Tag: asp.net core

  • การสร้าง Visual Studio Project Template

    ความสามารถอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของ Visual Studio คือ การนำ Project ที่เราสร้างขึ้นมาใช้เป็นตัวตั้งต้นหรือ Project Template เพื่อสร้าง Project ต่อๆ ไปได้ ทำให้ Project ใหม่ที่สร้างขึ้น มีฟังกชันพื้นฐานพร้อมใช้งานแล้ว ตามที่กำหนดไว้ใน Template เช่น มีระบบเมนู มีตัวอย่างหน้าจอพร้อมการเชื่อมต่อฐานข้อมูล มีระบบ Authentication เป็นต้น ฟังกชันพื้นฐานต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้เราสามารถเริ่ม Project ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

    วิธีการสร้าง Project Template ด้วย Visual Studio 2022 หลังจากที่เราเตรียม Project ตั้งต้นไว้แล้ว ดังนี้

    1. ไปที่เมนู Project -> Export Template

    2. Export Template Wizard เลือก Project template จากนั้นคลิก Next

    3. ระบุ Template name, Template description, Icon Image จากนั้นคลิก Finish

    เท่านี้ก็จะทำให้ได้ไฟล์ Project Template ไปใช้งานแล้ว โดย Visual Studio จะทำการนำเข้า Project Template ที่สร้างขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติ ทำให้เราสามารถใช้สร้าง Project ใหม่ได้เลย

    วิธีการสร้าง Project ใหม่ จาก DIISBlazorTemplate

    1. เปิด Visual Studio 2022 ขึ้นมา แล้วไปที่เมนู File -> New -> Project
    2. จะปรากฏหน้าจอ Create a new project ให้เราพิมพ์ชื่อ DIIS ในช่องค้นหา ก็จะเจอผลลัพธ์ดังรูป ให้เลือก DIISBlazorTemplate และคลิกปุ่ม Next

    3. หน้าจอ Configure your new project ให้ระบุ Project name, Location จากนั้นคลิก Create

    4. ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น Project ใหม่ ดังรูป

    5. ทดลองรัน Project จะพบว่า เราสามารถใช้ฟังกชันพื้นฐานต่าง ๆ ได้ตามที่กำหนดไว้ใน Project ตั้งต้น เช่น การ Authentication, หน้าจอแสดงข้อมูลที่ได้จากการ Query จากฐานข้อมูล เป็นต้น

    หน้าจอเข้าสู่ระบบ
    หน้าจอตัวอย่างการแสดงผลข้อมูลจากฐานข้อมูล
  • การสร้าง GenericList Component (Blazor) ตัวช่วยแสดงผลรายการข้อมูล

    การสร้าง User Interface สำหรับแสดงผลลัพธ์จากการ Query ข้อมูลในฐานข้อมูลนั้น โดยปกติ UI จะต้องสามารถกำหนดการแสดงผลเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 3 สถานะได้ คือ

    1. ระหว่างที่กำลังรอผลการ Query ข้อมูล UI ควรแสดงให้เห็นว่ากำลังประมวลผล โดยแสดงเป็นข้อความหรือรูปภาพ Loading ก็ได้
    2. กรณี Query แล้วไม่พบข้อมูล ความแสดงผลให้ทราบว่าไม่พบข้อมูล
    3. กรณี Query แล้วพบข้อมูล จะนำข้อมูลมาแสดงผลด้วย Table หรือ List หรือ อื่นๆ ตามความเหมาะสม

    ตัวอย่างเช่น ต้องการสร้างหน้าจอแสดงผลรายการข้อมูลสินค้าโดย Query ข้อมูลเก็บไว้ในตัวแปรชื่อ ProductList จะมีค่าในสถานะต่าง ๆ ดังนี้

    1. ระหว่างที่กำลังรอผลการ Query จะมี ProductList == null
    2. กรณี Query แล้วไม่พบข้อมูล ค่า ProductList.Count == 0
    3. กรณี Query แล้วพบข้อมูล ค่า ProductList.Count > 0

    จะเป็นว่าเราสามารถสร้าง Component พื้นฐานไว้ใช้งาน (Reuse) เพื่อตอบสนองต่อสถานะทั้ง 3 ได้ ในที่นี่จะตั้งชื่อว่า GenericList Component (GenericList.razor) มีโค้ดดังนี้

