Month: August 2022

  • เปลี่ยน Q&A รูปแบบหน้าเอกสาร ให้เป็นหน้าเว็บกัน

    การทำบันทึก Q&A ในรูปแบบกระดาษให้อยู่ในหน้าเว็บ จากงานที่เราทำอยู่เป็นงานถามตอบการใช้งานระบบ ซึ่งบางระบบจะผู้ใช้งานจะเป็นคนใหม่เสมอ ๆ เช่น ระบบรับสมัครนักศึกษา (Admission) ระบบข้อมูลพื้นฐานนักศึกษา เป็นต้น โดยได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย และจัดทำในรูปแบบเอกสาร word ธรรมดา ในวันนี้เราจะมาทำให้อยู่ในรูปแบบหน้า web เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านของผู้ใช้กันค่ะ

    มาดูขั้นตอนกันเลย

    • ไปที่ Google Drive > +New > More > Google Apps Script แล้วเขียน code ดังรูป

    • จากนั้นเพิ่มหน้า index.html แล้วคัดลอก Code ตามลิงค์
      https://www.api-wat.com/2022/03/blog-post.html
    • แก้ไขให้เป็น FAQ ของเรา
    • จากนั้นบันทึกแล้วไปที่ Deploy > New development > Select type เป็น Web app > Who has access เลือก Anyone > Deploy > Done
    • จากนั้นไปที่ Deploy > Test deployments > คลิกลิงค์ที่ URL ก็จะแสดงผลตามที่ต้องการ ดังรูป
    • จากนั้นไปที่ Manage deployments ที่ URL Copy แล้วนำลิงค์นั้นไปแปะตามที่เราต้องการ

    ลองนำไปเล่นกันดูนะ ^_^

  • การติดตั้ง SSL บน apache2

    สำหรับ APACHE2
    1. สร้าง DH parameters
    #sudo openssl dhparam -out /etc/ssl/certs/dhparam.pem 4096

    2. เปิดใช้ module headers ของ apache2
    #sudo a2enmod headers

    3. แก้ไขแฟ้ม  /etc/apache2/mods-available/ssl.conf ดังนี้
    SSLProtocol -ALL +TLSv1.2 +TLSv1.3
    //บาง OS เช่น CENTOS ใช้ SSLProtocol ALL -TLSv1 -TLSv1.1 -SSLv3 -SSLv2
    SSLOpenSSLConfCmd DHParameters “/etc/ssl/certs/dhparam.pem”
    SSLHonorCipherOrder on
    SSLCompression off
    SSLSessionTickets off
    SSLOptions +StrictRequire

    //เปลี่ยนตามที่ตัวเองใช้
    SSLCertificateKeyFile /etc/apache2/certificate/STAR_oas.psu.ac.th.key
    SSLCertificateChainFile /etc/apache2/certificate/STAR_oas.psu.ac.th.ca-bundle
    SSLCertificateFile /etc/apache2/certificate/STAR_oas.psu.ac.th.crt

    SSLOpenSSLConfCmd ECDHParameters brainpoolP512r1
    SSLOpenSSLConfCmd Curves brainpoolP512r1:sect571r1:secp521r1:secp384r1
    SSLCipherSuite TLSv1.3 TLS_CHACHA20_POLY1305_SHA256:TLS_AES_256_GCM_SHA384

