Category: Developer

งานพัฒนาระบบ, เขียนโปรแกรม

  • WPF Layout (Part II)

    Popular layout panels of WPF

    1. StackPanel

    ภาพตัวอย่าง StackPanel

    StackPanel ของ WPF เป็น panel ที่เรียบง่ายและมีประโยชน์ในการนำมาใช้งาน โดยรูปแบบการจัดวางของ element ที่เป็น child จะวางอยู่ในรูปแบบซ้อนจากบนลงล่างหรือเรียงไปทางด้านซ้ายไปขวา ขึ้นกับการกำหนดค่าของ orientation StackPanel เหมาะสำหรับการจัดวางในรูปแบบที่มีลักษณะเป็น List โดย ItemsControls ของ WPF ทั้งหมด ที่เป็นลักษณะของ ComboBox, ListBox หรือ Menu จะใช้ StackPanel เพื่อจัดรูปแบบภายในของ Control ตัวมันเอง ดังตัวอย่าง

    <StackPanel>
      <TextBlock Margin="10" FontSize="20">How do you like your coffee?</TextBlock>
      <Button Margin="10">Black</Button>
      <Button Margin="10">With milk</Button>
      <Button Margin="10">Latte machiato</Button>
      <Button Margin="10">Chappuchino</Button>
    </StackPanel>

    Stack Items horizontally

    จากภาพตัวอย่างจะแสดงในส่วนของการใช้ horizontal stack panel คือจะประกอบด้วย ปุ่ม “OK” และ ปุ่ม “Cancel” ใน window โดยเมื่อมีการเปลี่ยนขนาดของตัวอักษรหรือเปลี่ยนภาษา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกำหนดขนาดของปุ่ม แต่ stack panel จะทำหน้าที่ในการจัดเรียงปุ่มตามขนาดของปุ่มทั้งสองให้โดยอัตโนมัติ ดังตัวอย่าง

    ภาพตัวอย่าง Stack Items horizontally
    <StackPanel Margin="8" Orientation="Horizontal">            
       <Button MinWidth="93">OK</Button>
       <Button MinWidth="93" Margin="10,0,0,0">Cancel</Button>
    </StackPanel>
    

    2. Wrap Panel

    ภาพตัวอย่าง Wrap Panel

    Wrap panel เหมือนกับ Stack Panel แต่ต่างกันที่ Wrap panel คือจะไม่บรรจุ child ทั้งหมดใน 1 แถว แต่ตัดส่วนที่เกินและขึ้นบรรทัดใหม่ กรณีที่ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือพอบรรจุอยู่ โดยทิศทางการจัดวางสามารถกำหนดเป็น Horizontal หรือ Vertical
    Wrap panel เคยใช้จัดวาง tabs ของ tabs control, itemของเมนูใน toolbar หรือ item ใน Windows Explorer ในรูปแบบ list โดย Wrap panel จะถูกนำมาใช้บ่อยกับitem ที่มีขนาดเท่ากัน แต่ในส่วนนี้ไม่ใช่ข้อกำหนดของ Wrap panel

    <WrapPanel Orientation="Horizontal">
        <Button Content="Button" />
        <Button Content="Button" />
        <Button Content="Button" />
        <Button Content="Button" />
        <Button Content="Button" />
    </WrapPanel>
    

    3.  Dock Panel

    Dock panel คือรูปแบบในการจัดวางเรียง elements ของ panel นั้นๆ ได้ 4 ด้าน คือ  ซ้าย ขวา บน และ ล่าง หรือจะจัดเรียงไว้ตรงกลางก็สามารถทำได้ โดยแต่ละทิศทางการจัดเรียงจะสามารถกำหนดได้นั้นต้องระบุที่ DockPanel.Dock  กรณีที่ต้องการจัดวางเรียงให้อยู่ตรงกลางของ panel จำเป็นต้องให้ child ที่ต้องการจัดเรียงไว้ตรงกลางนั้นจัดวางอยู่ในตำแหน่งสุดท้าย แล้วต้องกำหนด panel  นั้น ให้ มี LastChildFill property = true ดังตัวอย่าง

    ภาพตัวอย่าง Dock Panel
    <DockPanel LastChildFill="True">
        <Button Content="Dock=Top" DockPanel.Dock="Top"/>
        <Button Content="Dock=Bottom" DockPanel.Dock="Bottom"/>
        <Button Content="Dock=Left"/>
        <Button Content="Dock=Right" DockPanel.Dock="Right"/>
        <Button Content="LastChildFill=True"/>
    </DockPanel>
    

