สร้าง Hello World app ง่ายๆด้วย Xamarin.Forms

สวัสดีค่ะ จาก post ที่แล้วได้แนะนำ วิธีติดตั้งเครื่องมือที่ใช้พัฒนา app ด้วย Xamarin.Forms ไปแล้ว บทความนี้เราจะมาเริ่มสร้าง app ง่ายๆ นั่นก็คือ Hello World app หรือ แอพสวัสดีชาวโลก นั่นเองค่ะ เพื่อเรียนรู้การทำงานและทำความเข้าใจ solution/project structure ของ Xamarin มาเริ่มกันเลยค่า…1. ก่อนอื่นเราต้องสร้าง project ขึ้นมาก่อน เปิด Visual Studio แล้วเลือก Create New Project ดังรูป 2. เลือก Cross Platform และเลือก Mobile App (Xamarin.Forms) template หลังจากนั้น ตั้งชื่อ Project และระบุ path ของ project ตามต้องการแล้วกด OK ดังรูป 3. หน้า Select template จะมี template ให้เลือก 3 แบบ คือ Blank, Master-Detail และ Tabbed– Blank คือ project เปล่าๆ ว่างๆ ไม่มี page ใดๆ generate มาให้– Master-Detail คือ project ที่ generate page ในลักษณะ Mater Detail เป็นตัวอย่างมาให้พร้อม– Tabbed คือ project ที่ generate page ในลักษณะ Tab menu มาให้เลือกได้ตามสะดวก ขึ้นอยุ่กับ app ว่าเป็นแบบไหน ผู้เขียนเลือก Blank template ไปก่อน อยากเพิ่มอะไรค่อยเพิ่มทีหลังได้ค่ะ ส่วนของ Platform ก็เลือกเลยว่าอยากให้คอมไพล์เป็น app ของ platform ไหนบ้าง และในส่วนของ Code Sharing Strategy จะมีให้เลือก 2 รูปแบบ คือ .NET Standard กับ Share Project ให้กดเลือก .NET Standard ซึ่งเป็นCode Sharing รูปแบบใหม่ที่ทาง Microsoft แนะนำ แล้วกด OK ดังรูป 4. เสร็จแล้วจะได้หน้าตา project ที่มีโครงสร้างแบบนี้ พร้อมให้เราเขียน code พัฒนา app แล้วค่ะ ก่อนที่เราจะทดลอง run ดูผลลัพธ์ เรามาดู Solution/Project structure กันคร่าวๆ ก่อนว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง เราต้องเขียน code ลงตรงไหน ยังไงบ้าง Solution/Project Structure ใน solution ที่เราสร้างขึ้นมาจะประกอบไปด้วย share project และ project ตาม platform ที่เราได้เลือกไว้ที่หน้า template จากตัวอย่างข้างบนจะประกอบด้วย 1. HelloWord คือ share project ที่เราสามารถเขียน code ทั้งหมดภายใต้ project นี้ ทั้งส่วน UI ที่เขียนด้วย XAML และส่วน business logic ต่างๆ ที่เขียนด้วย C#2. HelloWorld.Android คือ android platform project ที่มีการ add

Read More »

