Create Excel 2007 file using Interop services.

Microsoft Office Interop (Excel Automation)คือ ตัวเลือกอีกทางหนึ่งที่ใช้สำหรับ สร้าง อ่าน เอกสาร Excel (XLS, XLSX, CSV) จากการพัฒนาโดยใช้   C# หรือ VB.NET แต่บทความนี้จะขอยกตัวอย่างการพัฒนาเพื่อสร้างเอกสารโดยใช้ C# ค่ะ Step 1  เปิด Visual Studio File>New>Project เลือก Visual C#> Windows > Select Console Application Step 2  เลือก >> Project Menu >> เลือก Add References >> เลือกที่ Tab COM >> กด “Microsoft Excel 12.0 Object Library”  เพื่อเพิ่ม References Step 3  ตัวอย่าง Code C# เพื่อใช้ในการสร้าง Excel File ดังนี้ เมื่อมีการ Run โปรแกรมแล้ว Excel file ก็จะถูกสร้างตาม path ที่ระบุ ค่ะ  แหล่งอ้างอิง https://www.c-sharpcorner.com/blogs/creating-excel-file-using-interop-services1

Read More »

WPF Layout (Part III)

The WPF Viewbox WPF viewbox จะสามารถปรับขนาด/ปรับมิติของ control ของ Windows Presentation Foundation ได้โดยอัตโนมัติ  viewbox และสามารถปรับขนาดของ control เพื่อเติมเต็มพื้นที่ที่มีอยู่ คือจะมีการปรับขนาดของ child ซึ่งเป็น control ที่บรรจุอยู่ใน ViewBox ให้อัตโนมัติ ซึ่งจะมีการปรับพิกัดโดยอัตโนมัติเมื่อมีการปรับเปลี่ยนขนาดเพื่อให้ชุดของพิกัดที่กำหนดเป็นพิกเซลในขนาดดั้งเดิม อะไรคือจุดประสงค์ของ WPF Viewbox? เมื่อไหร่ที่คุณจะใช้มัน? เมื่อคุณพัฒนาโปรแกรม โดยทั่วไปแล้วคุณจะไม่สามารถรู้ถึงความแน่นอนของ hardware ของระบบที่จะเป็นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแอปพลิเคชันมีไว้เพื่อการใช้งานในระยะยาว คุณไม่สามารถมั่นใจได้เลย   ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือความละเอียดของจอภาพที่แสดงผลการใช้งานของระบบต่างๆ เพราะปีที่แล้วหน้าจออาจจะเป็น ultra-high-resolution ปีต่อมาอาจจะเป็น  low-resolution  monitor  และถ้าคุณได้พัฒนาโปรแกรมโดยคำนึงถึงความละเอียดของหน้าจอของปีที่แล้วไว้ เมื่อมาดูในปีถัดมาในส่วนของหน้าต่างโปรแกรม ปุ่ม และ elements อื่นๆของ GUI ที่ได้พัฒนาไว้ อาจจะมีขนาดที่เล็กมาก จนทำให้เกือบจะใช้ไม่ได้เลย Resize! Viewbox จะปรับความละเอียดของหน้าจอให้อัตโนมัติทุกหน้าจอให้ตามความเหมาะสม แม้ว่าผู้ใช้งานจะปรับให้หน้าต่างโปรแกรมให้มีขนาดใหญ่สุดในหน้าจอที่มีความละเอียดใดๆก็ตาม โดยเมื่อผู้ใช้งานปรับขนาดและสัดส่วนของหน้าต่างโปรแกรม Viewbox จะทำการปรับขนาดและตำแหน่งที่สัมพันธ์กันของเนื้อหาให้พอดี ส่วนนี้จะทำให้ผู้พัฒนาโปรแกรมและผู้ใช้งานมีความยืดหยุ่นสูงสุด จากตัวอย่าง XAML code จะสร้าง Viewbox กับ button  ที่เมื่อมีการปรับขนาดของ button  ให้อัตโนมัติเมื่อมีการปรับขนาดของ Viewbox window What About the Margins? จะน่าสนใจขนาดไหนถ้าcontrol ที่อยู่ใน Viewbox  window ก็จะถูกปรับขนาดโดยอัตโนมัติ และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ window ไม่ได้ถูกปรับขนาดแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่จะปรับในส่วนของมิติให้กับ control ที่ไม่พอดีกับ window ไปด้วย ?  Viewbox มี 2 properties  คือ Stretch และ StretchDirection ที่จะมาจัดการในส่วนนี้ให้คุณได้ Stretching it a Bit จากโค้ดตัวอย่างข้างต้น เมื่อ complied เป็น   EXE  เราจะเห็นโปรแกรม “Viewbox Test” ที่มีข้อความ “I’m a Button” อยู่บนปุ่ม และเมื่อคุณปรับขนาดของ window ปุ่มก็จะถูกปรับขนาดและอัตราส่วนให้พอดีโดยอัตโนมัติ ทำให้ปุ่มมีขนาดของสัดส่วนที่พอดีสวยงามไม่ว่าจะมีการปรับให้มีขนาดใดก็ตาม ในกรณีที่อัตราส่วนของภาพใน view box แสดงขนาดไม่พอดีกับปุ่ม อาจจะเกิดจากการมีที่ช่องว่างทั้งด้านบนและด้านล่างปุ่มหรือทางซ้ายและขวา The Default กรณีที่ไม่ได้กำหนดค่าของ Stretch property  จะมีค่า default ของ Viewbox  ที่กำหนดในส่วนของ Stretch property คือ “Uniform” ดังตัวอย่าง จากตัวอย่างข้างต้นจะมีความหมายเหมือนกับตัวอย่างข้างล่าง Stretch property จะประกอบด้วย 4 ตัวเลือก  ดังนี้ 1. No Stretch At All กรณีที่ไม่ต้องการให้มีการปรับขนาดของ child  control จำเป็นที่จะต้องกำหนดค่า  Stretch property เป็น None ดังตัวอย่าง เมื่อมีการกำหนดกำหนดค่า  Stretch property เป็น None ปุ่มจะคงขนาดเดิมไว้ โดยจะไม่เกิดอะไรขึ้นไม่ว่าคุณจะปรับขนาดหรือมิติของ Viewbox window  กรณีถ้ามีการเพิ่มขนาดของ window ปุ่มจะคงขนาดเดิมแต่มีช่องว่างรอบๆปุ่มแทน ส่วนถ้าย่อขนาดของ window ปุ่มก็จะคงขนาดเดิมเช่นกันแต่อาจจะถูก window บังปุ่มจนมองไม่เห็นทั้งปุ่ม หรือสุดท้ายเมื่อย่อขนาดลงเรื่อยๆจนทำให้เรามองไม่เห็นปุ่มเลย 2.Free-Form เมื่อกำหนดค่า Stretch=”Fill”  จะทำให้ child control ถูกปรับขนาดให้พอดีกับ  Viewbox  โดยไม่มีการตัดของเนื้อหาใดๆออกเลย คือจะแสดงผลอย่างสมบูรณ์ ในส่วนของการปรับขนาดในแนวตั้งและแนวนอนอาจจะแตกต่างกัน ซึ่งอาจจะทำให้เนื้อหาใน Viewbox ผิดเพี้ยนไป เนื่องจากจะถูกปรับเปลี่ยนอัตราส่วนเป็นขนาดตาม window ดังตัวอย่าง 3.Uniform Adjustment Uniform option จะเหมือนกับ Free-Form ที่อธิบายข้างบน