    Multiple elements on one side

    Dock panel รองรับการมี elements ได้หลายตัวในแต่ละด้าน โดยแต่ละ element ต้องระบุ DockPanel.Dock ให้ตรงกับทิศทางที่ต้องการจัดเรียง ดังตัวอย่าง

    ภาพตัวอย่าง Multiple elements on one side
    <DockPanel LastChildFill="True">
        <Button Content="Dock=Left"/>
        <Button Content="Dock=Left"/>
        <Button Content="Dock=Top" DockPanel.Dock="Top"/>
        <Button Content="Dock=Bottom" DockPanel.Dock="Bottom"/>
        <Button Content="Dock=Right" DockPanel.Dock="Right"/>
        <Button Content="LastChildFill=True"/>
    </DockPanel>
    

    Change the stacking order

    ลำดับการจัดเรียงพื้นที่ให้กับ element คือ มันจะกำหนดพื้นที่การจัดเรียงคือ elements ตัวแรก จะได้พื้นที่ทั้งหมดตามความยาวหรือความสูงของตัวมันเอง ในส่วนของ elements อื่นๆจะได้พื้นที่เหลือจาก elements ตัวแรก และ elements ตัวอื่นๆที่จัดวางเรียงต่อๆกัน

    4. Canvas Panel

    Canvas คือ panel ที่มีรูปแบบพื้นฐานที่ธรรมดาที่สุดใน WPF  โดย elementภายใน panel   จะมีพิกัดที่ชัดเจน โดยสามารถระบุพิกัดที่ต้องการจัดเรียงด้านต่างๆโดยใช้  Canvas.Left, Canvas.Top, Canvas.Bottom และ Canvas.Right โดยระบุใน properties ของ element นั้นๆ

    Canvas เป็น Panel ที่ใช้สำหรับจัดกลุ่ม elements ที่เป็น 2D แต่จะไม่ใช้สำหรับจัดรูปแบบของ UI โดยส่วนนี้จะสำคัญมากเนื่องจากการกำหนดพิกัดที่แน่นอนจะทำให้ยุ่งยากในกรณีที่เราต้องการเปลี่ยนขนาด ขยายขนาด หรือจำกัด application ผู้พัฒนาที่เคยพัฒนาในส่วนของ Winforms จะคุ้นเคยกับการจัดวางรูปแบบแบบนี้ แต่มันไม่ใช่วิธีปฏิบัติที่ดีใน WPF โดยมีการกำหนดการจัดวางตำแหน่งตามตัวอย่าง

    <Canvas>
        <Rectangle Canvas.Left="40" Canvas.Top="31" Width="63" Height="41" Fill="Blue"  />
        <Ellipse Canvas.Left="130" Canvas.Top="79" Width="58" Height="58" Fill="Blue"  />
        <Path Canvas.Left="61" Canvas.Top="28" Width="133" Height="98" Fill="Blue" 
              Stretch="Fill" Data="M61,125 L193,28"/>
    </Canvas>
    

    Override the Z-Order of Elements

    โดยปกติ Z-Order ของ elements ใน canvas จะถูกระบุลำดับใน XAML แต่เราสามารถ override ของ  Z-Order ได้โดยการกำหนด Canvas.ZIndex  ของ  element ดังตัวอย่าง

    ภาพตัวอย่าง Override the Z-Order of Elements
    <Canvas>
        <Ellipse Fill="Green" Width="60" Height="60" Canvas.Left="30" Canvas.Top="20"    Canvas.ZIndex="1"/>
        <Ellipse Fill="Blue"  Width="60" Height="60" Canvas.Left="60" Canvas.Top="40"/>
    </Canvas>
    
    

     แหล่งอ้างอิง
    https://www.wpftutorial.net

  • WPF Layout (Part I)

    Introduction to WPF Layout

    การอออกแบบ controls  คือส่วนสำคัญของการออกแบบโปรแกรมที่นำมาใช้งาน การจัดวาง controls ที่มีการกำหนดค่าขนาดของ pixel ของ controls นั้นๆ อาจจะใช้งานได้ดีในกรณีสภาพแวดล้อมที่ถูกจำกัด แต่ในขณะเดียวกันจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์นักหากไปแสดงบนหน้าจอที่มีความละเอียดของหน้าจอหรือขนาดของตัวอักษรที่ต่างกันออกไป WPF จึงมีการนำ panel มาแก้ไขปัญหาในส่วนนี้  โดย panel ที่ใช้ในการจัดวาง Layout มีอยู่ 5 ชนิดที่นิยมใช้การการออกแบบดังนี้

