มาทำความรู้จักกับพื้นฐานการใช้งาน “TreeView” สำหรับมือใหม่กันดีกว่า

          เชื่อว่านักพัฒนาโปรแกรม Web application ด้วย .Net หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อของเจ้า “TreeView” กันมาบ้างแล้ว หรือบางท่านก็อาจจะเกือบลืมเจ้าเครื่องมือตัวนี้ไปแล้วก็ตามเพราะมันอาจจะไม่ใช่เครื่องมือที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยนัก ในบทความนี้ผู้เขียนจึงขอหยิบยกเจ้า “TreeView” มาปัดฝุ่น แนะนำลูกเล่นการใช้งาน การกำหนดคุณสมบัติต่างๆ และวิธีการใช้งานกันอย่างคร่าวๆก่อน เพื่อเป็นการปูพื้นฐานให้กับมือใหม่หัดใช้ TreeView และรื้อความทรงจำให้กับผู้ที่เคยใช้ TreeView มาก่อนหน้านี้ เผื่อความสามารถที่ซ่อนอยู่จะไปเตะตาตรงใจท่านใดที่กำลังมองหาการทำงานแบบนี้อยู่พอดี จนอยากนำเครื่องมือตัวนี้ไปประยุกต์ใช้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแสดงผลข้อมูลในงานพัฒนาของท่านกันอีกครั้งได้ค่ะ           แต่ก่อนจะพูดถึงลูกเล่นการทำงานของ TreeView คงต้องเกริ่นนำกันก่อนว่าเจ้าเครื่องมือตัวนี้ถูกจัดอยู่ในจำพวก Navigation Control ซึ่งบางคนอาจเกิดคำถามว่า ข้อมูลแบบใดบ้างจึงจะเหมาะนำมาใช้งานแสดงผลกับเจ้า TreeView นี้ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวแล้วนั้น ผู้เขียนคิดว่าข้อมูลที่เหมาะจะมาแสดงผลด้วย TreeView ควรจะเป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็นแบบ Hierarchy หรือเป็นลักษณะโครงสร้าง มีลักษณะข้อมูลเป็นลำดับชั้นย่อยๆ เช่น โครงสร้างหน่วยงาน โครงสร้างองค์กร หรือข้อมูลที่เป็นประเภทหลักและประเภทย่อย เป็นต้น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเรียนรู้วิธีจัดการกับ TreeView ของเรากันเลยดีกว่าค่ะ ขั้นตอนสร้าง TreeView อย่างง่ายจาก Tool box ของ Visual studio .Net สามารถทำได้ดังนี้ สร้าง TreeView โดยเลือกจากแท็บเครื่องมือ ในกลุ่ม Navigation มาวางในหน้าจอ design ของเรา ดังรูป การเพิ่มและจัดการ node ให้กับ TreeView ได้โดยการคลิกเลือก “Edit Nodes…” ดังภาพ การจัดการเพิ่ม-ลดข้อมูล