Month: September 2019

  • 6 Tips (ดี ๆ) เกี่ยวกับ MS Word 2016

    บทความนี้มาว่ากันด้วยเรื่องของ Microsoft Word (2016) โปรแกรมพื้นฐานเกี่ยวกับการพิมพ์เอกสาร รายงาน จดหมาย บลา ๆ ที่ใคร ๆ ก็ (ต้อง) ใช้เป็น … กันนะคะ วันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอ 6 Tips ดี ๆ เกี่ยวกับ MS Word ซึ่ง (น่าจะ) ช่วยให้การใช้งาน word ของเรานั้น สะดวก และดูโปร (ไม่ใช่ ยี่ห้อนมผง นะคะ 555 +) ยิ่งขึ้น ซึ่งเราอาจยังไม่ทราบหรือได้ลองใช้มาก่อน

    เอ้ หรือว่าจริง ๆ แล้ว สาระในบทความนี้ เค้าก็รู้กันทั่วทั้งบางแล้วคะเนี่ย?! มีแต่ผู้เขียนหรือป่าว แฮร่ ๆ ^^’ เอาเป็นว่า ถือซะว่าได้ทบทวนก็แล้วกันนะคะ

    Come on, come on, turn the radio on . It’s Friday night … La, la, la, la, la, la (Sia – Cheap Thrills) อ่ะ ไม่ใช่ละคะ !!
    หยุดโยกกันก่อน เพราะวันนี้วัน (ศุกร์) ก็จริง แต่ยังไม่ถึงเวลาท่องราตรี ที่เรา จะไปกับแสงสี กับปีกทีสวยๆ ให้เหมือนผีเสื้อราตรี นะคะ (ไปเรื่อยยย) ฮาาา

    Come on, มาค่ะ Tip รออยู่ เริ่มที่หัวข้อแรกกันเลยนะคะ ^^

    Open the last document เปิดเอกสาร word ก่อนหน้าที่เพิ่งใช้งาน แบบเท่ ๆ (รึป่าว?)

    เพียงเราใช้คำสั่ง winword.exe /mfile1 ค้นหาใน search box ของ windows หรือใช้คำสั่งเดียวกันภายใต้ Run Command box ก็สามารถเปิดเอกสาร word ที่ใช้งานล่าสุดขึ้นมาได้ทันที

    Use Word’s built-in calculatorใช้เครื่องคิดเลขที่มากับ word

    ไปที่ File เลือก Options กล่อง Word Options จะแสดงขึ้นมา ให้ไปที่ Quick Access Toolbar ในตัวเลือก Choose commands ให้เลือก Commands Not in the Ribbon แล้วเลื่อนหา Calculate และคลิกเลือก แล้วคลิกปุ่ม add ต่อด้วยปุ่ม OK เท่านี้ก็จะมี calculator icon แสดงขึ้นมาให้ใช้งาน ที่ Top Toolbar ของ word

    เมื่อพิมพ์สมการทางคณิตศาสตร์ที่ต้องการใน word ลากคลุมสมการดังกล่าว แล้วคลิก calculator icon  word จะคำนวณสมการดังกล่าว และแสดงผลลัพธ์ที่ได้การการคำนวณขึ้นมาให้ทันทีที่ Status Bar (ด้นล่างสุด) ของ word ค่ะ

    Search the web with Smart Lookupsค้นหาข้อมูลแบบรวดเร็วด้วย Smart Lookups

    เลือกคลุมคำ/วลีใดก็ได้ที่ต้องการและคลิกขวาบนนั้น แล้วเลือก Smart Lookup นะคะ word ก็จะทำการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคำ/วลีนั้นๆ แบบรวดเร็วจากเว็บด้วย Bing (Search Engine จาก Microsoft) โดยไม่ต้องออกจากหน้าเอกสารที่กำลังทำงาน

    แต่เท่าที่ผู้เขียนลองใช้ดู ก็ยังไม่ได้ Perfectly ในทุกครั้งน่ะ

    Select Non-Adjacent Textเลือกข้อความที่ไม่ได้อยู่ติดกันในเอกสาร

    หากเราต้องการ Copy ข้อความ หรือต้องการจัดรูปแบบพิเศษของข้อความ เช่น หัวข้อ (Header) ต่าง ๆ พร้อมกันทีเดียวในเอกสาร ซึ่งข้อความไม่ได้อยู่ติดกันนั้น

    ก็ใช้วิธีการ กดปุ่ม Ctrl บน Keyboard ค้างไว้ แล้วลากคลุมข้อความที่เราต้องการในเอกสารได้เลยค่า

    Change the default fontเปลี่ยนแบบอักษรเริ่มต้นให้เอกสาร

    ไปที่ Home (หน้าแรก) คลิกลูกศรขนาดเล็กมุมล่างซ้ายของส่วน Font (แบบอังกษร) บน Ribbon กล่อง Font จะแสดงขึ้นมา ให้เลือก Font ที่ต้องการ แล้วคลิกปุ่ม “Set As Default” (ตั้งเป็นค่าเริ่มต้น)

    word จอแสดงกล่องขึ้นมาสอบถามว่าจะให้ Font ดังกล่าวนั้นให้เป็น Default Font ของเอกสารนี้ (ที่กำลังทำงาน) เท่านั้น หรือกับทุกเอกสารทั้งหมดที่มีพื้นฐานบนแม่แบบ Normal (Blank Document) ตัดสินใจได้แล้ว เราก็คลิกเลือก แล้วกดปุ่ม OK

    อย่างเราต้องใช้ TH SarabunPSK  ในการพิมพ์เอกสาร (ราชการ) เป็นหลักอยู่แล้วนั้น ก็ตั้งค่าแบบอักษรดังกล่าวให้เป็น Default Font กับทุกเอกสารไปเลย (เลือก All document based on the Normal template) ก็สะดวกนะคะ

    ปิดท้ายกันไปด้วย Tip สุดท้าย ( แต่ไม่ท้ายสุด) เพราะผู้เขียนเป็นห่วงสายตาของทุกท่าน และดวงตาก็เป็นหน้าต่างของดวงใจเสียด้วย อิอิ

    (ปิ๊ง ปิ๊ง)

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ emoticon png

    Save yourself some eye strainทะนุถนอมสายตาของคุณบ้างน่ะ

    หากอ่านเอกสารพื้นสีขาวบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ อาจมีอาการเมื่อยล้าทางสายตาได้ มาตั้งค่าโหมดการอ่านเอกสาร (ไปที่ View บน Ribbon คลิกเลือก Reader Mode หรือคลิกไอคอนที่มุมล่างซ้ายของ word) ให้เป็นสีซีเปียเพื่อความสบายตา ช่วยลดอาการเมื่อยล้าทางสายตา (eye strain) ในขณะที่เราเปิดอ่านเอกสารดีกว่า

    โดยในหน้า  Reader Mode ให้เลือกเมนู View และ Page Color แล้วเลือก Sepia เมื่อเปิดเอกสารในโหมดอ่านเอกสาร เอกสารจะเปลี่ยนสีพื้นหลังเป็นสีซีเปียค่ะ