    วิธีการใช้งาน GenericList Component ทำได้โดยการกำหนด Parameter ชื่อ List และ WholeListTemplate ก็จะสามารถแสดงผลข้อมูลได้ตามต้องการ

    รูปที่  1 ระหว่างที่กำลังรอผลการ Query
    รูปที่  2 กรณี Query แล้วไม่พบข้อมูล
    รูปที่  3 กรณี Query แล้วพบข้อมูล
  • Blazor Server Application : วิธีการ Export ข้อมูลเป็นไฟล์ XML

    แนะนำวิธีการ Export ข้อมูลเป็นไฟล์ XML

    วิธีการเขียน Code
    1) สร้าง Folder xml สำหรับเก็บไฟล์ xml ในกรณีนี้อยู่ใน (wwwroot/files/xml)

    2) สร้าง Razor Component ชื่อ ExportXML.razor ในกรณีนี้อยู่ใน (Pages/ExportXML.razor)
    3) จากนั้นเขียน Code ดังนี้

    4) ผลลัพธ์จากการ Export ข้อมูลเป็นไฟล์ XML

    4.1) กรอกข้อมูล และกดปุ่ม Export XML

    4.2) จะได้ไฟล์ person.xml

    4.3) เมื่อเปิดไฟล์ person.xml จะแสดงข้อมูล ดังนี้

  • Blazor Server Application : การสร้างรูปภาพลายเซ็นโดยวิธีการพิมพ์ข้อความ

    แนะนำวิธีการสร้างรูปภาพลายเซ็นโดยวิธีการพิมพ์ข้อความ

    วิธีการเตรียมฟอนต์
    1) เข้าเว็บไซต์ https://www.f0nt.com/release/worasait/
    2) ดาวน์โหลด ฟอนต์ Worasait (worasait.ttf)

    วิธีการเขียน Code
    1) ติดตั้ง NuGet ชื่อ System.Drawing.Common
    2) สร้าง Folder ชื่อ files สำหรับเก็บไฟล์ฟอนต์ ในกรณีนี้อยู่ใน (wwwroot/files/worasait.ttf)

    3) สร้าง Razor Component ชื่อ SignatureType.razor ในกรณีนี้อยู่ใน (Pages/SignatureType.razor)
    4) จากนั้นเขียน Code ดังนี้

    5) ผลลัพธ์จากการสร้างรูปภาพลายเซ็นโดยวิธีการพิมพ์ข้อความ

    หมายเหตุ: วิธีการเปลี่ยนสีภาพลายเซ็น
    1) graphics.DrawString(Txt, oFont, Brushes.Black, 0, 0);
    2) เปลี่ยนจาก Brushes.Black เป็นสีที่ต้องการ เช่น Brushes.Red เป็นต้น

  • Blazor Server Application : วิธีการแปลงรูปภาพ เป็น base64 สำหรับเก็บข้อมูล

    แนะนำวิธีการแปลงรูปภาพ เป็น base64 เพื่อเก็บข้อมูล มีขั้นตอนดังนี้

    1) สร้าง Project ผ่าน Visual Studio 2019 เลือก Blazor Server App

    2) เลือก Framework เป็น .NET 5.0

    3) ติดตั้ง Add-on ชื่อ System.Drawing.Common ผ่านทาง NuGet

    4) เปิดไฟล์ Index.razor จากนั้นเขียน Code ดังนี้

    5) หน้าจอแสดงปุ่ม “การแปลง (ไฟล์รูปภาพ เป็น Base64)”

    6) ผลลัพธ์จากการแปลงไฟล์รูปภาพ เป็น Base64

    หมายเหตุ: นามสกุลไฟล์รูปภาพ (picture.png) ต้องตรงกับ data:image/png;base64 สำหรับแสดงผล

  • สร้างข้อความแจ้งเตือนด้วย Blazored Toast

    ข้อความแจ้งเตือนการดำเนินการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ Success, Error, Warning หรือ Information ภายในแอพ เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่มีการนำมาใช้งานบ่อยๆ เพื่อทำให้ระบบน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น ในการเขียนแอพด้วย Blazor ก็มีของฟรีให้ติดตั้งและใช้งานได้เลย ชื่อว่า Blazored Toast ซึ่งเป็น JavaScript ที่ได้รับการ Implement ให้ใช้งานกับ Blazor ได้

