Case Study: ระบบประเมินผลออนไลน์ด้วย Google Sheets แบบแก้ไขได้เฉพาะส่วนของตนเอง แต่มองเห็นของคนอื่นได้ด้วย

โจทย์มีอยู่ว่า ต้องการระบบประเมินผล Online ให้อาจารย์จากหลาย ๆ มหาวิทยาลัย จำนวน 5 ท่าน ประเมินผลการทำงาน ในมุมมองต่าง ๆ แยกตาม Sheet และ ในแต่ละมุมมอง อาจารย์แต่ละท่าน สามารถเลือกตัวเลือกจาก Dropdown ในคอลัมน์ของตนเองในแต่ละหัวข้อย่อย แต่ในขณะเดียวกัน สามารถมองเห็นได้ด้วยว่า อาจารย์ท่านอื่นให้คะแนนหัวข้อย่อยนั้นว่าอย่างไร แต่จะไม่สามารถแก้ไขของท่านอื่น หรือ แก้ไขส่วนอื่น ๆ ได้ มีระบบสรุปคะแนนอัตโนมัติ เริ่มกันเลย ลองคลิกไปดูตัวอย่างได้ที่นี่ สร้าง Google Sheets โดยมีทั้งหมด 5 Sheets แต่ละ Sheet มีคอลัมน์แรก เป็นรายการที่จะประเมิน คอลัมน์ B – F เป็นส่วนที่ผู้ประเมินแต่ละท่านใช้ในการประเมิน ชีตที่ 1 -3 เป็น มุมมองในการประเมิน ชีตที่ 4 เป็น Rubric Score หรือ ค่าที่จะใช้ทำ Dropdown ด้วย V Lookup ชีตที่ 5 เป็น Summary เอาไว้แสดงภาพรวมการประเมิน (ใช้ในภายหลัง) สร้าง Dropdown ไปที่ ชีต “มุมมองที่ 1” ที่เซล B7 (หัวข้อประเมินแรก ของผู้ประเมินคนแรก) แล้ว “คลิกขวา” เลือก Data Validation … จากนั้น ในบรรทัด On invalid data เลือก Reject inputในบรรทัด Criteria คลิกที่ช่องด้านหลัง แล้วไปคลิก ชีต “RubricScore” และเลือกส่วนที่จะมาแสดงใน Dropdown นั่นคือ “Not Met”, “Partially Met” และ “Met” แล้วคลิกปุ่ม OK จากนั้น กลับมาคลิกปุ่ม Save จากนั้น ก็ Copy เซล B7 ไปยังทุก ๆ ส่วนที่จะทำการประเมิน เพิ่มผู้ประเมินเป็น Editor คลิกปุ่ม Share แล้วกรอก Email Address ซึ่งเป็น Google Account ของผู้ประเมินทั้ง 5 คนลงไป ให้เป็น Editor จากนั้นคลิกปุ่ม Send ในขั้นตอนนี้ ทุกคนที่เป็น Editor สามารถเข้ามาแก้ไข ทุกส่วน ของ Google Sheets นี้ได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ ต่อไป จะเป็นการกำหนด ส่วนที่ แต่ละคนจะสามารถแก้ไขได้ กำหนดส่วนที่ผู้ประเมินแก้ไขได้ คิดเหมือนกับ การเจาะช่อง ให้เฉพาะส่วนที่กำหนดนี้ ให้มีการแก้ไขได้ คลิกเมนู Tools > Protect sheetแล้วคลิก Except certain cellsในที่นี้คือ B:F แล้วเลือก Editor ทุกคน ให้สามารถ แก้ไขได้จากนั้นคลิกปุ่ม Done ตอนนี้ ทั้ง 5 คนจะสามารถแก้ไขสิ่งที่อยู่ในคอลัมน์ B-F ได้ แต่ยังมีปัญหาคือ อ.สมชาย สามารถแก้ไขข้อมูลในคอลัมน์ของ อ.สมหญิง ได้อยู่ กำหนดให้ผู้ประเมินแก้ไขได้เฉพาะคอลัมน์ของตนเอง ต่อไป กำหนดให้ อ.สมศรี แก้ไขได้เฉพาะคอลัมน์ C ซึ่งเป็นของตนเองเท่านั้นเลือก คอลัมน์ Cคลิกเมนู Data > Protected sheets and ranges …คลิกปุ่ม Set Permissions จากนั้น