    SSLCipherSuite ECDHE-ECDSA-AES128-GCM-SHA256:TLS13_AES_128_GCM_SHA256:TLS13_AES_256_GCM_SHA384:TLS13_CHACHA20_POLY1305_SHA256:TLS_ECDHE_RSA_AES_256_GCM_SHA384:TLS_DHE_RSA_AES_256_GCM_SHA384:TLS_ECDHE_RSA_CHACHA20_POLY1305_SHA256:TLS_DHE_RSA_CHACHA20_POLY1305_SHA256:TLS_DHE_RSA_AES_256_CCM_8:TLS_DHE_RSA_AES_256_CCM:TLS_ECDHE_RSA_ARIA_256_GCM_SHA384:TLS_DHE_RSA_ARIA_256_GCM_SHA384:TLS_ECDHE_RSA_AES_128_GCM_SHA256:TLS_DHE_RSA_AES_128_GCM_SHA256:TLS_DHE_RSA_AES_128_CCM_8:TLS_DHE_RSA_AES_128_CCM:TLS_ECDHE_RSA_ARIA_128_GCM_SHA256:TLS_DHE_RSA_ARIA_128_GCM_SHA256:TLS_CHACHA20_POLY1305_SHA256:ECDHE-RSA-CHACHA20-POLY1305:ECDHE-ECDSA-CHACHA20-POLY1305:DHE-RSA-CHACHA20-POLY1305:PSK-CHACHA20-POLY1305:ECDHE-PSK-CHACHA20-POLY1305:DHE-PSK-CHACHA20-POLY1305:RSA-PSK-CHACHA20-POLY1305:DHE-RSA-AES256-GCM-SHA384:DH-RSA-AES256-GCM-SHA384:DHE-DSS-AES256-GCM-SHA384:DH-DSS-AES256-GCM-SHA384:ADH-AES256-GCM-SHA384:TLS_AES_256_GCM_SHA384:ECDHE-ECDSA-AES256-GCM-SHA384:ECDH-ECDSA-AES256-GCM-SHA384:ECDHE-RSA-AES256-GCM-SHA384:ECDH-RSA-AES256-GCM-SHA384:DHE-RSA-AES256-CCM8:DHE-RSA-AES256-CCM:PSK-AES256-CCM:DHE-PSK-AES256-CCM:PSK-AES256-CCM8:DHE-PSK-AES256-CCM8:ECDHE-ECDSA-AES256-CCM:ECDHE-ECDSA-AES256-CCM8:

    #
    ############
    # – OCSP Stapling, only in httpd 2.3.3 and later
    SSLUseStapling on
    SSLStaplingResponderTimeout 5
    SSLStaplingReturnResponderErrors off
    SSLStaplingCache “shmcb:logs/ssl_stapling(32768)”
    #
    # – HTTP Strict Transport Security Header.
    Header always set Strict-Transport-Security “max-age=31536000; includeSubDomainsi; preload”

    สำหรับคนที่ใช้ letsencrypt.org ตอนสร้าง cert ให้เพิ่มคำสั่งนี้ครับ –rsa-key-size 4096
    #sudo certbot certonly –rsa-key-size 4096 –manual –preferred-challenges dns

    เสร็จไปทดสอบที่
    https://www.ssllabs.com/ssltest/


    ปล.1 ถ้าใช้ Certificate ที่สำนักนวัตกรรมดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ จัดชื้อมา จะได้ RSA key ขนาด 2048 bit ทำให้คะแนน Key Exchange ได้ 90 คะแนน

    ปล.2 ส่วนของ IIS ค่อยทำครับ เพราะต้องใช้ Windows 2022 ขึ้นไปครับ จึงจะ support TLSv1.3
    ที่ผมมีเพียง Windows 2019 จึงได้ คะแนน ส่วนของ Cipher Strength ได้แค่ 90

    ปล.3 ถ้าท่านตามนี้จะทำให้ browser version เก่าเข้าใช้งาน web ท่านไม่ได้เพราะได้ตัด Cipher ที่เป็นจุดอ่อนของระบบออกไป ซึ่ง browser เหล่านนั้นล่วนแต่ใช้ Cipher ที่ถุกตัดออก

    ปล.4 สำหรับ Windows ใช้คำสั่งนี้สร้าง cert สำหรับ IIS ครับ #sudo openssl pkcs12 -export -out oas.psu.ac.th.pfx -inkey oas.psu.ac.th.key -certfile intermediate_oas.psu.ac.th_ca.crt -in oas.psu.ac.th.crt

    ปล.5 เพิ่ม SSLCipherSuite ตาม https://www.tenable.com/plugins/nessus/156899 (2560/11/03)