    ตัวอย่างการใช้ Blazored Toast

    ก่อนอื่นให้สร้าง Blazor Server App Project ตามขั้นตอนใน Blog(เขียนเว็บแอพแบบ SPA ด้วย Blazor (C#)) ก่อน จากนั้นทำตามขั้นตอนดังนี้

    ติดตั้ง Blazored Toast ผ่าน NuGet package manager

    1. คลิกเมนู Project

    2. คลิก Manage NuGet Packages

    จะปรากฎหน้าจอ NuGet Package Manager ให้ทำดังนี้

    1. คลิก Browse

    2. พิมพ์ Blazored Toast

    3. คลิกเลือก Blazored.Toast 4. เลือกเวอร์ชั่นล่าสุด และคลิก Install

    การตั้งค่า

    1. Register Services โดยการปรับปรุงไฟล์ Startup.cs ใส่โค้ด Using Blazored.Toast และเพิ่มโค้ด services.AddBlazoredToast(); ในฟังก์ชั่น ConfigureServices ดังรูป

    2. เปิดไฟล์ _Import.razor เพิ่มโค้ดดังนี้

    @using Blazored.Toast

    @using Blazored.Toast.Services

    3. ตั้งค่าเริ่มต้นก่อนใช้งานใน MainLayout.razor โดยการเปิดไฟล์ MainLayout.razor และเพิ่มโค้ดดังรูป

    4. อ้างอิง Style sheet ในไฟล์ _Host.cshtml

    <link href=”_content/Blazored.Toast/blazored-toast.min.css” rel=”stylesheet” />

    การนำไปใช้งาน

    1. สร้างไฟล์ใหม่ชื่อ ToastDemo.razor โดยคลิกขวาที่โฟลเดอร์ Pages เลือก Add -> Razor Components ดังรูป

    2. เลือก Razor Component ตั้งชื่อไฟล์ ToastDemo.razor และคลิกปุ่ม Add

    3. เขียนโค้ดใช้งาน โดยให้ inject IToastService ก่อน จากนั้นจึงเขียนโค้ดตัวอย่างโดยให้ Toast ทำงานเมื่อคลิกปุ่ม 4 ปุ่ม เพื่อแสดงข้อความแจ้งเตือน Information, Warning, Success และ Error

    4. กด F5 และเปิด Url  https://localhost:44381/ToastDemo จากนั้นลองคลิกแต่ละปุ่มจะได้ผลลัพธ์ดังรูป

    จะเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องเขียน JavaScript เองก็สามารถใช้งาน Toast ได้ ถือว่าเป็นการประหยัดเวลาในส่วนนี้ และทำให้เราสามารถโฟกัสการเขียนโค้ดในส่วนที่เป็น Core หลักของระบบได้อย่างเต็มที่

  • Blazor : การเรียกใช้ JavaScript จาก C#

    ถ้าจะพูดว่า “Blazor เป็น SPA Framework ที่ใช้ C# แทน JavaScript” ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เนื่องจากว่า JavaScript เป็นภาษาที่มีมานานแล้ว และใช้งานกันอย่างแพร่หลาย สามารถใช้ทำอะไรได้อย่าง แต่ Blazor นั้นถือได้ว่าเป็นน้องใหม่เพิ่งเข้าวงการ ที่บางครั้งก็ยังต้องพึ่งรุ่นพี่อย่าง JavaScript อยู่ดี ตัวอย่างเช่น การดึงข้อมูลพิกัดตำแหน่ง (Location) จาก Browser สามารถทำได้ด้วย JavaScript แต่ C# ทำไม่ได้ ดังนั้น Blazor ก็เลยจัดการกับปัญหานี้โดยการให้ C# ทำงานร่วมกับ JavaScript ซะเลย อะไรที่ C# ทำไม่ได้ ก็ให้ JavaScript ทำแทนไปเลย

    ตัวอย่างแอพต่อไปนี้จะเป็นการเรียกใช้ Bootstrap modal

    หลังจากที่สร้าง Blazor Server App Project ตามขั้นตอนใน Blog(เขียนเว็บแอพแบบ SPA ด้วย Blazor (C#)) แล้ว ทำตามขั้นตอนดังนี้

    1. เปิดไฟล์ _Host.cshtml
    2. เขียนโค้ดอ้างอิง jquery.min.js และ bootstrap.min.js
    3. เขียนโค้ดฟังก์ชั่น toggleModal เพื่อสั่งเปิดปิด Modal

