Category: Cloud Computing

  • [Google Calendar] วิธีหาเวลาว่างที่ตรงกัน สำหรับผู้เข้าร่วมประชุมหลายๆคน

    1. ใน Google Calendar สร้าง Event ใหม่ ตั้งชื่อ และกำหนดเวลาที่ต้องการ เช่น ต้องการเวลาประชุม 2 ชั่วโมง
    2. เชิญผู้เข้าร่วมประชุม โดยใส่ Email Address ทีละคน
      หรือ ใส่ชื่อ Group ใน Contact
      หรือ ใส่ชื่อ Google Groups ที่สร้างไว้ก็ได้
    3. คลิก Find a time เพื่อหาเวลาว่างที่ตรงกัน คลิกที่ Day
      หากเวลาที่ตั้งไว้ตอนแรกชนกับนัดของคนอื่น ก็สามารถเลื่อนไปมา เพื่อหาเวลาที่ลงตัวได้
    4. หากในวันดังกล่าว ไม่มีเวลาว่างตรงกันเลย ให้คลิกที่ Weekเพื่อหาเวลาว่างในวันอื่นๆได้

     

  • ได้นามบัตรมา จะแปลงเป็น Google Contact ได้อย่างไร

    เจ้านายได้นามบัตรมามากมาย ครั้นจะต้องพกไปไหนมาไหนตลอดคงไม่สะดวก ค้นหาก็ยาก เลขาอย่างเราจะช่วยอย่างไรดี ?

    ขั้นตอนการมอบหมาย (Delegate) การจัดการ Contact ให้เลขา

    1. จาก Google Mail คลิก Apps แล้วคลิก Contact
    2. คลิก More
      คลิก Manage Delegation Settings
    3. ใส่ email address ของเลขา แล้วคลิก Send
    4. จาก Google Drive Apps บน Smart Phone เปิด Folder ที่ตกลงกันไว้
    5. แล้วคลิก +
      เลือก Upload ภาพนามบัตร
    6. เลขา สามารถดูภาพจาก  Google Drive
    7. คลิก Shared with me
      เปิด Folder ที่ตกลงกันไว้
    8. คลิก Apps
      แล้วคลิก Contact
    9. คลิก ชื่อของเจ้านาย(ใต้ Delegated Contacts)
      แล้วคลิก NEW CONTACT
    10. ใส่ชื่อ และรายละเอียดต่างๆ
      แล้วคลิก Saved Now
  • การส่งไฟล์แบบ Top Secret!

    1. ปิด Google Sheets : GASWS1
    2. เมนู Tools > Script Editor…
    3. เมนู File > New > Script File
      ตั้งชื่อ: myscript6
    4. สร้าง function MailMerge4() ตามนี้
      function MailMerge4() {
       var ss = SpreadsheetApp.getActiveSpreadsheet(),
       SalarySheet=SpreadsheetApp.setActiveSheet(ss.getSheetByName("Salary")), 
       TemplateID='1bjpQnJikYMGYNaJQhetpZpkHyjI7iqBqDufprzMSo4k', 
       header = "A1:G1",
       data="A2:G6", 
       dataRows = SalarySheet.getRange(data).getValues(),
       headerRow = SalarySheet.getRange(header).getValues(),
       numColumns = SalarySheet.getRange(header).getNumColumns(),
       
       emailaddress= "",
       subject = "",
       docUrl = ""; 
      
       for (var i=0 ; i < dataRows.length ; i++) {
       emailText="";
       subject = "[ลับ] กองคลัง : แจ้งการโอนเงินให้คุณ " + dataRows[i][0] + " " + dataRows[i][1];
       var id =DriveApp.getFileById(TemplateID).makeCopy(subject).getId(),
       doc=DocumentApp.openById(id),
       docBody=doc.getBody();
       for (var j = 0 ; j < numColumns -1 ; j++) { 
       docBody.replaceText('{' + headerRow[0][j] + '}' , dataRows[i][j]); 
       } 
       
       emailaddress=dataRows[i][2];
       
       doc.addViewer( emailaddress);
       docUrl=doc.getUrl();
       doc.saveAndClose();
       
       var attachment = DocumentApp.openById(id);
       MailApp.sendEmail( emailaddress, 
       subject ,
       "เปิดอ่านเอกสารลับได้ที่ \n" + docUrl
       ); 
       try { 
      
