Tag: #ChromeExtension

  • ฝึกภาษาด้วย Mate Translate

    สวัสดี หนีห่าวววว ท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ทางผู้เขียนมี extension ดีๆ ที่ลงตัว มาแนะนำให้ได้รู้จักกันอีกแล้วเน้อ ไม่ต้องเกริ่นมาก ไปดูกันเลยดีกว่า

    จริงๆ แล้ว ณ ปัจจุบัน ถ้าจะพูดถึงการแปลภาษา extension หรือเว็บที่เราคุ้นชินกันมาก ถึงมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น google translate กันใช่มั้ย ซึ่งการทำงานของ เจ้าตัว google translate เนี่ยก็ถือว่าดีอยู่แล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็นะ ชีวิตนี้จะรู้จักแค่อันนี้อันเดียวก็คงจะดูโลกแคบไปหน่อยนึง วันนี้ผู้เขียนเลยอยากจะลองนำเสนอ extension แปลภาษาดีๆ อีกสักตัวนึง ให้ทุกคนได้รู้จัก เจ้าตัวนี้มีชื่อว่า “Mate Translate” นั่นเอง

    Mate Translate จะเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นอ่านบทความต่างประเทศ ฝึกภาษา และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ สำหรับใครที่ชื่นชอบการดู Netflix และฝึกภาษาจากการดูหนังดูซีรีย์ เชื่อเถอะเจ้า Mate Translate จะช่วยให้การแปลภาษาในระหว่างการดูหนังง่ายขึ้นไปอี๊กกกก เพียงแค่ คลิกบนคำศัพท์ หรือข้อความในส่วน subtitles ที่ขึ้นบนหน้าจอ ตัว extension Mate ก็จะแปลความหมายของคำนั้นขึ้นมาให้เราอ่าน ง่ายม๊ากกก เพียงแค่คลิกเดียวจริงๆ นะเออ

    ไม่ใช่แค่เพียงภาษาอังกฤษนะ ตัวช่วยตัวนี้สามารถแปลภาษา คำ วลี ประโยค ได้ถึง 103 ภาษา แถมยังสามารถฟังการออกเสียงอย่างถูกต้องได้ด้วย ปะ ติดตั้งกันเลย

    1. เข้าไปที่ webstore ของ google chrome ได้เลย หรือ ตามนี้นะ https://chrome.google.com/webstore/category/extensions จากนั้นค้นหาคำว่า Mate Translate (ตัวที่หน้าตาสีเขียวๆ นั่นแหละ)

    2. คลิกปุ่ม “เพิ่มใน Chrome” หรือ “Add to Chrome” ได้เลย

    3. ระบบก็จะถามซ้ำอีกครั้ง เราก็เลือกปุ่ม “เพิ่มส่วนขยาย” เพื่อยืนยันการติดตั้งไปอีกครั้ง

    4. เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะปรากฏ icon เล็กๆ ตรงมุมบนด้านขวาของหน้าจอ

    เมื่อคลิกครั้งแรกก็จะปรากฏหน้าต่างให้เรายอมรับเงื่อนไข จากนั้นก็คลิก Continue ต่อได้เลย

    5. เรามาทดลองตั้งค่าก่อนการใช้งานกันก่อนเลยละกัน คลิกบน icon จากนั้นเลือก “ตั้งค่า” (ตรงสัญลักษณ์ฟันเฟืองนะ) เมื่อเราคลิกแล้วก็จะได้หน้าตาประมาณนี้

    ปล..ระดับเราๆแล้ว ไม่ต้อง upgrade หรอก ใช้ version ฟรีนั่นแหละ 55+

    หลักๆ ก็จะมาดูในส่วนของ on-page ละกัน ตัวอย่างเช่น

    • double click translation ก็เปิด on ได้เลย เวลาเราเจอคำที่ต้องการแปลก็แค่ double click ไปบนคำนั้น ตัวช่วยก็จะแปลความหมายขึ้นมาให้เราเองทันที ไม่ต้อง copy แล้วว่าง
    • tooltip size ก็สามารถเลือกได้ว่าหน้าจอที่แสดงคำแปลเนี่ย จะเอาขนาดไหน
    • translate Netflix subtities ก็คือเมื่อเราคลิกบนคำใน subtitles บนหนัง หรือ วีดีโอที่ดูใน Netflix มันก็จะแปลความหมายขึ้นมาให้เราเลย ***เหมาะมากสำหรับคนที่ฝึกภาษาด้วยซีรีย์เนี่ยยย !!

