Category: Security

  • Spam Alert – หลอกเป็นธนาคารส่งแจ้งเตือนเรื่องการลงชื่อเข้าใช้อุปกรณ์ใหม่

    มุขเดิม เปลี่ยนธนาคาร

    28 เมษายน 2563 08:18 พบอีเมล “หลอกลวง” ว่ามาจากธนาคาร ไทยพานิชย์ แจ้งเกี่ยวกับ อุปกรณ์ใหม่ลงชื่อเข้าใช้

    ลักษณะอีเมลเป็นดังภาพ หากผู้ใดได้รับ ลบทิ้งได้ทันที

    รายละเอียดวิธีการสังเกต อ่านได้จาก Spam Alert – หลอกเป็นธนาคารส่งแจ้งเตือนเรื่องการลงชื่อเข้าใช้อุปกรณ์ใหม่

    คราวนี้ ผมลองคลิกเข้าไปดู ว่าหน้าตา Phishing เป็นอย่างไร

    เหมือนหน้าตาของ SCB Easy เป๊ะ ใครหลงเชื่อ (โดนหลอกสำเร็จ) ก็อาจจะสูญเงินในบัญชีไปได้ เพราะ Hacker ได้ username/password ของธนาคารไปแล้ว

    แถม เดี๋ยวนี้ เข้ารหัส HTTPS มาด้วย

    ความไม่รู้ คือ ความเสี่ยง

    ขอให้โชคดี

  • Spam Alert – หลอกเป็นธนาคารส่งแจ้งเตือนเรื่องการลงชื่อเข้าใช้อุปกรณ์ใหม่

    2 เมษายน 2563 08:18 พบอีเมล “หลอกลวง” ว่ามาจากธนาคาร กรุงไทย แจ้งเกี่ยวกับ อุปกรณ์ใหม่ลงชื่อเข้าใช้

    ลักษณะอีเมลเป็นดังภาพ หากผู้ใดได้รับ ลบทิ้งได้ทันที

    เพิ่มเติม: ลักษณะการโจมตีเช่นนี้ มักจะใช้ “ข้อความแสดงลิงค์” เป็น URL ที่น่าเชื่อถือ แต่เมื่อเอาเมาส์ไปวาง ก็จะพบว่า เป็น Link ไปที่อื่น ในกรณีนี้ อ้างว่าเป็น https://www.ktbnetbank.com แต่จริง ๆ ส่งไปยัง https://www.onlinenewstrend.com/

    ทางระบบ PSU Email ได้ทำการตรวจสอบ และแจ้งเตือนผู้ใช้อยู่แล้ว กรุณาสังเกต

    Disarmed: อีเมลฉบับนี้ ปลด Script อันตรายออกให้แล้ว

    MailScanner has detected a possible fraud attempt: แจ้งแล้วว่า มีความพยายามหลอกลวง

    “www.onlinenewstrend.com” claiming to be https://www.ktbnetbank.com: เนี่ย อีกเว็บนึง เคลมว่าเป็นอีกเว็บนึง

    จากบทความก่อนหน้านี้ เรื่อง ฉันโดนแฮ๊กหรือเปล่า !?!?! ลองทำตามขั้นตอนที่แนะนำดู จะพบว่า อีเมลนี้ มาจากอินเดีย

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

  • ฉันโดนแฮ๊กหรือเปล่า !?!?!

    หลายท่านอาจจะเคยได้รับ email หน้าตาประมาณนี้

    ข้อเท็จจริงคือ

    เราสามารถปลอมเป็นใคร ส่ง email ออกไปให้ใครก็ได้

    Truth …

    แล้ว จะรู้ได้อย่างไร !?!

    ต้องดูสิ่งที่เรียกว่า Header … โดยทำตามวิธีการต่อไปนี้

    1. คลิกที่ View Full Header

    จะได้ผลประมาณนี้

    จากภาพ จะเห็นว่า ส่งจาก (ดูจาก ล่าง ขึ้น บน)

    Received: from [154.117.164.59] (unknown [154.117.164.59])
         by mailscan.in.psu.ac.th (Postfix) with ESMTP id 69F2B150768
         for <kanakorn.h@psu.ac.th>; Thu, 5 Mar 2020 13:24:42 +0700 (ICT)