       dataRows[i][numColumns-1] = new Date(); 
       } catch (e) {
       
       dataRows[i][numColumns-1] = e.message;
       } 
       }
       
       SalarySheet.getRange(data).setValues(dataRows);
      }
    5. เมนู File > Save หรือ กดปุ่ม Ctrl+s
    6. เมนู Run > MailMerge4
    7. สร้าง function MailMerge5() ตามนี้
      function MailMerge5() {
       var ss = SpreadsheetApp.getActiveSpreadsheet(),
       SalarySheet=SpreadsheetApp.setActiveSheet(ss.getSheetByName("Salary")), 
       TemplateID='1WzzAwF5cDtQD0kcrLKRdP0ZO6-6MCqc_VXRUxzgq_gI', 
       header = "A1:H1",
       data="A2:H6", 
       dataRows = SalarySheet.getRange(data).getValues(),
       headerRow = SalarySheet.getRange(header).getValues(),
       numColumns = SalarySheet.getRange(header).getNumColumns(),
       
       emailaddress= "",
       subject = "",
       docUrl = ""; 
      
       for (var i=0 ; i < dataRows.length ; i++) {
       emailText="";
       subject = "[ลับสุดยอดดดดด] กองคลัง : แจ้งเอกสารลับให้คุณ " + dataRows[i][0] + " " + dataRows[i][1];
       var id =DriveApp.getFileById(TemplateID).makeCopy(subject).getId(),
       doc=DocumentApp.openById(id),
       docBody=doc.getBody();
       for (var j = 0 ; j < numColumns -1 ; j++) { 
       docBody.replaceText('{' + headerRow[0][j] + '}' , dataRows[i][j]); 
       } 
       
       emailaddress=dataRows[i][2];
       
       doc.addViewer( emailaddress);
       docUrl=doc.getUrl();
       doc.saveAndClose();
       
       var now = new Date();
       
       
       MailApp.sendEmail( emailaddress, 
       subject ,
       "เปิดอ่านเอกสารลับสุดยอดได้ที่ \n" + docUrl
       ); 
       try { 
       
       dataRows[i][numColumns-2] = id; 
       dataRows[i][numColumns-1] = now; 
       } catch (e) {
       
       dataRows[i][numColumns-1] = e.message;
       } 
       }
       
       SalarySheet.getRange(data).setValues(dataRows);
       ScriptApp.newTrigger('destroySecretDocument')
       .timeBased()
       .after(2 * 60 * 1000)
       .create();
       
      }
    8. สร้าง function destroySecretDocument() ตามนี้
      function destroySecretDocument() {
       var ss = SpreadsheetApp.getActiveSpreadsheet(),
       SalarySheet=SpreadsheetApp.setActiveSheet(ss.getSheetByName("Salary")),
       DataRange=SalarySheet.getDataRange().getValues();
       
       for(var i=1; i< DataRange.length; i++){
       var id=DataRange[i][6];
       var emailAddress=DataRange[i][2];
       DocumentApp.openById(id).removeEditor(emailAddress);
       DriveApp.removeFile(DriveApp.getFileById(id));
       }
      }
    9. เมนู File > Save หรือ กดปุ่ม Ctrl+s
      เมนู Run > MailMerge5
  • วิธีกู้ไฟล์ที่ถูก Ransomware จับไปเรียกค่าไถ่

    Ransomware หรือ โปรแกรมเรียกค่าไถ่ไฟล์ต่างๆ โดยการเข้ารหัสไฟล์เหล่านั้น ทำให้ไม่สามารถเปิดใช้งานได้อีก นอกจากจะยอมเสียค่าไถ่ให้กับผู้ร้ายด้วยเงินสกุล Bitcoin โปรแกรมเหล่านี้จะมาจากการติดตั้ง หรือถูกหลอกให้ติดตั้ง ผ่านทางเว็บไซต์ “อโคจร” ต่างๆ Software เถื่อน ละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหลาย และที่มีบ่อยมากคือ มาจาก “จดหมายหลอกลวง (Phishing)” ซึ่งทำให้ติดเชื้อได้อย่างง่ายดาย

    ข้อมูลเพิ่มเติม

    https://www.thaicert.or.th/alerts/user/2015/al2015us001.html

    เมื่อติด หรือ โดนเรียกค่าไถ่ เรียกได้ว่า ยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะกู้คืนโดยการ Decrypt  หรือถอดรหัสกลับคืน