Read More »

Virtual data center with OpenNebula

OpenNebula เป็นชื่อของ open source software สำหรับทำ virtual data center เวอร์ชั่นล่าสุดคือ 5.6.1 (https://opennebula.org) ผมได้ทดลองในห้องปฏิบัติการ และเขียนเป็นขั้นตอนการติดตั้งจนกระทั่งได้ VM ขึ้นมา แต่ยังไม่ลงรายละเอียดถึงขั้นใช้งาน storage network ได้ ซึ่งจะได้ทดลองกันต่อไป ในตอนนี้ จะเรียกว่า basic set up ก็ได้นะ ในการ set up ระบบจริงตามคำแนะนำ แต่ละเครื่องควรมี network card 2 cards เพื่อแยกระหว่าง network ที่ให้บริการ กับ Management network การ set up จะต้องมีเครื่องที่เป็น Front-end เพื่อทำหน้าที่เป็น database และเว็บเพจสำหรับทำ configuration และสั่งการ และจะต้องมีเครื่องที่เป็น Hypervisor อย่างน้อย 1 เครื่อง โดยเลือกได้ว่าจะใช้ KVM หรือ vcenter สเปคเครื่อง hypervisor นี้ต้องรองรับ Virtualization extensions (Intel VT-x or AMD-V) เตรียมการทดลองโดยใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมนำมาใช้มี 3 เครื่อง อายุเครื่องก็พอสมควร (ตามกำลังทรัพย์ที่มีในห้องปฏิบัติการ) แต่ทั้ง 3 เครื่องนี้ มีเพียง 1 network card ครับ เครื่อง Front-end 1 เครื่อง สเปค Pentium(R) Dual-Core CPU E5200 @ 2.50GHz มี RAM 4 GB อันนี้เป็นเครื่องทั่วไปที่รัน apache2 web server และ mariadb database ได้ ใช้เครื่อง KVM จำนวน 2 เครื่อง เพื่อจะให้เห็นว่าสามารถสร้าง VM ไปที่ KVM node ที่ต้องการได้ เครื่อง KVM node01 เป็น AMD Phenom(tm) II X4 945 Processor มี RAM 8 GB และ KVM node02 เป็น Intel(R) Core(TM) i5 CPU M 520 @ 2.40GHz มี RAM 4 GB นอกจากเครื่องคอมฯ แล้ว ผมก็มี network switch (L2-managed) เพื่อกำหนด port ให้รองรับ 802.1Q VLAN ผมออกแบบให้มี 2 VLAN คือ VLAN ID 6 (untagged) และ VLAN ID 7 (tagged) ซึ่ง VLAN 6 ก็คือ ครึ่งแรกของ network class C 192.168.6.0 เขียนแบบ CIDR 192.168.6.0/25 มี gateway คือ 192.168.6.1 และ VLAN 7 ก็คือ ครึ่งหลังของ network 192.168.6.128/25 มี gateway คือ 192.168.6.129 ผมเขียนขั้นตอนไว้ในเว็บไซต์

Read More »