เมื่อฉัน “แหก” (ใบแจ้งค่าน้ำประปา) การประปาส่วนภูมิภาค

Disclaimer: คำเตือน บทความนี้ ผู้เขียนมีจุดประสงค์ “แค่” นำเสนอ วิธีการแก้ปัญหาเมื่อจ่ายค่าน้ำประปา ผ่านทาง Mobile Application ไม่ได้เท่านั้น ปัญหา: ทุก ๆ เดือน เจ้าหน้าที่การประปาจะมาจดมาตรวัตน้ำ และปริ้นท์ใบเสร็จมาใส่กล่องจดหมายหน้าบ้าน และก็สามารถจ่ายผ่าน True Money Wallet ได้ทุกครั้ง … แต่มาครั้งนี้ จ่ายไม่ได้ จากภาพ จะเห็นว่า ใบเสร็จประกอบด้วยข้อมูลต่าง ๆ แต่ที่น่าสนใจ ได้แก่– เลขที่ใบแจ้งค่าน้ำ: 1227620229846– เลขที่ผู้ใช้น้ำ: 1227052xxxx– หน่วยงาน: 1227-21– วันที่อ่าน: 09/06/62– รวมเงินที่ต้องชำระทั้งสิ้น: 353.10 คราวนี้ … ใบแจ้งนี้ จะมี QR Code และ Barcode ซึ่ง ทดลองใช้ Google Lens อ่านพบว่า ได้ค่าออกมาเป็น |09940001649041111227052xxxx1906621227620229846000930000035310 นับแล้ว ได้ความยาว 62 ตัวอักษร ลองแล้วลองอีก ก็ไม่สามารถจ่ายได้ โทรไปถามการประปา ท่านก็ว่า ให้ไปที่สำนักงาน ซึ่ง … ไกลมวากกกกก คิวก็ยาวววววว จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่ได้ด้วย ก็เลย ไปที่ 7-Eleven ผลคือ ก็ยิง Barcode ได้ แต่ไม่สามารถจ่ายเงินได้อยู่ดี !!! พอดีสาขาที่ไป ช่วงนั้นลูกค้าไม่คับคั่ง จึงสอบถามพนักงานว่า ไม่ทราบมีวิธี Manual ไม๊ จะได้ทราบว่า มี โดยที่ Counter สามารถ Key เลขที่ใบแจ้งค่าน้ำ, เลขที่ผู้ใช้น้ำ, หน่วยงาน ได้ แต่ …. เมื่อ Key ตามช่องที่ระบบมีให้นั้น ปรากฏว่า ตั้งแต่ เลขที่ใบแจ้งค่าน้ำ ระบบก็บอกว่าไม่ถูกต้อง ก็เลย ขอรบกวนเค้า ให้ลอง Key ตัวเลขใต้ Barcode ขนาดความยาว 58 ตัวอักษร ลงไป ในช่อง เลขที่ใบแจ้งค่าน้ำ เลย ผลปรากฏว่า จ่ายได้ !!! 12276202298461227052xxxx122721190662000035310 อึ่มมมมม มันต้องมีอะไรแน่ ๆ …. ก็เลขมาสังเกตดู ถ้าเอา เลขที่ใบแจ้งค่าน้ำ, เลขที่ผู้ใช้น้ำ, หน่วยงาน มาต่อกัน จะได้ 1227620229846 1227052xxxx 122721 ส่วนต่อมา 190662 น่าจะเป็น 19/06/62 ซึ่ง ก็คือ 10 วัน หลังจาก วันที่อ่าน (09/06/62) และ000035310 น่าจะเป็น จำนวนเงิน หลักล้าน ทศนิยม 2 ตำแหน่ง Padding ด้วย 0 ด้านหน้า 0,000,353.10 อย่ากระนั้นเลย ไหน ลองเอาของเดือนที่แล้วมาดูซิ ซึ่งเคยจ่ายผ่าน App ได้ 09940001649041111227052xxxx2105621227620148723000930000037343 เปรียบเทียบ 2 เดือน |09940001649041111227052xxxx1906621227620229846000930000035310 09940001649041111227052xxxx2105621227620148723000930000037343 อ่อ เพราะเดือนที่ยิงไม่ได้ มีเครื่องหมาย | ข้างหน้า และ มีเลข 0994000164904111UPDATE: 0994000164904 คือ เลขที่ผู้เสียภาษี (Tax ID) ส่วน 111 อาจจะเอาไว้คั่น มั้ง สรุป เดือนไหนจ่ายไม่ได้ ลองเอาเลขใต้ Barcode ให้ 7-Eleven คีย์เข้าไปดูในช่อง “เลขที่ใบแจ้งค่าน้ำ” ก็จะจ่ายได้จร้า แล้ว …. ถ้าเอา 09940001649041111227052xxxx1906621227620229846000930000035310

Read More »

WPF Layout (Part II)