    จริงๆ แล้วอยากให้ลองดูกันนะ ตัวช่วยแปลดีๆเนี่ย ไม่ได้มีแค่ google translate นะจ๊ะทุกคนนนนน อย่างไรก็ตามทางผู้เขียนหวังว่า blog นี้จะช่วยเหลือ หรือมีประโยชน์กับผู้อ่านได้ ไม่มากก็น้อยแหละนะ พบกันใหม่ครั้งหน้า สำหรับวันนี้ บ๊ายยยยย !!

    ขอบคุณแหล่งอ้างอิงดีๆ มา ณ ที่นี้ด้วยแง๊บ
    – https://www.9tana.com/node/5-chrome-extensions/

  • Bitly สายย่อ

    ย่อ ย่อ ย่อ (เอ๊ะ เค้ามีกันแต่ โย่ว โย่ว โย่ว รึเปล่าหว่า) ย่อในความหมายของผู้เขียนรอบนี้นี่คือ ย่อลิงค์ที่มันย๊าว ยาววววววว ให้สั้นลง เพื่อที่เวลาจะส่งใน chat หรือแปะในหน้าเว็บ หรือเอาไปใช้งานต่อ มันจะได้ดูง่ายๆ ไง๊

    ตัวช่วยที่ว่านี้ก็คือ Bitly extension บน google chrome นั่นเอง แน่ะ … อยากรู้กันแล้วใช่มั้ย ปะ ไปกันเลย

    ปกติแล้วมันก็จะมีวิธีที่เราแปลงลิงค์ให้สั้นกันอยู่แล้วไง ใช่มั้ย ทุกคนน่าจะคิดกันแบบนี้น่ะ แต่ที่ว่าปกติที่เราทำกันเนี่ย มันหลายขั้นตอนไงละ ต้อง copy ลิงค์ เปิดหน้าเว็บช่วยแปลง วางลิงค์ กดแปลงลิงค์ให้สั้น กว่าจะได้ เห็นมั้ย หลายขั้นตอน !! มาใช้วิธีติดตั้ง Bitly extension กันเถอะ เหลือแค่ 2 คลิก เท่านั้นเอง !!! โอยยยย ชีวิตดีขึ้นมาทันทีเลย

    ขั้นตอนแรกนะ ติดตั้งกันก่อนเลย

    Step 1 เข้าไปดาวน์โหลด Bitly ผ่าน chrome webstore กันได้เลย เมื่อเจอแล้วให้คลิก “Add to Chrome” เลยน๊าาาา

    Step 2 เมื่อเราติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้สังเกตุมุมบนด้านขวาของหน้าจอนะ เห็นมั้ย สัญลักษณ์สีแดงเล็กๆ นั่นน่ะแหละ คลิกลงไป 1 ครั้ง

    Step 3 หลังจากคลิกปุ๊บ ก็จะปรากฏหน้าจอขึ้นมาตามรูป ก็ให้เราเลือก Sign in ได้เลย ว่าจะเข้าใช้งานด้วย Account ใด

    Step 4 เมื่อ Sign in เรียบร้อยแล้วก็จะเห็นหน้าจอแบบนี้นะ bitly ยินดีต้อนรับเราแล้วววว!!

    Step 5 จากนั้นให้คลิกที่ icon bitly ที่มุมบนด้านขวาอีกครั้งนึง ก็จะแสดงหน้าจอให้เรา allow การเข้าถึงข้อมูลของเรา หน้าตาประมาณนี้นะ เมื่อเห็นก็คลิก “Allow” ได้เลย

    Step 6 มาลองใช้งานกันดีกว่า จากตัวอย่างผู้เขียนจะทดสอบเปิดหน้าเว็บที่มีลิงค์ย๊าววว ยาว ขึ้นมาในหน้าต่าง (ตามรูปเล้ย) จากนั้น คลิก icon bitly บน browser ตรงมุมบนด้านขวานั่นเลย

    Step 7 ให้สังเกตุนะ พอเรากด icon bitly ปุ๊บ ก็จะแสดงหน้าต่างด้านขวาขึ้นมา ซึ่งจะขึ้น short link ที่แปลงจากลิงค์ย๊าววว ยาว ตะกี้ให้สั้นลง เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้งานต่อได้ง่ายขึ้น ถ้าจะเอาไปส่งในแชท หรือเอาไปใช้ต่อ คลิก “copy” เพื่อคัดลอกลิงค์ได้เลย

    เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ง่ายขึ้นมั้ย มันช่วยให้การทำงานของเราเร็วขึ้นจริงๆ นะ ติดตั้งเถอะ ! แนะนำ แนะนำ แนะนำ นี่แนะนำ 3 times เลยนะ ดีจริง จริ๊ง จึงนำมาบอกเล่าเก้าสิบกันต่อ

    หวังว่าทุกคนจะไปลองใช้กันดูนะ วันนี้ก็ขอจบ Blog ที่ 3 ไปเพียงเท่านี้เน้ออออออ

    อ้างอิง : http://bit.ly/2N3Tut7

  • เช็คฟอนต์สวย ด้วย WhatFont ~ Extension

    อะ แฮ่ม และแล้วก็เดินมาถึง Blog สุดท้ายในรอบ TOR ของปีนี้จนได้ แต่กว่าจะได้ฤกษ์เขียนได้ก็ปาเข้าไปกลางปีกันเลยทีเดียว (55+)

    มาๆๆ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ต้องบอกว่าหลายครั้งที่เราได้เข้าเว็บไซต์นู้นนั่นนี่ แล้วเห็น font สวยๆ แต่ไม่รู้ว่านั่นน่ะมันคือ font อะไร ชนิดไหน … วันนี้ทางผู้เขียนขอนำเสนอ Chrome Extension (อีกแล้วเหรอ !) ที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง นั่นคือ * WhatFont *

    WhatFont คืออะไร ???

    WhatFont เป็นหนึ่งในส่วนขยายของ Google Chrome ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการดูได้ว่า Font ที่ใช้หรือแสดงอยู่ในหน้าเว็บไซต์ต่างๆ นั้น คือ Font ชนิดอะไร ขนาดเท่าไหร่ และมีค่าสี เป็นอะไร อ๊ะๆ ยังไม่หมดนะ มันสามารถระบุได้แม้กระทั่งความหนา ความบาง ของ Font นั้นๆ กันเลยทีเดียว เพียงแค่เรานำเมาส์ไปวางบนตัวอักษรที่เราต้องการจะดูรายละเอียดเท่านั้นเอง

    วิธีการติดตั้ง

    • ดาวน์โหลดได้จาก Chrome เว็บสโตร์ คลิก จากนั้นให้คลิกปุ่ม “เพิ่มใน CHROME” หรือ Add to Chrome
    • ระบบจะแสดง pop up ขึ้นมาให้คลิกเลือก “เพิ่มส่วนขยาย”
    • เมื่อเราติดตั้งเรียบร้อยแล้ว หน้าจอก็จะแสดง pop up ขึ้นมาแจ้งให้เราทราบว่าได้ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    • สำหรับวิธีการใช้งาน ให้เข้าเว็บที่เราต้องการ จากนั้นให้คลิกที่ Icon ที่มุมบนด้านขวาของ Browser
    • ให้นำเมาส์ไปวางไว้บนข้อความ / ตัวอักษร ที่เราต้องการจะรู้ว่าเป็น font อะไร
    • และหากต้องการจะดูรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ขนาด สี ความหนา ความบาง ก็ให้คลิกเลือกบนข้อความดังกล่าว จากนั้นจะมีส่วนแสดงข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมาให้เราได้ดูกัน

    เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย ข้อมูลอันนี้นี่พอจะช่วยผู้อ่านได้บ้างมั้ย ??

    ยังไงก็แล้วแต่ทางผู้เขียนอยากแนะนำให้ทุกคนไปลองใช้กันดูนะ ง่ายดี ฟรีด้วย แทนที่เรา จะมานั่งคาดเดา หรือมโน กันเองว่า เอ๊ ! ตัวนี้นี่มันเป็น font อะไรแล้วน๊าา แบบนั้นมันล้าสมัยไปแล้ว เสียเวลาเปล่าๆ ติดตั้งตัวนี้กันเลย ง่าย ครบ จบในตัวเดียว 55+

    อย่าลืมลองเล่นกันดูนะ ไว้ปีหน้าฟ้าใหม่ เราจะมาเจอกันอีกใน Blog ถัดๆ ไปเน้ออออ

    ขอบคุณแหล่งอ้างอิง http://photoloose.com/what-font-chrome-extension/

  • StayFocusd ~ Extension

    สำหรับ Blog ที่2 ในรอบปีงบนี้ จะขอว่าด้วยเรื่อง Extension บน Chrome ที่เรียกว่า StayFocusd !!