node ในระดับต่างๆ จะแสดงภาพดังหน้าจอต่อไปนี้ เพื่อใช้ในการจัดการเพิ่ม-ลดข้อมูล node ในระดับต่างๆ ดังนี้ โดยขั้นตอนการเพิ่ม – ลด node อย่างคร่าวๆ มีดังนี้ การเพิ่ม node ที่เป็น root (ลำดับแรกสุด) โดยการกดปุ่ม การเพิ่ม node ระดับย่อย(child node) โดยการกดปุ่ม การลบ node ที่ไม่ต้องการ สามารถทำได้โดยการกดปุ่ม ปรับเปลี่ยนระดับความลึกของ node โดยคลิกเลือก node ที่ต้องการจัดการและกดปุ่ม เพื่อเลื่อนระดับความลึกมากน้อยได้ตามต้องการ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการทำงานคล้ายกับการเยื้องย่อหน้าใน MS Word ที่เราคุ้นเคยกันดี การเลื่อนลำดับบน-ล่างให้กับ node สามารถทำได้โดยกดปุ่ม ตัวอย่าง หน้าจอการจัดการ node ใน TreeView               จากภาพตัวอย่าง มีการเพิ่มและจัดการ node ข้อมูลโครงสร้างองค์กรตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย วิทยาเขต และคณะ โดยการกำหนดค่าตายตัวจากหน้าจอ design ด้วยการระบุเอง ไม่ได้ดึงจากฐานข้อมูล ซึ่งท่านสามารถทดลองเพิ่มและจัดการได้ด้วยตัวเองเพื่อให้เข้าใจการทำงานมากขึ้น โดยลองทำตามขั้นตอนการจัดการ node ข้างต้น               นอกจากการเพิ่ม-ลด node แล้ว ท่านยังสามารถกำหนดคุณสมบัติให้กับ node ได้ด้วย โดยคลิกข้อมูล node ที่ต้องการจัดการจากฝั่งซ้ายมือ และกำหนดคุณสมบัติของ node ดังกล่าวในฝั่งขวามือ ซึ่งรายละเอียดการกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ในแต่ละ node จะขอพูดในหัวข้อถัดไป (ข้อ 4.)ค่ะ กำหนดคุณสมบัติให้กับแต่ละ node เราสามารถกำหนดคุณสมบัติ (Properties) เฉพาะให้กับแต่ละ node ได้ โดยจะขอพูดถึงคร่าวๆ ที่คิดว่าน่าจะใช้อยู่บ่อยๆและน่าสนใจ ดังนี้ ShowCheckBox : เป็นการระบุว่าจะให้ node ดังกล่าวแสดงช่องให้เลือกหรือไม่ Checked : เป็นการระบุว่า ต้องการให้มีการทำเครื่องหมายถูกไว้ในกล่อง check box หรือไม่ ซึ่งต้องมีการกำหนดควบคู่กับ ShowCheckBox = “true” นั่นเอง Text : ระบุว่าต้องการให้ node ดังกล่าวแสดงข้อความอะไร Value : ระบุค่าที่จะกำหนดให้กับ node ดังกล่าว