Popular layout panels of WPF 1. StackPanel StackPanel ของ WPF เป็น panel ที่เรียบง่ายและมีประโยชน์ในการนำมาใช้งาน โดยรูปแบบการจัดวางของ element ที่เป็น child จะวางอยู่ในรูปแบบซ้อนจากบนลงล่างหรือเรียงไปทางด้านซ้ายไปขวา ขึ้นกับการกำหนดค่าของ orientation StackPanel เหมาะสำหรับการจัดวางในรูปแบบที่มีลักษณะเป็น List โดย ItemsControls ของ WPF ทั้งหมด ที่เป็นลักษณะของ ComboBox, ListBox หรือ Menu จะใช้ StackPanel เพื่อจัดรูปแบบภายในของ Control ตัวมันเอง ดังตัวอย่าง Stack Items horizontally จากภาพตัวอย่างจะแสดงในส่วนของการใช้ horizontal stack panel คือจะประกอบด้วย ปุ่ม “OK” และ ปุ่ม “Cancel” ใน window โดยเมื่อมีการเปลี่ยนขนาดของตัวอักษรหรือเปลี่ยนภาษา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกำหนดขนาดของปุ่ม แต่ stack panel จะทำหน้าที่ในการจัดเรียงปุ่มตามขนาดของปุ่มทั้งสองให้โดยอัตโนมัติ ดังตัวอย่าง 2. Wrap Panel Wrap panel เหมือนกับ Stack Panel แต่ต่างกันที่ Wrap panel คือจะไม่บรรจุ child ทั้งหมดใน 1 แถว แต่ตัดส่วนที่เกินและขึ้นบรรทัดใหม่ กรณีที่ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือพอบรรจุอยู่ โดยทิศทางการจัดวางสามารถกำหนดเป็น Horizontal หรือ Vertical Wrap panel เคยใช้จัดวาง tabs ของ tabs control, itemของเมนูใน toolbar หรือ item ใน Windows Explorer ในรูปแบบ list โดย Wrap panel จะถูกนำมาใช้บ่อยกับitem ที่มีขนาดเท่ากัน แต่ในส่วนนี้ไม่ใช่ข้อกำหนดของ Wrap panel 3.  Dock Panel Dock panel คือรูปแบบในการจัดวางเรียง elements ของ panel นั้นๆ ได้ 4 ด้าน คือ  ซ้าย ขวา บน และ ล่าง หรือจะจัดเรียงไว้ตรงกลางก็สามารถทำได้ โดยแต่ละทิศทางการจัดเรียงจะสามารถกำหนดได้นั้นต้องระบุที่ DockPanel.Dock  กรณีที่ต้องการจัดวางเรียงให้อยู่ตรงกลางของ panel จำเป็นต้องให้ child ที่ต้องการจัดเรียงไว้ตรงกลางนั้นจัดวางอยู่ในตำแหน่งสุดท้าย แล้วต้องกำหนด panel  นั้น ให้ มี LastChildFill property = true ดังตัวอย่าง Multiple elements on one side Dock panel รองรับการมี elements ได้หลายตัวในแต่ละด้าน โดยแต่ละ element ต้องระบุ DockPanel.Dock ให้ตรงกับทิศทางที่ต้องการจัดเรียง ดังตัวอย่าง Change the stacking order ลำดับการจัดเรียงพื้นที่ให้กับ element คือ มันจะกำหนดพื้นที่การจัดเรียงคือ elements ตัวแรก จะได้พื้นที่ทั้งหมดตามความยาวหรือความสูงของตัวมันเอง ในส่วนของ elements อื่นๆจะได้พื้นที่เหลือจาก elements ตัวแรก และ elements ตัวอื่นๆที่จัดวางเรียงต่อๆกัน 4. Canvas Panel Canvas คือ panel ที่มีรูปแบบพื้นฐานที่ธรรมดาที่สุดใน WPF  โดย elementภายใน panel   จะมีพิกัดที่ชัดเจน โดยสามารถระบุพิกัดที่ต้องการจัดเรียงด้านต่างๆโดยใช้  Canvas.Left, Canvas.Top, Canvas.Bottom และ Canvas.Right โดยระบุใน properties ของ element นั้นๆ Canvas เป็น Panel ที่ใช้สำหรับจัดกลุ่ม