    StayFocusd คืออะไร แล้วเจ้าตัวนี้เนี่ยมันทำอะไรได้บ้าง ? มา ไม่ต้องเกริ่นไปเกริ่นมามากมาย เรามาเริ่มทำความรู้จักกันเลยดีกว่า

    StayFocusd เป็น Extension อีกตัวนึงที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเราด้วยการ “บังคับ” และ “จำกัด” เวลาที่ตัวเราเองใช้ไปกับเว็บไซต์ต่างๆ ที่ทำให้เราเสียเวลา เว็บที่หัวหน้าเรามองว่าไม่มีประโยชน์ (แต่มันมีประโยชน์ทางจิตใจกับเราไง หัวหน้าไม่เข้าใจหนูหรอกกกกกก T T)

    extension อันนี้เหมาะมาก สำหรับใครที่ติด Social Network เปิด youtube อัพเดทสถานะบน facebook ดูซีรีย์เกาหลีออนไลน์ ดูละครย้อนหลังผ่าน line tv เข้า shopee lazada บลาๆ จนถึงระดับที่ทำให้เสียการเสียงาน ลองมาใช้ StayFocusd กันดูเถอะ

    เบื้องต้นมันจะให้เรานำเว็บไซต์ที่เรามองละ ว่ามีแนวโน้มที่จะสูบเวลาของเราไปโดยเปล่าประโยชน์ ไปใส่ไว้ใน List แล้วก็ให้ตั้งเวลาในการที่เราจะไม่สามารถเข้าเว็บนั้นๆ ไม่ได้ชั่วคราว (ตามเวลาที่เราระบุไว้) เพื่อให้ ณ ห้วงเวลาดังกล่าว เราสามารถกลับมามีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานได้ 100% แทน

    *** ลองมาดูการติดตั้ง และใช้งานแบบคร่าวๆ กันเถอะ

    ขั้นตอนที่ 1. เข้า Chrome web store และค้นหาเลย StayFocusd หรือคลิกที่นี่ เพื่อติดตั้ง

    ขั้นตอนที่ 2. เมื่อ Add to Chrome เรียบร้อยแล้ว มุมซ้ายของ Browser ก็จะมีสัญลักษณ์กลมๆ สีฟ้าๆ แสดงขึ้นมา ตามรูปเลย

    ขั้นตอนที่ 3. เข้าไปตั้งค่าการใช้งาน โดยคลิกเลือก Settings

    ขั้นตอนที่ 4. ตั้งค่าการใช้งานตามต้องการ เช่น Active Days, Active Hours, Blocked Site, Option ว่าเราต้องการให้การตั้งค่าที่ระบุไว้ทำงานในวันไหน ช่วงเวลาใด และสิ้นสุดเมื่อไหร่ รวมถึง site ที่ต้องการ Block หรือแม้กระทั้งการ customize ข้อความที่จะแสดงเมื่อเราเข้าใช้ในช่วงเวลาที่เว็บดังกล่าวโดน Block เป็นต้น

    ขั้นตอนที่ 5. เมื่อเราทดลองกำหนดตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว และลองเข้าใช้งานดูก็จะพบกับหน้าจอประมาณนี้

    สำหรับครั้งนี้ทางผู้เขียนก็ขอจบการแนะนำเพียงเท่านี้ หวังว่า Blog สั้นๆ อันนี้จะมีประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้อ่าน แต่ก็นะ ไม่ใช่ว่า block ผ่านคอมพิวเตอร์ แต่หยิบมือถือขึ้นมาเปิด app ช้อปปิ้งออนไลน์ เล่น facebook แทนนะ แบบนั้นมันก็ …….. เอาเป็นว่า ตั้งใจทำงานกันเถิดพี่น้องชาวไทยยยยย ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้าเน้อ 🙂

  • ปัญหาในการลืมรหัสผ่านจะหมดไปด้วย … LastPass

    blog ที่ 3 สำหรับปีนี้ ทางเราขอนำเสนอ แทน แท่น แท๊นนนน Extension ที่ชื่อว่า “LastPass” นั่นเอง