    มีวิธีการเดียวที่ทำได้เลยคือ “กู้คืนจากไฟล์สำรองไว้” บนระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows เอง ก็สามารถทำได้ โดยผู้ใช้จะต้อง “ตั้งค่าการสำรองข้อมูล” ไว้ก่อน จึงจะสามารถกู้คืนได้ แต่หากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเสียหาย ก็จะไม่สามารถกู้คืนได้อีกเลย

    แต่ยังมีวิธีการ “สำรองและกู้คืน” ที่ง่าย ปลอดภัย และแม้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์จะเสียหายอย่างไร ก็จะสามารถ “กู้คืนข้อมูลได้” นั่นคือการใช้งาน Google Drive ในการสำรองข้อมูล โดยผู้ที่มี Google Account หรือ Gmail สามารถใช้งานได้ทันที โดยมีพื้นที่ให้ 15 GB (รวมกับการเก็บ email) ส่วนผู้ใช้ในมหาวิทยาลัยสงขลานคริทนร์ จะได้ใช้ Google Apps for Education ซึ่งมีพื้นที่ในการจัดเก็บ “Unlimited” หรือไม่มีขีดจำกัดเลยทีเดียว (เบื้องต้นจะเห็นพื้นที่จัดเก็บ 10 TB — 10,000 GB)

    Google Drive เป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนก้อนเมฆ หรือ Cloud Storage ผู้ใช้ของ Google Account สามารถเข้าถึงได้ที่ https://drive.google.com เมื่อทำการลงชื่อเข้าใช้งาน (Sign In)  แล้วก็จะสามารถมองเห็นข้อมูลบนระบบ สามารถสร้าง Folder และ Upload ไฟล์ขึ้นไปเก็บได้ และสามารถเข้าถึงได้จากทั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ และ Smartphone ได้จากทุกแห่งทั่วโลก ดังภาพที่ 1 (โดยต้องมีระบบ Internet เข้าถึงนะ)

    01-googledrivepsu

     

    ภาพที่ 1: Google Drive บนระบบ Google Apps for Education ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

    ในที่นี้ จะแสดงวิธีการ สร้างโฟล์เดอร์ชื่อว่า “เอกสารสำคัญ” ไว้บน Google Drive เพื่อใช้ในการสำรองไฟล์สำคัญไว้ ขั้นตอนคือ คลิกที่ New > Folder แล้วตั้งชื่อว่า “เอกสารสำคัญ” แล้วคลิกปุ่ม Create ดังภาพที่ 2

    02-newfolder เอกสารสำคัญ

    ภาพที่ 2: สร้างโฟล์เดอร์ชื่อว่า “เอกสารสำคัญ” ไว้บน Google Drive

    ส่วนการทำงานเพื่อ Backup ข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ไปเก็บไว้บนระบบ Google Drive อัตโนมัติ ทำได้โดยติดตั้งโปรแกรม “Google Drive” บนเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วตั้งค่าให้ Sync ข้อมูลกับโฟลเดอร์ “MyGoogleDrive” ใน My Documents ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังวิธีการต่อไปนี้

    1. Google Drive สามารถดาว์นโหลดได้จาก https://www.google.com/drive/download/
    2. เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วให้ลงชื่อเข้าใช้ และคลิก Next ไปเรื่อยๆ ดังภาพที่ 303-installgoogledrive
      ภาพที่ 3: คลิก “ถัดไป” จนถึงหน้าจอสุดท้าย
    3. หน้าจอสุดท้าย คลิก “การตั้งค่าขั้นสูง” ดังภาพที่ 404-advance
      ภาพที่ 4: คลิก “การตั้งค่าขั้นสูง”
    4. คลิก “เปลี่ยน” แล้วสร้าง MyGoogleDrive ไว้ใน My Documents ดังภาพที่ 506-MyGoogleDrive
      ภาพที่ 5: สร้าง MyGoogleDrive ไว้ใน My Documents
    5. ต่อไป เลือก “เลือกเฉพาะโฟล์เดอร์เหล่านี้”  แล้ว เอาเฉพาะ “เอกสารสำคัญ” แล้วคลิก “เริ่มการซิงค์” ดังภาพที่ 607-syncspecificfolder
      ภาพที่ 5: เลือกเฉพาะ “เอกสารสำคัญ”
    6. สักครู่ระบบก็จะทำการ Sync เมื่อเสร็จสิ้น จะได้ผลดังภาพที่ 608-syncsuccess
      ภาพที่ 6: Sync “เอกสารสำคัญ” เสร็จแล้ว