    แล้วจึงส่งเข้าระบบ PSU Email

    Received: from mailscan.in.psu.ac.th (unknown [192.168.107.12])
         by mail.psu.ac.th (Postfix) with ESMTP id A034D464FC7
         for <kanakorn.h@psu.ac.th>; Thu, 5 Mar 2020 13:24:46 +0700 (+07)

    แล้วจึงเข้า Mailbox ของ PSU (ข้อมูล version ของ cyrus เอาออกไม่ได้จริง ๆ ครับ ไว้รอ Upgrade)

    Received: from mail.psu.ac.th ([unix socket])
         by mail (Cyrus v2.4.18-Debian-2.4.18-3) with LMTPA;
         Thu, 05 Mar 2020 13:24:46 +0700

    จะเห็นได้ว่า ต้นทางคือ IP Address : 154.117.164.59

    ตรวจสอบว่าอยู่ที่ไหนในโลก ด้วย

    https://whatismyipaddress.com/ip/154.117.164.59

    ประมาณ South Africa

    สรุป ! ไม่ได้โดน Hack (ไม่ได้เข้ามาใช้ PSU Email ส่ง)

    ครับ

  • ELK #09 Anomaly Detection (Case Study)

    ระบบ PSU Email ให้บริการผู้ใช้ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีการใช้งานจากทั่วโลก ทั้งระบบประกอบขึ้นจากคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง การจะตรวจสอบ Log เมื่อเกิด Incident ขึ้น อาจจะต้องใช้ระยะเวลานาน และเป็นการยากพอสมควรที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ และสรุปออกมาเป็นรายงานได้ จึงเริ่มใช้ ELK สำหรับรวบรวม Log ของทั้งระบบไว้ที่ส่วนกลาง และพัฒนาต่อยอดเพื่อการตรวจจับความผิดปรกติต่าง ๆ ได้

    ในบทความนี้ จะนำเสนอวิธีการใช้ ELK เพื่อตรวจจับ การ Login ที่ผิดปรกติบน PSU Email โดยจะสนใจ ผู้ใช้ที่มีการ Login จากนอกประเทศเป็นหลัก

    การส่ง Log จาก Server เข้า ELK

    ที่เครื่อง Server แต่ละเครื่อง กำหนดให้ส่ง Log จาก /etc/rsyslog.d/50-default.conf เข้าไปที่ your.logstash.server:port ตามที่กำหนดไว้

    การสร้าง Logstash Filter

    ที่ Logstash Server

    • Input เพื่อรับข้อมูลจาก syslog ที่ port ที่ต้องการ เช่นในที่นี้เป็น 5516 เป็นต้น
    • Filter ใช้ Grok Plugin เพื่อจับข้อมูล จาก message แบ่งเป็นส่วน ๆ ตามลักษณะ แล้วตั้งชื่อตาม Field ตามต้องการ ในที่นี้คือ description, username, domainname, clientip, actiondate, actiontime เป็นต้น (ตัวที่สำคัญในตอนนี้คือ username และ clientip)
    • Output ตั้งว่าให้ส่งผลไปยัง Elasticsearch ที่ “your.elasticsearch.server” ที่ port 9200

    [ตรงนี้มีกระบวนการบางอย่าง ซึ่งค่อยมาลงรายละเอียด]

    เมื่อมี Log ไหลเข้าสู่ Logstash และ ถูกประมวลผลแล้ว ก็จะเข้าสู่ Elasticsearch แล้ว ก็นำไปใช้งานบน Kibana

    หลังจากนั้น สามารถ Search ข้อมูล และใส่ Fields ที่สนใจ เช่น Time, Username, geoip.country_name และ description ได้ แล้ว Save เอาไว้ใช้งานต่อ ในที่นี้ ตั้งชื่อว่า squirrelmail-geoip

    จากนั้น สามารถเอาไปสร้างเป็น Visualization แบบ Coordinate Map ได้ เช่น ดูว่า มีการ Login Success / Failed Login / Sent จากที่ไหนบ้างในโลก

    จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่ ใช้งานจากในประเทศไทย (วงกลมสีแดงเข้ม ๆ) ส่วนนอกประเทศ จะเป็นวงสีเหลืองเล็ก ๆ

    การตรวจหาการใช้งานที่ผิดปรกติ

    สร้าง Search ใหม่ กรองเฉพาะ ที่มี (exist) Username และ ไม่เป็น N/A และ มี (exist) geoip.country_code และ ไม่ใช่ Thailand แล้ว Save ไว้ใช้งานต่อไป ในที่ตั้งชื่อว่า squirrelmail-geoip-outside-th