    4. เปิดไฟล์ Index.razor
    5. Inject JSRuntime
    6. สร้างปุ่มสำหรับคลิกเพื่อเปิด Modal โดยใส่ onclick event ให้เรียกฟังก์ชั่น ShowModal
    7. สร้าง Bootstrap modal กำหนด id=”exampleModal”
    8. โค้ด C# ฟังก์ชั่น ShowModal สั่งเปิด Modal

    9. กด F5 เพื่อดูผลลัพธ์

    เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเรียกใช้งาน JavaScript ผ่าน C# ได้แล้ว จะเห็นว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด

  • เขียนเว็บแอพแบบ SPA ด้วย Blazor (C#)

    หากคุณเป็นนักพัฒนาเว็บแอพที่ชอบฟังเพลงยุค 90 คุณก็คงจะคุ้นเคยกับ Multiple Page Applications (MPA) เป็นอย่างดี  MPA หรือเว็บแบบดั้งเดิมนั้นสามารถสังเกตุได้จากการที่เราคลิกดูข้อมูล หรือเปลี่ยน URL หน้าเว็บจะโหลดใหม่ทั้งหน้า เพื่อดึงข้อมูลมาแสดงผลใหม่ใน Browser ดังรูป

    ที่มา : https://subscription.packtpub.com/book/web_development/9781787284746/7/ch07lvl1sec38/application-routing

    ทุกวันนี้ก็ได้มีอีก Trend หนึ่งที่น่าสนใจ และมีการนำมาใช้สร้างเว็บแอพกันอย่างแพร่หลาย นั่นก็คือ Single Page Application หรือ SPA  โดยเว็บแบบนี้จะทำการโหลดหน้าเว็บจาก Request ครั้งแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะเป็นการรับส่งข้อมูลกันโดยใช้ JavaScript เข้ามาช่วย ทำให้ลดการ Reload หน้าเว็บโดยไม่จำเป็นลงไปได้ ข้อดีของเว็บแบบนี้คือ มี User Experience ที่ดีกว่า ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และลดการทำงานของฝั่ง Server  ตัวอย่างเว็บไซต์แบบ SPA ที่เราใช้งานกันอยู่บ่อยๆ ได้แก่ Facebook, Instagram, Twitter, Google Mail เป็นต้น

    ที่มา : https://subscription.packtpub.com/book/web_development/9781787284746/7/ch07lvl1sec38/application-routing

    ตัวอย่างของ SPA Framework

    • Vue.js
    • React.js
    • AngularJS
    • Ember.js
    • Knockout.js
    • Meteor.js
    • Blazor

    จาก Framework ตัวอย่างทั้งหมดจะเป็น JavaScript ยกเว้น Blazor ที่ใช้ C# แทน และในฐานะที่คุ้นเคยกับการเขียนโค้ด C# อยู่แล้ว Blazor จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

    การสร้างแอพด้วย Blazor

    เปิด Visual Studio 2019 คลิก Create a new project ก็จะเจอหน้าจอดังรูป จากนั้นให้เลือก Project templates เป็น Blazor Server App

    หน้าจอ Configure your new project ให้ตั้งชื่อ Project name ว่า FirstApp.Web
    ระบุ Location เป็น C:\Source\

    หน้าจอ Additional information ให้เลือก Target Framework เป็น .NET 5.0

    ถึงขั้นตอนนี้แล้วทำให้ได้ Project ใหม่ที่มีไฟล์ตั้งต้นไว้ให้แล้ว  โดยการเขียนเว็บด้วย Blazor นั้นจะใช้ไฟล์ชนิด Razor ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสร้าง View ของ ASP.NET MVC

    กด F5 หรือคลิกปุ่มรัน เพื่อดูผลลัพธ์กันก่อน จะเห็นว่ามีตัวอย่างไว้ให้ศึกษา 2 เมนู คือ Counter และ Fetch data

    เมนู Counter เป็นตัวอย่างของการสร้าง Blazor Component เมื่อคลิกปุ่ม Click me ก็จะทำให้ Current count มีค่าเพิ่มขึ้นทีละ 1 โดยสังเกตได้ว่า ในการคลิกปุ่มทุกครั้งจะไม่มีการ Reload หน้าเว็บใหม่ทั้งหน้า แต่มีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะส่วนของตัวเลข Current count เท่านั้น