Read More »

WPF Layout (Part I)

Introduction to WPF Layout การอออกแบบ controls  คือส่วนสำคัญของการออกแบบโปรแกรมที่นำมาใช้งาน การจัดวาง controls ที่มีการกำหนดค่าขนาดของ pixel ของ controls นั้นๆ อาจจะใช้งานได้ดีในกรณีสภาพแวดล้อมที่ถูกจำกัด แต่ในขณะเดียวกันจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์นักหากไปแสดงบนหน้าจอที่มีความละเอียดของหน้าจอหรือขนาดของตัวอักษรที่ต่างกันออกไป WPF จึงมีการนำ panel มาแก้ไขปัญหาในส่วนนี้  โดย panel ที่ใช้ในการจัดวาง Layout มีอยู่ 5 ชนิดที่นิยมใช้การการออกแบบดังนี้ Grid Panel Stack Panel Dock Panel Wrap Panel Canvas Panel Best Practices หลีกเลี่ยงการกำหนดค่าตำแหน่ง : กรณีที่ต้องการกำหนดตำแหน่งการวาง controls ใน panel ควรใช้ Alignment properties ร่วมกับ Margin เพื่อกำหนดค่าตำแหน่งใน panel แทนการกำหนดเป็นค่าคงที่ในตำแหน่งนั้นๆ หลีกเลี่ยงการกำหนดขนาด : ควรกำหนด Width และ Height ของ element ให้เป็น Auto ไม่ใช้ canvas panel ในการจัดวาง layout ของ element ใช้ canvas panel กรณีที่เป็น vector graphic เท่านั้น ควรใช้ Stack panel เพื่อจัดเรียงปุ่ม ใช้ grid panel ในกับ form ที่เป็น form สำหรับการรับข้อมูลเข้า โดย control ที่อยู่ใน grid panel ที่เป็น label ควรกำหนดขนาดเป็น Auto และ controlที่เป็น Textbox ควรกำหนดขนาดเป็น * ใช้ itemControl ใน DataTemplate ของ grid panel เพื่อใช้ในการจัดวาง control ที่แสดงข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงของ keyตลอดเวลา และควรใช้ SharedSize เพื่อให้ label มีขนาดความกว้างเท่ากัน Vertical and Horizontal Alignment ใช้ VerticalAlignment และ HorizontalAlignmant properties เพื่อกำหนด  Control ให้อยู่ในส่วนเดียวกันหรือหลายๆส่วนใน panel   นั้นๆ  โดยมีตัวอย่างดังภาพ Margin and Padding Margin และ Padding properties จะจองพื้นที่ช่องว่างรอบๆของcontrol ดังนี้ • The Margin คือ ส่วนของช่องว่างรอบๆของ control. • The Padding คือส่วนของช่องว่างที่อยู่ภายใน control. • The Padding ของ control ที่อยู่ภายนอก คือ Margin ของ control ที่อยู่ภายใน Control นั้นๆ Height and Width ไม่แนะนำให้กำหนดค่า Height และ Width เนื่องจากจะทำให้ยุ่งยากในการจัดการ  การจัดการที่ดีควรจะกำหนดค่า  MinHeight, MaxHeight, MinWidth และ MaxWidth ตามต้องการ  หรือหากต้องการกำหนด width หรือ height เป็น Auto ขนาดของ controls ก็จะมีขนาดเท่ากับของข้อมูลโดยอัตโนมัติ Overflow Handling Clipping ในกรณีที่ elementsซ้อนทับ border ของ panel เราจะกำหนดการแสดงการจัดวางของ control โดยใช้ ClipToBounds property โดยมีกำหนดค่าเป็น  true หรือ false  ดังรูป Scrolling กรณีที่เนื้อหาของข้อมูลมีจำนวนมากเกินกว่าขนาดของ panel

Read More »

การบริหารโครงการโดยใช้เครื่องมือ Team Foundation Server (Phase 5 : การตรวจสอบงานที่ได้รับมอบหมาย และการบันทึกผลการทำงาน)

