็นไฟล์ชื่อ copy.bat ไว้ใน d:\sources นามสกุลไฟล์จะต้องเป็น .bat เท่านั้น ไม่ใช่ .txt

    2. กลับไปที่ command และพิมพ์คำสั่ง copy.bat

    จะเห็นว่า copy.bat เป็นการทำคำสั่งที่อยู่ภายใน batch file ถึงตรงนี้แล้วท่านผู้อ่านน่าจะพอเห็นแนวทางแล้วว่าเราจะ copy เฉพาะไฟล์ที่อยู่ใน excel ได้อย่างไร นั่นคือเราจะไปสร้างชุดคำสั่งการ copy จากไฟล์ excel นั่นเอง

    3. กลับไปที่ไฟล์ excel จะเห็นว่าชื่อไฟล์อยู่ในคอลัมน์ A ไปที่คอลัมน์ B และพิมพ์

    ="copy " & A1 & " d:\destinations"

    4. copy คำสั่งลงมาจนครบทุกไฟล์

    5. copy คำสั่งในคอลัมน์ B ทั้งหมดไปวางไว้ในไฟล์ copy.bat และเซฟ

    6. ไปที่ command และพิมพ์คำสั่ง copy.bat อีกครั้ง

    เป็นอันเสร็จสิ้น หวังว่าบทความประเดิมบล็อกของผู้เขียน น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านที่หลงเข้ามาไม่มากก็น้อย

    จนกว่าจะอยากเขียนเรื่องใหม่

    สวัสดีครับ

  • ทำ bootable USB drives ด้วยโปรแกรม Rufus for Windows

    เป็นวิธีการทำให้เราสามารถ boot Linux/Windows ด้วย USB Drive แทนการ Boot จากแผ่น DVD ผมใช้งานมาตั้งแต่เวอร์ชั่น 2.6 ตอนนี้ 3.8 แล้ว ก็มาอัปเดตอีกสักครั้ง

    ขั้นตอน

    1.ดาวน์โหลด ISO file ที่จะนำมาทำ Bootable USB drive

    2.ดาวน์โหลดโปรแกรม Rufus จากที่นี่ https://rufus.ie/

    Rufus : Create bootable USB drives the easy way

    3.นำไฟล์มาวางไว้ที่ Desktop ใช้ได้โดยไม่ต้องทำขั้นตอนติดตั้งโปรแกรม

    4.เสียบ USB Drive

    5.เปิดโปรแกรม Rufus

    จากรูปภาพ

    • หมายเลข 1 ช่อง Device บอกว่าเสียบ USB Drive 8 GB แล้ว
    • หมายเลข 2 ช่อง SELECT คลิกตรงคำว่า SELECT
    • หมายเลข 2.1 และ 2.2 คลิกเลือก ISO file ที่ดาวน์โหลดมา
    • หมายเลข 3 ช่อง Partition scheme และ Target system สามารถเลือกได้ว่าจะติดตั้งเป็น MBR หรือ UEFI
    • หมายเลข 4 คลิก Start เพื่อเริ่ม

    6.คลิก OK ยืนยันการใช้ค่าที่แนะนำตามรูปหมายเลข 5 และ 6

    7.รอจนเสร็จ ก็ดึง USB drive ออกได้เลย ทดสอบนำไป boot ใช้งานได้

    ผมคิดว่าโปรแกรมนี้น่าใช้ และ ใช้ง่ายดี

  • ให้ Visual Studio Code แสดงสีและ Intellisense (Robot framework)

    เมื่อติดตั้ง Visual Studio Code เสร็จแล้ว ก่อนที่เราจะเริ่ม Code กัน หรือ Code ไปแล้วมันรู้สึกว่า นี่เรากำลังใช้ Note pad กันหรืออย่างไร ไม่มีสีสัน แยกส่วน Code ต่าง ๆ เพื่อลดการลายตา และมันยากต่อการอ่าน Code และไม่มี Intellisense อะไรเลย พิมพ์เองล้วน ๆ หน้าตาก็ประมาณนี้สีเดียว

    มาดูกันว่าเราจะทำอย่างไรกัน ไปที่เมนู Extensions แล้ว ค้นหาด้วยคำว่า robot แล้ว Enter

    ให้คลิก Install ตัว Robot Framework Intellisense

    เมื่อ Install เสร็จจะเห็นได้ว่ามีสีสันแล้วนะ

    และมี Intellisense ด้วยแล้วนะ

  • Thunderbird returns

    หลังจากปันใจไปให้ Microsoft Outlook และใช้ Microsoft Outlook มาตลอดเกือบ 5 ปี มีเหตุให้การใช้ Google Calendar มีความสะดวกมากกว่า Office365 Calendar (จริงๆ ปฎิทินของ Office365 อาจจะทำได้ก็ได้แต่ไม่มีคนสอนกรั่กๆ) และเมื่อจะใช้ Google Calendar (โดยไม่ใช้เว็บ) ก็ต้องใช้คู่กับ Thunderbird สินะ!!!