    ส่วนเสริมตัวนี้จะช่วยให้ปัญหาการลืม Password ที่เข้าเว็บต่างๆ ทั้งร้อยแปดพันเก้า ที่เราเข้าใช้งานหมดไป
    ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับอย่างนึงว่า เว็บไซต์ที่เราใช้บริการทั้งหลายทั้งมวลนั้นมีมากมายหลากหลายเหลือเกิน

    ทั้งงานเอย social เอย หรือแม้แต่จะเป็น ฐานข้อมูลในการเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนจะต้องมีการสร้าง

    account เพื่อเข้าไปใช้งานทั้งสิ้น และสิ่งนึงที่เราจะเจอบ่อยๆ ก็คือ website นี้ รหัสผ่านอะไรแล้วน้ออออ !! 55+

    อะ ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากมาย ไปดูเจ้าตัว Extension “LastPass” กันเถิดดดด …..

    1. ติดตั้ง Extension ผ่านลิงค์นี้ได้เลย คลิก  จากนั้นเริ่มต้นสร้างบัญชี เพื่อเข้าใช้งาน

    ปล…จากนั้นต่อไปในอนาคตเราก็จะปล่อยให้ LastPass ช่วยเราจำในส่วนที่เหลืออื่นๆไง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    2.โดยให้ตั้งรหัสผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนด (อันนี้เพื่อความปลอดภัยนั่นแหละ)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    3. เมื่อเราตั้งรหัสผ่านตรงตามเงื่อนความปลอดภัยที่กำหนด ก็จะพบกับหน้าจอตามรูป จากนั้น คลิก “NEXT” โลดดด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    4. เมื่อดำเนินการครบตามขั้นตอนแล้ว ก็จะพบกับหน้าตาเจ้า LastPass เรียบๆ ดูแล้วใช้งานง่าย ไม่ยากๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    5. คราวนี้เราก็มาจัดการเพิ่มข้อมูล ที่เราต้องการให้เจ้า LastPass ช่วยเราจำกันเถอะ โดยสามารถคลิกเลือก

    ในส่วนเมนูด้านซ้ายของหน้าจอ หรือจะเลือกจาก Icon ด้านล่างมุมขวาของหน้าจอก็ได้เช่นเดียวกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    6. ตัวอย่างเช่น สร้างข้อมูลรายละเอียดของเว็บที่เราเข้าใช้งานเป็นประจำ Gmail เป็นต้น จากขั้นตอนที่ 5

    เมื่อคลิก เพิ่มเว็บไซต์ ก็จะพบกับหน้าจอประมาณนี้นะ เมื่อใส่รายละเอียดครบถ้วนแล้ว ก็กด “บันทึก” ได้เลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    7.  จากนั้นระบบก็จะบันทึกข้อมูลเว็บไซต์ Gmail ของเราเอาไว้ เราก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบทุกเว็บที่เราอยาก

    ให้เจ้า LastPass ช่วยจำ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย ปัญหาการลืมรหัสผ่านเข้าเว็บต่างๆ ที่มีมากมายก่ายกองของเรา

    ก็จะหมดไป

    ** ปล… แต่ต้องไม่ลืมรหัสผ่านที่ใช้เข้า LastPass ตัวนี้น๊าาาา 555+

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    8. สำหรับความปลอดภัยอื่นๆ เราก็สามารถเข้าไปดู ไปตั้งค่าได้ โดยเลือกผ่านเมนู การตั้งค่าบัญชี ซึ่งก็จะมีทั้งแบบ

    ฟรี และหากต้องการที่ปลอดภัยมากขึ้นไปอีกระดับก็ต้องเป็นแบบ premium กันแหละ แนะนำว่าลองเล่น ลองคลิกๆ

    ศึกษาเพิ่มเติมกันได้นะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สุดท้ายทางผู้เขียนหวังว่า อย่างน้อย ๆ เจ้าตัว Extension LastPass ตัวนี้ จะเป็นผู้ช่วยที่มีประโยชน์อีกตัวนึงสำหรับ

    ผู้อ่านทุกคน อย่างน้อยๆ หากจดในกระดาษแล้วหาย ก็เปลี่ยนมาให้ LastPass ช่วยจำกันเถิด แฮ่ …..