Read More »

WPF Layout (Part II)

Popular layout panels of WPF 1. StackPanel StackPanel ของ WPF เป็น panel ที่เรียบง่ายและมีประโยชน์ในการนำมาใช้งาน โดยรูปแบบการจัดวางของ element ที่เป็น child จะวางอยู่ในรูปแบบซ้อนจากบนลงล่างหรือเรียงไปทางด้านซ้ายไปขวา ขึ้นกับการกำหนดค่าของ orientation StackPanel เหมาะสำหรับการจัดวางในรูปแบบที่มีลักษณะเป็น List โดย ItemsControls ของ WPF ทั้งหมด ที่เป็นลักษณะของ ComboBox, ListBox หรือ Menu จะใช้ StackPanel เพื่อจัดรูปแบบภายในของ Control ตัวมันเอง ดังตัวอย่าง Stack Items horizontally จากภาพตัวอย่างจะแสดงในส่วนของการใช้ horizontal stack panel คือจะประกอบด้วย ปุ่ม “OK” และ ปุ่ม “Cancel” ใน window โดยเมื่อมีการเปลี่ยนขนาดของตัวอักษรหรือเปลี่ยนภาษา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกำหนดขนาดของปุ่ม แต่ stack panel จะทำหน้าที่ในการจัดเรียงปุ่มตามขนาดของปุ่มทั้งสองให้โดยอัตโนมัติ ดังตัวอย่าง 2. Wrap Panel Wrap panel เหมือนกับ Stack Panel แต่ต่างกันที่ Wrap panel คือจะไม่บรรจุ child ทั้งหมดใน 1 แถว แต่ตัดส่วนที่เกินและขึ้นบรรทัดใหม่ กรณีที่ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือพอบรรจุอยู่ โดยทิศทางการจัดวางสามารถกำหนดเป็น Horizontal หรือ Vertical Wrap panel เคยใช้จัดวาง tabs ของ tabs control, itemของเมนูใน toolbar หรือ item ใน Windows Explorer ในรูปแบบ list โดย Wrap panel จะถูกนำมาใช้บ่อยกับitem ที่มีขนาดเท่ากัน แต่ในส่วนนี้ไม่ใช่ข้อกำหนดของ Wrap panel 3.  Dock Panel Dock panel คือรูปแบบในการจัดวางเรียง elements ของ panel นั้นๆ ได้ 4 ด้าน คือ  ซ้าย ขวา บน และ ล่าง หรือจะจัดเรียงไว้ตรงกลางก็สามารถทำได้ โดยแต่ละทิศทางการจัดเรียงจะสามารถกำหนดได้นั้นต้องระบุที่ DockPanel.Dock  กรณีที่ต้องการจัดวางเรียงให้อยู่ตรงกลางของ panel จำเป็นต้องให้ child ที่ต้องการจัดเรียงไว้ตรงกลางนั้นจัดวางอยู่ในตำแหน่งสุดท้าย แล้วต้องกำหนด panel  นั้น ให้ มี LastChildFill property = true ดังตัวอย่าง Multiple elements on one side Dock panel รองรับการมี elements ได้หลายตัวในแต่ละด้าน โดยแต่ละ element ต้องระบุ DockPanel.Dock ให้ตรงกับทิศทางที่ต้องการจัดเรียง ดังตัวอย่าง Change the stacking order ลำดับการจัดเรียงพื้นที่ให้กับ element คือ มันจะกำหนดพื้นที่การจัดเรียงคือ elements ตัวแรก จะได้พื้นที่ทั้งหมดตามความยาวหรือความสูงของตัวมันเอง ในส่วนของ elements อื่นๆจะได้พื้นที่เหลือจาก elements ตัวแรก และ elements ตัวอื่นๆที่จัดวางเรียงต่อๆกัน 4. Canvas Panel Canvas คือ panel ที่มีรูปแบบพื้นฐานที่ธรรมดาที่สุดใน WPF  โดย elementภายใน panel   จะมีพิกัดที่ชัดเจน โดยสามารถระบุพิกัดที่ต้องการจัดเรียงด้านต่างๆโดยใช้  Canvas.Left, Canvas.Top, Canvas.Bottom และ Canvas.Right โดยระบุใน properties ของ element นั้นๆ Canvas เป็น Panel ที่ใช้สำหรับจัดกลุ่ม