    ท้ายสุด สาระก็ได้จบกันไปเรียบร้อย ผู้เขียนหวังว่า ไม่หัวข้อใดหัวข้อหนึ่งในบทความนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านทุกท่านนะคะ
    อ่ะ โยกได้ !! และในส่วนคืนนี้นั้นนน ใครจะไป Dance on the Floor ต่อกันที่ไหน ก็ดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ 555+ #TGIF ไม่ดื่ม-ไม่สูบ ดูแลตัวเอง เต้นได้แต่อย่านาน เอวจะเคล็ด… นะคะ
    ส่วนใครที่สงสัยว่าทำไมต้อง 6 นั่น ก็เพราะว่าเป็นเดือนเกิดของผู้เขียนนั่นเองงงงค่ะ ฮรี่ (#ยังงี้ก็ได้ดั้วะะะะะะหราาานี่ #555)

  • จับภาพ แชร์ภาพ ด้วย shareX Ep1

    Blog ที่4 นี้ขอนำเสนอโปรแกรมจับภาพหน้าจอฟรี ย้ำนะว่าฟรี !! มีชื่อว่า shareX ซึ่งสามารถจับภาพหน้าจอเพื่อนำไปใช้งานต่อในหลากหลายรูปแบบ เช่น ทำคู่มือ ทำวีดีโอ เอาไปลงในเว็บไซต์ หรื่ออื่นๆ ถือเป็นโปรแกรมฟรีแบบ Open Source ที่จัดเต็มในเรื่องของเครื่องมือต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้แบบครบครันนนนนน

    จริงๆแล้วโปรแกรมฟรีที่สามารถจับภาพหน้าจอ record วีดีโอนี่ก็มีมากมายเลยแหละ อยู่ที่ใครชอบแบบไหน เอาเป็นว่าวันนี้ลองมาทำความรู้จักกับอีก 1 ตัว ที่มีชื่อว่า shareX กันหน่อยละกันนะ “จะได้รู้ว่าดีกว่าที่ใช้อยู่เนี่ย มันก็มีนะ !!” (อันนี้ผู้เขียนบอกตัวเองนะ 55+)

    shareX สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://getsharex.com/ หรือจะหาผ่าน window store ก็ได้เหมือนกัน เมื่อดาวน์โหลดเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการติดตั้งบนเครื่องของเราได้เลย

    สำหรับ shareX ก็จะมี feature หลักๆ คือ

    • รองรับการจัดภาพหน้าจอแบบเต็มจอ เฉพาะหน้าต่าง หรือเฉพาะส่วน
    • สามารถตั้งให้เปิดแก้ไขภาพในโปรแกรมอื่นๆ ก่อนที่จะอัพโหลดได้
    • save file อัตโนมัติเอาไว้ในเครื่อง
    • upload ภาพขึ้นไปยัง services ต่างๆ
    • สามารถ copy code ต่างๆได้จากในตัวโปรแกรม เช่น html สำหรับแทรกภาพ หรือ BBCode สำหรับแปะในเว็บบอร์ด
    • รองรับการย่อ URL ในตัว
    • รองรับการ upload ข้อความขึ้นเว็บ
    • รองรับการ upload file ขึ้นอินเตอร์เน็ต
    • แชร์สิ่งที่อัพโหลดไปยังแหล่งอื่นๆ ได้
    • ตั้งค่า hotkey สำหรับจับภาพได้

    เหล่านี้ถือเป็น feature คร่าวๆ ของเจ้า shareX นะ จริงๆ แล้ว services ต่างๆที่ตัวโปรแกรมเชื่อมต่อได้นั้นมีเยอะมากๆ เดี๋ยวเราจะลองไปดูกัน

    เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็จะเจอกับหน้าตาเจ้าตัว shareX ประมาณนี้ …..

    จะเห็นได้ว่าข้อความที่ขึ้นบอกไว้นั้นคือ ปุ่มใช้งานมาตรฐานที่โปรแกรมกำหนดมาให้ หากเราต้องการปุ่มอื่นๆ ถามว่าเปลี่ยนได้มั้ย ตอบเลยว่า …. ได้ !! แต่เดี๋ยวจะอธิบายไว้ในส่วนของ Hotkey settings ด้านล่างนะ

    ——————————————————————————————————————————————–

    Capture

    มากันที่ Feature หลักอันแรกคือ “Capture” หรือการจับภาพหน้าจอนั่นเอง shareX จะรองรับการจับภาพในหลายรูปแบบ ย้ำว่าหลากหลาย จริงๆ

    Fullscreen          จับภาพหน้าจอแบบ Fullscreen
    window               จับภาพหน้าจอแบบ Window ซึ่งสามารถเลือกได้จากหน้าจอทั้งหมดที่เราเปิดไว้ในเครื่องได้เลย
    monitor               หากมีมากกว่า 1 จอ ก็จะสามารถเลือกได้ว่าจะจับหน้าจอใด
    Region                 จับภาพหน้าจอแบบเลือกเฉพาะส่วน
    Last region        จับภาพในส่วนล่าสุดที่เราเพิ่งจับภาพไป
    Screen recording      บันทึกภาพหน้าจอ
    Screen recording (GIF)           บันทึกภาพหน้าจอแบบ GIF
    Scrolling capture        จับภาพหน้าจอที่มีความยาวมากเกินกว่าที่จะสามารถแสดงบนหน้าจอได้ทีเดียวหมด (ต้อง Scroll mouse ขึ้นลงนั่นเอง)
    Text capture (OCR)    จับภาพโดยเลือกเฉพาะตัวอักษรในภาพนั้น
    Auto capture           สามารถตั้งเวลาได้ ว่าจะให้จับภาพหน้าจอ ทุกๆ กี่วินาที
    Show Cursor          สามารถเลือกได้ว่าภาพหน้าจอที่เรา capture ไปเนี่ย จะให้แสดง cursor หรือไม่
    Screenshot delay: 0s สามารถเลือกความ delay ของการ capture หน้าจอได้

    Upload Feature

    Workflows

    แสดง Hotkey นั่นแหละ โดยส่วนหลักตัวโปรแกรมก็จะกำหนดมาให้อยู่แล้ว แต่เราสามารถปรับเปลี่ยน Hotkey ได้เอง และยังสามารถเพิ่ม workflows ได้อีกด้วยตัวอย่างจะอธิบายในส่วนของ Hotkey settings นะ

    • Capture region คือการจับภาพโดยเลือกพื้นที่ ๆ เราต้องการ
    • Capture entire screen คือการจับภาพแบบเต็มหน้าจอ
    • Capture active window คือการจับภาพจากหน้าต่างที่เราเลือก หรือกำลังทำงาน
    • Start/Stop screen recording using custom region คือการบันทึกหน้าจอโดยบันทึกจากพื้นที่ที่เราได้เลือกหรือกำหนดเอาไว้
    • Start/Stop screen recording (GIF) using custom region  คือการบันทึกหน้าจอโดยบันทึกจากพื้นที่ที่เราได้เลือกหรือกำหนดเอาไว้โดยผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปแบบไฟล์ GIF นั่นเอง

