ปัญหา: การแชร์พื้นที่จาก Google Drive กับ Google Share Drive นั้น เมื่อผู้ใช้ที่เราแชร์ไปให้ ทำการ Upload ไฟล์ขึ้นมา จะกินพืันที่ของใคร ?
มาทดลองกัน
Google Drive
User A สร้าง Folder ชื่อ “Test Upload” บน “Google Drive” แล้วแชร์ให้ User B สามารถแก้ไขได้ (edit)
User B เปิด Google Drive ของตนเอง แล้วเข้าไปใน Shared With Me ก็จะเห็น “Test Upload”
User B ทำการ Upload File จากนั้น ไปดูใน Detail จะพบว่า ไฟล์มีขนาด 945 KB และ ใช้พื้นที่ของตัวเองไป 945 KB ด้วย
กลับมาดูใน Google Drive ของ User A ซึ่งเป็นเจ้าของ (Owner) โฟลเดอร์ “Test Upload” พบว่า ไม่ได้ใช้ Quota พื้นที่จัดเก็บของ User A เลย เพราะ เจ้าของไฟล์ (File) คือ User B
และ แม้ User A จะเป็นเจ้าของ Folder ก็ทำได้เพียงแต่ เตะ User B ไม่ให้เห็น Folder แต่ ไม่สามารถ ถอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ของ User B ได้ (เศร้า)
Google Share Drive
ก่อนหน้านี้เรียกว่า Team Drive แต่เปลี่ยนชื่อเป็น Share Drive ซึ่ง เป็น Feature ของ G Suite for Education (และ G Suite ตามที่ Google กำหนด) มีสิทธิ์ สร้าง Share Drive
ผู้ใช้ขององค์กร (ในที่นี้คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) สามารถสร้าง Google Share Drive แล้ว Add Member เป็นผู้ใช้ที่ใช้ Google Account อื่น (รวมถึง Gmail ด้วย) เข้ามาใช้งานร่วมกันได้ โดย ความเป็นเจ้าของ Share Drive คือ องค์กร กล่าวคือ แม้ User A จะเป็นคนสร้าง
ต่อไป User A ทำการสร้าง Share Drive ตั้งชื่อว่า “Test Share Drive”
แล้วเพิ่ม User B มาเป็น Member ให้สิทธิ์เป็น Contributor (สิทธิ์ใน Share Drive จะมีหลายระดับกว่า Google Drive)
User B จะเห็น Share Drive จาก เมนู “Shared drives” (แต่ถ้า share จาก Google Drive จะเห็นใน “Shared with me”)
เมื่อ User B ทำการ Upload ไฟล์เข้าไป จะพบว่า ไม่ใช้ Quota พื้นที่ User B เลย!!
หลังจากปันใจไปให้ Microsoft Outlook และใช้ Microsoft Outlook มาตลอดเกือบ 5 ปี มีเหตุให้การใช้ Google Calendar มีความสะดวกมากกว่า Office365 Calendar (จริงๆ ปฎิทินของ Office365 อาจจะทำได้ก็ได้แต่ไม่มีคนสอนกรั่กๆ) และเมื่อจะใช้ Google Calendar (โดยไม่ใช้เว็บ) ก็ต้องใช้คู่กับ Thunderbird สินะ!!!
เรื่องที่สองในบทความนี้ หากเราต้องการให้ทุกครั้งที่ Windows เปิดขึ้นมาแล้วสั่งให้ service sshd ทำงานทันที เพื่อให้เราใช้คำสั่ง ssh เข้ามายัง Ubuntu ใน Windows ได้
ตัวอย่าง จะติดตั้ง fog server ให้ใช้ IP 10.0.100.254 และ ตอบ N ทุกคำถาม Would you like … ตรงนี้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ DHCP server ว่า จะติดตั้งลงใน fog server มั้ย
ตรวจสอบ พร้อมแล้ว ก็กด Y และ Enter
สำหรับ Ubuntu 18.04 นั้น ถ้าเราติดตั้ง MySQL ไม่จำเป็นต้องตั้ง password เราก็ใช้คำสั่ง mysql เพื่อเข้าไปทำงานได้ ก็ต่อเมื่อ เราเป็น user ที่เป็น sudo จึงไม่ต้องตั้ง password แต่จะตั้งก็ได้ ไม่ผิด