จากบทความ การบริหารโครงการโดยใช้เครื่องมือ Team Foundation Server (Phase 4 : การวางแผนงาน) เป็นบทบาทของ Project manager ในการมอบหมายงานให้กับสมาชิกในทีม สำหรับในบทความนี้ จะกล่าวถึงในมุมมองของสมาชิกทีมที่ได้รับมอบหมายงานบ้าง ว่าจะสามารถเข้าไปดูงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างไรได้บ้าง เรามาดูกันเลยนะค่ะ… สำหรับสมาชิกในทีม สามารถตรวจสอบงานที่ได้รับมอบหมาย ได้ในมุมมองดังนี้ Step 1 จาก TFS เลือกโครงการที่ต้องการตรวจสอบงานที่ได้รับอบหมาย ตามรูปที่ 1 Step 2 เลือก Work จากนั้นเลือก Blacklogs และเลือก Sprint ที่ต้องการ ดังรูปที่ 2 Step 3 ทำการเลือกชื่อของตนเอง ดังรูปที่ 3 Step 4 จะแสดง Tasks ที่ได้รับมอบหมาย ตามรูปที่ 4 นะค่ะ จากขั้นตอนข้างต้น ทำให้เจ้าตัวทราบว่า มี Tasks อะไรบ้างที่ได้รับมอบหมาย แต่ละ Task มีสถานะเป็นอย่างไรแล้วบ้าง ซึ่งได้แก่ ยังไม่ดำเนินการ กำลังดำเนินการ หรือดำเนินการเสร็จไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง…ยังมีอีกมุมมองนึงที่ทีมงานสามารถตรวจสอบปริมาณงานว่า งานที่ได้รับมอบหมาย มีปริมาณคงเหลือมากน้อยเพียงใด โดยตรวจดูจากเวลาที่เหลือ ดังนี้ค่ะ ^__^ เลือก Backlogs สามารถดูเวลางานที่เหลือจาก Work by Assigned to และดูจากชื่อของตนเอง ว่ามีจำนวนชั่วโมงเวลาที่เหลือเท่าไหร่ หากมีปริมาณชั่วโมงเยอะ แสดงว่าปริมาณงานยังเยอะอยู่นะค่ะ… ขั้นตอนสามารถดูได้จากรูปที่ 5 นะค่ะ จากบทความข้างต้น เป็นการตรวจสอบปริมาณงานของทีมงานแต่ละคนนะค่ะว่าได้รับมอบหมายงานอะไรบ้าง มีปริมาณเหลือมากน้อยเพียงใด ขั้นตอนต่อไปปจะเล่าถึงขั้นตอนของการบันทึกผลการปฏิบัติงานให้ฟังต่อนะค่ะ สำหรับการบันทึกผลการปฏิบัติงาน สามารถทำได้ดังนี้ค่ะSpet 1 เลือก Work จากนั้นเลือก Blacklogs และเลือก Sprint ที่ต้องการ ดังรูปที่ 6 Step 2 เลือก Task ที่ต้องการบันทึกผล จะแสดงดังรูปที่ 7 จากรูปที่ 7 จะต้อง Update ข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้1. State โดยประกอบด้วย Inprogress คือ กำลังดำเนินการ และ Todo หมายถึง ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว2. Remaining work ให้ระบุจำนวนชั่วโมงที่เหลือ3. History ให้ระบุข้อมูลต่าง ๆ ที่ดำเนินการ โดยสามารถแนบไฟล์ต่าง ๆ เข้าไปได้เมื่อใส่รายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการกดปุ่ม Save เพื่อบันทึกผลการปฏิบัติงาน ขั้นตอนง่าย ๆ ไม่ยากใช่ไม๊ค่ะ เห็นไม๊ค่ะว่า TFS สามารถช่วยเรื่องการวางแผน การมอบหมาย และการบันทึกผลการทำงานได้ ในครั้งต่อไป จะมากล่าวมุมมองการติดตามการดำเนินงาน หรือติดตามผลการปฏิบัติงาน ว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่…อย่าลืมติดตามกันต่อนะค่ะ… ขอบคุณค่ะ

Read More »