    Tools

    เครื่องมือเพิ่มเติม หรือส่วนเสริมของตัวโปรแกรมที่ทำให้เจ้า shareX เนี่ย ล้ำกว่าโปรแกรมอื่นไปอีก Step ขอยกตัวอย่างเป็นบางเครื่องมือละกัน เนื่องจากผู้เขียนก็ยังใช้ไม่ครบทุกเมนูเล้ยยยยย ตัวอย่างเช่น

    • Color picker           สามารถเลือกสีได้ ว่าต้องการสีอะไร
    • Screen color picker… เลือกสีบนหน้าจอเราได้เลยว่าต้องการสีอะไร โดยโปรแกรมจะ copy code สีเราให้ทันที เราสามารถนำไป code สีดังกล่าวไปใช้ต่อได้
    • Image editor           หน้าจอสำหรับปรับแต่งแก้ไขรูปภาพของเรา เช่น บันทึก upload print, select and move, สามารถใส่ข้อความลงในภาพได้ ทั้งแบบตัวอักษร หรือ free hand ใส่ step ในรูปภาพได้, Hilight, zoom, ใส่ emotion ได้, crop รูปภาพ แทรกรูปภาพ เป็นต้น
    • Image effects…       สำหรับใส่ effects ให้กับภาพได้ เช่น เพิ่ม filter ภาพ, ปรับ Adjustment, เพิ่ม text watermark หรือ image watermark เป็นต้น
    • Ruler…                เลือกเพื่อวัดขนาดของส่วนหน้าจอที่เราเลือกได้ ดังรูป
    • Image combiner…           อันนี้ก็เจ๋งดี เราสามารถเลือกภาพหน้าจอที่เราได้ capture ไว้เนี่ย นำมาผสมกันได้ ให้อยู่ในรูปเดียวกัน และยังเลือกแสดงผลได้อีกว่าจะให้แสดงในแนวนอน หรือแนวตั้ง เป็นต้น

    After capture tasks

    สามารถตั้งค่าได้ว่าหลังจากที่จับภาพเสร็จแล้วให้โปรแกรมทำอะไรต่อไป ตัวอย่างตามภาพด้านล่างเลย เช่น บันทึกเป็นไฟล์ภาพทันที, ใส่เอฟเฟกต์, ใส่ลายน้ำ, บันทึกเป็นภาพขนาดย่อ, คัดลอกในคลิปบอร์ด อัพโหลดไปยังเว็บ หรือ print เป็นต้น อยากเลือกอันไหนบ้างก็คลิกบนรายการ หรือบน icon ได้เลย

    After upload tasks

    สามารถตั้งค่าได้ว่าหลังจากที่อัพโหลดภาพแล้วให้โปรแกรมทำอะไรต่อไป เช่น แสดง shorten URL, Show QR code หรือ Copy URL to Clipboard เป็นต้น

    Destinations

    คือส่วนที่เราสามารถเข้ามาเลือกได้ว่าปลายทางที่เราจะเก็บไฟล์ภาพ ไฟล์ตัวอักษร หรือแปลง URL shortener เนี่ย เราจะเลือกอะไร คือเอาจริงๆ มันเยอะมากกกกกก หลักๆ ถ้าเป็นรูปผู้เขียนก็จะเลือก upload ไว้ที่ google photo หากเป็น file ก็จะไว้ที่ google drive เป็นต้น เอาเป็นว่าการตั้งค่าเนี่ยจะมาเล่าในตอนต่อๆ ไปละกันนะ มันเยอะจริงๆ

    Task settings…..

    การตั้งค่าในการบันทึกหน้าจอ เมื่อคลิก “Task settings” ก็จะปรากฏหน้าต่างขึ้นมา จริงๆ การตั้งค่าหลักๆ โปรแกรมก็จะตั้งมาให้เรียบร้อยอยู่แล้ว

    Application settings

    เป็นส่วนสำหรับตั้งค่าต่างๆ ของตัวโปรแกรม shareX หลักๆ ก็จะมีภาษา ตั้งค่า path ที่เก็บไฟล์ การแสดงผลของ History หรือต้องการให้โปรแกรมแสดงหรือไม่แสดงในส่วนไหน เป็นต้น แล้วแต่ผู้ใช้แต่ละคนนะ ก็ลองเข้ามาตั้งค่ากันดูได้

    Hotkey settings

    1. เลือกเมนู “Hotkey setting
    2. เลือกรายการที่ต้องการเปลี่ยน
    3. คลิกบน hotkey เดิม จากนั้นก็จะปรากฏหน้าจอด้านล่างเพื่อให้เราสามารถ select hotkey…. ใหม่ตามที่เราต้องการได้เลย

    แต่หากไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ Hotkey ที่ให้มาก็จำง่ายอยู่แล้วก็ข้ามเมนูนี้ไปได้เล้ย

    Screenshots folder…..

    เมนูนี้ใช้สำหรับเปิด Folder ที่เก็บภาพหน้าจอที่เราได้ Capture เอาไว้นั่นเอง หากต้องการเปลี่ยน path ที่เก็บสามารถเปลี่ยนได้โดยเลือกไปที่เมนู “Application settings” นะ

    History

    ใช้สำหรับเรียกดูประวัติการใช้งานย้อนหลังทั้งหมดของเรา โดยจะแยกให้เห็นเลยว่า total รวมเป็นเท่าไหร่ และเป็นประเภท image , text , URL อย่างละกี่ไฟล์ เป็นต้น

    Image history…..

    ใช้สำหรับเรียกดูประวัติการจับภาพหน้าจอย้อนหลังของเราทั้งหมด

    News

    ข่าวประกาศจากทาง shareX

    Debug

    ส่วนสำหรับข้อมูลการพัฒนา และมีในส่วนของการทดสอบเครื่องมือต่างๆ ไว้ด้วยเช่น test text upload, test images upload เป็นต้น

    Donate

    ถ้าใครคิดว่าใช้งานโปรแกรมนี้จนประทับใจแล้วก็สามารถไปบริจาคเพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานของ ShareX กันได้

    About

    แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรม shareX

    ——————————————————————————————————————————————–

    สำหรับ Blog นี้ผู้เขียนขอแนะนำโปรแกรม shareX  โดยอธิบายคุณสมบัติหลักๆ แต่ละตัว แบบไม่ได้ลงลึกเอาไว้ก่อน Blog หน้า จะกลับมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมทั้งในส่วนของการ connect ไปยังปลายทางที่เราเลือกสำหรับ upload ภาพ หรือการ Generate ออกมาเป็น QR Code หรืออื่นๆ เท่าที่ผู้เขียนจะอธิบายได้ละนะ 555 อย่าลืมไปลองใช้กันดูละ จิ๋วแต่แจ๋ว นะจะบอกให้

    อ้างอิง : bit.ly/refblog4

  • bit.ly สั้น ๆ สวย ๆ ง่ายนิดเดียว

    ต่อจาก bitly สายย่อ ซึ่งสะดวกมากแล้ว มีอีกขั้นตอนนึง ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบมาก่อน