     

    ขอบคุณ แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.lastpass.com/how-lastpass-works

  • Grammarly For Chrome

    Blog ที่2 สำหรับปีนี้ ทางผู้เขียนก็อยากจะขอนำเสนอ Extension เจ๋งๆ ให้ได้รู้จักกันอีกสักอันละกันเนอะ

    เชื่อเลยว่าหลายๆคน ที่ไม่ถนัดในภาษาอังกฤษมากนัก (อย่างเช่นผู้เขียนนี่แหละ – -“) จะต้องกราบงามๆ

    ให้กับคนที่พัฒนาสร้างสรรค์ Extension ที่ชื่อว่า Grammarly ตัวนี้ขึ้นมาให้เราได้ใช้กัน … __/\__

    *** ถ้าพร้อมแล้วก็มาทำความรู้จัก Grammarly For Chrome กันเถอะ ***

    Grammarly เป็น Extension ที่จะทำหน้าที่คอยจับตามองในสิ่งที่เราพิมพ์ลงไปแบบ Real-time (ทันที)

    และจะคอยบอกให้เรารู้ ว่าเราพิมพ์ผิดคำไหน ตกตรงจุดไหน และที่สำคัญเจ้าตัวนี้มันจะแนะนำวิธีแก้ไขให้

    หรือบางทีก็จะมีการแสดงอธิบายเพิ่มเติมให้ด้วย ความฉลาดของเจ้าตัวนี้หลักๆ ที่จะช่วยเราได้อย่างเช่น

    การสะกดคำ การลืมเติม S หรือการใส่ . (dot) หรือการจัดวางเรื่องของรูปแบบประโยค การขึ้นต้นคำ เป็นต้น

    อะ ไม่ต้องบรรยายกันมากละ มาลองติดตั้ง แล้วก็ใช้งานจริงกันเลยดีกว่าาาา ถ้าพร้อมแล้วก็ ลุยยยย กันเลย

     

    *** วิธีติดตั้ง Grammarly For Chrome ***

    1.เปิด Google Chrome Browser เพื่อติดตั้ง Extension คลิกที่นี่ จากนั้นเลือกเพิ่ม Extension ดังกล่าว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    2. หลังจากเพิ่มส่วนขยายเรียบร้อยแล้ว ก็จะพบกับหน้าจอ Personalize Grammarly ดังรูป

    เราสามารถเลือกระบุได้ว่า ส่วนใหญ่แล้วเรื่องที่เราเขียนจะเกี่ยวกับด้านไหน และระบุได้ว่าทักษะ

    ที่เรามีเนี่ยอยู่ที่ระดับประมาณไหน แต่หากไม่ต้องการระบุใดๆ ก็สามารถกด Skip เพื่อข้ามได้เลย

     

     

     

     

     

     

     

     

    3.ถัดมาให้ Create Account เพื่อเข้าสู่ระบบ โดยเราสามารถจะเลือก with facebook หรือ with google

    ก็ได้นะสำหรับคนที่มี Account อยู่แล้ว หากนอกเหนือจากนี้ก็ระบุ Email ที่ต้องการใช้ไปได้เลย

     

     

     

     

     

     

     

     

    4.แท่น แท่น แท๊นนน เมื่อ Login เข้ามาแล้วก็จะพบกับหน้าจอ Welcom to Grammarly! แบบในรูปนะ

    หน้านี้ก็จะมีให้เราเลือกว่าจะใช้แบบ ฟรี หรือจะใช้แบบ Premium เอาจริงๆ ตัดสินใจได้ไม่ยากเลย

    คลิกลงไปแรงๆ ตรงที่เขียนว่า “Continue to Grammarly It’s Free” 555+ จะเสียเงินทำไม แค่ที่เค้าฟรี

    มาให้เราก็เพียงพอที่จะใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเราแล้ววว !!!

     

     

     

     

     

     

     

     

    5. คราวนี้มาทดลองใช้ Extension ตัวนี้ในการส่ง E-mail กัน

    ปล..แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่ใช้ในการพิมพ์ E-mail เท่านั้นนะ จะเขียน Blog หรือพิมพ์อย่างอื่นผ่าน Chrome

    ก็สามารถใช้ Extension ตัวนี้ได้เช่นเดียวกันนะเออ

    ตัวอย่างเช่น พิมพ์ข้อความ young people are talking less on their mobile ทดสอบโดยการพิมพ์ถูกบ้าง

    ผิดบ้าง ก็จะสังเกตุได้ว่าเจ้าตัว Grammarly ก็จะตรวจสอบคำที่คาดว่าจะไม่ถูกต้อง และขีดเส้นใต้ สีแดงเอาไว้