    จากนั้น เอาไปสร้าง Visualization แบบ Vertical Bar
    กำหนดให้
    Y Axis เป็นจำนวน
    X Axis เป็น Username
    โดยที่ Group by geoip.country_name และ description
    ก็จะทำให้รู้ว่า ใครบ้างที่ มีการใช้งานนอกประเทศ และ เป็นการใช้งานแบบไหน

    จะเห็นได้ว่า จะมีบางคนที่ แสดงสีแค่สีเดียว กับบางคนมีหลายสี เนื่องจาก มีหลายประเทศ และ หลายประเภทการใช้งาน เราสามารถ กรองเอาเฉพาะ ข้อมูลที่สนใจได้ โดยคลิกที่ Inspect แล้วกดเครื่องหมาย + กับข้อมูลที่ต้องการ เช่น description ที่เป็น “Failed webmail login” ก็ได้

    ก็จะกรองเฉพาะ Username ที่มีการ Login จากต่างประเทศ แต่ไม่สำเร็จ จากภาพด้านล่าง แสดงว่า 3 คนนี้ น่าจะโดนอะไรเข้าแล้ว

    หรือ ถ้าจะกรองข้อมูล เฉพาะคนที่ “Failed webmail login” และ “Message sent via webmail” ก็ได้ แต่ต้องเปลี่ยน ชนิดการ Filter เป็น “is one of”

    ผลที่ได้ดังภาพ แต่เนื่องจาก ก็ยังเป็น 3 คนนี้อยู่ จะเห็นได้ว่า คน ๆ เดียว (ซ้ายสุด) มีการ Login จากหลายประเทศ ภายใน 24 ชั่วโมง

    ต่อไป ถ้าเราสนใจเฉพาะ คนที่ “ส่งอีเมล” จากนอกประเทศ ในเวลาที่กำหนด จะได้ผลประมาณนี้

    พบว่า คนซ้ายสุด คนเดิมนั่นแหล่ะ แต่เราจะมาดูรายละเอียด ก็คลิกที่ปุ่ม Inspect แล้ว เลือก Include เฉพาะ Username นั้น

    ก็พบว่า คนนี้มีการส่ง email ออกจากประเทศ USA, Canada, Panama, Argentina, Mexico แล้วบินมา UK ภายในวันเดียว –> ทำได้ไง !!! (ดังภาพด้านล่าง)

    เมื่อลองตรวจสอบ ก็จะพบว่า Username นี้ มีพฤติกรรม ส่ง Spam จริง ๆ ก็จะจัดการ “จำกัดความเสียหาย” ต่อไป

    วิธีการที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสร้างเป็น Process อัตโนมัติ (เว้นแต่ขั้นตอนการ จำกัดความเสียหาย จะ Automatic ก็ได้ แต่ตอนนี้ขอ Manual ก่อน) เอาไว้สำหรับ Monitoring ได้ โดยอาจจะสั่งให้ เฝ้าดู 1 ชั่วโมงล่าสุด และ Refresh ทุก 1 นาที ดังภาพ

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์

    ส่วนรายละเอียด คอยติดตามตอนต่อไปครับ

  • ปิดช่องโหว่เหลือค้าง

    • หลังจากไม่ได้ตรวจสอบช่องโหว่มานาน วันนี้ Nessus ทำใหม่แล้วลองสแกนซักหน่อย
    Nessus Scan Report
    • ซึ่งจะพบว่ามี Medium สองรายการ คือ Browsable Web Directory และ WordPress User Enumeration โดย
      • Browsable Web Directory คือ สามารถเข้าถึงรายการใน directory ได้ เช่น ชื่อไฟล์ มีไฟล์อะไรบ้าง ขนาดเท่าไหร่ เป็นต้น เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเป็น directory ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าถึง
      • WordPress User Enumeration คือ สามารถเข้าถึง username ได้ว่ามี user อะไรบ้าง

