วิธีติดตั้ง HTTPS ด้วย Certificate ของ Let’s Encrypt

จาก มาใช้งาน let’s encrypt กันเถอะ ของอาจารย์ฉัตรชัย ผมขอขยายความต่อ เอาแบบว่า Copy-Paste กันเลย โดยในที่นี้ … OS เป็น Ubuntu 18.04 Web Server เป็น Apache ที่ Firewall เปิดให้เข้าถึง TCP 80 / 443 จาก Internet ได้ — มันจำเป็นสำหรับการ Verification ของ Certbot ครับ *** ในเบื้องต้นนะ 🙂 *** Let’s Encrypt คืออะไร อ่าน …https://letsencrypt.org/getting-started/ เริ่มต้น ต้องติดตั้ง Certbot ก่อน อ่าน …https://certbot.eff.org/ ดูต้นฉบับการติดตั้งของ Ubuntu 18.04 และใช้ Apache ได้จากhttps://certbot.eff.org/lets-encrypt/ubuntubionic-apache ติดตั้ง Certbot ก่อน ใช้คำสั่งต่อไปนี้ จาก User ที่สามารถ sudo ได้ แบบ Auto จากนั้นใช้คำสั่งต่อไปนี้ เพื่อให้ certbot ทำการติดตั้ง Certificate และแก้ไขไฟล์ (ในที่นี้ใช้ Apache) Configuration ให้เลย แบบแก้ไขเอง หรือถ้าจะทำเอง โดยต้องการเอาเฉพาะ Certificate มา แล้วทำการแก้ไขไฟล์ Apache Configuration เองก็ได้ ระบบจะถาม ยอมรับเงื่อนไขไม๊ –> แน่นอน (A) Accept email address ให้ใส่ไปตามจริง ต้องการให้แสดง email address เปิดเผยหรือไม่ –> ผมตอบ No นะ และ บอกว่า Domain Name ของเราคืออะไร ให้ใส่ FQDN ไป เช่น kx1.in.psu.ac.th เป็นต้น จากนั้น Certbot จะ Callback ไป ให้มีการ Verification จาก Internet ว่าสามารถเข้าถึงได้จริงหรือไม่ (ตรงนี้ ใน PSU ต้องแจ้งทาง Network Admin เพื่อเปิด Port ที่ Firewall ให้เข้าถึง TCP 80 และ 443 ให้สำเร็จก่อน) เมื่อ Verification สำเร็จ ก็จะได้ไฟล์ Certificate และ Private Key มา จะอยู่ที่ (path แต่ละเครื่องจะแตกต่างกันตรงที่ Domain Name ที่กำหนดข้างต้น) ตามลำดับ แก้ไขไฟล์ ให้มีค่าต่อไปนี้ จากนั้นใช้คำสั่งนี้ เพื่อเปิดใช้งาน https ใช้คำสั่งนี้ เพื่อใช้งาน default-ssl และทำการ Restart apache ด้วยคำสั่งนี้ sudo systemctl reload apache2 ทดสอบใช้งาน HTTPS ใช้งานได้ NOTE จริง ๆ แล้ว ในองค์กร สามารถทำเครื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมา เพื่อติดตั้ง certbot แล้วขอ Certificate มา ของ Domain ต่าง ๆ แล้วค่อย “ย้าย” certificate และ key file ไปเครื่องที่จะใช้งานจริง

