ASP.NET API Security

ปัจจุบันการพัฒนาโปรแกรมในรูปแบบของ API นั้นแพร่หลายมาก เนื่องจากจะทำให้โปรแกรมยืดหยุ่น สามารถพัฒนา Interface ไปในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้ง Desktop, Mobile โดยเฉพาะการเรียก API ผ่าน http นั้น ถือว่าค่อนข้างที่จะยืดหยุ่นกับเกือบจะทุก platform ดังนั้น การรักษาความปลอดภัยให้กับ API เหล่านี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง

บทความนี้จะพูดถึง 2 เรื่องหลักๆ ได้แก่ การ Authentication และการ Authorization ดังนี้ครับ

 

Authentication

เปรียบเสมือนกับการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ร้องขอ (request) ซึ่งอาจจะเป็นในลักษณะของ username/password หรือเป็น API Key จากใน HTTP Request Header

ในบทความนี้จะขอข้ามการพูดถึงการ authentication ด้วย username/password เพราะเชื่อว่าสามารถทำกันได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเขียน provider เองหรือใช้ provider ที่มีมาให้กับ .net framework ซึ่งได้แก่ MembershipProvider โดยจะขอเริ่มพูดในส่วนของ API Key ซึ่งจะใช้คลาส HttpMessageHandler (ทำงานใน http message level ดีกว่าไปทำใน controller แน่นอนครับ) วิธี implement คือ การสร้าง Class ที่ inherite มาจาก DelegatingHandler (ซึ่งมาจาก HttpMessageHandler อีกที) จะให้ override ส่วนของการตรวจสอบ HTTP Request โดยการทำ overriding method ชื่อ SendAsync และเพื่อให้ทำงานได้ จะต้องทำการ register handler ที่ Global.asax ใน Application_Start ด้วยครับ ด้วยคำสั่ง GlobalConfiguration.Configuration.MessageHandlers.Add(new MY_CLASS());

API Key Authentication

เราจะต้องมี API Key โดยสามารถเก็บไว้เป็นค่าคงที่ หรือเก็บไว้เป็นข้อมูลในฐานข้อมูล จากนั้นทำการตรวจสอบ Request ที่เข้ามาด้วยคำสั่งต่อไปนี้

HttpRequestMessage.Headers.TryGetValues(“API_KEY”, out myHeader)
(ต้องทำการสร้าง instance ของ HttpRequestMessage ก่อนนะครับ — myHeader เป็น type IEnumerable<string>)

จากนั้นเรานำค่าในตัวแปรมาตรวจสอบกับ API Key ของเรา ที่เราเก็บไว้ เช่น

ถ้าเก็บไว้เป็นค่าคงที่ ก็ตรวจสอบดังนี้

myHeader.FirstOrDefault().Equals(“MySecretAPIKeyNaJa”);

หรือถ้าเก็บไว้ในฐานข้อมูล ก็ตรวจสอบดังนี้

db.API_KEY.Where(w => w.KEY == myHeader.FirstOrDefault()).Count() > 0 เป็นต้น

หากเป็น API Key ที่ถูกต้อง สามารถ return response ดังนี้ได้ทันที await base.SendAsync(HttpRequestMessage, CancellationToken);
ส่วนถ้าเป็น API Key ที่ไม่ถูกต้อง สามารถ return response ดังนี้ เพื่อให้ browser รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น HttpRequestMessage.CreateResponse(HttpStatusCode.Forbidden, “Invalid API Key”);

 

Authorization

การทำ authorization นี้จะใช้งาน RoleProvider จาก .NET Framework ซึ่งจะต้องทำการ Implement role provider มาก่อน (รายละเอียด: https://msdn.microsoft.com/en-us/library/8fw7xh74.aspx)

หลังจากการทำยืนยันตัวตน (Authentication) แล้ว ควรจะทำการตรวจสอบการอนุญาตให้เข้าถึงทรัพยากรหรือการกระทำ (action) ด้วย ด้วยการใช้งาน AuthorizeAttribute ซึ่งเป็น filter attribute ด้วยวิธีการง่ายๆ เพียงการใส่ [Authorize] ไว้บน Controller (Class) หรือ Action (Method) ซึ่งจะมี attribute [AllowAnonymous] ให้สามารถใช้ได้ สำหรับ controller, action ที่ไม่ต้องการการ authentication หรือ authorization ครับ

 

นอกจากนี้เรายังสามารถระบุ role กับ attribute ได้อีกด้วย เช่น [Authorize{Roles = “Manager, ValidUsers”}] เป็นต้นครับ