    ให้นำเอกสารสำคัญต่างๆมาใส่ไว้ใน “เอกสารสำคัญนี้” ระบบก็จะทำการ Sync ขึ้นไปบน Google Drive แล้ว และ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงไฟล์ในโฟล์เดอร์นี้ จะถูกสำรองเอาไว้

    ต่อไป มาดูกันว่า เมื่อมีการแก้ไขไฟล์เอกสารชื่อ “doc1.docx” ระบบ Google Drive จะสำรองข้อมูลเอาไว้ให้ตลอด และสามารถกู้คืนรุ่นของเอกสารได้ ดังภาพที่ 7

    12-sequence

     

    ภาพที่ 7: แสดงเวลากับการแก้ไขข้อความ

    สิ่งที่ Google Drive สำรองไว้ให้ สามารถดูได้จากการ คลิกขวาที่ไฟล์นั้นๆ แล้วเลือก “Manage Version” ดังภาพที่ 8

    13-manageversion

    ภาพที่ 8: การเลือก Manage Versions

    จากนั้น สามารถหากต้องการย้อนเวลา ไปเอาไฟล์นี้ ขณะที่ยังมีข้อความและรูปภาพ ก็คลิกที่เวลา 14:56 แล้วเลือก Download ออกมาทับไฟล์เดิม หรือ เก็บไว้ที่อื่นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้ ดังภาพที่ 9

    14-restore1456

    ภาพที่ 9: เลือก Version 2 ที่บันทึกเมื่อเวลา 14:56 แล้ว download ไฟล์ออกมา

    ผลที่ได้คือ ไฟล์เดิมที่มีข้อความและภาพ ที่บันทึกเมื่อเวลา 14:56 ดังภาพที่่ 10

    09-doc1.docx

     

    ภาพที่ 10: ไฟล์ที่ถูกแก้ไขไปแล้ว ก็สามารถกู้กลับมาได้

    ในกรณีที่ไฟล์นี้ ถูก “ลบ” ทิ้ง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือ ถูก Ransomware ลบทิ้งแล้วเหลือไว้แต่ไฟล์ที่เปิดไม่ได้ก็ตาม ดังภาพที่ 11  ก็สามารถกู้กลับมาได้

    15-deletedfile

    ภาพที่ 11: ไฟล์ doc1.docx ถูกลบหายไปจาก “เอกสารสำคัญ” บนเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว

    การกู้ไฟล์ที่ถูกลบไปแล้ว ต้องทำจากบน Google Drive ผ่านทางเว็บเบราเซอร์ โดยเข้าไปใน “เอกสารสำคัญ” แล้วคลิกตัว i ด้านขวามือบน แล้วคลิกที่คำว่า Activity จะพบว่า มีการลบ หรือจริงๆแล้วคือการย้ายไฟล์ไปลง Bin นั่นเอง ดังภาพที่ 12

    16-detailactivity

    ภาพที่ 12: แสดงให้เห็นว่าไฟล์ที่ถูกลบ ไปเก็บอยู่ใน Bin ของ Google Drive

    การกู้ไฟล์นี้คืนมา ก็เพียงคลิกที่ชื่อไฟล์ doc1.docx แล้วคลิกรูปแว่นขยาย จากนั้นระบบจะนำไปสู่ Bin หลังจากนั้น ให้คลิกขวาที่ doc1.docx แล้วเลือก Restore ตามภาพที่ 13:

    17-restore

    ภาพที่ 13: วิธีการ Restore ไฟล์ doc1.docx

    ผลก็คือ ได้ไฟล์ที่ถูกลบทิ้งกลับคืนมา ดังภาพที่ 14

    18-restorecomplete

    ภาพที่ 14: การกู้ไฟล์เสร็จสมบูรณ์

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

     

     

     

     

  • ชีวิตสะดวกและปลอดภัยด้วยการ Sign In บน Google Chrome

    เคยเจอปัญหาเหล่านี้เมื่อต้องไปใช้งานเครื่องอื่นที่ไม่ใช่เครื่องตนเองหรือไม่ ?