Read More »
Microsoft Office Professional Plus 2019

How to install Office Professional Plus 2019 in PSU

สามารถ download ได้จาก https://licensing.psu.ac.th ล็อคอินเข้าระบบให้เรียบร้อย เมื่อเปิดหน้าของ Office Professional Plus 2019 เลื่อนลงมาล่างสุดจะมีให้ Download อยู่ 2 ส่วน โดย Office pro plus 2019 setup คือส่วนที่จำเป็นต้องโหลด และสามารถเลือกโหลด Configuration Setup ได้ตามภาษาและสถาปัตยกรรมที่ต้องการ เมื่อโหลดเสร็จแล้ว ติดตั้งโดยการเปิด cmd เรียกใช้ cmd ด้วยการกด windows+R การติดตั้ง Office Professional Plus 2019 จะเป็นการติดตั้งผ่านอินเตอร์เน็ตเท่านั้น พิมพ์ cd ไปยังโฟลเดอร์ที่ดาวน์โหลดทั้งสองไฟล์ไว้ (ในตัวอย่างโหลดไฟล์ไว้ที่ Desktop) พิมพ์คำสั่งดังต่อไปนี้ โดยเลือกตามรุ่นและสถาปัตยกรรมที่เลือก จะมีหน้า User control ให้ตอบ Yes แล้วจะได้หน้าต่างติดตั้งขึ้นมา รอจนเสร็จ เปิด Microsoft word สร้างเอกสารใหม่ คลิกเมนู File แล้วเลือก account มองไปด้านขวาในส่วนของ Product Information หากยังไม่มีข้อความว่า Product Activated ให้คลิก Change Product key ให้นำคีย์จากเว็บ https://licensing.psu.ac.th มาใส่แล้วกด Activate Office ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้เรียบร้อยก่อนทำขั้นตอนนี้ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปจบเพียงเท่านี้ ขอให้สนุก สำหรับ Power Users และคนที่ต้องการใช้ Office ภาษาอื่นๆ มากกว่าภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ หากเปิดดูในแฟ้ม o2019proplus64en.xml จะมีส่วนที่แก้ไขได้ ได้แก่ SourcePath และ Language ID โดยค่าที่เป็นไปได้ของ SourcePath คือ โฟลเดอร์ปลายทางที่จะได้เป็นที่เก็บตัวติดตั้ง Office Professional Plus 2019 เช่น d:\download ซึ่งแปลว่าโหลดตัวติดตั้งมาเก็บไว้ที่ d:\download และค่าที่เป็นไปได้ของ Language ID ได้แก่ รหัสภาษาที่ไมโครซอฟท์กำหนดโดยสามารถดูได้ที่ https://docs.microsoft.com/en-us/DeployOffice/office2016/language-identifiers-and-optionstate-id-values-in-office-2016 ตัวอย่างไฟล์ที่แก้เสร็จแล้ว วิธีใช้งานให้พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ใน cmd จะค้างอยู่จนกว่าจะ download เสร็จ เมื่อ download เสร็จแล้วสามารถพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ใน cmd เช่นเดิม เพื่อเริ่มกระบวนการติดตั้ง แบบที่กล่าวมาแล้ว จบขอให้สนุกครับ

Read More »

การนำเสนอรูปภาพให้น่าสนใจใน Power Point ด้วย Slide master

ตามหัวข้อเลยนะคะ อาจเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนทราบอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการทบทวนแล้วกันนะคะ มาดูกันเลย การสร้าง Logo ให้กับทุกหน้าใน slide ปัญหา : ถ้าเราต้องมาจัดวางโลโก้อยู่เองทีละหน้าก็ต้องใช้เวลาในการจัดตำแหน่ง ถึงแม้จะ Copy ได้ก็เถอะ Slide master ช่วยได้ค่ะ 1.ไปที่แท็บเมนู View –> Slide Master คลิกขวาที่แท็บด้านซ้ายเลือก Insert Layout 2.ไปที่แท็บเมนู Insert –> Picture เลือกรูปที่ต้องการ 3.จากนั้นเลื่อนกล่อง Picture มาบริเวณที่เราต้องการแสดงโลโก้ ในที่นี้เลื่อนมาบริเวณมุมขวาบน 4.คลิกขวาที่ Slide ที่กำลังจัดทำ Rename Layout เพื่อแก้ไขชื่อ Layout 5.ไปที่แท็บ Slide Master –> Close Master View 6.ที่แท็บ Home –> New Slide –> Custom Logo Layout   7.คลิกขวา New Slide ก็จะได้ Layout ที่มีโลโก้ตามต้องการ การสร้างหน้าสำหรับแนะนำตัว 1.ไปที่แท็บเมนู View –> Slide Master คลิกขวาที่แท็บด้านซ้ายเลือก Insert Layout 2.ไปที่แท็บ Slide Master –> Insert Placeholder –> Picture 3.ไปที่แท็บ Format –> Edit Shape –> Change Shape –> Oval เพื่อเปลี่ยน Shape ตามต้องการ 4.ไปที่แท็บ Insert –> Shapes –> Line เพื่อสร้างเส้นแบ่งระหว่างรูปภาพและเนื้อหา 5.ไปที่แท็บ Slide Master –> Insert Placeholder –> Text เพื่อใส่เนื้อหา 6.คลิกขวาที่ Slide ที่กำลังจัดทำ Rename Layout เพื่อแก้ไขชื่อ Layout 7.ไปที่แท็บ Slide Master –> Close Master View 8.ที่แท็บ Home –> New Slide –> Custom Layout สามารถเพิ่มรูปภาพและพิมพ์ข้อความเนื้อหาเข้าไปตามต้องการ โดยมีรูปแบบตาม Custom Layout ที่ได้ออกแบบไว้ การนำเสนอรูปภาพจำนวนหลาย ๆ รูปใน 1 slide ให้น่าสนใจ 1.ไปที่แท็บเมนู View –> Slide Master คลิกขวาที่แท็บด้านซ้ายเลือก Insert Layout แล้วลบ Label ต่าง ๆ ออกให้หมด 2.ไปที่แท็บ Slide Master –> Insert Placeholder –> Picture 3.ลากวางในตำแหน่งตามต้องการ 4.คัดลอก Picture อันที่ทำเรียบร้อยแล้วมาวางต่อ ๆ กันแล้วปรับขนาด ดังรูป 5.ไปที่แท็บ Slide Master –> Close Master View 6.ที่แท็บ Home –> New Slide –> Custom Layout 7.สามารถเพิ่มรูปตามต้องการได้ และสามารถเพิ่มรูปโดยไม่ตรง Resize ขนาด ไม่ต้องปรับอะไร วันนี้แค่นี้ก่อนแล้วกันนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ

Read More »

เปลี่ยน font หัว column ใน Excel ง่ายๆ

วันนี้ทางผู้เขียนขอเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ ด้วยบทความอันแสนสั้น และเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ซึ่งสามารถทำตามได้ง่ายๆ เกี่ยวกับเจ้าตัว Microsoft Excel นี่แหละ ปะ! … เรามาเริ่มเลยละกัน สำหรับคนที่ใช้ Excel กันอยู่แล้ว หลายๆ คนอาจจะเคยสงสัยเหมือนผู้เขียน ว่ารูปแบบตัวอักษร ที่อยู่บนหัวตารางเนี่ย เราสามารถเปลี่ยนมันได้มั้ย เปลี่ยนเป็นตามแบบที่เราชอบได้รึเปล่า ???   จริงๆ แล้วรูปแบบของหัวตาราง มันคือรูปแบบที่เรียกว่า Normal Style นั่นเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าเราไปเปลี่ยนเจ้า Normal Style ตัวนี้ รูปแบบหัวตารางของเราก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย…จริงมั้ย   คำถามถัดมาละ … แล้วเราจะไปเปลี่ยนเจ้า Normal Style ตัวนี้ได้ยังไง ไปตรงไหน เลือกอะไร ??? วันนี้ขอเขียนขั้นตอนการเปลี่ยน Normal Style แบบง่ายๆ กลั้นหายใจไม่ถึง 10 วิ ก็เสร็จละ ปะ ลุยยย !   Step 1. ขาดไม่ได้เลยนะขั้นตอนนี้ …. เปิด Excel ก่อนเลย แหะๆ พอเปิดแล้วก็จะได้มาประมาณนี้ (สังเกตจากที่จากรูป แบบ Normal Style ตัวอักษรหน้าตาก็จะพื้นๆ เรียบๆ นิดหน่อย)                 Step 2. ให้คลิกขวา ตรงรูปแบบที่ชื่อว่า Normal จากนั้น ให้เลือก Modify… ตัวอย่างตามรูปที่ 2 เลยนะ                 Step 3. จะปรากฏหน้าต่างเล็กที่ชื่อว่า Style ขึ้นมา ให้เราคลิกเลือกปุ่ม Format… ไปได้เลย                 Step 4. หลังจากเลือก Format… แล้ว Excel ก็จะแสดงหน้าต่าง Format Cells ขึ้นมา ให้เราเลือกรูปแบบ ของ Font, Style, Size หรืออื่นๆ ตัวอย่างตามรูปด้านล่างเลยนะทุกคน เมื่อเราเลือกเรียบร้อยแล้วก็กด OK และ OK                   Step 5. เมื่อกด OK จนครบแล้วก็จะเห็นรูปแบบ Font ตัวอักษรตรงหัว Column เปลี่ยนไป ตัวอย่างตามรูปเลยจ๊ะ แท่น แท่น แท๊นนนนนนนน …. เย้ Font เปลี่ยนแล้ววววว !!                 เป็นยังไงกันบ้าง ง่ายมั้ย ง่ายเนอะ คลิกไปคลิกมา ปุบปับๆ ก็เสร็จละ ซึ่งเจ้าตัว Normal Style ตัวนี้ที่เราเปลี่ยน เมื่อไหร่ที่เราเปิดไฟล์ใหม่ Style เหล่านี้ก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเช่นเดิมน๊าาาาา สบายใจได้ สำหรับครั้งนี้ ผู้เขียนขอขอบคุณทุกคนที่เผลอคลิกเข้ามาอ่านนะ 55+ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะมีประโยชน์ให้กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย *************************************************************************************************************** แหล่งข้อมูลอ้างอิง –> http://www.inwexcel.com/10-excel-secrets/