     

     

     

     

     

     

     

     

    6. หากเราต้องการแก้ไขคำที่เจ้าตัว Extension Grammarly แจ้งไว้ว่าอาจจะมีการสะกดคำผิด ก็สามารถทำได้

    โดยการคลิกลงบนข้อความนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น คำว่า takling ที่เราได้ทดสอบโดยการพิมพ์แบบผิดๆ เอาไว้

    เมื่อคลิกแล้วระบบก็จะตรวจสอบและแสดงคำดังกล่าวที่คาดว่าเราตั้งใจจะพิมพ์ ขึ้นมาให้เราเลือก ในที่นี่ก็จะเห็นว่า

    คำว่า takling ที่ถูกต้องก็ต้องเป็น talking เมื่อเลือกแล้วก็คลิกลงบน คำดังกล่าว (สีเขียว ที่แสดงขึ้นมา)

     

     

     

     

     

     

     

     

    7. เมื่อเราคลิกเลือกคำที่ถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ระบบก็จะนำคำดังกล่าวเข้ามาแทนที่ในประโยคของเรา ตัวอย่างดังรูป

    และเช่นเดียวกัน หากมีมากกว่า 1 คำ ก็ทำซ้ำตามขั้นตอนก่อนหน้า เราก็จะได้คำที่ถูกต้อง ตรงตามรูปแบบประโยที่เราต้องการนะจ๊ะ

     

     

     

     

     

     

     

     

    8. และเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อความของเราถูกต้องครบถ้วนกระบวนความแล้ว ให้คลิกตรงสัญลักษณ์ E-Mail

    เพื่อย้อนกลับมายังหน้าจอ E-Mail ของเรา เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย ได้ E-Mail ที่มีเนื้อหาถูกต้องตรงตามรูปแบบการสะกดคำ

    หรือรูปแบบประโยคสมบูรณ์ ง่ายมั้ยล๊าาาาา

     

     

     

     

     

     

     

     

    9. อ๊ะๆ อีกอย่างนึงนะจากรูปก่อนหน้า เราสามารถตั้งค่าให้กับเจ้าตัว Grammarly ได้ว่าต้องการให้

    ตรวจสอบอะไรบ้างใน Document ของเรา

     

     

     

     

     

     

     

     

    อย่างไรแล้วหวังว่า Blog เล็กๆ Blog นี้จะมีประโยชน์บ้างกับใครหลายๆ คน ที่กำลังมองหาเครื่องมือเล็กๆ ที่สามารถนำมาปรับเพิ่มขีด
    ความสามารถหรือช่วยในการทำงานแต่ละวันของเรา สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องมากยิ่งขึ้น และสำหรับใครหลายคนที่ต้องพิมพ์งานเยอะ

    ทั้ง Blog , ตอบ comment , ส่ง E-mail หรืออื่นๆ เจ้าตัว Grammarly จิ๋วตอนนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ ช่วยแก้ไขคำผิดง่ายๆ ได้บ้าง

    ไม่มากก็น้อยแหละ แต่หากคำไหนที่เราไม่มั่นใจจริง ๆ หรือพวกรายละเอียดเรื่องโครงสร้างยาก ๆ ก็ให้ใช้ช่องทางอื่น เสริมเข้ามาช่วยด้วย

    ก็น่าจะดีนะ อยากที่เค้าชอบพูดกันว่า “กันไว้ ดีกว่าแก้” ไง 555+ ….. แล้วพบกันใหม่ Blog หน้านะแจ๊ะ ทุกคนนนนนน 🙂

     

    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลอ้างอิง

     

     

  • Email tracking By Google Chrome Extension

    เมื่อวันเวลาหมุนเวียนมาบรรจบพบกันอีกครั้ง ก่อนการเขียนผล TOR ในปีนี้ ก็ได้เวลาที่เหล่าเราทั้งหลายจะมาเริ่มต้นเขียน Blog กันอีกครั้ง
    และเช่นเคยสิ่งที่ผู้เขียนมีโอกาสศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือทดลองใช้งาน โดยมากแล้วก็จะเกี่ยวพันกับหน้าที่การงานในปัจจุบันนั่นแล