Read More »

การปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลเส้นทางระหว่างพิกัดจุดบนแผนที่ Google Map APIs ด้วย DirectionsTravelMode

          ก่อนที่เราจะไปเริ่มเนื้อหาของบทความี้ ผู้เขียนต้องขอท้าวความเดิมตอนที่แล้วของบทความก่อน ซึ่งผู้เขียนได้พูดถึงวิธีการแสดงผลเส้นทางทางระหว่างพิกัดจุดบนแผนที่ Google Map APIs ด้วย DirectionsService ในเบื้องต้นไว้ (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากบทความ : การแสดงเส้นทางระหว่างพิกัดจุดบนแผนที่ Google Map APIs ด้วย DirectionsService ในเบื้องต้น )  สำหรับในบทความนี้ผู้เขียนจึงอยากต่อยอดการทำงาน และเพิ่มลูกเล่นให้กับการแสดงผลแผนที่ด้วยการปรับเปลี่ยนการกำหนดรูปแบบการแสดงผลของเส้นทางให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์  ซึ่งเราจะให้ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบในการแสดงผลได้ว่า ต้องการดูเส้นทางในรูปแบบใดตามรูปแบบ Mode ที่ผู้ใช้เลือกมา เช่น เส้นทางเดิน ทางถนน หรือขนส่งสาธารณะ เป็นต้น โดยวิธีการดังกล่าวนี้เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับความต้องการที่ต้องการทราบเส้นทางในแต่ละรูปแบบ เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้กับงานของแต่ละท่านได้ค่ะ    ตัวอย่างผลลัพธ์ที่ได้จากบทความที่แล้ว  ซึ่งจากตัวอย่างโค้ดในบทความที่แล้ว การกำหนด DirectionsTravelMode เป็น DRIVIING ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีรูปแบบอื่นๆให้เลือกใช้ด้วยกันทั้งหมด 4 รูปแบบ ดังนี้ DRIVING (Default):เป็นโหมดตั้งต้นให้หากไม่ได้มีการกำหนดไว้ ซึ่งเป็นโหมดที่แสดงเส้นทางการขับขี่ด้วยยานพาหนะ BICYCLING: เป็นโหมดสำหรับเส้นทางที่เตรียมไว้สำหรับผู้ขับขี่จักรยาน TRANSIT: เป็นโหมดสำหรับแสดงเส้นทางระบบขนส่งสาธารณะ เช่น  รถบัส รถไฟ หรือแม้แต่เครื่องบิน เป็นต้น WALKING: เป็นโหมดสำหรับแสดงเส้นทางการเดินถนน           ซึ่งผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างในส่วนของการเลือกรูปแบบเส้นทางและผลลัพธ์ของแต่ละรูปแบบ ดังตัวอย่างโค้ดต่อไปนี้ การกำหนดรูปแบบของเส้นทางในการแสดงผลบนแผนที่ โค้ด Javascript  <script type=”text/javascript”> function initialize() { // ประกาศเรียกใช้งาน DirectionsService เพื่อการแสดงผลให้มีลักษณะเป็น Global window.directionsService = new google.maps.DirectionsService(); window.directionsDisplay = new google.maps.DirectionsRenderer(); var map; var bounds = new google.maps.LatLngBounds(); var mapOptions = { mapTypeId: ‘roadmap’ }; // แสดงผลแผนที่ในหน้าจอตาม Element ที่กำหนด map = new google.maps.Map(document.getElementById(“map_canvas”), mapOptions); map.setTilt(45); // กำหนดพิกัดจุดให้กับจุดเริ่มต้นและเส้นสุด window.markers = [ [‘Place1’, 51.501546, -0.142000], [‘Place2’, 51.512051,-0.091225] ]; // ให้แสดงผลสิ่งที่ตั้งค่าไว้ในพื้นที่แผนที่ที่กำหนด directionsDisplay.setMap(map); // กำหนดค่าเริ่มต้นของรูปแบบให้เป็นเส้นทางการเดิน (walking mode) calcRoute(); } // เป็นฟังก์ชั่นในการคำนวณเส้นทางระหว่างสองจุดพิกัดบนแผนที่และเลือกกำหนดค่า Mode ในการแสดงผล function calcRoute() { var selectedMode = document.getElementById(‘travelType’).value; var request = { origin: new google.maps.LatLng(markers[0][1], markers[0][2]), destination: new google.maps.LatLng(markers[1][1], markers[1][2]), //// //กำหนดรูปแบบการแสดงผลเส้นทางโดยเริ่มต้นให้เป็นเส้นทางการเดิน(ตามรายการแรกที่เลือก) travelMode: google.maps.TravelMode[selectedMode] }; directionsService.route(request, function(response, status) { if (status == google.maps.DirectionsStatus.OK) { directionsDisplay.setDirections(response); } }); } </script> ส่วนของการแสดงผลใน body <body>  <div id=”map_wrapper”> <div id=”map_canvas” class=”mapping”></div> </div> <div id=”travel_selector”> <p><strong>Mode of Travel: </strong> <select id=”travelType” onchange=”calcRoute();”> <option value=”WALKING”>Walking</option> <option value=”BICYCLING”>Bicycling</option> <option value=”DRIVING”>Driving</option> <option value=”TRANSIT”>Transit</option> </select></p> </div> </body> ผลลัพธ์ในแต่ละรูปแบบ แบบที่ 1 DRIVING Mode :   แบบที่ 2 BICYCLING Mode:

Read More »

การแสดงเส้นทางระหว่างพิกัดจุดบนแผนที่ Google Map APIs ด้วย DirectionsService ในเบื้องต้น

          หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ผู้เขียนเคยได้มีโอกาสศึกษาบทความเกี่ยวกับความสามารถของ Google Map APIs มาบ้างแล้วนั้น ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องเกี่ยวกับแผนที่นับเป็นอีกหัวข้อที่น่าสนใจในการพัฒนาเว็บไซต์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่ และที่ตั้ง เพราะถือเป็นการเพิ่มลูกเล่นให้มีความตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น โดยความสามารถของแผนที่ที่ใน Google Map APIs มีมาให้ใช้กันได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้พัฒนาแต่ละคน อาทิ การกำหนดพิกัดจุด การแสดงเส้นทาง การค้นหาละติจูด-ลองจิจูดจากการคลิกบนแผนที่ หรือจนกระทั่งการดึงพิกัดมาจากฐานข้อมูลเพื่อมาแสดงผล เป็นต้น โดยในความเป็นจริงแล้ว ลูกเล่นเกี่ยวกับการทำงานกับแผนที่ยังมีอีกมากมาย แต่ในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึงในส่วนของการแสดงเส้นทางระหว่างจุดสองจุดในแบบเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจก่อนนำไปประยุกต์ใช้ ดังนี้ การแสดงเส้นทางโดยเบื้องต้นเมื่อทราบจุดพิกัดละติจูด-ลองจิจูดบนแผนที่ อ้างอิงไฟล์ที่ใช้ในการทำงานร่วมกับ Google Map APIs <script src=”https://maps.googleapis.com/maps/api/js?key=YOUR_API_KEY&libraries=places&language=en” async defer></script> ส่วนของ Javascript ที่ใช้ในการแสดงเส้นทางระหว่างพิกัด 2 จุดบนแผนที่ <script type=”text/javascript”> /////////การกำหนดค่าละติจูด-ลองจิจูดระหว่าง 2 ตำแหน่ง ในที่นี้คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสวนสาธารณะหาดใหญ่ var markers = [ { “title”: ‘มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์’, “lat”: ‘7.006941’, “lng”: ‘100.498412’, “description”: ‘<b>มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์:</b> (อังกฤษ: Prince of Songkla University; อักษรย่อ: ม.อ.) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคใต้ของประเทศไทย ตาม พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. ๒๕๑๑ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2510 ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานชื่อเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2510 จึงถือว่าวันที่ 22 กันยายนของทุกปี เป็นวันสงขลานครินทร์’ } , { “title”: ‘สวนสาธารณะหาดใหญ่’, “lat”: ‘7.042899’, “lng”: ‘100.507664’, “description”: ‘<b>สวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่:</b> เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนเมืองแห่งนี้ มีทัศนียภาพที่สวยงาม เต็มไปด้วยด้วยแมกไม้เขียวขจี มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ สัตว์น้ำนานาชนิดมากมาย สมบูรณ์ด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ที่รอคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวให้ได้สัมผัสกับความร่มรื่นของพรรณไม้นานาชนิด’ } ]; ///////เป็นการกำหนดค่าต่างๆตอนที่ฟอร์มมีการโหลด window.onload = function () { //////กำหนดค่ากึ่งกลางการแสดงผลแผนที่ ระยะใกล้ และชนิดการแสดงผลของแผนที่ var mapOptions = { center: new google.maps.LatLng(markers[0].lat, markers[0].lng), zoom: 10, mapTypeId: google.maps.MapTypeId.ROADMAP }; //////ประกาศ Element ที่จะใช้ในการแสดงผล var map = new google.maps.Map(document.getElementById(“dvMap”), mapOptions); var infoWindow = new google.maps.InfoWindow(); var lat_lng = new Array(); ///สร้างตัวแปรอาร์เรย์เพื่อเก็บค่าละติจูด-ลองจิจูด var latlngbounds = new google.maps.LatLngBounds(); /// วนพื่อเก็บค่าละติจูด-ลองจิจูดในตัวแปรอาร์เรย์ และเก็บค่าในการพิกัดจุดของแต่ละจุดที่มี for (i = 0; i < markers.length; i++) { var data = markers[i] var myLatlng = new google.maps.LatLng(data.lat, data.lng); lat_lng.push(myLatlng); var marker = new google.maps.Marker({ position: myLatlng, map: map, title: data.title }); latlngbounds.extend(marker.position); //////กำหนดเมื่อมีอีเวนต์คลิก ให้แสดงผลรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตัวแปรของ marker ที่กำหนดไว้ในแต่ละตำแหน่ง (function (marker, data) { google.maps.event.addListener(marker, “click”, function

Read More »

การค้นหาสถานที่ด้วย Places search box และแสดงผลภาพจากข้อมูล Street View บน Google Maps