    โค้ดตัวอย่าง Counter จะอยู่ในโฟลเดอร์ Pages ชื่อไฟล์ Counter.razor เมื่อเปิดดูจะพบว่าโค้ดมีส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ

    a. Route หรือ URL ที่ใช้ในการเข้าถึงหน้าเว็บ ในที่นี้คือ /counter เวลาเข้าใช้งานก็จะเป็น https://localhost:44381/counter

    b. View หรือส่วนของ HTML ใช้ในการจัดรูปแบบการแสดงผล

    c. C# Code เป็นส่วนที่ใช้เขียนโค้ดควบคุมการแสดงผลของ View

    มาถึงจุดนี้แล้ว ก็สามารถทดลองเขียนโปรแกรมเล่นๆ ได้ เช่น ถ้าต้องการให้คลิกปุ่ม Click me แล้ว ให้ตัวเลขเพิ่มครั้งละ 5 ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังรูป

    Component สามารถนำมา Reuse ได้ เช่น ถ้าต้องการนำ Counter ไปใช้งานในหน้า Home ก็ทำได้โดยการเพิ่ม Markup up เข้าไปใน View ดังรูป หากต้องการ Counter หลายตัว ก็สามารถใส่ tag เพิ่มเข้าไปได้อีกตามต้องการ

    จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่าหากผู้พัฒนามีความคุ้นเคยกับภาษา C# อยู่แล้ว ก็สามารถเขียนเว็บแอพแบบ SPA ด้วย Blazor ได้โดยใช้เวลาในการศึกษาเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น Blazor จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

  • ASP.NET Core Part I

    asp.net core คือ cross-platform framework สำหรับการพัฒนา web application ที่ทำงานบน .net core หรือ  full .net framework เดิม ( .net core สามารถใช้งานได้ทั้ง Windows , Linux และ MacOS โดยที่ส่วนประกอบต่างๆของ .net core ไม่ว่าจะเป็น runtime, libraries, compiler, language และเครื่องมือต่างๆ เป็น open source ทั้งหมด )  ซึ่ง asp.net core ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพดีกว่า asp.net เดิมโดยแบ่งส่วนต่างๆออกเป็น module ย่อยเพื่อลด overhead ในการเริ่มต้นทำงาน ซึ่ง asp.net core ประกอบไปด้วยกลุ่มของ NuGet package แทนที่การใช้งาน System.Web.dll ใน asp.net เดิม ซึ่งผู้พัฒนาสามารถเลือกเฉพาะ package ที่ต้องใช้งานเท่านั้น ทำให้ application มีขนาดเล็กลง มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น,การพัฒนา Web UI และ Web API จะใช้ libraries เดียวกัน, สนับสนุนการใช้งาน dependency injection, web application สามารถใช้งานบน IIS หรือ self-host ภายใต้ process ของตัวเอง

    ในการพัฒนา asp.net core เราสามารถใช้เครื่องมือที่เป็น text editor ธรรมดาหรือจะใช้เครื่องมือช่วยในการพัฒนาอย่างเช่น Visual Studio ก็ได้ ในส่วนของโครงสร้างของ project asp.net core จะเปลี่ยนไปจากเดิม โดยการกำหนดค่า config ของ project สามารถกำหนดได้ที่ project.json

    {
     "title": "asp.net.core",
     "version": "1.0.0",
    
     "dependencies": {
       "NETStandard.Library": "1.6.0",
       "Newtonsoft.Json": "9.0.1"
     },
    
     "frameworks": {
       "netstandard1.6": {
          "imports": "dnxcore50"
        }
      }
    }

    การ reference ไปยัง NuGet package ที่ต้องการใช้งานใน project สามารถกำหนดได้ใน project.json โดยพิมพ์ชื่อ NuGet package ที่ต้องการพร้อมทั้งระบุ vesrion ในส่วน “dependencies” ซึ่งเมื่อทำการบันทึก project.json เครื่องมืออย่างเช่น visual studio จะทำการ restroe NuGet package ให้กับ project โดยอัตโนมัติ

    asp.net core ได้รับการออกแบบให้รองรับ client-side framework ต่างๆเช่น AngularJS หรือ bootstrap โดยใช้เครื่องมือที่เป็น package manager ในติดตั้ง client-side package ที่ต้องการใช้งาน อย่างเช่น Bower ที่จะกำหนด package ที่ต้องการใช้งานใน bower.json