    ปิด Directory Browsing

    ทำได้ 2 วิธีคือ

    • แก้ไขแฟ้ม config ของ site ที่ต้องการปิด โดยทั่วไปแฟ้มจะอยู่ที่ /etc/apache2/site-enabled/site.conf โดย site.conf คือชื่อไฟล์ที่ต้องการ โดยเพิ่มในส่วนของ Directory ของไซต์นั้น ตัวอย่างเป็น /var/www/html/aaeee ให้ทำการแก้ไขหรือเพิ่มข้อความตามตัวอย่าง ส่วนสำคัญคือ Options ต้องไม่มีคำว่า Indexes เมื่อแก้ไขเสร็จ ให้ reload หรือ restart apache2 ด้วยคำสั่ง sudo systemctl reload apache2 หรือ sudo systemctl restart apache2
    <Directory /var/www/html/aaeee>
            Options FollowSymLinks
            AllowOverride All
    </Directory>
    • สำหรับวิธีที่สองนี้ ต้องมีการระบุ AllowOverride All ในแฟ้มของไซต์ ด้วยจึงจะใช้งานได้ (หากแก้ไขไฟล์ไซต์ของ apache2 ต้อง reload หรือ restart ด้วย) เช่น
    <Directory /var/www/html/aaeee>
            AllowOverride All
    </Directory>
    • สร้างแฟ้ม .htaccess เอาไว้ใน Directory (จากตัวอย่างนี้คือ /var/www/html/aaeee) ที่ต้องการ โดยเพิ่มข้อความข้างล่างนี้วิธีนี้ มีผลทันทีไม่ต้อง reload หรือ restart apache2
    Options -Indexes

    ปิด WordPress User Enumeration

    • ในไซต์ของ WordPress จะมีแฟ้ม .htaccess อยู่ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้ลงไป โดย yoursite.name คือชื่อเว็บไซต์
    #user enumeration
    RewriteCond %{QUERY_STRING} ^author=([0-9]*)
    RewriteRule .* https://yoursite.name/? [L,R=302]
    • เมื่อทำสองอย่างแล้วให้ nessus เข้าตรวจสอบอีกครั้ง
    Nessus Scan Report
    • เย่….หายไปละ
    • จบขอให้สนุก
  • ติดตั้ง Let’s Encrypt Certificate สำหรับ SSL Sites บน IIS

    หลังจากที่พี่หนุ่ม คณกรณ์ หอศิริธรรม  ได้เขียนเรื่อง วิธีติดตั้ง HTTPS ด้วย Certificate ของ Let’s Encrypt ไปแล้วนั้น ก็จะมาถึงทางฝั่ง Windows กันบ้าง ซึ่งจะติดตั้งผ่านเครื่องมือ บน Command Line ครับ

    ตัวอย่างนี้จะเป็นวิธีการติดตั้งโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า WinACME ซึ่ง ดาวน์โหลดได้ที่นี่ (จริงๆ มีหลายตัวให้เลือกใช้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาผ่าน ACME API มีทั้งแบบเป็น Command Line, Power shell และเป็น GUI ครับ)

    หลังจากดาวน์โหลดไฟล์มาแล้ว ผม Extract ไปไว้ที่ C:\LetsEncryptSSL

    จากนั้นก็เปิด Command Prompt ด้วยสิทธิ Administrator
    (เปิดด้วยสิทธิ Administrator เพื่อให้มีการสร้าง Schedule Task ในการ Renew Cert. โดยอัตโนมัติครับ)

    จากนั้นทำการเรียกด้วยคำสั่ง letsencrypt จะพบกับเมนูดังภาพนี้ครับ

    ผมเลือกตอบตัว “n” จะพบกับเมนูให้เลือกด้านล่างนี้ (สำหรับผู้ที่มีความชำนาญ สามารถเลือก M เพื่อเปิด advanced option ได้ครับ)

    และเนื่องจากเครื่องที่แสดงอยู่นี้ เป็น multiple site และผมจะทำการติดตั้งลงไปเพียง 1 site ตามนี้ครับ

    เลือก site จากนั้นกด Enter จะพบว่าโปรแกรมเริ่มทำการ Generate SSL Cert. และ Assign ไปยัง Site ของเรา พร้อมทั้งกำหนด Schedule Task เรียบร้อยแล้ว

    ลองดูผลลัพธ์ใน II

    ลองเปิดเว็บดู ผ่าน Google Chrome ปรากฎว่ามีรูปกุญแจขึ้นแล้วและเป็น Cert. ของ Let’s Encrypt ตามที่ต้องการ