Read More »

django – as a Dialogflow Webhook #03

บทความนี้ จะกล่าวถึง การใช้ django ทำหน้าที่เป็น Webhook จาก Dialogflow ผ่าน Fulfillment ทาง HTTP Post Request ด้วย JSON object และ ทำการประมวลผล แล้วตอบกลับไปเป็น JSON Object เช่นกัน เพื่อให้ Dialogflow ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้ตามต้องการ เช่น อาจจะให้ไปค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลในองค์กรมาตอบ เป็นต้น ในมุมของ django django (ดี)จังโก้ ดีอย่างไร #01 ได้กล่าวถึงการสร้าง Web Application จาก Model โดยกำหนด Fields ต่าง ๆ จากนั้น django ก็จะสร้าง Web Form ต่าง ๆ ให้อัตโนมัติ และยังสามารถสร้าง Users ของระบบ พร้อมทั้ง กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของแต่ละคนได้อีกด้วย แล้วนำไปผูกกับส่วน Admin เพื่อให้ผู้ใช้ทำการ Authentication ก่อนเข้าจัดการกับข้อมูลต่างได้ และในบทความ django – Deploy to Production #02 ได้แนะนำวิธีการ Deploy ระบบที่สร้างขึ้นสู่ Production ตามลำดับ ในบทความนี้ จะใช้ “view” ซึ่งเป็นอีกส่วนของ django ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ใน myproject สร้าง App ใหม่ ชื่อ fulfillment เพิ่ม ‘fulfillment’ app ลงใน myproject/settings.py ที่ INSTALLED_APPS( ในตัวอย่างก่อนหน้า เราเพิ่ม worklog app ไว้แล้ว)  INSTALLED_APPS = [ ‘django.contrib.admin’, ‘django.contrib.auth’, ‘django.contrib.contenttypes’, ‘django.contrib.sessions’, ‘django.contrib.messages’, ‘django.contrib.staticfiles’, ‘worklog’, ‘fulfillment’ ] จากนั้น แก้ไขไฟล์ myproject/fulfillment/views.py ตามนี้ from django.http import HttpRequest, HttpResponse from django.views.decorators.csrf import csrf_exempt import json # Create your views here. @csrf_exempt def sayHi(request): j = json.loads(request.body) x = { “fulfillmentText”: “This is a text response” } return HttpResponse(json.dumps(x)) ในส่วนนี้ จะ import packages ต่อไปนี้ HttpRequest เพื่อรับ Input ผ่าน HTTP HttpResponse เพื่อตอบ Output ผ่าน HTTP csrf_exempt เพื่อบอกว่า ยอมให้ทำงานผ่าน HTTP POST โดยไม่ต้องมี CSRF Token (ถ้าไม่ใส่ อยู่ ๆ จะส่ง POST เข้ามาไม่ได้ ) json เพื่อจัดการ JSON object จากนั้น สร้าง Function ชื่อ “sayHi” มี function ที่เรียกใช้งานดังนี้ json.loads(request.body) ทำหน้าที่แปลง JSON Object จาก HTTP Request เข้ามาอยู่ในรูป Python Object ในที่นี้ จะนำข้อมูลจาก Dialogflow

Read More »