  • การเปลี่ยน IP Bridge ของ Docker

    IP ของ Docker โดย Default เป็น Private IP Class B มันจะมีปัญหา Network ที่ใช้ Private IP Class B
    ในที่นี้เราจะเปลี่ยน Default ของ Docker กัน
    1. แก้ไขแฟ้ม /etc/docker/daemon.json เพิ่ม
    {
        “default-address-pools”:
            [
                {“base”:”10.10.0.0/16″,”size”:24}
            ]
    }
    ถ้ามี ค่าอื่นอยู่ให้ใส่ , หลัง ]
    {
        “dns”: [“172.18.1.2”, “172.18.1.3”],
        “default-address-pools”:
            [
                {“base”:”10.10.0.0/16″,”size”:24}
            ]
    }

    2. ตรวจสอบว่า Docker มีการสร้าง Network อะไรบ้าง
    #sudo docker network ls

    3.ลบ network ที่วงกลมสีแดงตามข้อ 2
       3.1 ต้องหยุดการทำงานของ container ที่เรียกใช้ก่อน
             #sudo docker network inspect taneeoaspsuacth_default

             #sudo docker stop tanee_mysql tanee_web
       3.2 ลบ network
             #sudo docker network rm taneeoaspsuacth_default

    4. สร้าง network ใหม่
    #sudo docker network create –driver bridge taneeoaspsuacth_default <= ชื่อไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม

    5. เชื่อม network และ container
    #sudo docker network connect taneeoaspsuacth_default tanee_web
    #sudo docker network connect taneeoaspsuacth_default tanee_web

    6. เริ่มการทำงานของ container 
    #sudo docker start tanee_mysql tanee_web

    7. ตรวจสอบ netwrok
    #sudo docker network inspect taneeoaspsuacth_default

    จะพบว่า ip ของ container  ได้เปลี่ยนไปแล้ว

    8. ลบ Bridge Network เดิม
    #ifconfig

    #sudo ip link set br-0f333b026e6f down
    #sudo ip link set br-b698ee3e22e0 down
    #sudo brctl delbr br-0f333b026e6f
    #sudo brctl delbr br-b698ee3e22e0

  • ย้าย Google Workspace Mail Service มา Office365 Mail Service

    ย้ายเมล์จาก Gmail ของมหาวิทยาลัย มา Office365 mail ของมหาวิทยาลัย (@psu.ac.th มายัง @email.psu.ac.th)

    สิ่งที่ต้องมี

    1. สัญญาณอินเตอร์เน็ตนะครับขาดไม่ได้
    2. ใช้งาน Gmail ของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว และต้องการย้ายเมล์มายัง Office365 ของมหาวิทยาลัย
    3. Microsoft Outlook 2019 ขึ้นไป แต่แนะนำให้ติดตั้งเป็น Office365 ซึ่้งจะมี Microsoft Outlook for Microsoft 365 ให้ด้วย ขั้นตอนการติดตั้งขอข้ามไปนะครับ ขออนุญาตสรุปเอาเองว่าทุกท่านติดตั้งเป็นนะครับ หากติดตั้งไม่เป็นสามารถดูแนวทางได้ที่ Download and install Office365 Microsoft Outlook บน MAC ทำไม่ได้นะครับ
    4. มีครบแล้วเริ่มกันเลย

    Ready Go!!