    Download

    https://www.thunderbird.net/en-US/ คลิกตรงปุ่ม Free Download รุ่นปัจจุบัน 68.1.0 จะได้ English (US) รุ่น 32-bit หากต้องการรุ่น 64-bit คลิกที่ system & language แล้วเลือกภาษาที่ต้องการ แน่นอนไม่มีภาษาไทย English (US) หรือถ้าอ่านภาษาอื่นๆ ออกเชิญเลือกตามอัธยาศัย

    โหลดมาแล้วก็ติดตั้งให้เรียบร้อยด้วย Next Technology (Yes, Next, Next, Next, Next, Install, Finish)

    เมื่อเปิดโปรแกรม Thunderbird ครั้งแรกจะได้ประมาณดังรูป

    Set Up an Existing Email Account

    Mail Setup

    เริ่มการใช้งานได้เลยขั้นแรกตั้งค่าเมล์ สำหรับผู้ที่เปิดใช้งาน Gmail แล้วเท่านั้น หากยังไม่ได้เปิดใช้งาน อ่าน ที่นี่ ก่อน

    หากมีการเปิด 2-step Verification ต้องไปสร้าง App password ที่ gmail.com ให้เรียบร้อยก่อนแล้วเอา password ที่ได้มาใช้กับ thunderbird

    Calendar Setup

    Thunderbird (สำหรับ Windows) รุ่นใหม่ๆ จะให้ Lightning มาโดยปริยายไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม แต่สิ่งที่ต้องติดตั้งเพิ่มคือ Provider for Google Calendar

    ส่วน Thunderbird (สำหรับ linux) ต้องติดตั้งเพิ่มเอง

    ที่หน้าต่าง Thunderbird กดปุ่ม alt-T (ปุ่ม alt และปุ่มอักษร t พร้อมกัน) เพื่อเรียกเมนู Tools

    เลือก Add-ons

    Add-ons

    จะได้หน้า Add-ons Manager

    Manage Your Extensions 

    ค้นหา Provider for Google Calendar ในช่อง Find more extensions จะได้หน้าต่างเพิ่มเป็นดังรูป

    Search Results

    คลิกปุ่ม + Add to Thunderbird แล้วคลิก Add

    Add

    คลิก Restart Now

    Restart

    เมื่อคลิกที่หน้าต่าง Add-ons Manager จะเห็นว่ามี Provider for Google Calendar เพิ่มมาแล้ว

    Add-ons Manager

    กลับมาที่หน้าหลักสังเกตมุมบนขวาจะมีรูป ให้คลิกที่ เพื่อเปิดหน้าปฎิทิน

    Calendar

    คลิกขวาที่พื้นที่ว่าง ๆ ใต้คำว่า Calendar เลือก New Calendar

    New Calendar

    จะได้หน้า Create New Calendar ให้เลือก On the Network แล้วคลิก Next

    Create a new calendar

    เลือก Google Calendar แล้วคลิก Next

    Google Calendar

    ใส่ E-mail address แล้วคลิก Next

    Locate your calendar

    ตรวจสอบว่า Username ที่ใส่ให้ถูกต้องหรือไม่คลิกถ้าถูกคลิก Next

    Sign in

    กรอกรหัสผ่านของ E-mail คลิก Next

    Enter your password

    หากเปิด 2-step Verification ไว้ก็เปิดแอ็ปกรอกตัวเลขให้เรียบร้อย

    2-step

    เลื่อนลงมาล่างสุดคลิก Allow

    Allow

    เลือกปฎิทินที่ต้องการคลิก Next

    Locate your calendar

    คลิก Finish

    Finish

    จะเห็นว่ามีปฎิทินเพิ่มขึ้นมาแล้วสามารถใช้งานได้ทันที

    Calendar

    จบขอให้สนุก

    หมายเหตุ!!!

    ต้องตั้งค่า general.useragent.compatMode.firefox ใน advance configuration ของ Thunderbird เป็น true สำหรับตอนนี้ เนื่องจาก Google เปลี่ยนอะไรสักอย่างทำให้ authen ไม่ได้