       ความเดิมจากตอนที่แล้วของบทความ “การดึงค่าละติจูดและลองจิจูดของสถานที่ด้วย Places search box บน Google Maps” เพื่อแก้ปัญหาในการดึงค่าละติจูด-ลองจิจูดจากชื่อสถานที่ที่ผู้ใช้พิมพ์ค้นหาไว้ โดยมีการนำ “Places search box” มาใส่ไว้ในแผนที่ที่เราต้องการแทนนั้น ถือเป็นตัวช่วยให้กับผู้ใช้ในระดับหนึ่ง  แต่สำหรับในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอต่อยอดความรู้ดังกล่าว โดยได้ศึกษาและนำวิธีการแสดงผลภาพจากข้อมูล Street view มาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นสถานที่จริงที่เลือกได้จากแผนที่ได้ด้วย ซึ่งจะยิ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ที่ต้องการจะดึงค่าละติจูด-ลองจิจูดจริงหรือไม่ได้อีกทางหนึ่งนั่นเอง ซึ่งวิธีการบางส่วนจะขอยกยอดมาจากบทความก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับเรื่องการดึงค่าละติจูด-ลองจิจูดจากการค้นหาโดยใช้ Places search box และจะขอเพิ่มเติมความสามารถในการแสดงผลภาพ Street View  รวมทั้งสามารถคลิกจุดพิกัดใหม่บนแผนที่ เพื่อค้นหาตำแหน่ง สถานที่ตั้ง และรายละเอียด รวมถึงภาพจาก Street View ได้อีกด้วย เพื่อให้การดึงค่าพิกัดใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยมีวิธีการดังนี้ ส่วนของสไตล์ชีทในการแสดงผล ขึ้นกับการตกแต่งของผู้พัฒนาแต่ละท่าน <!—ส่วนของ Style Sheets-> <style> html, body { height: 100%; margin: 0; padding: 0; } #map { width: 100%; height: 400px; } .controls { margin-top: 10px; border: 1px solid transparent; border-radius: 2px 0 0 2px; box-sizing: border-box; -moz-box-sizing: border-box; height: 32px; outline: none; box-shadow: 0 2px 6px rgba(0, 0, 0, 0.3); } #searchInput { background-color: #fff; font-family: Roboto; font-size: 15px; font-weight: 300; margin-left: 12px; padding: 0 11px 0 13px; text-overflow: ellipsis; width: 80%; } #searchInput:focus { border-color: #4d90fe; } </style> ส่วนของการอ้างอิง libraries เพื่อใช้งาน Google API <script src=”https://maps.googleapis.com/maps/api/js?key=AIzaSyCRbMoDPc_mTv3D3QPqe0Ar84nSvRhA8nk&libraries=places&callback=initMap” async defer></script> ส่วนของการประกาศค่าเริ่มต้นและตัวแปร รวมถึงการเรียกใช้งานฟังก์ชั่นเพื่อใช้ในการแสดงผล ฟังก์ชั่น initMap() ซึ่งจะเรียกใช้งานตอนเริ่มต้นโหลดหน้าจอขึ้นมา <script> var panorama; var map; var markers = []; /***** function ในการประกาศค่าเริ่มต้นให้กับแผนที่*****/ function initMap() { /***** ประกาศตำแหน่งพิกัดกึ่งกลางให้กับการแสดงผลแผนที่ ในที่นี้กำหนดเป็นกรุงเทพมหานคร*****/ var center_point = { lat: 13.7563309, lng: 100.50176510000006 }; var sv = new google.maps.StreetViewService(); /***** เป็นส่วนของการแสดงผลภาพจาก Street View *****/ panorama = new google.maps.StreetViewPanorama(document.getElementById(‘pano’)); /***** กำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของแผนที่*****/ var map = new google.maps.Map(document.getElementById(‘map’), { center: {lat: center_point.lat, lng: center_point.lng}, zoom: 13, streetViewControl: false // เป็นส่วนที่ Set เพิ่มเติมจากปกติ }); sv.getPanorama({ location:

Read More »