    1. จะเข้าเว็บไซต์ที่เคย Bookmark เอาไว้ในเครื่องตนเอง ก็ทำไม่ได้
    2. ทำไงดีรหัสผ่านมากมาย เคยให้เว็บจำไว้ให้ แล้วตอนนี้จะใช้งานยังไงหล่ะ
    3. สภาพแวดล้อมไม่คุ้นชินเมื่อไปใช้เครื่องอื่น

    ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อใช้ Google Chrome และ ทำการ Sign In เอาไว้

    คำเตือน:

    1. ผู้ที่จะใช้วิธีการนี้ ควรทำระบบ 2-Step Verification ไว้ก่อน เพื่อป้องกันรหัสผ่านรั่วไหล และป้องกัน กรณีมี Keyboard Logger ฝังตัวเพื่อดักการพิมพ์รหัสผ่านจาก Keyboard ซึ่งแม้จะมีผู้ร้ายดักรหัสผ่านไปได้ ก็จะติดขั้นตอนการยืนยันตัวตนอีกชั้นของ 2-Step Verification
    2. กรณีผู้ใช้ Google Apps ขององค์กร (ทั้ง For Education และ For Business) ระบบจะทำการสร้าง Profile แยกให้ แต่ถ้าเป็น Google Account ของ Gmail นั้น จะต้องทำการ Create Profile เอง แล้วจึง Sign In เข้าไป มิฉะนั้นข้อมูลของเราจะไปปะปนกับของผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง
    3. วิธีการนี้ ผู้ใช้ต้อง “Remove This Person” ทุกครั้งเมื่อจบการใช้งาน (จะอธิบายต่อไป)

    วิธีการใช้งาน

    1. เปิด Google Chrome ขึ้นมาScreenshot from 2015-05-11 09:22:24
    2. ด้านขวามือบน ใกล้ๆ Tools Box คลิกรูป “คน” ดังภาพ แล้วคลิก Sign in to ChromeScreenshot from 2015-05-11 09:23:38
    3. ใส่ Google Account (Gmail Account)  หรือ Google Apps Account (Google Apps For Education/Business) และรหัสผ่าน จากนั้นคลิก Sign In สำหรับท่านที่ทำ 2-Step Verification จะพบหน้าต่างให้ใส่ Code ก็ให้ดำเนินการตามปรกติไปScreenshot from 2015-05-11 09:25:20
    4. สำหรับบัญชี Google Apps ขององค์กร จะแสดงหน้าต่างให้เลือกว่า จะสร้าง Profile ใหม่หรือไม่ แนะนำให้คลิกปุ่ม Create a new profileScreenshot from 2015-05-11 09:27:20
    5. ต่อไป คลิกปุ่ม “Ok, got it”Screenshot from 2015-05-11 09:28:20
    6. ใช้เวลาไม่นาน ระบบจะ Sync ข้อมูล Apps, Autofill, Bookmark, Extensions, History, Password, Settings, Themes, Opentabs มาให้ (สามารถเลือกได้ว่าจะ Sync อะไรมาบ้างได้) และทำการเข้ารหัส รหัสผ่านไว้ด้วย (เลือกได้ว่าจะเข้ารหัสด้วย Google Credential หรือจะสร้าง Paraphrase แยกต่างหาก — ในที่นี้ เลือกเป็น Google Credential) คราวนี้ ก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนนั่งอยู่ที่เครื่องตนเองอีกทั้งวิธีการนี้ จะสามารถใช้งานได้ทั้งบน Smartphone และ Tablet ได้ด้วย ทำให้เมื่อ Save Bookmark เอาไว้บนคอมพิวเตอร์ ก็สามารถไปเปิดดูได้บน Tablet ได้ทันทีScreenshot from 2015-05-11 09:32:15
    7. เมื่อเลิกใช้งาน ให้ทำตามข้อ 2. แล้วคลิก Switch User แทน จากนั้น ที่รูป Profile ด้านมุมขวา คลิก Remove this personScreenshot from 2015-05-11 09:37:38
    8. คลิก Remove this person อีกครั้งเพื่อยืนยันScreenshot from 2015-05-11 09:37:46
    9. เท่านี้ ข้อมูลก็จะปลอดภัยแล้ว 😉Screenshot from 2015-05-11 09:38:31
    10. หากต้องการปรับแต่งเรื่อง สิ่งที่ต้องการจะ Sync ให้เปิด chrome://settings/syncSetup แล้วเลือกสิ่งต่างๆได้ตามต้องการScreenshot from 2015-05-11 09:41:35
    11. สลับหลาย user ได้แบบไม่ต้องกลัวว่าระบบ Single Sign-On จะตีกัน 😉 เพราะแยก Profile ออกไปชัดเจน ไม่ต้องคอย Login – Logout ข้ามไปมาตลอดเวลา
      chrome-multiuser