    ซึ่งหน้าที่หลักที่ผู้เขียนต้องทำทุกๆ วัน นั่นคือการรับแจ้งและตอบปัญหาให้กับลูกค้าผ่านทาง E-Mail และต้องขอบอกเลยว่าสำหรับผู้เขียน
    การตรวจสอบว่าเมลล์ถูกส่งไปถึงปลายทางหรือมีการเปิดอ่านหรือไม่นั้น มันเป็นเรื่องที่จำเป็นมากๆ ในงาน IT เพราะนอกจากการโทรแล้ว
    อีกหนึ่งช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน แถมยังประหยัดรายจ่ายอีกต่างหาก นั่นก็คือการส่ง E-Mail นั่นเองแหละหนา

    โดยหนึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือการติดตั้ง Extension บน Google Chrome และใน Blog นี้ผู้เขียนจะขอแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักกับ
    Chrome Extension ที่มีชื่อว่า “Email Tracking for Gmail & Inbox” ต้องขอบอกว่าจิ๋วแต่แจ๋วนะจ๊ะออเจ้าทั้งหลาย !!

    Email Tracking คืออะไร ???
    เอาแบบสั้นๆ เลย มันคือตัว App ที่ไว้คอย Track (ติดตาม) ว่า E-Mail ที่เราได้ส่งหรือตอบกลับไปนั้น ได้ถูกเปิดอ่านแล้วหรือไม่นั่นเอง

    วิธีติดตั้ง Email Tracking for Gmail & Inbox

    1.เปิด Google Chrome Browser เพื่อติดตั้ง Extension คลิกที่นี่ จากนั้นเลือกเพิ่ม Extension ดังกล่าว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    2. จากนั้นให้เข้าสู่ระบบ Gmail เลือก Sign in with Google

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    3.จากนั้นจะปรากฏหน้าต่างให้เรา อนุญาตให้ Mailtrack เข้าถึงบัญชีของเรา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    4.ถัดมาจะให้เราเลือกว่าจะใช้งานแบบไหน และระดับเราๆแล้ว จะเลือกอะไรได้ล่ะ เลือก Free เท่านั้นก็พอ !!

     

     

     

     

     

     

     

    5.ระบบก็จะบอกเราว่า ยินดีด้วย คุณติดตั้ง Mailtrack เรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้คลิก “Go to my email”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    6.เมื่อเข้าสู่หน้าจอ E-Mail ของเราแล้วนั้นจะสั่งเกตุได้ว่าจะมี Icon ของตัว Mailtrack แสดงอยู่ตรงมุมบนขวา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    7.ในขั้นตอนต่อไปให้เราทดสอบโดยการเขียนและส่ง E-mail ไปยัง E-Mail อื่นที่เราสามารถเข้าไปเปิดอ่านเพื่อทำการทดสอบได้
    เมื่อส่งไปแล้วก็ให้ทดสอบโดยการไปเปิดอ่าน E-Mail ดังกล่าว และกลับมายัง E-Mail หลักที่เราใช้ส่ง จะสังเกตุได้ว่าจะมีการ
    แจ้งเตือนกลับมาจาก MailTrack Alert ที่เราตั้งค่าไว้

     

     

     

     

     

     

     

     

    8.ถ้ามีการเปิดอ่าน E-Mail ของเราที่ส่งออกไป ระบบจะมี Notification แจ้งเตือนมี E-Mail แจ้งสถานะกลับมา
    และในกล่องจดหมายที่ส่งแล้ว จะมี Icon เครื่องหมายถูกคู่ซ้อนกันสีเขียว ตัวอย่างดังรูป

     

     

     

     

     

     

     

     

    สำหรับตัว Email Tracking for Gmail & Inbox ผู้ใช้สามารถเข้าไปดำเนินการตั้งค่าได้ โดยให้สังเกตุที่มุมบนด้านขวามือของตัว Gmail
    จากนั้นให้คลิกที่ Icon ของ Extension เพื่อเข้าไปในหน้า dashboard ของตัว mailtrack ในหน้านี้เราสามารถที่จะตั้งค่าต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
    เช่น การเปิด-ปิด การแจ้งเตือน เป็นต้น

     

    อย่างไรแล้วหวังว่า Blog เล็กๆ Blog นี้จะมีประโยชน์บ้างกับใครหลายๆ คน ที่กำลังมองหาเครื่องมือเล็กๆ ที่สามารถนำมาปรับเพิ่มขีด
    ความสามารถหรือช่วยในการทำงานแต่ละวันของเรา สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องมากยิ่งขึ้นค่ะ …. ^ ^

    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลอ้างอิง