การดึงค่าละติจูดและลองจิจูดของสถานที่ด้วย Places search box บน Google Maps

       ก่อนจะพูดถึงเนื้อหาของบทความนี้ ผู้เขียนขอท้าวความไปถึงบทความก่อนหน้าที่เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการดึงค่าละติจูด-ลองจิจูดของสถานที่ เพื่อมากำหนดจุดพิกัดบนแผนที่ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ Google maps (ซึ่งสามารถหาอ่านได้จากลิงค์ ทำอย่างไรให้สามารถกำหนดจุดพิกัดบนแผนที่ Google map แบบจุดเดียวและหลายจุดจากฐานข้อมูลได้ด้วย ASP.NET C# (ภาคต่อ) และหากท่านต้องการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการกำหนดพิกัดบนแผนที่เพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากลิงค์ ทำอย่างไรให้สามารถกำหนดจุดพิกัดบนแผนที่ Google map แบบจุดเดียวและหลายจุดจากฐานข้อมูลได้ด้วย ASP.NET C# เช่นกัน) แต่หลังจากที่ผู้เขียนได้นำไปทดลองใช้งานการดึงค่าพิกัดที่ค้นหา พบว่าเกิดปัญหาในการค้นหาพิกัดของสถานที่ในบางกรณี คือ ไม่สามารถค้นหาพิกัดของบางสถานที่ที่ต้องการได้ และในบางครั้งผู้ใช้เลือกสถานที่ที่จะดึงค่าพิกัดมาใช้งานผิด เนื่องจากชื่อสถานที่อาจคล้ายกัน แต่ตั้งอยู่กันคนละประเทศ หรือทวีป โดยผู้ใช้อาจไม่เห็นภาพว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ส่วนใดของแผนที่ จึงทำให้พิกัดที่ได้มีความผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ ผู้เขียนจึงได้ลองศึกษาเพิ่มเติม และปรับเปลี่ยนวิธีการ เพื่อให้การดึงค่าพิกัดเป็นไปได้ง่าย และอำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้งานมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มช่องทางในการค้นหาข้อมูลพิกัดได้มากขึ้นและมีความถูกต้องแม่นยำขึ้น ตัวอย่างภาพการทำงานของการดึงค่าพิกัดที่ผู้เขียนเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ แบบที่ 1 การเรียกใช้เซอร์วิสของ Google Geocoding API โดยการส่งพารามิเตอร์เป็นที่อยู่ของสถานที่ดังกล่าว     แบบที่ 2 แบบใช้ place Autocomplete ซึ่งเป็น feature ของ Google Places API ที่จะช่วยในการค้นหาที่อยู่จากชื่อสถานที่ได้และประยุกต์เพิ่มเติมเพื่อดึงค่ามาแสดงเมื่อมีการเลือกรายการสถานที่นั้นๆ              จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนได้ปรับเปลี่ยนวิธีการในการดึงค่าละติจูด-ลองจิจูดจากชื่อสถานที่ที่ผู้ใช้พิมพ์ค้นหาไว้ โดยมีการนำ “Places search box” มาใส่ไว้ในแผนที่ที่เราต้องการแทน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นสถานที่จริงที่เลือกได้จากแผนที่ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ที่ต้องการจะดึงค่าละติจูด-ลองจิจูดจริงหรือไม่อีกทางหนึ่งนั่นเอง โดยมีวิธีการดังนี้ ส่วนของสไตล์ชีทในการแสดงผล ขึ้นกับการตกแต่งของผู้พัฒนาแต่ละท่าน <!—ส่วนของ Style Sheets–> <style> html, body { height: 100%; margin: 0; padding: 0; } #map { width: 100%; height: 400px; } .controls { margin-top: 10px; border: 1px solid transparent; border-radius: 2px 0 0 2px; box-sizing: border-box; -moz-box-sizing: border-box; height: 32px; outline: none; box-shadow: 0 2px 6px rgba(0, 0, 0, 0.3); } #searchInput { background-color: #fff; font-family: Roboto; font-size: 15px; font-weight: 300; margin-left: 12px; padding: 0 11px 0 13px; text-overflow: ellipsis; width: 50%; } #searchInput:focus { border-color: #4d90fe; } </style> ส่วนของการอ้างอิง libraries เพื่อใช้งาน Google API <script src=”https://maps.googleapis.com/maps/api/js?key=AIzaSyCRbMoDPc_mTv3D3QPqe0Ar84nSvRhA8nk&libraries=places&callback=initMap” async defer></script> ส่วนของการประกาศค่าเริ่มต้นและตัวแปร รวมถึงการเรียกใช้งานฟังก์ชั่นเพื่อใช้ในการแสดงผล <script> /***** function ในการประกาศค่าเริ่มต้นให้กับแผนที่*****/ function initMap() { /***** กำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของแผนที่*****/ var map = new google.maps.Map(document.getElementById(‘map’), { center: {lat: -33.8688, lng: 151.2195}, zoom: 13 }); /***** กำหนดตำแหน่งที่ตั้งของ control ที่จะวางในแผนที่*****/ var input = document.getElementById(‘searchInput’); map.controls[google.maps.ControlPosition.TOP_LEFT].push(input); /***** เพิ่ม Feature ให้กับ textbox ให้สามารถพิมพ์ค้นหาสถานที่ได้*****/ var

Read More »