    กลับไปตรวจสอบ Schedule Task พบว่ามีการสร้าง Task เพื่อ Renew Cert. เอาไว้แล้ว

    จบปิ๊ง…

  • เตือนภัยอีเมลหลอกลวงว่าเป็นธนาคารกรุงไทย (Spam 2018-11-14)

    เช้านี้มีอีเมลหลอกลวงหลุดเข้ามา

    อ้างว่ามาจาก Krungthai Bank PCL ดังภาพ

    จะเห็นว่า From ก็หลอกว่ามาจาก info@ktb.co.th และในเนื้อหาก็มี Logo ของธนาคาร แถมมี Link  ที่วิ่งไป

    HTTPS://WWW.KTB.CO.TH/PERSONAL/DETAIL/VERIFY/172

    แต่ไม่ใช่ของจริง !!!

    เพราะ ถ้าท่านดูอีเมลฉบับนี้แบบ HTML จะเป็นการส่ง Link ไปที่ “เว็บไซต์หลอกลวง” หรือเรียกว่า Phishing Site 

    ไม่แนะนำให้คลิกตาม

    https://scrappse.tk/jssl/ktbnetbank/krungthai/index.html

    ซึ่งจะได้หน้าตาเหมือนกับของธนาคารจริง ๆ เพราะมันไปใช้ภาพจากเว็บไซต์จริง

    เว็บไซต์หลอกลวง !!!!

    และใช้ HTTPS และได้ “กุญแจ” ที่บอกว่า valid certificate อีกด้วย เพราะใช้ Let’s Encrypt

    ดังนั้นจึงแจ้งเตือนภัยมายังประชาคมให้รับทราบ ว่าปัจจุบันนี้

    • เห็น LINK ใน Email แล้วเป็น URL ชื่อของธนาคารจริง ก็ยังไม่พอ (กรณีนี้เป็นของ www.ktb.co.th)
    • คลิกไป เจอหน้าเว็บ หน้าตาน่าเชื่อถือ ก็ไม่พอ (ตามภาพ เลียนแบบเหมือนมาก)
    • ดูว่ามี “กุญแจ” ของ HTTPS ถูกต้องก็ไม่พอ (กรณีนี้ ได้กุญแจมาแล้ว แต่เป็นของเว็บไซต์หลอกลวง)
    • ดังนั้น ต้องดูด้วยว่า URL ที่ท่านเห็นด้านบน เป็นของธนาคารจริง ๆ หรือไม่ !!! (ในกรณีนี้ ไม่จริง เพราะเป็นของ https://scrappse.tk )

    ธนาคารกรุงไทย ได้แจ้งเตือนเรื่องนี้ไว้แล้วที่ 

    https://www.ktb.co.th/th/krungthai-update/announcement-detail/162

    ดังนั้น หากท่านได้รับ Email ในทำนองนี้ ให้ตรวจสอบกับธนาคาร หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะคนร้ายจะหลอกให้ท่านกรอก Username/Password เพื่อเข้าสู่บัญชีธนาคารของท่านได้

  • วิธีตั้งค่า HTTPS บน Apache2 รุ่นที่สูงกว่า 2.4.8

    จากบทความ การแก้ไข Certificate สำหรับ Apache Web Server (Ubuntu 14.04 LTS) ตอนนี้ Apache2 รุ่นที่สูงกว่า 2.4.8 ประกาศให้ SSLCertificateChainFile นั้น obsolete หรือ จะไม่ใช้อีกต่อไป

    จากเดิม เราเคยใช้

    SSLCertificateFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].crt
    SSLCertificateKeyFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].key
    SSLCertificateChainFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].ca-bundle

    ต่อไปนี้ แนะนำให้ใช้แค่

    SSLCertificateFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name]_combined.crt
    SSLCertificateKeyFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].key

    แล้ว 

    /etc/apache2/cer/[cer-file-name]_combined.crt

    มาจากไหน ??? มันมากจากการเอาไฟล์ [cer-file-name].crt แล้วต่อท้ายด้วยไฟล์ [cer-file-name].ca-bundle ด้วยคำสั่ง

    cat [cer-file-name].crt [cer-file-name].ca-bundle > [cer-file-name]_combined.crt

    เช่น

    cat in_psu.crt intermediate_ca.crt > in_psu_combined.crt

    เป็นต้น เสร็จแล้ว ก็ Restart Apache — จบแค่นี้ ใช้งานได้

    TL;DR

    Q: มีไฟล์ .crt เต็มไปหมด จะรู้ได้ไงว่า อันไหนคือ Certificate ของอะไร อย่างไร

    A: สมมุติ Certificate ของ Server ที่ได้มา ชื่อ server.crt ต้องใช้คำสั่งนี้ ดูรายละเอียด