Read More »

WPF Layout (Part I)

Introduction to WPF Layout การอออกแบบ controls  คือส่วนสำคัญของการออกแบบโปรแกรมที่นำมาใช้งาน การจัดวาง controls ที่มีการกำหนดค่าขนาดของ pixel ของ controls นั้นๆ อาจจะใช้งานได้ดีในกรณีสภาพแวดล้อมที่ถูกจำกัด แต่ในขณะเดียวกันจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์นักหากไปแสดงบนหน้าจอที่มีความละเอียดของหน้าจอหรือขนาดของตัวอักษรที่ต่างกันออกไป WPF จึงมีการนำ panel มาแก้ไขปัญหาในส่วนนี้  โดย panel ที่ใช้ในการจัดวาง Layout มีอยู่ 5 ชนิดที่นิยมใช้การการออกแบบดังนี้ Grid Panel Stack Panel Dock Panel Wrap Panel Canvas Panel Best Practices หลีกเลี่ยงการกำหนดค่าตำแหน่ง : กรณีที่ต้องการกำหนดตำแหน่งการวาง controls ใน panel ควรใช้ Alignment properties ร่วมกับ Margin เพื่อกำหนดค่าตำแหน่งใน panel แทนการกำหนดเป็นค่าคงที่ในตำแหน่งนั้นๆ หลีกเลี่ยงการกำหนดขนาด : ควรกำหนด Width และ Height ของ element ให้เป็น Auto ไม่ใช้ canvas panel ในการจัดวาง layout ของ element ใช้ canvas panel กรณีที่เป็น vector graphic เท่านั้น ควรใช้ Stack panel เพื่อจัดเรียงปุ่ม ใช้ grid panel ในกับ form ที่เป็น form สำหรับการรับข้อมูลเข้า โดย control ที่อยู่ใน grid panel ที่เป็น label ควรกำหนดขนาดเป็น Auto และ controlที่เป็น Textbox ควรกำหนดขนาดเป็น * ใช้ itemControl ใน DataTemplate ของ grid panel เพื่อใช้ในการจัดวาง control ที่แสดงข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงของ keyตลอดเวลา และควรใช้ SharedSize เพื่อให้ label มีขนาดความกว้างเท่ากัน Vertical and Horizontal Alignment ใช้ VerticalAlignment และ HorizontalAlignmant properties เพื่อกำหนด  Control ให้อยู่ในส่วนเดียวกันหรือหลายๆส่วนใน panel   นั้นๆ  โดยมีตัวอย่างดังภาพ Margin and Padding Margin และ Padding properties จะจองพื้นที่ช่องว่างรอบๆของcontrol ดังนี้ • The Margin คือ ส่วนของช่องว่างรอบๆของ control. • The Padding คือส่วนของช่องว่างที่อยู่ภายใน control. • The Padding ของ control ที่อยู่ภายนอก คือ Margin ของ control ที่อยู่ภายใน Control นั้นๆ Height and Width ไม่แนะนำให้กำหนดค่า Height และ Width เนื่องจากจะทำให้ยุ่งยากในการจัดการ  การจัดการที่ดีควรจะกำหนดค่า  MinHeight, MaxHeight, MinWidth และ MaxWidth ตามต้องการ  หรือหากต้องการกำหนด width หรือ height เป็น Auto ขนาดของ controls ก็จะมีขนาดเท่ากับของข้อมูลโดยอัตโนมัติ Overflow Handling Clipping ในกรณีที่ elementsซ้อนทับ border ของ panel เราจะกำหนดการแสดงการจัดวางของ control โดยใช้ ClipToBounds property โดยมีกำหนดค่าเป็น  true หรือ false  ดังรูป Scrolling กรณีที่เนื้อหาของข้อมูลมีจำนวนมากเกินกว่าขนาดของ panel