    • Grid Panel
    • Stack Panel
    • Dock Panel
    • Wrap Panel
    • Canvas Panel

    Best Practices

    1. หลีกเลี่ยงการกำหนดค่าตำแหน่ง : กรณีที่ต้องการกำหนดตำแหน่งการวาง controls ใน panel ควรใช้ Alignment properties ร่วมกับ Margin เพื่อกำหนดค่าตำแหน่งใน panel แทนการกำหนดเป็นค่าคงที่ในตำแหน่งนั้นๆ
    2. หลีกเลี่ยงการกำหนดขนาด : ควรกำหนด Width และ Height ของ element ให้เป็น Auto
    3. ไม่ใช้ canvas panel ในการจัดวาง layout ของ element ใช้ canvas panel กรณีที่เป็น vector graphic เท่านั้น
    4. ควรใช้ Stack panel เพื่อจัดเรียงปุ่ม
    5. ใช้ grid panel ในกับ form ที่เป็น form สำหรับการรับข้อมูลเข้า โดย control ที่อยู่ใน grid panel ที่เป็น label ควรกำหนดขนาดเป็น Auto และ controlที่เป็น Textbox ควรกำหนดขนาดเป็น *
    6. ใช้ itemControl ใน DataTemplate ของ grid panel เพื่อใช้ในการจัดวาง control ที่แสดงข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงของ keyตลอดเวลา และควรใช้ SharedSize เพื่อให้ label มีขนาดความกว้างเท่ากัน

    Vertical and Horizontal Alignment

    ใช้ VerticalAlignment และ HorizontalAlignmant properties เพื่อกำหนด  Control ให้อยู่ในส่วนเดียวกันหรือหลายๆส่วนใน panel   นั้นๆ  โดยมีตัวอย่างดังภาพ

    https://www.wpftutorial.net/images/v2_alignment.png

    Margin and Padding

    Margin และ Padding properties จะจองพื้นที่ช่องว่างรอบๆของcontrol ดังนี้
    • The Margin คือ ส่วนของช่องว่างรอบๆของ control.
    • The Padding คือส่วนของช่องว่างที่อยู่ภายใน control.
    • The Padding ของ control ที่อยู่ภายนอก คือ Margin ของ control ที่อยู่ภายใน Control นั้นๆ

    Height and Width

    ไม่แนะนำให้กำหนดค่า Height และ Width เนื่องจากจะทำให้ยุ่งยากในการจัดการ  การจัดการที่ดีควรจะกำหนดค่า  MinHeight, MaxHeight, MinWidth และ MaxWidth ตามต้องการ  หรือหากต้องการกำหนด width หรือ height เป็น Auto ขนาดของ controls ก็จะมีขนาดเท่ากับของข้อมูลโดยอัตโนมัติ

    Overflow Handling

    Clipping

    ในกรณีที่ elementsซ้อนทับ border ของ panel เราจะกำหนดการแสดงการจัดวางของ control โดยใช้ ClipToBounds property โดยมีกำหนดค่าเป็น  true หรือ false  ดังรูป

    https://www.wpftutorial.net/images/cliptobounds.PNG

    Scrolling

    กรณีที่เนื้อหาของข้อมูลมีจำนวนมากเกินกว่าขนาดของ panel ที่จะสามารถแสดงให้เห็นได้ทั้งหมดใน panel นั้นๆ คุณสามารถนำความสามารถของ ScrollViewer มาใช้แก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ โดยประกอบด้วยสองส่วนคือ  vertical ScrollbarVisibility  และ horizontal ScrollbarVisibility properties ดังตัวอย่าง

    <ScrollViewer>    
    <StackPanel>
    <Button Content="First Item" />
    <Button Content="Second Item" />
    <Button Content="Third Item" />
    </StackPanel>
    </ScrollViewer>

     แหล่งอ้างอิง
    https://www.wpftutorial.net/LayoutProperties.html

  • การบริหารโครงการโดยใช้เครื่องมือ Team Foundation Server (Phase 5 : การตรวจสอบงานที่ได้รับมอบหมาย และการบันทึกผลการทำงาน)

    จากบทความ การบริหารโครงการโดยใช้เครื่องมือ Team Foundation Server (Phase 4 : การวางแผนงาน) เป็นบทบาทของ Project manager ในการมอบหมายงานให้กับสมาชิกในทีม สำหรับในบทความนี้ จะกล่าวถึงในมุมมองของสมาชิกทีมที่ได้รับมอบหมายงานบ้าง ว่าจะสามารถเข้าไปดูงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างไรได้บ้าง เรามาดูกันเลยนะค่ะ…