    1. เปิด Microsoft Outlook เมื่อเปิดครั้งแรกจะมีหน้าต่างให้ใส่อีเมลของเรา ก็ใส่ไปได้เลยโดยอาจจะเริ่มจาก Mail ของ Office365 ที่เป็น @email.psu.ac.th ก่อนเนื่องจากจะใช้ขั้นตอนน้อยกว่า เมื่อใส่เมล์แล้วกด Connect ก็จะให้ใส่ Password ของเมล์ @email.psu.ac.th ของเราลงไปอาจมีการให้ยืนยันด้วยรหัสที่ส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์ด้วย ทำให้เรียบร้อย
    email.psu.ac.th
    1. ได้ดังรูป
    Account successfully added
    1. ต่อไปพิมพ์ mail ของ gmail ของมหาวิทยาลัยลงไป gmail ของมหาวิทยาลัยจะมีโดเมนว่า g.psu.ac.th (ยังจำได้มั้ย) ดังรูป แล้วกด Next เพื่อไปต่อ
    Gmail
    1. จะมีหน้าต่างของ Google ขึ้นมา ซึ่งกรอก Username ไว้เรียบร้อยแล้ว ให้กด Next ได้เลย
    Google
    1. เมื่อกด Next จะได้หน้าใส่รหัสผ่านก็ใส่รหัสผ่านของ gmail ของมหาวิทยาลัยลงไปแล้วกด Sign in
    Password
    1. ในขั้นตอนหลังจากนี้ถ้าใครมีเซ็ตเรื่องความปลอดภัย เช่น 2 step authentication ก็ทำตามขั้นตอนไปนะครับ จนกว่าจะได้ดังรูป เลื่อนลงมาล่างสุดกด Allow
    Allow
    1. เป็นอันเสร็จในการเพิ่มเมล์ใน Outlook จะได้หน้าสรุปดังรูป กด Done สังเกตว่า Gmail จะเป็น IMAP และ Office365 จะเป็น Microsoft 365
    Outlook
    1. ก็จะได้หน้าโปรแกรม Outlook มาเมื่อมองไปด้านซ้ายก็จะเห็นเมล์สองอันดังรูป
    Outlook
    1. ทีนี้ให้มองด้านบน ตรงส่วนที่เรียกว่า Ribbon ที่เป็นแถบทูลบาร์ต่าง ๆ ให้คลิกขวาบริเวณนั้น แล้วเลือก Customize the Ribbon…
    Customize the Ribbon…
    1. จะได้หน้าต่าง Outlook Options ดังรูป
    Outlook Options
    1. ในช่อง Choose commands from: ให้เลือกเป็น All commands ดังรูป
    Outlook Options
    1. เลื่อนหา Select All ในช่องฝั่ง All commands ดังรูป
    Outlook Options
    1. มาที่ฝั่ง Main Tabs คลิกขวาที่ Home (Mail) เลือก add New group ดังรูป
    Outlook Options
    1. จะได้ New Group (Custom) ปรากฎขึ้นใน Home (Mail) บรรทัดล่างสุดดังรูป
    Outlook Options
    1. เลือกทั้งสองฝั่งให้เป็นแบบในรูปข้อ 14 คลิก Add>> เมื่อได้ดังรูป คลิก OK
    Outlook Options
    1. สังเกตแถบ ribbon จะมี New Group เพิ่มขึ้นมาในส่วนท้ายสุดดังรูป
    Ribbon
    1. กลับมาดูที่กล่องจดหมาย เมื่อกดขยาย @g.psu.ac.th จะมี Inbox ปรากฎขึ้นดังรูป ซึ่งจะเห็นจำนวนเมล์ที่ไม่ได้อ่าน ที่อยู่ใน Inbox
    Gmail Inbox
    1. ให้กดขยายกล่อง @email.psu.ac.th และคลิกขวาที่ @email.psu.ac.th เลือก New Folder…
    New Folder…
    1. ตั้งชื่อว่า Gmail PSU
    Gmail PSU
    1. กลับไปที่ Inbox ของ @ g.psu.ac.th จะได้ดังรูป
    Inbox
    1. กด Select All ที่ Ribbon จะได้ประมาณดังรูป
    Select All…
    1. ทีนี้ถึงตอนสำคัญ คลิกเมาส์ซ้ายที่จดหมายที่ถูกเลือกไว้แล้วกดปุ่มค้างไว้ เพื่อทำการลากเอาไปปล่อยที่ Gmail PSU ที่สร้างไว้ในข้อ 18 – 19 แล้วปล่อยปุ่มเมาส์ ดังรูป
    Drag on Drop
    1. จะเป็นการย้ายเมล์ทั้งหมดจาก gmail ไป office365 ทันทีรอจนทำงานเสร็จ Inbox ของ Gmail ก็จะว่าง เปล่าดังรูป
    Gmail Inbox
    1. กดปุ่ม F9 บนคีย์บอร์ดเพื่อดูสถานะการย้ายที่แท้จริง ว่าย้ายเสร็จแล้วหรือไม่ ดังรูป
    Gmail Sync
    1. เมื่อไปดูที่กล่อง Gmail PSU ใน Office365
    Gmail PSU
    1. ความจริง แล้วไม่จำเป็นต้องสร้าง Gmail PSU ก็ได้ สามารถลากจาก Inbox ไปสู่ Inbox ได้เลย เหตุที่ต้องสร้างเพราะผู้เขียนใช้เมล์ @email.psu.ac.th เป็นหลักอยู่แล้วเพื่อไม่ให้ปนกันจึงต้องสร้างนะครับ
    2. และอย่าลืมว่า Quota Mail ของ @email.psu.ac.th มีเพียง 50GB เท่านั้นนะครับ ถ้ามีเมล์มากกว่านี้ก็ต้องแบ่งแล้วครับว่าอันไหนสำคัญ ไม่สำคัญ (ไม่เกี่ยวกับ OneDrive น้า OneDrive ยัง 1TB เหมือนเดิมครับ)
    3. จบขอให้สนุกครับ
  • กู้คืนข้อมูลที่ถูกลบด้วย Oracle Flashback Query