django – as a Dialogflow Webhook #03

บทความนี้ จะกล่าวถึง การใช้ django ทำหน้าที่เป็น Webhook จาก Dialogflow ผ่าน Fulfillment ทาง HTTP Post Request ด้วย JSON object และ ทำการประมวลผล แล้วตอบกลับไปเป็น JSON Object เช่นกัน เพื่อให้ Dialogflow ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้ตามต้องการ เช่น อาจจะให้ไปค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลในองค์กรมาตอบ เป็นต้น ในมุมของ django django (ดี)จังโก้ ดีอย่างไร #01 ได้กล่าวถึงการสร้าง Web Application จาก Model โดยกำหนด Fields ต่าง ๆ จากนั้น django ก็จะสร้าง Web Form ต่าง ๆ ให้อัตโนมัติ และยังสามารถสร้าง Users ของระบบ พร้อมทั้ง กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของแต่ละคนได้อีกด้วย แล้วนำไปผูกกับส่วน Admin เพื่อให้ผู้ใช้ทำการ Authentication ก่อนเข้าจัดการกับข้อมูลต่างได้ และในบทความ django – Deploy to Production #02 ได้แนะนำวิธีการ Deploy ระบบที่สร้างขึ้นสู่ Production ตามลำดับ ในบทความนี้ จะใช้ “view” ซึ่งเป็นอีกส่วนของ django ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ใน myproject สร้าง App ใหม่ ชื่อ fulfillment เพิ่ม ‘fulfillment’ app ลงใน myproject/settings.py ที่ INSTALLED_APPS( ในตัวอย่างก่อนหน้า เราเพิ่ม worklog app ไว้แล้ว)  INSTALLED_APPS = [ ‘django.contrib.admin’, ‘django.contrib.auth’, ‘django.contrib.contenttypes’, ‘django.contrib.sessions’, ‘django.contrib.messages’, ‘django.contrib.staticfiles’, ‘worklog’, ‘fulfillment’ ] จากนั้น แก้ไขไฟล์ myproject/fulfillment/views.py ตามนี้ from django.http import HttpRequest, HttpResponse from django.views.decorators.csrf import csrf_exempt import json # Create your views here. @csrf_exempt def sayHi(request): j = json.loads(request.body) x = { “fulfillmentText”: “This is a text response” } return HttpResponse(json.dumps(x)) ในส่วนนี้ จะ import packages ต่อไปนี้ HttpRequest เพื่อรับ Input ผ่าน HTTP HttpResponse เพื่อตอบ Output ผ่าน HTTP csrf_exempt เพื่อบอกว่า ยอมให้ทำงานผ่าน HTTP POST โดยไม่ต้องมี CSRF Token (ถ้าไม่ใส่ อยู่ ๆ จะส่ง POST เข้ามาไม่ได้ ) json เพื่อจัดการ JSON object จากนั้น สร้าง Function ชื่อ “sayHi” มี function ที่เรียกใช้งานดังนี้ json.loads(request.body) ทำหน้าที่แปลง JSON Object จาก HTTP Request เข้ามาอยู่ในรูป Python Object ในที่นี้ จะนำข้อมูลจาก Dialogflow

Read More »