    สำหรับสมาชิกในทีม สามารถตรวจสอบงานที่ได้รับมอบหมาย ได้ในมุมมองดังนี้

    Step 1 จาก TFS เลือกโครงการที่ต้องการตรวจสอบงานที่ได้รับอบหมาย ตามรูปที่ 1

    รูปที่ 1

    Step 2 เลือก Work จากนั้นเลือก Blacklogs และเลือก Sprint ที่ต้องการ ดังรูปที่ 2

    รูปที่ 2

    Step 3 ทำการเลือกชื่อของตนเอง ดังรูปที่ 3

    รูปที่ 3

    Step 4 จะแสดง Tasks ที่ได้รับมอบหมาย ตามรูปที่ 4 นะค่ะ

    รูปที่ 4

    จากขั้นตอนข้างต้น ทำให้เจ้าตัวทราบว่า มี Tasks อะไรบ้างที่ได้รับมอบหมาย แต่ละ Task มีสถานะเป็นอย่างไรแล้วบ้าง ซึ่งได้แก่ ยังไม่ดำเนินการ กำลังดำเนินการ หรือดำเนินการเสร็จไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง…ยังมีอีกมุมมองนึงที่ทีมงานสามารถตรวจสอบปริมาณงานว่า งานที่ได้รับมอบหมาย มีปริมาณคงเหลือมากน้อยเพียงใด โดยตรวจดูจากเวลาที่เหลือ ดังนี้ค่ะ ^__^

    เลือก Backlogs สามารถดูเวลางานที่เหลือจาก Work by Assigned to และดูจากชื่อของตนเอง ว่ามีจำนวนชั่วโมงเวลาที่เหลือเท่าไหร่ หากมีปริมาณชั่วโมงเยอะ แสดงว่าปริมาณงานยังเยอะอยู่นะค่ะ… ขั้นตอนสามารถดูได้จากรูปที่ 5 นะค่ะ

    รูปที่ 5

    จากบทความข้างต้น เป็นการตรวจสอบปริมาณงานของทีมงานแต่ละคนนะค่ะว่าได้รับมอบหมายงานอะไรบ้าง มีปริมาณเหลือมากน้อยเพียงใด ขั้นตอนต่อไปปจะเล่าถึงขั้นตอนของการบันทึกผลการปฏิบัติงานให้ฟังต่อนะค่ะ

    สำหรับการบันทึกผลการปฏิบัติงาน สามารถทำได้ดังนี้ค่ะ
    Spet 1 เลือก Work จากนั้นเลือก Blacklogs และเลือก Sprint ที่ต้องการ ดังรูปที่ 6

    รูปที่ 6

    Step 2 เลือก Task ที่ต้องการบันทึกผล จะแสดงดังรูปที่ 7

    รูปที่ 7

    จากรูปที่ 7 จะต้อง Update ข้อมูลต่าง ๆ ดังนี้
    1. State โดยประกอบด้วย Inprogress คือ กำลังดำเนินการ และ Todo หมายถึง ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    2. Remaining work ให้ระบุจำนวนชั่วโมงที่เหลือ
    3. History ให้ระบุข้อมูลต่าง ๆ ที่ดำเนินการ โดยสามารถแนบไฟล์ต่าง ๆ เข้าไปได้
    เมื่อใส่รายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการกดปุ่ม Save เพื่อบันทึกผลการปฏิบัติงาน

    ขั้นตอนง่าย ๆ ไม่ยากใช่ไม๊ค่ะ เห็นไม๊ค่ะว่า TFS สามารถช่วยเรื่องการวางแผน การมอบหมาย และการบันทึกผลการทำงานได้ ในครั้งต่อไป จะมากล่าวมุมมองการติดตามการดำเนินงาน หรือติดตามผลการปฏิบัติงาน ว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่…อย่าลืมติดตามกันต่อนะค่ะ… ขอบคุณค่ะ

  • ทำความรู้จัก Xamarin.Forms + วิธีติดตั้งบน Windows

    การพัฒนา Mobile Application ปัจจุบันมีหลากหลาย solution ให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแบบ native แยกตามแต่ละแพลตฟอร์ม , พัฒนาแบบ hybrid และแบบ cross platform นอกจากจะมีรูปแบบการพัฒนาให้พิจารณาเลือกแล้ว ยังมี Mobile framework ที่หลากหลายที่เรานำมาใช้ในการพัฒนา app ไม่ว่าจะเป็น React Native, Ionic, Fluter,Android Studio, Xcode, Xamarin เป็นต้น โดยบทความนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำ Xamarin.Forms ซึ่งเป็น framework หนึ่งที่นิยมใช้ในการพัฒนา mobile app กัน พร้อมทั้งแนะนำวิธีติดตั้งเครื่องมือเพื่อใช้งาน

    Xamarin คืออะไร?