    ถ้าใช้ bitly สร้าง Short URL นั้นเราจะได้ URL แบบสุ่ม อย่างนี้

    http://bit.ly/2N3Tut7

    ซึ่ง จะเป็น Case Sensitive ซึ่งต้องพิมพ์ตัวพิมพ์ใหญ่/เล็ก ให้ถูกต้อง และบางทีอาจจะสับสนระหว่าง l (L – lower case) กับ เลข 1 หรือ I (I capital letter) ได้

    ถ้าอยากกำหนด สิ่งที่ตามมาข้างหลัง bit.ly/ ได้ เช่น

    http://bit.ly/psu-gafe

    สามารถทำต่อจากขั้นตอน bitly สายย่อ ใน Step 7 อีกนิดเดียวคือ

    ตรง Customize ด้านล่าง

    ใส่คำได้ตามใจชอบ แต่ต้องประกอบด้วย

    • ตัวอักษรภาษาอังกฤษ
    • ตัวเลขอาราบิก
    • เครื่องหมาย – และ _

    เท่านั้น

    จากนั้น คลิก Save ด้านล่าง ถ้าไม่ซ้ำกับใครที่เคยสร้างไว้ ก็สามารถใช้งานได้ครับ

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

  • Bitly สายย่อ

    ย่อ ย่อ ย่อ (เอ๊ะ เค้ามีกันแต่ โย่ว โย่ว โย่ว รึเปล่าหว่า) ย่อในความหมายของผู้เขียนรอบนี้นี่คือ ย่อลิงค์ที่มันย๊าว ยาววววววว ให้สั้นลง เพื่อที่เวลาจะส่งใน chat หรือแปะในหน้าเว็บ หรือเอาไปใช้งานต่อ มันจะได้ดูง่ายๆ ไง๊

    ตัวช่วยที่ว่านี้ก็คือ Bitly extension บน google chrome นั่นเอง แน่ะ … อยากรู้กันแล้วใช่มั้ย ปะ ไปกันเลย

    ปกติแล้วมันก็จะมีวิธีที่เราแปลงลิงค์ให้สั้นกันอยู่แล้วไง ใช่มั้ย ทุกคนน่าจะคิดกันแบบนี้น่ะ แต่ที่ว่าปกติที่เราทำกันเนี่ย มันหลายขั้นตอนไงละ ต้อง copy ลิงค์ เปิดหน้าเว็บช่วยแปลง วางลิงค์ กดแปลงลิงค์ให้สั้น กว่าจะได้ เห็นมั้ย หลายขั้นตอน !! มาใช้วิธีติดตั้ง Bitly extension กันเถอะ เหลือแค่ 2 คลิก เท่านั้นเอง !!! โอยยยย ชีวิตดีขึ้นมาทันทีเลย

    ขั้นตอนแรกนะ ติดตั้งกันก่อนเลย

    Step 1 เข้าไปดาวน์โหลด Bitly ผ่าน chrome webstore กันได้เลย เมื่อเจอแล้วให้คลิก “Add to Chrome” เลยน๊าาาา

    Step 2 เมื่อเราติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้สังเกตุมุมบนด้านขวาของหน้าจอนะ เห็นมั้ย สัญลักษณ์สีแดงเล็กๆ นั่นน่ะแหละ คลิกลงไป 1 ครั้ง

    Step 3 หลังจากคลิกปุ๊บ ก็จะปรากฏหน้าจอขึ้นมาตามรูป ก็ให้เราเลือก Sign in ได้เลย ว่าจะเข้าใช้งานด้วย Account ใด

    Step 4 เมื่อ Sign in เรียบร้อยแล้วก็จะเห็นหน้าจอแบบนี้นะ bitly ยินดีต้อนรับเราแล้วววว!!

    Step 5 จากนั้นให้คลิกที่ icon bitly ที่มุมบนด้านขวาอีกครั้งนึง ก็จะแสดงหน้าจอให้เรา allow การเข้าถึงข้อมูลของเรา หน้าตาประมาณนี้นะ เมื่อเห็นก็คลิก “Allow” ได้เลย

    Step 6 มาลองใช้งานกันดีกว่า จากตัวอย่างผู้เขียนจะทดสอบเปิดหน้าเว็บที่มีลิงค์ย๊าววว ยาว ขึ้นมาในหน้าต่าง (ตามรูปเล้ย) จากนั้น คลิก icon bitly บน browser ตรงมุมบนด้านขวานั่นเลย

    Step 7 ให้สังเกตุนะ พอเรากด icon bitly ปุ๊บ ก็จะแสดงหน้าต่างด้านขวาขึ้นมา ซึ่งจะขึ้น short link ที่แปลงจากลิงค์ย๊าววว ยาว ตะกี้ให้สั้นลง เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้งานต่อได้ง่ายขึ้น ถ้าจะเอาไปส่งในแชท หรือเอาไปใช้ต่อ คลิก “copy” เพื่อคัดลอกลิงค์ได้เลย

    เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ง่ายขึ้นมั้ย มันช่วยให้การทำงานของเราเร็วขึ้นจริงๆ นะ ติดตั้งเถอะ ! แนะนำ แนะนำ แนะนำ นี่แนะนำ 3 times เลยนะ ดีจริง จริ๊ง จึงนำมาบอกเล่าเก้าสิบกันต่อ

    หวังว่าทุกคนจะไปลองใช้กันดูนะ วันนี้ก็ขอจบ Blog ที่ 3 ไปเพียงเท่านี้เน้ออออออ

    อ้างอิง : http://bit.ly/2N3Tut7

  • จับภาพหน้าเว็บไซต์ ง่าย ๆ ฟรี ๆ ฟิน ๆ ด้วย FireShot Lite – Capture Page (ดูปากณัชชานะคะ แค็พ-เฉอะ)

    บทความนี้ว่ากันด้วยเรื่องของ Extension บน Chrome กันอีกซักตัวนะคะ คราวนี้นำเสนอ Extension ที่จะช่วยในการ capture หน้าเว็บ ซึ่ง Easy to use มาก ๆ และ Free forever กันไปเลยค่า นั่นก็ คือ FireShot Version Lite นั่นเองงงงง เย่ ๆ เอ้า ปรบบบมือรัว ๆ สิคะ รออัลลลลไล

    แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ (หยุดรัวแทบไม่ทัน) สำหรับ Version Lite ที่เราจะติดตั้งใช้งานกันวันนี้นั้น อาจไม่ได้มี feature ต่าง ๆ ที่จะดำเนินการกับภาพที่เรา capture มาได้มากมาย เช่น Custom watermarks Advanced Editor: Undo/Redo, Resize, Crop and Save features หรือ Microsoft OneNote support และบลา ๆ นะคะ ซึ่งหากเราต้องการใช้ feature ที่มีอีกมากมายเหล่านี้ได้นั้น ก็ต้อง Pay ให้กับ FireShot Version Pro กันค่ะ ตอนนี้มีโปรโมชั่น 1 แถม 1 (เอ้ย ไม่ใช่ Watsons Boots หรือ TOPS น่ะจ๊ะ) โปรโมชั่นลดราคาเหลือ US$ 39.95 อยู่ค่ะ