Everything are connected together

“ทุกสรรพสิ่งเชื่อมต่อกัน” สวัสดี ผู้อ่านทุกท่านนะครับ นี่คือบทความฉบับปฐมภูมิของผู้เขียน ที่จะนำพาท่านไปพบกับบทความในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้เขียนพยามสรรสร้างบทความนี้เพื่อให้เกิดแนวความคิดที่เรียบง่าย แต่ได้ไอเดีย เพื่อนำไปสร้างนวัตกรรมหรือนำไปประยุกต์ใช้งานกับหน้าที่การงาน ที่เราต่างร่วมกันทำเพื่อองค์กรของเราให้มีความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป กล่าวถึงหัวข้อที่ผู้เขียนเรื่อง “Everything are connected together” เป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนได้สกัดมาจากงานที่ผู้เขียนปฏิบัติจริงและได้มีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่เริ่มตั้งไข่ จนกระทั่งเริ่มยืนและเดินได้ เติบโตขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ เพิ่มทักษะในการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน ในบทความนี้จะไม่เน้นเนื้อหาในเชิงลึก แต่จะนำเสนอแก่นสาร ที่รวบรวมแนวความคิดของผู้เขียนที่มีต่อการปฏิบัติงาน เพื่อนำเสนอไอดีย และแง่มุมต่าง ๆ ที่มันสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างจากการปฏิบัติงาน เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้อ่านต่อไป ปัจจุบันโลกของเรามีการเปลี่ยนอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีตลอดจนเครื่องมือต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายให้เราเลือกนำมาใช้งาน สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ “ทุกสรรพสิ่งเชื่อมต่อกัน” เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ผู้อ่านคงจะเริ่มคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ในชีวิตประจำวันที่เราใช้ Internet มันเชื่อมโยงทุกสิ่งอย่าง อย่างไรก็ตามในหลาย ๆ มิติของการเปลี่ยนแปลงมันก็เป็นไปตามธรรมชาติของมัน นั่นคือทุกอย่างล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ผู้เขียนพยามสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง หากเราจะก้าวไปข้างหน้า จงอย่างไปยึดติด แต่เราควรเลือกที่จะเปลี่ยนให้เหมาะสมไปตามภาวะในความเป็นจริง เรามาเข้าเรื่องที่จะนำเสนอในบทความนี้กัน…. เพิ่งได้เข้าเรื่องนะ OK ใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบร้อนค่อย ๆ อ่านไปแล้วกันนะ ^_^ จากการที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมปฏิบัติการ “ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์” ครั้งที่ 1 (The 1st PSU ICT Workshop) นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทำให้เราได้เชื่อมต่อถึงกัน ในการประชุมครั้งนั้นผู้เขียนได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอ ” แพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนา web app และ mobile app บนสถาปัตยกรรมไมโครเซอร์วิส (Microservices Architecture)” สถาปัตยกรรมของแพลตฟอร์มใหม่ ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ออกแบบขึ้นบนพื้นฐานของสถาปัตยกรรม Microservice ซึ่งทุกสิ่งอย่างเชื่อมต่อกัน แต่ละ Service มีหน้าที่เฉพาะตัว ไม่ยึดติดภาษาที่ใช้พัฒนา แต่เราจะควบคุมให้ทำงานตามที่เราต้องการและสามารถปรับแต่งได้ เพื่องรองรับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือภาพโดยรวมของเพลตฟอร์ม การเลือกเครื่องมือ (Tools) ทีนำมาใช้ในการพัฒนาหรือการ Operation ระบบทั้งหมดนั้นมีความสำคัญต่อการปฏิบัติงาน หลักการเลือกเครื่องมือของผู้เขียนมีดังนี้ ตรงตามความต้องการ มีรายละเอียด (Docs) อธิบายชัดเจน มีชุมชน (Community) ที่มีการ update ปัญหาอย่างสมำเสมอ มี Road map ของการพัฒนาที่ชัดเจน มีช่องทางเชื่อมต่อแบบต่างเพลตฟอร์ม (Cross Platform) เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการบริหารเพลตฟอร์ม ที่สามารถเชื่อมต่อกันโดยไม่ต้องพัฒนาหรือเขียน Code ขึ่นมาใหม่ ตรงนี้จะช่วยให้เรามีเวลาไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้น เครื่องมือที่นำเสนอในบทความนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนา ที่ผู้เขียนได้ผ่านกระบวนการทดสอบ และใช้งานจริงแล้ว ขอนำเสนอด้วยภาพด้านล่างเพื่อความเข้าใจอย่างรวดเร็ว จากภาพเครื่องมือที่ใช้นั้นเป็น Open source ที่มาจากต่างค่าย ต่างผู้พัฒนาแต่มันสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างลงตัว ซึ่งรายละเอียดของเครื่องมือนั้นผู้เขียน ขอให้ข้อมูลจากผู้ให้บริการเลยนะครับซึ่งมีดังนี้ Kong API Gateway เป็นเครื่องมือสำหรับจัดการ การเข้าถึง APIs จากภายนอกแล้วไปเรียก APIs ภายในโดยใช้หลักการ Reverse proxy ได้อย่างง่าย สะดวก ไม่ต้องเขียน config ให้ยุ่งยากปลอดภัยและรวดเร็ว ในตัว Kong API Gateway นั้น มี Logging UDP/TCP Plugin  ให้เราสามารถส่ง logs ไปบันทึกตามตำแหน่งที่เราต้องการได้ Reference:  https://konghq.com ELK API Analytic เป็นเครื่องมือที่หลายคนน่าจะรู้จักดีและมีบทความดี ๆ ที่ผ่านมาเกี่ยวกับ ELK อยู่ในชุมชนนี้ด้วย เครื่องมือนี้ช่วยวิเคราะห์ปัญหาการเรียกใช้ APIs ตรวจสอบความผิดปกติในการใช้งาน เป็นต้น Reference: https://www.elastic.co Grafana API Monitoring เป็นเครื่องมือสำหรับใช้สร้าง Dashboard / Visualize กราฟ และวิเคราะห์ในเชิงสถิติ โดยตัวมันมี Plugin connection data source หลายแบบ หนึ่งใน data source

Read More »