# Don't function as a DNS server:
port=0
# Log lots of extra information about DHCP transactions.
log-dhcp
# Set the root directory for files available via FTP.
tftp-root=/tftpboot
# The boot filename, Server name, Server Ip Address
dhcp-boot=undionly.kpxe,,10.0.100.254
# Disable re-use of the DHCP servername and filename fields as extra
# option space. That's to avoid confusing some old or broken DHCP clients.
dhcp-no-override
# inspect the vendor class string and match the text to set the tag
dhcp-vendorclass=BIOS,PXEClient:Arch:00000
dhcp-vendorclass=UEFI32,PXEClient:Arch:00006
dhcp-vendorclass=UEFI,PXEClient:Arch:00007
dhcp-vendorclass=UEFI64,PXEClient:Arch:00009
# Set the boot file name based on the matching tag from the vendor class (above)
dhcp-boot=net:UEFI32,i386-efi/ipxe.efi,,10.0.100.254
dhcp-boot=net:UEFI,ipxe.efi,,10.0.100.254
dhcp-boot=net:UEFI64,ipxe.efi,,10.0.100.254
# PXE menu. The first part is the text displayed to the user. The second is the timeout, in seconds.
pxe-prompt="Booting FOG Client", 1
# The known types are x86PC, PC98, IA64_EFI, Alpha, Arc_x86,
# Intel_Lean_Client, IA32_EFI, BC_EFI, Xscale_EFI and X86-64_EFI
# This option is first and will be the default if there is no input from the user.
pxe-service=X86PC, "Boot to FOG", undionly.kpxe
pxe-service=X86-64_EFI, "Boot to FOG UEFI", ipxe.efi
pxe-service=BC_EFI, "Boot to FOG UEFI PXE-BC", ipxe.efi
dhcp-range=10.0.100.254,proxy
ให้แทนที่ 10.0.100.254 ด้วย fog server IP ของคุณ แล้ว save ออกมาจากการแก้ไขไฟล์ แล้ว ตรวจสอบด้วยการรัน service ดูว่า ทำงานได้ ไม่ error
ตัวอย่าง จะติดตั้ง fog server ให้ใช้ IP 10.0.100.208 และ ตรงนี้ จะเกี่ยวข้องกับ DHCP server ว่า จะติดตั้งลงใน fog server มั้ย ในตัวอย่าง คือ router address ที่ใช้คือ 10.0.100.1 และเป็น DNS server ด้วย
ตรงนี้ สำหรับ FOG รุ่น 1.5.6 ขึ้นไป จะมีเพิ่มมาให้ตั้งชื่อ hostname ถ้าไม่ต้องการตั้งก็กด Enter
ตรวจสอบ พร้อมแล้ว ก็กด Y และ Enter
สำหรับ Ubuntu 18.04 นั้น ถ้าเราติดตั้ง MySQL ไม่จำเป็นต้องตั้ง password เราก็ใช้คำสั่ง mysql เพื่อเข้าไปทำงานได้ ก็ต่อเมื่อ เราเป็น user ที่เป็น sudo จึงไม่ต้องตั้ง password แต่จะตั้งก็ได้ ไม่ผิด
ในหน้าจอการติดตั้งจะมีคำถามให้ตอบ Y หรือ N ไปเรื่อย ๆ ซึ่ง เราจะต้องเลือกว่าจะใช้งาน fogproject แบบใด ระหว่าง 2 แบบนี้
แบบที่ 1 ติดตั้ง FOG Project แบบมี DHCP Server ด้วย เหมาะสำหรับห้องคอมพิวเตอร์ที่ผู้ดูแลจัดการ network และ IP ของ Windows ได้เอง หรือ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะตั้ง DHCP SERVER เพื่อให้บริการ IP แก่ Windows ด้วยตนเอง
แบบที่ 2 ติดตั้ง FOG Project แบบใช้ Proxy DHCP เหมาะสำหรับห้องคอมพิวเตอร์ที่ผู้ดูแลไม่ได้จัดการ network และ Windows จะได้รับ IP จาก DHCP Server ของ network หรือ ไม่สามารถตั้ง DHCP Server ขึ้นมาใช้งานเองได้
วิธีลบ FOG อย่างสมบูรณ์ หากต้องการย้อนการทำงาน กลับไปเริ่มต้นขั้นตอนติดตั้งใหม่ ให้ทำคำสั่งนี้