    Xamarin คือ framework หนึ่งในการพัฒนา mobile app แบบ cross platform ของค่าย Microsoft ที่สามารถเขียน code ด้วยภาษา C# แล้วคอมไพล์เป็น native app ให้สามารถรันบน ios , android และ windows platforms ได้ ซึ่งปัจจุบันตัว Xamarin เองก็มีรูปแบบการพัฒนาออกเป็น 2 แนวทาง คือ Xamarin Native และ Xamarin.Forms

    แล้ว Xamarin.Forms กับ Xamarin Native ต่างกันยังไง?

    Xamarin Native หรือที่ฝรั่งเรียก Traditional Xamarin Approach เนี่ยเป็นรูปแบบที่ทาง Xamarin ได้พัฒนาออกมาใช้เป็นรูปแบบแรก (ปัจจุบันก็ยังมีให้ใช้อยู่) ซึ่งเป็น shared code platform concept โดยเราสามารถใช้ code ฝั่ง business logic ร่วมกันได้ แต่ code ฝั่ง UI เราก็ต้องเขียน code แยกตาม sdk ของแต่ละ platforms ซึ่งผู้พัฒนาต้องรู้จักการใช้ control ต่างๆ การวาง layout ของแต่ละ platform มาพอสมควร

    Xamarin.Forms เป็น concept และ tools รูปแบบใหม่ของ Xamarin ที่สามารถแชร์ code ระหว่าง platform ได้ 100% คือสามารถเขียน code เพียงครั้งเดียวทั้งฝั่ง business logic และ UI แล้วคอมไพล์เป็น native app ให้รันได้ทุก platforms (ios, android และ windows) ในส่วนของ UI จะเขียนด้วย XAML เช่นเดียวกับ WPF แต่ต่างกันที่การจัด layout และ control UI ที่มีแตกต่างกัน ซึ่งหากนักพัฒนาคนไหนเคยเขียน WPF มาแล้วก็สามารถเขียน mobile app ด้วย Xamarin.Forms ได้ง่ายขึ้น

    เปรียบเทียบ Xamarin Native (Traditional) กับ Xamarin.Forms
    ที่มารูป :
    https://xamarinhelp.com/xamarin-forms-making-traditional-xamarin-obsolete/

    Xamarin.Forms เหมาะกับ?

    1. Developer ที่คุ้นเคยกับ .NET framework เนื่องจากจะคุ้นเคยกับ Tools ที่ใช้งานและทำให้เข้าใจ concept และสามารถพัฒนา app ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
    2. พัฒนา Data Entry app เนื่องจาก Xamarin.Forms มี Simple UI control ให้พร้อมใช้งาน
    3. ต้องการ app ที่คุ้มค่าแต่ใช้ budget น้อย เนื่องจาก Xamarin.Form เขียน code ครั้งเดียวสามารถ run ได้ทั้ง 3 platform ได้แก่ Android, IOS และ Windows ทำให้ประหยัดงบในการ implement แต่ละ platform

    Xamarin.Forms ไม่เหมาะกับ?

    1. ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับ .NET Framework และภาษา C# เนื่องจากจะต้องศึกษาทำความเข้าใจใหม่มากพอสมควร ซึ่งหากถนัด FrontEnd web หรือ java script อาจพิจารณาเลือกใช้ framework อื่น เช่น React Native, Ionic หรือ Fluter จะพัฒนา app เสร็จได้รวดเร็วกว่า
    2. ไม่เหมาะกับ app ที่มี UI ซับซ้อนหรือ specific UI เฉพาะแต่ละ platform

    วิธีติดตั้ง Xamarin.Forms บน Windows

    System Requirement

    1. Windows 10 ขึ้นไป
    2. Microsoft Visual Studio โดยเวอร์ชันที่รองรับการใช้งาน Xamarin.Forms ต้องเป็น Microsoft Visual Studio 2017 version 15.8 ขึ้นไป

    วิธีติดตั้ง

    1. Download Visual Studio และ double click ไฟล์เพื่อ install แต่หากใครมี Visual Studio อยู่แล้ว ให้เปิด Visual Studio Installer ขึ้นมา แล้วเลือก Modify ดังรูป