Read More »

Download multiple files as Zip Archive (Compressed) file in ASP.Net MVC

ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงการ  download file ครั้งละหลายๆไฟล์ โดยมีการระบุว่าต้องการ   download file ใดบ้าง โดย  ผู้ใช้สามารถกดเลือกได้ทั้งละหลายๆไฟล์ หรือไฟล์เดียว แล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้งาน โดยหลังจากที่มีการกดปุ่มแล้วระบบจะทำการ zip ไฟล์รวมเป็น 1 ไฟล์ โดยในบทความนี้จะขอเสนอวิธีการพัฒนาโดยใช้ ASP.NET  ในรูปแบบ MVC ค่ะ     ในส่วนของ java script function DownloadFiles() { var items = []; $(“input:checkbox[name=chkThis]:checked”).each(function () { items.push($(this).val());   });   if (items.length <= 0) { alert(‘กรุณาเลือกข้อมูลที่ต้องการ Download ด้วยค่ะ/ครับ!!’); } else { $.ajax({ type: ‘POST’, contentType: ‘application/json; charset=utf-8’, url: ‘@Url.Action(“DownloadAndZipFile”, “NoteUpload”)’, data: JSON.stringify({ fileItemsAll: items }), success: function (resultDownload) { //window.location = ‘/NoteUpload/Download?fileGuid=’ + resultDownload.FileGuid //                   + ‘&filename=’ + resultDownload.FileName; window.location = ‘/NoteUpload/Download?fileGuid=’ + resultDownload.FileGuid; }, error: function (data) { alert(data); } }); } //   return items; } ในส่วนของ controller public ActionResult DownloadAndZipFile(IEnumerable<int> fileItemsAll) { if (!(ViewBag.IsAuthorized = (azResult = azService.Authorize(AccountingOperation.NoteUploadReader, this).Result).IsAuthorize)) { Danger(string.Format(“ไม่มีสิทธิ์ใช้งานในส่วนนี้: {0} ({1})”, azResult.Operation.OP_NAME, Convert.ToString(azResult.OperationEnum))); return View(); }   string handle = Guid.NewGuid().ToString(); MemoryStream output = new MemoryStream();   var zipMs = new MemoryStream(); string strZipName = “Accounting” + DateTime.Now.ToString(“yyyyMMdd”);   TempData[handle] = fileItemsAll;   var resultDownload = new { FileGuid = handle, FileName = strZipName + “.zip” }; return this.Json(resultDownload, JsonRequestBehavior.AllowGet); }   public FileResult Download(string fileGuid) { if (!(ViewBag.IsAuthorized = (azResult = azService.Authorize(AccountingOperation.NoteUploadReader, this).Result).IsAuthorize)) { Danger(string.Format(“ไม่มีสิทธิ์ใช้งานในส่วนนี้: {0} ({1})”, azResult.Operation.OP_NAME, Convert.ToString(azResult.OperationEnum))); return null; }   var zipMs = new MemoryStream(); string zipFisYear, zipPeriod, fileC, FileF, FileFinance,

Read More »