    openssl x509 -in server.crt -text

    ผลที่ได้ จะประมาณนี้

    สิ่งสำคัญที่ควรดู ในที่นี้คือ Issuer จะเห็นว่า CN หรือ common name คือ AlphaSSL CA – SHA256 – G2  และบรรทัด Subject จะบอกว่า Domain (*.xxxxx.psu.ac.th) ที่ลงทะเบียนไว้ อยู่ภายใต้ “AlphaSSL CA” อีกที

    ซึ่ง ถ้าไปดูใน /etc/ssl/certs ก็จะเห็นว่า ไม่มี CA Certificate ของ “AlphaSSL CA” นี้อยู่ แต่จะมีของ “GlobalSign Root CA” อยู่

    ทำไมเป็นอย่างนั้น ??? เพราะ CA เค้าต้องรักษา Root Certificate ของตนเองไว้ให้ดี จึงออกสิ่งที่เรียกว่า Intermediate CA ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง แล้วแจกจ่ายให้กับผู้ที่ซื้อ Certificate ของเค้าอีกชั้นหนึ่ง

    คราวนี้ มาลองดูข้อมูลใน intermediate_ca.crt ว่ามีข้อมูลเป็นอย่างไร ด้วยคำสั่ง

    openssl x509 -in intermediate_ca.crt -text

    จะเห็นได้ว่า Issuer เป็น “GlobalSign Root CA” และ Subject เป็น “AlphaSSL CA” 

    จากเดิม Apache2 รุ่น < 2.4.8 ให้ใช้ Directive  “SSLCertificateChainFile” ในการกำหนด Intermediate CA ได้ แต่หลังจากนั้น ก็ให้ Obsolete เพราะ สามารถเอา 2 ไฟล์มาต่อกันได้ตามที่เขียนไว้ข้างต้น

    ในทางปฏิบัติ จริง ๆ แล้ว ก็ยังใช้ได้อยู่ แต่เป็น Obsolete ทางที่ดี ก็ควรจะปรับปรุงตามที่แนะนำไว้จะดีกว่า

    และ ถ้าใช้งานแค่ SSLCertificateFile (แบบที่มีแต่ Server Certificate) และ SSLCertificateKey (Server Private Key) นั้น เมื่อ Restart apache2 แล้ว ทดสอบใช้งานกับ Web Browser ส่วนใหญ่ จะใช้งานได้ ไม่ต้องอ้าง Intermediate CA ก็ได้ *** เพราะใน Web Browser ได้ติดตั้ง Intermediate CA พวกนี้ไว้เป็นส่วนใหญ่แล้ *** แต่ถ้าลองเรียกผ่าน curl หรือบริการอื่น ๆ เช่น จาก Google DialogFlow Fulfillment ก็จะเรียกไม่ผ่าน เพราะในระบบเค้าไม่ได้ใส่ Intermediate CA ไว้นั่นเอง

    การที่ Combined ทั้ง Server Certificate และ Intermediate CA ไว้ในไฟล์เดียวกัน ทำให้มั่นใจได้ว่า สามารถใช้งาน https ได้จากทุก Platform นั่นเอง

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

  • Hardening your HTTP response headers

    Introduction

    HTTP Response headers คือ ค่าของสตริงที่ส่งกลับมาจากเซิร์ฟเวอร์ที่มีเนื้อหาตามที่ถูกร้องขอ โดยปกติจะใช้บอกข้อมูลทางเทคนิค เช่น เบราเซอร์ควรแคชเนื้อหา, ประเภทของเนื้อหาคืออะไร, ซอฟต์แวร์ที่ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ และอื่น ๆ   HTTP Response headers ถูกใช้เพื่อส่งต่อนโยบายความปลอดภัยไปยังเบราเซอร์  ทำให้การเปิดเว็บไซต์ของเรามีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

    Header ของ Apache2 ที่ควรต้องใส่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยมีดังนี้

    Content Security Policy

    Header เรื่อง Content Security Policy (CSP) ช่วยให้กำหนดต้นทางของเนื้อหาที่อนุญาตสำหรับเว็บไซต์ โดยการจำกัดเนื้อหาที่เบราเซอร์สามารถโหลดได้ ได้แก่ js และ css