    2. ที่โมดูล Mobile & Gaming เลือก Mobile development with .NET ดังรูป

    3. สังเกตที่ Installation Detail ฝั่งด้านขวา จะแสดงรายละเอียด package ที่ติดตั้ง ให้สังเกตุที่ Optional จะ default package มาให้ ซึ่งจะเห็นว่ากิน space มากพอสมควร ซึ่งตัวที่กินพื้นที่เยอะสุดคือตัว Google Android Emulator

      โดยหากใครจะประหยัดพื้นที่ แล้วเสียบสาย run ด้วย android device เลย ก็ให้ติ๊กถูกที่หน้า Google Android Emulator ออกได้เลย ซึ่งทำให้ space ลดลงไปเกือบครึ่งนึงเลยค่ะ

    4. จากนั้นกดปุ่ม Install หรือ Modify (กรณีลง VS ไว้แล้ว)
    5. จากนั้นก็ Take a coffee รอจนเสร็จค่า ^^

    เป็นอันเสร็จสิ้นการติดตั้งเครื่องมือเตรียมพร้อมสำหรับการสร้าง Mobile application ด้วย Xamarin.Forms ซึ่งจะเห็นว่าขั้นตอนการติดตั้งง่ายไม่ซับซ้อนเลยถ้าเทียบกับ mobile framework อื่นๆ นะคะ บทความหน้าจะมาแนะนำเริ่มต้นการสร้าง app ด้วย Xamarin.Forms กันค่า

  • การทดสอบซอฟต์แวร์ (Software Testing) – 7 ข้อมูลที่ผู้ทดสอบต้องทราบก่อนเริ่มการทดสอบซอฟต์แวร์

    บทความนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนะคะ (ก็แหงอ่าาจิ) แต่ผู้เขียนจะนำเสนอ 7 ข้อมูลที่ผู้ทดสอบต้องทราบก่อนเริ่มการทดสอบซอฟต์แวร์ (นอกเหนือจากความรู้เกี่ยวกับ Software Testing ที่ทุกท่านต้องทราบกันดีอยู่แล้ว) ซึ่งได้รวบรวมมาจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองเผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ทดสอบท่านอื่น ๆ ค่ะ ตามตารางข้างล่างนี่เลยยยค่ะ

    ข้อมูลที่ผู้ทดสอบต้องทราบก่อนการทดสอบซอฟต์แวร์

    ตารางข้างต้นนั้น หวังว่าคงจะเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ทดสอบในการเตรียมตัวทดสอบ ไม่มากก็น้อยนะคะ 🙂 ลองเอาไปปรับใช้กันดูนะคะ ยังมีข้อมูลอีกหลายส่วนเลยล่ะคะ ไปลองตั้งคำถามกับตัวเองก่อนเริ่มทดสอบดูนะคะ ว่าเราต้องทราบอะไรบ้างงงน๊าาาาา ที่จะเป็นประโยชน์ก่อนที่เราจะลงมือทดสอบซอฟต์แวร์กัน

  • การทดสอบซอฟต์แวร์ (Software Testing) – #2 (Step.1) ผู้ทดสอบรับการถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์ที่จะทดสอบจากนักพัฒนาโปรแกรม

    จากตอนที่ 1 เราได้ทราบภาพรวมกิจกรรมและขั้นตอนต่างๆ ทั้งหมดในการทดสอบซอฟต์แวร์กันไปแล้ว ตอนที่ 2 ผู้เขียนจะลงลึกในรายละเอียดขั้นตอนที่ 1 ของการทดสอบซอฟต์แวร์กันค่ะ โดยขั้นตอนที่ 1 นั่นก็คือ

    1. ผู้ทดสอบรับการถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์ที่จะทดสอบจากนักพัฒนาโปรแกรม

    ขั้นตอนนี้เป็นการถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์จากนักพัฒนาโปรแกรมให้กับผู้ทดสอบเพื่อให้ผู้ทดสอบทราบภาพรวม ขอบเขตและเข้าใจการทำงานทั้งหมดของซอฟต์แวร์ก่อนเริ่มการทดสอบ รวมถึงรวบรวม Task Test ทั้งหมดของซอฟต์แวร์ที่จะทดสอบค่ะ

    ผู้เขียนขอย่อยการดำเนินการในขั้นตอนที่ 1 เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ตาม Flowchart นี้นะคะ