    ช้าก่อน !! อย่าเพ่งรีบสอย เพราะผู้เขียนคิดว่า Version Lite ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่ว ๆ ไปแล้วละค่ะ อย่าง User ท่านไหนใช้งานเว็บไซต์แล้วเกิดเจอ error ครั้นจะโทรมาแจ้ง Support แล้วแจ้งรายละเอียด error ที่ยาว (มาก) นั้นว่าอย่างไร ก็คงลำบากไม่น้อย หรือเมื่อโทรมาแจ้ง Support ว่าใช้งานแล้ว error ส่วนใหญ่ Support ก็จะแนะนำให้ส่งภาพหน้าจอที่ว่า error นั้นมาเพื่อจะได้ตรวจสอบให้

    บางทีก็ทำม่ายโถ๊กกกก แต่บางคนก็สบายมากจ้า กดปุ่ม Print Screen หรือไม่ก็ใช้ Snipping Tool ที่มาพร้อมกับ Windows จับภาพ แต่ก็ต้องเสียเวลาในการวางภาพ แนบไฟล์ ส่งเมล กันอี๊กกก

    แต่ต่อจากนี้หากใช้งาน FireShot อะไรก็ง่ายๆ ก็สะดวกสบายมากขึ้นแล้วละค่า เพราะสามารถ capture หน้าเว็บปั๊บ ก็ส่ง Email ได้เลย (Account ผู้ส่งต้องเป็น Gmail) หลังจากนั้นโทรแจ้ง Support นิดหน่อย “ส่งภาพหน้าจอ error มาแล้วน่ะคะ/น่ะครับ” จบปิ๊ง สวย ๆ ทั้ง User และ Support พอคุยกันเข้าใจ อะไรๆ ก็ดีไปโหม๊ดดด 555+

    ของฟรีที่ดีก็มีในโลกนะเออ เอ้า ปรบมือรัว (ต่อ) สิคะ รออัลลลลไล และขอขอบคุณผู้พัฒนานะคะ ฮี่ ๆ

    ปล. ส่วนใครที่อยากทราบข้อมูลของ Version Pro กับ Lite ว่ามี Features อะไร แตกต่างกันบ้าง มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ลองเข้าไปดูข้อมูลเปรียบเทียบที่ลิงก์นี้ได้เลยค่ะ https://getfireshot.com/features.php

    เกริ่นกันซะยาวยืด ลิงหลับทั้งฝูงแย้ว มา ๆ ค่ะ สาระมีอยู่จริง มารู้จัก FireShot กันก่อนที่จะเริ่มใช้งานค่ะ เริ่มจากความสามารถในการจับภาพหน้าเว็บไซต์ก่อน ซึ่ง FireShot นั้นสามารถจับภาพหน้าเว็บได้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ entire page ,visible part และ selection ค่ะ อธิบายแต่ล่ะรูปแบบสั้นๆ ง่าย ๆ (ขอให้สั้นจริงๆ เห๊อะ) ดังนี้

    Capture entire page จับภาพเว็บไซต์แบบยาวทั้งหน้า

    Capture visible part จับภาพเว็บไซต์เฉพาะส่วนที่เรามองเห็นอยู่บนหน้าจอ เหมือนกับการกดปุ่ม Print Screen นั่นแหละค่ะ แต่แตกต่างกันที่ภาพที่ได้จากการใช้ FireShot นั้นจะเป็นแค่หน้าเว็บล้วน ๆ ไม่มีส่วนอื่นบนหน้าจอ (Browser /OS) ปนในภาพเลย

    Capture Selection จับภาพเว็บไซต์เฉพาะส่วนที่เราต้องการ เหมือนกันการใช้ Snipping Tool ของ Window แต่ต่างกันที่ FireShot จะจับภาพได้เฉพาะหน้าเว็บไซต์เท่านั้นค่ะ

    ส่วนการดำเนินการกับภาพหน้าเว็บที่ได้จากการ capture ด้วย FireShot Version Lite นั้น มีดังนี้ ค่ะ

    Save as Image บันทึกเป็นไฟล์รูปภาพชนิด PNG

    Save to PDF บันทึกเป็นไฟล์ PDF

    Email ส่งภาพหน้าเว็บที่ capture ไปยังอีเมลที่ต้องการจาก Account Gmail ของเรา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้แนบเป็น PDF file หรือแนบเป็นรูปภาพชนิด PNG / JPG

    Copy to clipboard copy ภาพหน้าเว็บที่ capture เพื่อใช้ในโปรแกรมอื่นต่อ ด้วยการคลิกขวาบนรูป แล้วเลือก copy image ค่ะ และสุดท้าย

    Print สั่งพิมพ์ภาพหน้าเว็บที่ capture ไปยัง Printer ของเรานั่นเองงงงค่า

    เป็นยังไงละคะ FireShot นี้เจ๋งใช่เล่น ทั้งความสามารถที่มี แถมการันตีด้วยยอดผู้ใช้งานที่มีกว่า 2 ล้านราย หรูหราหมาเห่ามาก ๆ (อ่ะ น้องณัชชาม่ะพอ เนสตี้ สไปร์ทซี่ ก็มาเอี่ยวววว) 555+ เริ่มการติดตั้ง FireShot กันดีกว่านะคะ

    ติดตั้ง FireShot ให้กับ Chrome

    1.ไปที่ลิงก์ https://chrome.google.com/webstore/category/extensions ค้นหาส่วนขยาย FireShot และกดปุ่ม Add to Chrome เพื่อเริ่มการติดตั้ง FireShot ให้กับ Chrome

    2.Chrome แสดงกล่องยืนยันการติดตั้ง FireShot กดปุ่ม Add extension เพื่อยืนยันการติดตั้ง และรอจนกว่าจะสิ้นสุดการติดตั้ง

    เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้ว จะมีปุ่ม FireShot ที่มุมขวาบนของ Chrome โผล่ขึ้นมาเพื่อให้กดใช้งานค่ะ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย (จบปิ๊ง!)

    ใช้งาน FireShot กัน

    หากเราไปยังเว็บไซต์ใดแล้วอยากจะ capture หน้าจอเว็บไซต์นั้น ๆ ให้กดปุ่ม FireShot ที่มุมขวาบนของ Chrome เมื่อกดปุ่มแล้ว จะพบกับเมนูย่อยต่าง ๆ ซึ่งก็คือรูปแบบการ capture ทั้ง 3 รูปแบบของ FireShot ที่ได้อธิบายไปแล้วในตอนต้นนั่นเองค่ะ

    หรือจะคลิกขวาบนหน้าเว็บไซต์ที่เราต้องการ capture ก็ได้นะคะ แล้วกดลือก “Take Webpage Screenshots Entirely – FireShot” ต่อด้วยเลือกเมนูย่อย ตามรูปแบบการ Capture ที่เราต้องการค่ะ

    เรามาลอง capture แต่ละรูปแบบกันดูนะคะ ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นอย่างไร เริ่มจากจับภาพเว็บไซต์แบบยาวทั้งหน้า โดยคลิก “Capture entire page” นะคะ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นภาพหน้าเว็บไซต์ยาว ๆ ทั้งหน้าแบบนี้เลยค่า