    เคยเจอเหตุการณ์ที่ใช้คำสั่งผิดพลาดหรือเผลอลบข้อมูลไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ และได้ทำการ commit ไปเรียบร้อยแล้วไม่สามารถ rollback กลับได้มั้ย 😊

    สำหรับคำถามข้างต้นคิดว่าคงจะมีบ้างแหละที่จะพลาดกันบ้างใช่มั้ยคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เรามีวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดจากความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจของเรา วันนี้จึงขอนำเสนอวิธีการที่จะกู้คืนข้อมูลได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปร้องขอให้ DBA กู้คืนข้อมูลให้ด้วย Flashback Query กันค่ะ

    Flashback Query เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้เราสามารถเรียกดูข้อมูลย้อนหลัง ณ เวลา TIMESTAMP ที่ต้องการ ได้โดยใช้ AS OF clause การใช้งาน Flashback Query ก็ไม่ยาก ตามไปดูตัวอย่างการใช้งานกันค่ะ

    ตัวอย่าง

    Step1 : วันที่ 22 สิงหาคม 2565 เวลา 10:55:25 เรามีตารางข้อมูล TEST_NEW_STUDENT จำนวน 5 รายการ

    Step2 : เวลา 11:01:18 คงเบรอ ๆ นิดหน่อย ทำการลบข้อมูลตาราง TEST_NEW_STUDENT และทำการ COMMIT ไปเรียบร้อย นั่งไปสักพักเอะเมื่อกี้เราทำอะไรไป พลาดไปแล้ว ข้อมูลหายหมดแล้ว ทำไงดี

    Step3 : ใช่ Oracle มีฟีเจอร์ Flashback Query งั้นขอเรียกดูข้อมูลย้อนหลัง ณ เวลา 10:55:25 เพราะจำได้ว่าตอนนั้นข้อมูลยังมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนที่จะพลาดลบไป 😂

    🎈TO_TIMESTAMP (‘2022-08-02 10:55:25 ‘, ‘YYYY-MM-DD HH24:MI:SS’) คือการทำการแปลงให้เป็น TIMESTAMP

    Step4 : นี่ไงข้อมูลที่เราลบไป รออะไรหละ ดำเนินการกู้คืนข้อมูลกันเลยค่ะ

    ไชโย😍 ข้อมูลกลับมาเรียบร้อยแล้ว Flashback Query ช่วยชีวิตเราได้จริง ๆ👍👍👍 หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ

    หมายเหตุ : ถ้าเราใช้วิธีการ Truncate จะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลกลับได้ด้วย Flashback Query น้า

  • วิธีใช้งานเว็บไซต์เก่าๆ ที่รองรับแค่ IE ด้วยโหมด Internet Explorer Compatibility บน Microsoft Edge

    หลักจากที่ทาง Microsoft ได้ประกาศหยุดบริการ Internet Explorer (IE) อย่างถาวร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ก็ทำให้กระทบกับการใช้งานบางเว็บไซต์ (เก่าๆ) หลายเว็บไซต์ ที่ออกแบบหรือพัฒนาให้ใช้งานได้ดีบน IE แต่ต้องหันไปใช้งานบราวเซอร์อื่น เช่น กดเมนูไม่ได้บ้าง กดปุ่มแล้วไม่ทำงานบ้าง เป็นต้น