ELK #07 LogStash

จากที่ได้กล่าวถึงมายาวนานในเรื่อง ELK  และ  ELK #02 ที่ได้กล่าวถึงการติดตั้ง LogStash ไว้เบื้องต้น ในบทความนี้จะมาลงลึก ถึงกระบวนการทำงานของ LogStash ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนข้อมูล Unstructured ให้เป็น Structured ตอนนี้ เราจะทำงานใน /etc/logstash/conf.d/ Simple input – output plugin สร้างไฟล์ 01-input-file.conf มีเนื้อหาดังนี้ input { file { path => [“/tmp/input.txt”] mode => “tail” } } ในส่วนนี้ เป็นการกำหนดว่า ให้ LogStash อ่านไฟล์ /tmp/input.txt โดยให้อ่านบรรทัดล่าสุด (ต่อจาก Checkpoint ก่อนหน้า) เข้ามา โดยถ้าไม่กำหนด mode => “tail” ระบบจะอ่านไฟล์ก็ต่อเมื่อ มีการสร้างไฟล์ใหม่เท่านั้น สร้างไฟล์ 98-output-file.conf มีเนื้อหาดังนี้ output { file { path => “/tmp/output.txt” } } ในส่วนนี้ เป็นการกำหนดว่า ให้ LogStash เขียนไฟล์ /tmp/output.txt เมื่อปรับเปลี่ยน configuration ต้องทำการ Restart Service service logstash restart ลองส่งข้อมูลเข้าไปในไฟล์ /tmp/input.txt ด้วยคำสั่ง echo “Hello World 1” >> /tmp/input.txt ดูผลลัพธ์ใน /tmp/output.txt cat /tmp/output.txt {“path”:”/tmp/input.txt”,”@version”:”1″,”message”:”Hello World 1″,”@timestamp”:”2018-09-11T03:42:33.645Z”,”host”:”elk1″} แสดงให้เห็นว่า ระบบ LogStash สามารถรับข้อมูลจากไฟล์ และส่งข้อมูลออกไปยังไฟล์ได้ Filter Plugin ก่อนอื่น Stop Service ด้วยคำสั่ง service logstash stop ในการจัดการข้อมูลก่อนบันทึก เช่นการกรอง การจัดรูปแบบ LogStash ทำงานผ่าน Filter Plugin ซึ่งมีหลายรูปแบบ (https://www.elastic.co/guide/en/logstash/current/filter-plugins.html) แต่ในที่นี้ จะใช้ grok เหมาะกับข้อมูล Unstructured อย่าง syslog เป็นต้น ซึ่งมักจะเป็น Log ที่ให้มนุษย์อ่านได้ง่าย แต่ไม่ค่อยเหมาะสำหรับให้คอมพิวเตอร์เอาไปใช้งานต่อ ซึ่ง LogStash มีไว้ให้แล้วกว่า 120 ตัว ต่อไป สร้าง 44-filter-basic.conf มีเนื้อหาดังนี้ filter { grok { match => { “message” => “%{IP:ipaddress} %{NUMBER:size}” } } } จากนั้น Start Service ด้วยคำสั่ง (รอสักครู่ด้วย) service logstash start แล้วส่งข้อมูลต่อไปนี้ต่อท้ายไฟล์ /tmp/input.txt echo “192.168.1.1 120” >> /tmp/input.txt และเมื่อดูผลใน /tmp/output.txt จะพบบรรทัดสุดท้าย {“message”:”192.168.1.1 120″,”@version”:”1″,”path”:”/tmp/input.txt”,”@timestamp”:”2018-09-11T04:56:03.662Z”,”size”:”120″,”host”:”elk1″,”ipaddress”:”192.168.1.1″} แสดงให้เห็นว่า สามารถใช้ filter นี้ แยกแยะข้อมูลเบื้องต้นได้ Example : Postfix Log ก่อนอื่น Stop Service ด้วยคำสั่ง service logstash stop เนื่องจาก Log แต่ละชนิด แต่ละซอฟต์แวร์มีความหลากหลายมาก แต่ดีที่มีผู้เชี่ยวชาญเค้าเขียน Pattern เอาไว้ให้ ให้ใช้คำสั่งต่อไปนี้ สร้างไดเรคทอรี่ /etc/logstash/patterns.d/ และ ดาวน์โหลด มาเก็บไว้

Read More »