    มาต่อกันที่จับภาพเว็บไซต์เฉพาะส่วนที่เรามองเห็นอยู่บนหน้าจอ ให้คลิก “Capture visible part” นะคะ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นภาพของเว็บไซต์เฉพาะส่วนที่เราเห็นบนหน้าจอของเราค่ะ

    แต่ถ้าหากเราต้องการจับภาพเว็บไซต์เฉพาะส่วนที่เราต้องการ นั้น ให้คลิก “Capture Selection” นะคะ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเป็นภาพของเว็บไซต์เฉพาะส่วนที่เราได้เลือกตัดมาค่า

    เมื่อเรา capture เว็บไซต์แล้ว รอแว๊บนึง FireShot ก็จะแสดงหน้า Save Screenshot ขึ้นมา เพื่อให้เราดำเนินการกับภาพนั้น ๆ ต่อได้ โดยในหน้านี้ผู้เขียนขออธิบายแยกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆนะคะ

    อธิบายดังนี้ค่ะ

    • ส่วนแสดงภาพเว็บไซต์ เป็นส่วนที่จะแสดงภาพของเว็บไซต์ที่ได้จากการ capture ตามรูปแบบที่เราเลือก capture มานั่นเอง และ
    • ส่วนการดำเนินการกับภาพ เป็นส่วนที่ให้เราดำเนินการต่อกับภาพเว็บไซต์ที่ capture มา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร  สำหรับ FireShot Version Lite สามารถดำเนินต่อกับภาพอย่างไรได้บ้างนั้น ก็ตามที่ผู้เขียนได้อธิบายไปแล้วตอนต้นนั่นแหละค่ะ (Save as Image, Save to PDF, Email, Copy to Clipboard และ Print)

    สำหรับวันนี้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการดำเนินการกับภาพแบบที่ capture มาปุ๊บ ก็แนบส่ง Email เลยนะคะ ส่วนแบบอื่น ๆ นั้น ให้ลองใช้งานกันดูนะคะ ง่ายมาก ๆ สบายบรื๋ออแน่นวลค่ะ

    มาเริ่มกันเลย!

    ที่หัวขัว Email (Account ผู้ส่งต้องเป็น Gmail นะคะ) ให้เลือกว่าเราจะแนบภาพเป็นไฟล์ชนิดอะไรไปใน Email ค่ะ ผู้เขียนต้องการแนบเป็น PDF file ก็คลิกเลือก “PDF” ค่ะ

    เมื่อคลิกเลือกแล้ว ครั้งแรกที่เราใช้งาน FireShot นั้น FireShot จะแสดงหน้าจอ FireShot – please allow the access to Gmail เพื่อเราขอสิทธิ์ให้กับ FireShot อนุญาตให้ FireShot จับภาพ และเปิดใช้งาน Gmail API  เราก็ Allow ให้เรียบร้อยนะคะ

    เมื่ออนุญาตเรียบร้อยแล้ว เราก็จะพบกับหน้าจอของ Gmail ของเราโผล่ขึ้นมา พร้อมหน้าต่างให้เราส่ง Email ค่า (Sign in ไว้ก่อนแล้ว) สิ่งที่เราต้องทำต่อก็แค่ ป้อนชื่อ Email ของผู้รับที่เราจะส่ง Email ไป ป้อน Subject และเนื้อหาของ Email แล้วก็กดปุ่มเพื่อส่ง Email ได้เลยค่า

    อ๊ะ !! เดี๋ยวก่อน แล้วไฟล์รูปภาพของเว็บที่จะแนบใน Email ละ ? ไม่ต้องแนบเองแล้วละค่ะ ก็เพราะว่า FireShot เค้าแนบมาให้เราเรียบร้อยแล้วค่า ฟิน ๆ  

    และผู้รับก็ได้รับ Email พร้อมไฟล์แนบแบบนี้ เรียบร้อยแล้วค่า Awesome!!

    อ้าว ปรบมือรัวๆ กันอีกซักรอบนะคะ ก่อนจะ Say Good Bye แยกย้ายกันไปทำงานที่เรารัก (มาก) และลากันไปก่อนสำหรับบทความนี้นะคะ บุยยยย

    อ้อ สำหรับ Browser อื่น ๆ – Edge, Opera, Firefox นั้น ก็สามารถติดตั้ง FireShot ได้เช่นกันนะคะ

    (ดูปากณัชชานะคะ อ๊อ-เซิม)

    ขอขอบพระคุณ :

    https://getfireshot.com
    https://dictionary.sanook.com/search/dict-computer/capture
    https://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/awesome-translate-pronunciation/
    https://www.beartai.com/beartai-tips/176323

  • สร้างสื่อเสมือนจริงง่ายๆ ด้วย Pixlive maker

    Blog ก่อนหน้าเราได้ทำความรู้จักกับ สื่อเสมือนจริง หรือที่เราเรียกกันว่า AR กันไปแล้ว ภาคต่อใน Blog นี้จะพาไปเจาะลึกมากขึ้นอีก Step นึง ก็คือ เราจะมาดูกันว่า AR เนี่ย สร้างกันอย่างไร

    สำหรับผู้เขียน Blog นี้ขอเลือกใช้งานการสร้าง AR ง่ายๆ ผ่านเว็บ VIDINOTI ละกันนะ
    ปะ ไปดูกันเลย

    เริ่มต้นด้วยไปที่เว็บ https://www.vidinoti.com/home/ เมื่อเข้าสู่หน้าเว็บเรียบร้อยแล้ว ก็สมัครเข้าใช้งานกันก่อนเลย คลิกเลือกที่ Free Sign up มุมบนด้านขวา จากนั้นก็กรอกข้อมูลเพื่อสมัครเข้าใช้งาน ตัวอย่างตามรูปด้านล่างนะทุกคน

    เมื่อ Register เรียบร้อยแล้ว ให้เข้าไป Activate จาก link ที่ส่งไปยัง e-mail ที่เราได้สมัครเอาไว้นะ เมื่อ Activate แล้วก็ Log in เพื่อใช้งานกันโลดดดดดดด !!

    หน้าแรกจะมีการแนะนำขั้นตอนเบื้องต้นบอกเราว่า เราต้องทำการดาวน์โหลด App V-Player นะ จะต้อง Scan QR Code นะ และก็มีวีดีโอแนะนำการใช้งานให้เราได้ดูกัน อ่านเสร็จแล้วก็กด “OK” ได้เลย

    หน้าแรกของระบบจะประกอบด้วย

    1. ซ้ายมือจะเป็นกลุ่มเมนูการจัดการต่างๆ
    2. ตรงกลางเป็นส่วน Plan ซึ่งเราสามารถดูได้ว่าเราทำไปกี่ content แล้ว หรือ publish ไปแล้วกี่ content รวมถึงสามารถ upgrade account ได้ด้วยน๊าาาาาา (ระดับเราแล้ว ฟรี อย่างเดียว !!)
    3. มุมล่างด้านขวาของหน้าจอจะเป็น QR Code ซึ่งประโยชน์ของมันก็คือ คนที่จะมองเห็นงาน AR ของเรานั้น จะต้องทำการเปิด App V-Player จากนั้นนำมาส่ง QR Code ตัวนี้เพื่อจะดูผลงานของเรานั่นเอง
      หมายเหตุ : ให้บันทึก QR Code เก็บไว้ก่อนนะ แล้วค่อยนำรูปไปแปะไว้ในงานของเรา

    มาเริ่มสร้างงาน AR ของเรากันเถอะ !!