    ซึ่งเราจะหันไปใช้บราวเซอร์อื่นแทนก็ไม่สามารถใช้งานเว็บไซต์ที่เก่าๆ นั้นได้อย่างราบรื่นหรือสมบูรณ์อยู่ดี พอจะใช้ Microsoft edge ก็พบปัญหาแบบเดียวกัน ก็….เว็บไซต์มันเก่าแล้วอ่ะเธอออออ

    แต่ Microsoft ก็ไม่ทอดทิ้งอะไรที่ว่าเก่าๆ แบบไม่ใยดีผู้ใช้ขนาดนั้นนะคะ เพราะจริงๆ เรายังสามารถเปิดใช้งานเว็บไซต์ที่ว่าเก่าๆ นั้น (ย้ำจังเลย) ใน IE Compatibility View เพื่อให้ใช้งานในมุมมองดังกล่าวได้ผ่าน Microsoft Edge แต่ฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้อีก 7 ปี (ถึงปี 2029) เท่านั้นนะคะ

    ซึ่งวันนี้ผู้เขียนได้รวบรวมขั้นตอนเพื่อให้สามารถใช้งานเว็บไซต์ในโหมด IE Compatibility View บน Microsoft Edge มาแนะนำกันค่า

    ก่อนอื่นเลย ตั้งค่าเพื่อเปิดใช้งานคุณสมบัตินี้ให้กับ Microsoft Edge กันก่อน
    1. เปิด Microsoft Edge ขึ้นมาแล้ว กดคีย์ลัด Alt + F แล้วเลือก เมนู Settings ดังรูป
    (หรือไป ที่ edge://settings/defaultbrowser)

    2. ในหน้าจอ Settings ที่แถบด้ายนซ้ายให้เลือกเมนู “Default browser” จะแสดงส่วนของการตั้งค่า Internet Explorer Compatibility ให้กดเลือก Allow ในหัวข้อ “Allow sites to be reloaded in Internet Explorer mode (IE mode)” เพื่ออนุญาตให้สามารถโหลดเว็บไซต์ในโหมด Internet Explorer Compatibility ตอนใช้งานได้
    หลังจากที่ได้ตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว ****อย่าลืมปิดและเปิดบราวเซอร์ขึ้นมาใหม่นะคะ


    มาดูวิธีการโหลดใช้งานเว็บไซต์ในโหมด Internet Explorer Compatibility กันค่า
    เมื่อเปิดเว็บไซต์ขึ้นมา ให้กดคีย์ลัด Alt + F แล้วเลือก “Reload in Internet Explorer mode” โลดดด

    ถ้าไม่เจอ Reload …. อนุญาตให้ตกใจนิดหน่อย แต่ ไม่เห็นไม่เจอใช่ว่าจะม่ายยยยมีน่ะ เพราะถ้าหากใช้ Microsoft Edge เวอร์ชั่น 92 หรือเก่ากว่านี้ ก็ให้เลือก More tools   ก็จะพบกับ Reload in Internet Explorer Mode คร่าาา

    เท่านี้ก็ใช้งานเว็บไซต์ในโหมด Internet Explorer Compatibility ได้แล้วละค่า (หากต้องการปิดการใช้งานในโหมดนี้ ก็กดคีย์ลัด Alt + F แล้วเลือก Exit in Internet Explorer mode ) โดย

    • จะพบ Icon โลโก้ IE ที่ website address ดังรูป แสดงว่าเรากำลังใช้งานเว็บไซต์นี้ในโหมด Internet Explorer Compatibility อยู่
    • จะมี  dialog box ขึ้นมาให้จัดการ

    เป็นยังไงกันบ้างค่า เว็บไซต์เก่าๆ ที่รองรับการใช้งานด้วย IE นั้น เราก็ไม่ต้องกังวลกันจะใช้งานกันไม่ได้ เพียงแค่ทำตามวิธีข้างต้นค่ะ 🙂

    บางอย่างเก่าแต่ยังเก๋าอยู่น่ะ
    (ลาก่อนและขอบคุณน่ะ Internet Explorer)

    ขอขอบคุณ : https://www.addictivetips.com/windows-tips/compatibility-view-settings-edge/
    https://droidsans.com/how-to-use-ie-mode-on-microsoft-edge/
    Internet Explorer mode in Microsoft Edge