    {
     "name": "asp.net",
     "private": true,
     "dependencies": {
       "bootstrap": "3.3.6",
       "jquery": "2.2.0",
       "jquery-validation": "1.14.0",
       "jquery-validation-unobtrusive": "3.2.6"
     }
    }

    หรือ npm ที่จะกำหนด package ที่ต้องการใช้งานใน package.json

    {
     "name": "asp.net",
     "version": "1.0.0",
     "private": true,
     "devDependencies": {
       "gulp": "3.8.11",
       "gulp-concat": "2.5.2",
       "gulp-cssmin": "0.1.7",
       "gulp-uglify": "1.2.0",
       "rimraf": "2.2.8",
       "typings": "1.0.5"
     },
     "dependencies": {
       "core-js": "^2.4.0",
       "reflect-metadata": "^0.1.3",
       "rxjs": "5.0.0-beta.6",
       "systemjs": "0.19.27",
       "zone.js": "^0.6.12"
     }
    }

    โดยเมื่อทำการบันทึก package manager จะทำการ restore package ที่ระบุ (bower.json หรือ package.json) ให้กับ project โดยอัตโนมัติ โดยที่ Bower จะติดตั้งลงใน /wwwroot/lib ในขณะที่ npm จะติดตั้งลงไปที่ folder /node_modules

    ในส่วนของ web root ของ asp.net core project จะอยู่ที่ folder /wwwroot ซึ่งต่างจาก asp.net เดิมที่ใช้ root folder ของ project เป็น web root โดยที่ /wwwroot จะเป็น folder ที่เก็บพวก static resources ต่างๆเช่น css, js และ image files

    entry point สำหรับ asp.net core application จะอยู่ที่ class “Startup” ซึ่งจะเป็น class ที่ใช้ในการกำหนด configuration และ service ต่างๆที่จะใช้ใน application โดย asp.net จะทำการค้นหา class ที่มีชื่อ startup ใน primary assembly (ในทุก namespace และไม่สนใจว่า class Startup จะเป็น public class หรือไม่ก็ตาม) ใน class Startup จะต้องมี method “Configure” ซึ่ง asp.net จะเรียกใช้งานตอนเริ่มต้น application (สำหรับ method “ConfigureServices” จะมีหรือไม่ก็ได้)

    สำหรับ Configure method จะต้องรับ parameter type “IApplicationBuilder” และอาจจะระบุ service ที่ต้องการใช้งานเช่น IHostingEnvironment และ ILoggerFactory ซึ่ง service เหล่านี้จะถูก inject โดย server โดยอัตโนมัติ

    IApplicationBuilder ถูกใช้ในการสร้าง application request pipeline ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านทาง Configure method ใน Startup เท่านั้น

    IHostingEnvironment จะใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลสภาพแวดล้อมของ application เช่น EnvironmentName, ContentRootPath, WebRootPath และ web root file provider

    ILoggerFactory ให้ความสามารถในการทำ logging ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านทาง Startup constructor และ Configure method ใน Startup เท่านั้น

     public void Configure(IApplicationBuilder app, 
                           IHostingEnvironment env,
                           ILoggerFactory loggerFactory)
     {
        loggerFactory.AddConsole(Configuration.GetSection("Logging"));
        loggerFactory.AddDebug();
    
        if (env.IsDevelopment())
        {
          app.UseDeveloperExceptionPage();
          app.UseDatabaseErrorPage();
          app.UseBrowserLink();
        }
        else
        {
          app.UseExceptionHandler("/Home/Error");
        }
    
        app.UseStaticFiles();
    
        app.UseMvc(routes =>
        {
           routes.MapRoute(
           name: "default",
           template: "{controller=Home}/{action=Index}/{id?}");
         });
    }

    จะเห็นว่ามีการใช้ “Use” extension method เพื่อเพิ่ม middleware เข้าไปสู่ request pipeline ของ asp.net ตัวอย่างเช่น “UseMvc” extension method จะเป็นการเพิ่ม routing middleware เข้าไปสู่ request pipeline

    ใน part I นี้ได้กล่าวถึงส่วนหลักๆของ asp.net core (asp.net 5)  ที่เปลี่ยนไปจาก asp.net เดิม ทั้งในส่วนของ framework และการรองรับการพัฒนา client-side ในส่วนต่อไปเราจะเริ่มต้นพัฒนา asp.net core โดยการสร้าง asp.net core web application project ในแบบง่ายๆ

    อ้างอิง : https://docs.asp.net