    ขั้นตอนการถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์

    อธิบายดังนี้ ค่ะ

    1. เริ่มจากการนัดหมายเวลาในการถ่ายทอดการทำงานของวอฟต์แวร์กันก่อนค่ะ โดยนักพัฒนาโปรแกรมจะนัดวันเวลาที่จะถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์ให้กับผู้ทดสอบกับผู้จัดการโครงการ ซึ่งจะต้องนัดล่วงหน้า ระยะเวลาเท่าไหร่นั้นก็ตามแล้วแต่เห็นสมควรและพิจารณากันเอาเองค่า อย่างทีมของผู้เขียน ก็จะนัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มการทดสอบค่ะ (นัดทำไม นัดกันให้ชัดเจน จะได้เตรียมตัวเตรียมใจถูกเตรียมสมองให้โล่งงงงค่ะกันถ้วนหน้าค่ะ)

    2. เมื่อได้วันเวลากันเรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการโครงการก็แจ้งวันเวลาที่นักพัฒนาโปรแกรมจะถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์ให้กับผู้ทดสอบรับทราบค่ะ (PM ซึ่งถือว่ามีอำนาจการจัดการบริหารในทีม ก็จะมาแจ้งให้ทราบบ อิอิ สบายใจกันทุกฝ่ายค่ะ)

    3. เมื่อถึงวันเวลาตามที่ได้นัดหมายไว้ นักพัฒนาโปรแกรมก็จะมาถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์ให้กับผู้ทดสอบค่ะ ในขั้นนี้โปรแกรมเมอร์ต้องถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์ให้กับผู้ทดสอบอย่างละเอียด และจัดเตรียม Software Requirements Specification และ Functional Design ของซอฟต์แวร์มาให้กับผู้ทดสอบด้วยนะคะ (จะได้ใช้เป็นข้อมูลตอนทดสอบค่ะ บางทีที่จดๆๆ เข้าใจมา ก็อาจจะผิดพลาดได้)

    –> ในการถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์

    นักพัฒนาโปรแกรมต้องอธิบาย ภาพรวมทั้งหมดและการทำงานของซอฟต์แวร์ว่ามีการทำงานอะไรบ้างและทำงานอย่างไร ซอฟต์แวร์มีข้อจำกัดอะไรบ้างเพื่อผู้ทดสอบจะได้เข้าใจและทราบข้อมูลที่จะนำไปทดสอบ

    –> โดยในระหว่างการถ่ายทอดการทำงานของซอฟต์แวร์ หากผู้ทดสอบมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำงานของซอฟต์แวร์

    ผู้ทดสอบควรซักถามจากนักพัฒนาโปรแกรมหรือศึกษาจาก Software Requirements Specification และ Functional Design ของซอฟต์แวร์ที่จะทดสอบให้เข้าใจนะคะ ไม่ควรเก็บข้อสงสัยนั้นไว้หรือทดสอบซอฟต์แวร์ไปตามความคิดของตนเองเพราะจะส่งผลให้การทดสอบนั้นดำเนินการไปในแนวทางที่ไม่ถูกต้อง การทดสอบอาจล่าช้ากว่าที่ได้กำหนดไว้ซึ่งเกิดจากผู้ทดสอบเอง และอาจไม่สามารถค้นหาข้อผิดพลาดที่มีอยู่ของซอฟต์แวร์ได้ค่ะ

    ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ทดสอบซอฟต์แวร์ที่ผ่านมา และสรุปเป็นข้อมูลที่ผู้ทดสอบต้องทราบก่อนเริ่มการทดสอบซอฟต์แวร์เอาไว้ด้วยค่ะ ไว้จะมาแชร์ไว้ในบทความหน้าให้อ่านกันนะคะ (อัพเดท ตามไปอ่านกันได้ที่ บความเรื่อง 7 ข้อมูลที่ผู้ทดสอบต้องทราบก่อนเริ่มการทดสอบซอฟต์แวร์ นะคะ)

    ส่วนบทความนี้มาต่อที่ขั้นตอนถัดไปกันก่อนนะคะ

    4. เมื่อผู้ทดสอบทราบข้อมูลก่อนการทดสอบซอฟต์แวร์แล้ว ให้บันทึกข้อมูลเหล่านั้นลงในฟอร์มบันทึกการทดสอบและผลการทดสอบส่วนที่ 1 คือ Test Information ที่ได้จัดเตรียมไว้ค่ะ ตัวอย่างค่ะ

    ตัวอย่างการบันทึกข้อมูล Test Information ของโปรแกรมระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์