    ชีวิตดี๊ดี 😉

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

  • เริ่มต้นใช้งาน Amazon Web Services

    ผู้เขียนขออธิบายเป็นภาษาบ้านๆ ตามความเข้าใจของตนเองจากการได้เข้าร่วมอบรบ AWS Essentials ในงาน WUNCA ครั้งที่ 30 ดังนี้

    Amazon Web Services คือ การบริการเครื่องคอมพิวเตอร์บนกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) เพื่อใช้งานในด้านต่างๆ เช่น Web Server, Database Server, File Server ฯลฯ ซึ่งของบริษัทอเมซอนก็มีผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ให้บริการในด้านต่างๆ ข้างต้น คือ (more…)

  • ติดตั้ง ownCloud เลือกใช้ user PSU Passport หรือ ftp server หรือ RADIUS Server

    เหมาะสำหรับหน่วยงานที่ต้องการทำ private cloud storage ของตนเอง โดยใช้ open source software ชื่อ ownCloud

    ownCloud-webpage
    สภาพแวดล้อม

    •     ติดตั้ง ownCloud ลงบน ubuntu server 14.04
    •     ติดตั้ง ownCloud เวอร์ชั่น ownCloud 7.0.4 (stable) แบบ apt-get install
    •     ติดตั้ง ownCloud เลือกใช้กับ MySQL/MariaDB Database
    •     ติดตั้ง ownCloud เลือกใช้ user PSU Passport หรือ เลือกใช้ user เดียวกับ ftp server หรือ RADIUS Server (โดยเลือกใช้ user name ผ่าน Apps ชื่อ External user support)

    ขั้นตอนเตรียม User Account

    1. ติดตั้ง ubuntu server 14.04.x ในขั้นตอน Install ให้เลือกแพ็กเกจ OpenSSH และ LAMP

    2. ติดตั้ง FreeRADIUS

    3. ติดตั้ง vsftpd

    4. ติดตั้ง lib-pam-radius

    5. แก้ไขไฟล์ที่เกี่ยวข้องกับ freeradius เพื่อเลือก database
    จบขั้นตอนนี้ เราได้ user ของ ftp server ซึ่งอาจจะเป็น local linux account หรือ ldaps user (PSU Passport) ผ่าน RADIUS server

    (ขั้นตอน 1-5 อ่านได้ที่นี่ ติดตั้ง ftp server + lib-pam-radius + authen psu-passport และ ldaps)

    ขั้นตอนถัดไปติดตั้ง ownCloud

    6. อ่านคำแนะนำวิธีติดตั้งผ่าน repository และ apt-get install owncloud

    7. สร้าง Datbase user, name, password

    8. ตั้งค่า ownCloud ครั้งแรกผ่านเบราว์เซอร์ เพื่อเลือก MySQL/MariaDB Server และ เลือกใช้ user name ผ่าน Apps ชื่อ External user support

    9. ติดตั้ง https ตามวิธีของท่าน (โปรดหาวิธีทำเองนะครับ)

    10. ที่เบราว์เซอร์เข้าใช้งานด้วย user ที่ใช้งานกับ ftp server ที่เราติดตั้งได้สำเร็จ
    จบขั้นตอนนี้ เรามี ownCloud ที่สามารถเข้าใช้งานด้วย user ที่เราเลือกไว้ในขั้นตอนที่ 5

    (ขั้นตอนที่ 6-10 อ่านได้ที่นี่ ติดตั้ง ownCloud และใช้ user เดียวกับของ ftp server)

     

  • วิธีใช้ Google Sheets ลบผู้ใช้จำนวนมากบน GAFE

    [บทความนี้ สำหรับผู้ที่มี Admin Privilege ขึ้นไป]

    ต่อจากบทความ วิธีใช้ Google Sheets เปลี่ยนแปลงข้อมูลผู้ใช้จำนวนมากบน GAFE

    เมื่อต้องการลบผู้ใช้จำนวนมาก ก็ทำเหมือนเดิม แต่เปลี่ยน Script นิดหน่อยดังนี้

    1. สร้าง Google Apps Scripts ใน Google Sheets นี้ ด้วยเมนู Tools > Script Editor … จากนั้นเลือก Blank Project แล้วกดปุ่ม Close
    2. ตั้งชื่อโปรเจค UpdateUser แล้วใส่โค๊ดดังนี้ (ปรับค่า firstRow และ lastRow ให้เหมาะสมตามต้องการ)
    3. นอกนั้นเหมือนเดิม

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