    Step 1
    จากหน้าแรก ให้คลิกเลือก “Create new content”

    Step 2
    เลือก “Image AR” จากนั้นให้เราทำการ Drop file หรือ Browse file ที่เราได้สร้างหรือออกแบบเอาไว้ เข้ามาในระบบ

    Step 3
    เมื่อเลือกรูปที่ต้องการ upload เสร็จแล้ว ให้กด “Continue” จากนั้นระบบก็จะแสดงหน้าถัดไป ให้ตั้งชื่อ “content name” และ “Description” (อันหลังนี่จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้นะ) จากนั้นกด “Continue” อีกรอบนึงนะ ปุ่มจะอยู่ด้านล่างขวาของหน้าจอนั่นแหละ

    Step 4
    เมื่อเจอหน้าจอดังรูปด้านล่าง ให้เราคลิกที่รูปในหน้าจอได้เลย ระบบจะพาเราไปยังหน้า Pixlive editor

    Step 5
    ครั้งแรกที่เข้ามาในส่วน Pixlive editor ก็มีการแนะนำการใช้งาน คลิก “take the tour!” ก็คลิกๆ ตามๆ ที่เค้าชี้ไปเรื่อยๆ เมื่อครบแล้วก็โปรดรอสักครู่ ! ก็จะเจอกับหน้าจอดังรูป

    • ซ้ายของหน้าจอคือ content ต่างๆ ไว้ให้เราเลือกใช้
    • ตรงกลางส่วนแสดงผล สามารถเลือกมุมมองสลับไปมาได้ระหว่าง Scene View หรือ Scenario มี % การแสดงผล
    • ขวาของหน้าจอก็จะเป็น Properties ของแต่ละ Scene ที่เราโฟกัสอยู่นั่นเอง

    Step 6
    ก่อนอื่นเรามามองภาพรวมก่อนการสร้างงานกันสักนิดนึง ตามตัวอย่างที่ผู้เขียนออกแบบงานของผู้เขียนไว้คือ “จะมีเมนู 5 เมนู ซึ่ง 3 เมนูแรกจะเชื่อมโยงไปยัง VDO เมนูถัดมาจะเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บที่ได้มีไฟล์แขวนเอาไว้ ส่วนสุดท้ายจะเป็นส่วนแสดงช่องทาง Contact มายังผู้จัดทำ storyboard ก็ประมาณนี้นะ” มาเริ่มกันที่ 3 เมนูแรกเลยละกัน

    ให้คลิกเลือก content “Image Button” เพื่อเพิ่มปุ่มแรกกันเลย จริงๆ Image Button จะมีสองแบบคือ ด้านซ้ายรูปแบบที่ระบบมีไว้ให้แล้ว ส่วนด้านขวาจะเป็นแบบที่เราออกแบบเอาไว้ ให้เรา Browse file ที่ต้องการเข้ามาได้เลย เมื่อเรียบร้อยแล้ว คลิกปุ่ม “Apply changes

    Step 7
    เมื่อสร้างปุ่มแรกเรียบร้อยแล้ว ระบบก็จะ New Scene2 ขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติ โดยให้ลอง Switch ไปดูในมุมมอง Scenario จะเห็นภาพชัดเจน ตามรูปเลยนะ

    Step 8
    คราวนี้เราจะมาโฟกัสที่ Scene2 กันนะ ตามที่บอกไว้ ปุ่มแรกของเราจะเชื่อมโยงไปยัง VDO ดังนั้นให้คลิกบน Scene2 ก่อนเลย เมื่อคลิกเสร็จแล้วก็ให้เลือก content ที่เป็น “Video” มาวางบน Scene2 เลย
    ปล … ชื่อ Scene นี่สามารถเปลี่ยนได้ตรง Properties ด้านขวามือเลยนะ เปลี่ยนให้เป็นชื่อที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ เวลามีหลาย Scene จะได้ไม่งงเน้อออ

    Step 9
    VDO นี่ก็เลือกได้ 2 แบบเหมือนกันนะ upload จากเครื่องเราขึ้นไป หรือจะแปะ link แทน เช่น พวก link จาก youtube เป็นต้น แต่ผู้เขียนขอ upload จากเครื่องตัวเองละกันนะ และเลือกแสดงได้นะว่าจะให้แสดงแบบไหน Full , Loop หรืออื่นๆ ตามที่เห็นนั่นแหละ จากนั้นคลิก “Apply changes” ได้เลย

    Step 10
    ก็ทำตามขั้นตอนเดิม จนครบทุกหน้าที่ตาม Storyboard ที่เราวางไว้ แต่ปุ่มเมนูหลักเนี่ยเวลาจะลากมาวางให้ วางไว้ใน Start Scene นะ อย่าลืมกันละทุกคน และสำหรับหน้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ VDO เนี่ย ก็ให้เลือก content ให้ถูกนะ เป็น Web เป็น PDF หรืออื่นๆ ก็เลือกให้ถูกต้องก่อนนำมาวางละ หากทำครบตามที่วางแผนเอาไว้ ก็จะได้หน้าตาประมาณนี้นะ

    Step 11
    ทำเสร็จแล้ว รีวิวดูแล้วถูกต้องก็มา Save กันเลย ให้คลิกเลือกที่มุมบนด้านขวาของหน้าจอเลยนะ ตามรูปเลย

    Step 12
    เมื่อบันทึกเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เลือก “My Contents” ระบบก็จะมาโฟกัสที่ Content list ให้เรา จากนั้นก็ให้ดูว่า Content ที่เราได้สร้างไปนั้น แสดงสถานะเป็น Published แล้วหรือไม่ ปล..จริงๆ แล้วก็จะ Publish ให้อัตโนมัตินั่นแหละ

    Step สุดท้ายยยยยยยย
    ถ้าจะทดสอบงานของเราก็คลิกเข้าไปใน Content ที่เราสร้างไว้ได้เลย จากนั้นให้เอา smartphone ของเราที่ได้ติดตั้ง App V-Player เรียบร้อยแล้ว นำมาส่อง QR Code ของเราได้เลย งานที่เราสร้างก็จะแสดงให้เราเห็น ตามตัวอย่างใน VDO ด้านล่างเลยนะ

    ตัวอย่างผลลัพธ์ AR ที่เราได้สร้างไว้

    เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ยากมั้ย นี่ผู้เขียนว่ามันไม่ยากนะ แต่มันแค่ยาวเท่านั้นเอง 555+ ยังไงก็แล้วแต่สามารถทดลองไปสร้างไปใช้งานกันได้นะ สนุกดี แถมเรายังได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ ไว้ใช้ในการพัฒนาตัวเราเองได้ด้วย ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยแหละเนอะ ไว้เจอกันใหม่ Blog หน้า เน้อทุกคนนนนน แฮ่ 🙂