    และขั้นสุดท้ายยยยยยยยยยยยย

    5. ผู้ทดสอบรวบรวบการทำงานทั้งหมดของซอฟต์แวร์ที่จะทดสอบโดยรวบรวมจาก Function หรือ Use Case ของซอฟต์แวร์ซึ่งตรงตามข้อกำหนดของซอฟต์แวร์ที่ได้ระบุไว้ (หากโปรแกรมมีผู้ใช้หลายบทบาทให้แยก Task Test ตามบทบาทการใช้งาน) โดย Function เหล่านั้นจะถูกบันทึกเป็น Task Test ในการทดสอบและระบุ Task Test No. เอาไว้ (1 Task Test เท่ากับ 1 ชุดการทดสอบ) เพื่อเตรียม Test Step และออกแบบ Test Case สำหรับทดสอบแต่ละ Task Test ในขั้นตอนต่อไป

    สำหรับ Task Test No. นั้นแนะนำให้ตั้งโดยใช้ตัวอักษรย่อเพียงสองถึงสามตัวและตามด้วยตัวเลขที่จะเรียงลำดับไปเรื่อย ๆ เช่น TE001 เป็นต้น

    Task Test คือ ชุดการทดสอบของแต่ละการทำงาน (Function) ต่าง ๆ ของซอฟต์แวร์

    ตัวอย่างค่ะ

    ตัวอย่างการรวบรวม Task Test ที่จะทดสอบของโปรแกรมระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์

    สำหรับรายละเอียดของขั้นตอนที่ 1 ก็มีเท่านี้ค่ะ ส่วนบทความหน้านั้น ผู้เขียนจะมาแชร์ข้อมูลที่ผู้ทดสอบต้องทราบก่อนเริ่มการทดสอบซอฟต์แวร์ไว้ให้นะคะ และบทความถัดไปจะลงลึกในรายละเอียดขั้นตอนที่ 2 (#3) กันต่อค่ะ

  • เล่าเบื้องหลังการสร้าง www.psudev.info

    “กรุงโรมไม่สร้างแค่วันเดียว” ฉันใดฉันนั้นเพื่อให้เครือข่ายนักพัฒนาแอพพลิเคชั่น (เหล่าโปรแกรมเมอร์) ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เกิดการร่วมกลุ่มกันอย่างเป็นรูปธรรมกันมากขึ้น จึงมีแนวคิดจะสร้างเว็บไซต์ลักษณะที่เป็นฐานข้อมูลรวบรวมรายชื่อสเหมือนสมุดหน้าเหลือง (เด็กสมัยใหม่อาจจะงง!) www.psudev.info เพื่อเป็นข้อมูลไว้ติดต่อกันสามารถค้นหาได้สะดวก คอนเซปคือต้องพัฒนาได้ง่ายและรวดเร็ว เป็น https ไม่ต้องเสียค่า cert สามารถออนไลน์ได้ทั่วโลก ไม่มีวันล่ม ไม่ต้องดูแลอินฟา และไม่รอช้าานั่นเริ่มกันเลยครับ…

    (more…)
  • DevOps Meeting #1

    รวม Link ที่ใช้งานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ DevOps Meeting #1

  • Toad : หากันจนเจอ (pass ที่เคย save ไว้)

    เคยไหม ที่คุณลืม password ที่คุณเคยเซฟไว้ใน Toad

    เคยไหม ที่วันนึงคุณต้องการใช้ password เหล่านั้นแต่คุณจำไม่ได้ ดูก็ไม่ได้ เพื่อนก็จำไม่ได้!!!

    วันนี้เรามีทริกที่จะสามารถดู password ที่เราเคย save ไว้ใน toad ได้ มาดูกันเล้ยยย!!!

    • ขั้นตอน 1 เลือก Schema ใดก็ได้ที่เรา login ได้ มาสักอัน
    • ขั้นตอน 2 เลือกเมนู DB Links และกดปุ่ม สร้าง
    • ขั้นตอน 3 ตั้งชื่อ DB Link (ตั้งอะไรก็ได้เพราะไม่ได้เอาไปใช้จริง) จากนั้นเลือก Database ที่ต้องการทราบ Password สุดท้ายกดปุ่ม “Show SQL”
    • ขั้นตอนสุดท้าย ดูที่บรรทัด identified by “xxx” โดย xxx คือ Password ที่เราต้องการ

    แค่นี้เองค่ะ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้พัฒนาหลาย ๆ ท่าน
    ที่ต้องกลับไปต่อฐานข้อมูลดั้งเดิมที่เราเคย save password ไว้แล้วลืมนะคะ 🙂

    ออ…Version Toad ที่ใช้คือ 9.6.0.27 นะคะ
    ไม่แน่ใจว่า Version ที่สูงกว่านี้ยังใช้วิธีนี้ได้อีกรึเปล่า ><

    แล้วพบกันใหม่ Blog หน้านะคะ ^.^