    สามารถสร้าง CSP ได้จาก https://report-uri.com/home/generate ทั้งนี้ต้องทดสอบการทำงานทุกครั้งเนื่องจาก การกำหนดค่าบางอย่างอาจทำให้เว็บไซต์ ทำงานไม่ถูกต้อง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://scotthelme.co.uk/content-security-policy-an-introduction/ สำหรับ Apache2 เพิ่ม Header ต่อไปนี้ ในแฟ้มของไซต์ที่ต้องการ เช่น /etc/apache2/site-enabled/lsc-ssl.conf  หรือแฟ้ม .htaccess ในไซต์ที่ต้องการ (ซึ่งแนะนำว่าใช้ .htaccess จะได้ไม่ต้องรีสตาร์ทเซิร์ฟเวอร์) เพื่อเปิดการใช้งาน CSP


    Header always set Content-Security-Policy "default-src https: data: 'unsafe-inline' 'unsafe-eval'"

    HTTP Strict Transport Security (HSTS)

    เว็บไซต์ ต้องมีการตั้งค่าให้ redirect จาก HTTP ไปยัง HTTPS เสมอ และ HSTS จะเป็น Header ที่กำหนดให้เบราเซอร์จำสถานะของ HTTPS เอาไว้แม้ว่าจะเป็นการเปิดจาก bookmark ที่เป็น HTTP ก็ตาม ก็จะถูกบังคับให้เป็น HTTPS รายละเอียดเพิ่มเติม https://scotthelme.co.uk/hsts-the-missing-link-in-tls/ เช่น เมื่อเปิด http://licensing.psu.ac.th ก็จะถูก redirect ไป https://licensing.psu.ac.th

    Header always set Strict-Transport-Security "max-age=31536000; includeSubDomains"

    X-Frame-Options

    X-Frame-Options หรือ XFO header จะช่วยป้องกันผู้ใช้จากการโจมตีแบบ clickjacking ที่ผู้บุกรุกสามารถโหลด iframe จากไซต์ของเขาบนไซต์ของเราได้ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์ของเราเชื่อว่าไม่อันตราย!! รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.troyhunt.com/clickjack-attack-hidden-threat-right-in/

    Header always set X-Frame-Options "SAMEORIGIN"

    X-Xss-Protection

    Header นี้ใช้กำหนดค่าการป้องกัน XSS ที่มีอยู่บนเบราเซอร์ต่างๆ โดยการตั้งค่าจะมี 0 คือ ปิดการทำงาน 1 คือเปิดการทำงาน และ 1; mode=block ซึ่งจะกำหนดให้เบราเซอร์ทำการบล็อคการกระทำใดๆ ก็ตามที่มากกว่าการล้างข้อมูลสคริปต์

    Header always set X-Xss-Protection "1; mode=block"

    X-Content-Type-Options

    X-Content-Type-Options ใช้ในการป้องกันการโจมตีผ่านทางช่องโหว่ MIME sniffing ซึ่งจะเกิดเมื่อ เว็บไซต์อนุญาตให้ผู้ใช้อัพโหลดเนื้อหาไปยังเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งผู้ใช้อาจเปลี่ยนหรือซ่อนไฟล์อันตราย แล้วอัพโหลดขึ้นเซิร์ฟเวอร์ รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.keycdn.com/support/x-content-type-options/

    Header always set X-Content-Type-Options "nosniff"

    เบื้องต้นแนะนำเท่านี้ก่อนครับ พิเศษ!! สำหรับผู้ใช้งาน wordpress มีปลั๊กอินชื่อ HTTP Headers ใช่ตั้งค่า Header ต่างๆ ที่เล่ามาข้างต้นได้อย่างสบายใจหายห่วง!!! ไม่ต้องแก้ .htaccess ไม่ต้องแก้ config ใด ๆ  เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะพบว่ามี Header อีกมากที่สามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะกล่าวอีกในครั้งต่อ ๆ ไป

    ต้นฉบับ

    https://scotthelme.co.uk/hardening-your-http-response-headers/

    มีวิธีการเซ็ตสำหรับ Nginx และ IIS สามารถดูเพิ่มเติมได้ครับ
    อย่าลืม!!

    ตรวจ HTTP Response ได้ที่ https://securityheaders.com

    จบขอให้สนุก