    อ้างอิง
    youtube ช่องของอาจารย์ Apiwat Wongkanha ค่ะ ละเอียด และทำตามได้จริงๆ แนะนำๆ

  • รู้จักสื่อแบบ AR

    TOR รอบใหม่นี้ Blog แรก (จาก 16 Blog!! ที่ต้องเขียน) ที่ผู้เขียนจะนำมาเล่าสู่กันฟังก็คือ เทคโนโลยี AR จะมาเล่าว่ามันคืออะไร แล้วถ้าเราจะสร้าง AR เนี่ย จะต้องทำยังไง ยากง่ายแค่ไหน แต่ๆๆ Blog แรกเนี่ยเอาเป็นแค่ลองมาทำความรู้จักกันก่อนละกันเนอะ วิธีการสร้างขอเป็น Blog ถัดๆ ไปละกัน อิอิ 🙂

    AR คืออะไร ??
    หลายๆ คนคงมีคำถามแบบเดียวกัน และอีกหลายๆ คนก็คงจะไม่เคยรู้ว่าเจ้า AR เนี่ย อยู่ใกล้กับชีวิตประจำวันเรามากกว่าที่คิดนะ 55+

    ——————————————————————————————————————–

    เรามารู้จักกับเจ้าเทคโนโลยี AR กันเถอะ ….

    เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) คือเป็นเทคโนโลยีที่ผสานเอาโลกแห่งความจริง (Real) เข้ากับโลกเสมือน (Virtual) โดยผ่านทางอุปกรณ์เว็บแคม กล้องโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือคอมพิวเตอร์ ร่วมกับการใช้ Software ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ภาพที่เห็นในจอภาพจะเป็นวัตถุ (Object) ยกตัวอย่างเช่น คน สิ่งของ โดยแสดงผลออกมาเป็นลักษณะ 3 มิติ ซึ่งมีมุมมองถึง 360 องศาเลยนะ

    ——————————————————————————————————————–

    จริงๆ แล้วเนี่ย AR มันเป็นเทคโนโลยีที่มีมานานมากกกกแล้ว ทางผู้เขียนก็ได้ยินผ่านๆ มาอยู่ตลอด แต่ยังไม่เคยได้ลองทดสอบเข้าไปศึกษาและใช้งานแบบจริงๆจังๆ ซะที

    อาจเพราะในอดีต จะมีข้อจำกัดในทางเทคโนโลยีจึงยังไม่ค่อยมีความแพร่หลายในการใช้งานสักเท่าไหร่ แต่สำหรับยุคปัจจุบัน แทบไม่ต้องพูดถึงเลยว่า อุปกรณ์สมาร์ทโฟนเนี่ยเราสามารถข้าถึงได้ง่ายดายแค่ไหน “เรียกว่าปัจจัยที่ 5 กันเลยทีเดียว” เล่นกันตั้งแต่เด็ก 3 ขวบ จนไปถึงผู้สูงอายุวัย 80 กันนั่นแหละ !!

    ดังนั้นเทคโนโลยีตัวนี้จึงกลับมาเริ่มมีความแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ถูกกล่าวถึงและมีคนให้ความสนใจอยู่เป็นระยะ อาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับอีกหลายๆ ตัว แต่ก็คาดว่ายังสามารถต่อยอดไปได้อีกไกลแหละนะ

    ในปัจจุบันเทคโนโลยีเสมือนจริง สามารถนำมาพัฒนาเป็น Application เพื่อช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็กๆ หรือช่วยในส่วนของธุรกิจการค้าที่ต้องปรับกลยุทธ์เชิงรุกในรูปแบบออนไลน์ หรือจะให้ยกตัวอย่าง AR ง่ายๆ เลยคือ “เกมส์โปเกมอน โก” นั่นแหละ

    หลักการทำงานของ AR หลักๆ ประกอบด้วย

    1. วิเคราะห์ภาพ (Image Analysis) โดยค้นหาจากตัว Marker (หรือที่เราเรียกว่า Markup) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ หรือรูปภาพที่เรากำหนดไว้เป็นตัวเปรียบเทียบ กับสิ่งที่เราได้เก็บไว้ในฐานข้อมูล (Marker Database)
    2. กล้องวิดีโอ กล้องเว็บแคม กล้องโทรศัพท์มือถือ หรือตัวจับ Sensor อื่นๆ
    3. Software ส่วนประมวลผลเพื่อวัตถุแบบ 3 มิติ
    4. การแสดงผลบนจอภาพจากคอมหรือโทรศัพท์มือถือ หรืออื่นๆ โดยกระบวนการสร้างภาพ 2 มิติ จากโมเดล 3 มิติ (3D Rendering) เป็นการเพิ่มข้อมูลเข้าไปในภาพโดยใช้ค่าตำแหน่งเชิง 3 มิติ ที่คำนวณได้จนได้ภาพเสมือนจริง

    พื้นฐานหลักของ AR

    ง่ายๆ คือ ใช้หลักการการตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Detection) การเต้น หรือ การเคาะ (Beat Detection) การจดจำเสียง (Voice Recognize) และการประมวผลภาพ (Image Processing) นั่นเอง

    เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา AR ก็มีอยู่หลากหลายนะ เช่น Unity , Pixlive Maker เป็นต้น
    หาดูใน google ก็จะขึ้นเยอะแยะไปหมด เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย พอจะเข้าใจเทคโนโลยีเสมือนจริงเพิ่มมากขึ้นอีกสักนิดกันมั้ย
    ไม่ต้องรีบๆ ค่อยๆเรียนรู้ไปด้วยกันนะทุกคนน

    ——————————————————————————————————————–

    เอาไว้ใน Blog ถัดไป ผู้เขียนจะมาเล่าถึงวิธีการสร้างเจ้า AR ตัวนี้ละกันนะ ขอเวลาไปเขียน storyboard ก่อนแป๊บนึง …. Bye 🙂
    ปล … สร้างอะไม่ยากหรอก จะยากก็ตอนออกแบบ นั่งหารูป สร้างข้อความ เลือกสี หา Background เหล่านี้นี่แหละ พูดเลย นาน 55+

    ขอบคุณข้อมูลดีดี
    อ้างอิง : http://www.techno.lru.ac.th/techno

  • เทคนิคการใช้ LINE แปลงข้อความรูปภาพ เป็นตัวอักษร Text (ใช้ภาษาไทยได้สมบูรณ์มาก)

    พึ่งเปิดตัวทั้งใน LINE สมาร์ทโฟน และ LINE ในเครื่อง PC สำหรับวิธีการแปลงข้อความรูปภาพ ให้กลายเป็นข้อความ Text ตัวอักษร โดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งพิมพ์ใหม่ และวิธีการนี้ยังสามารถแปลเป็นภาษาอื่นๆ จากข้อความ Text ที่ได้จากการแปลงข้อความรูปภาพแล้วอีกด้วย