Crystal Report : Suppress การซ่อน/แสดง Section

ปกติแล้วการจัดรายงานใน Crystal Report จะมีการแบ่งเป็น 5 ส่วนดังนี้ค่ะ Report Header Section เป็นส่วนที่อยู่บนส่วนหัวรายงาน แสดงแค่หน้าแรกเพียงหน้าเดียวเท่านั้น Page Header Section เป็นส่วนที่แสดงต่อจากส่วน Report Header Section แสดงอยู่ทุกหน้า Details Section ส่วนแสดงรายละเอียดที่ต้องการ สามารถจัดกลุ่มข้อมูล แบ่งรายงานเป็น 2 ส่วนและอื่น ๆ ได้ Page Footer Section เป็นส่วนที่แสดงในรายงานทุกหน้าอยู่บนส่วนท้ายของรายงาน Report Footer Section เป็นส่วนที่อยู่ส่วนท้ายสุดของรายงานจะแสดงแค่หน้าสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งในแต่ละ Section นั้นสามารถมี Section ย่อย ๆ ได้มากกว่า 1 Section ย่อยดังภาพ ซึ่งเราสามารถแสดงหรือซ่อน Section ย่อย ๆ เหล่านี้ได้ตามเงื่อนไขที่เราต้องการ โดยใช้เมนู “Suppress” จัดการ ดังนี้ค่ะ คลิกขวาที่ Section ใดก็ได้ เลือกเมนู “Section Expert” จะพบกับหน้าจอ Section Expert ดังภาพโดยหน้าจอจะแบ่งเป็น 2 ส่วน 👈 ซ้ายมือ เป็นส่วนแสดงรายการ section ทั้งหมดของเราที่มีสามารถเพิ่ม ลบ หรือย้าย Section ขึ้นและลงตามที่ต้องการได้ 👉 ขวามือ จะแบ่งเป็น Tab ย่อย ๆ ในวันนี้ส่วนที่ผู้เขียนต้องการนำเสนออยู่ที่ Tab “Common” ที่ Tab “Common” หาบรรทัดที่ชื่อว่า “Suppress (No Drill-Down)” ดูที่ด้านขวา ถ้าสัญลักษณ์ “x-2” เป็น สีฟ้า แสดงว่า เรา ไม่ได้ มีการเขียนคำสั่งให้ซ่อนตามเงื่อนไข ถ้าสัญลักษณ์ “x-2” เป็น สีแดง แสดงว่า มี การเขียนคำสั่งให้ซ่อนตามเงื่อนไข จากรูปด้านล่างสามารถอธิบายได้ว่า ให้ซ่อน Page Header a โดยไม่มีเงื่อนไข ส่วนรูปด้านล่างสามารถอธิบายได้ว่า ให้ซ่อน Page Header l โดยมีเงื่อนไข ซึ่งสามารถกดเข้าไปดูเงื่อนไขที่เขียนไว้ได้ ส่วนของคำสั่งที่เขียนไว้ สามารถอธิบายได้ดังนี้ เงื่อนไขคือ ถ้า Formula Field “@hdLang” มีค่าเป็น “E” และ ไม่ใช่รายงานหน้าแรก ผลลัพธ์ที่ต้องการ ✅ถ้าตรงตามเงื่อนไข ให้แสดง Page Header l ❌ถ้าไม่ตรงตามเงื่อนไข ให้ซ่อน Section นี้ เพียงเท่านี้ ก็สามารถจัดการการซ่อนหรือแสดง Section ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ตามต้องการ o(*°▽°*)o d=====( ̄▽ ̄*)b

Read More »

Crystal Report : Grid กับการจัดรูปแบบรายงาน

ปกติแล้วการจัดรายงานใน Crystal Report ตัวหน้ากระดาษหรือหน้าจอนั้น จะเป็นหน้ากระดาษสีขาวปกติ ทำให้การจัดข้อความที่มีระยะเยื้องนั้นจัดได้ค่อนข้างยาก ตรงกันรึยังนะ หรือยังไม่ตรง นี่คือ 1 ในปัญหาของผู้เขียนเช่นกัน 🤣 ดังนั้นวันนี้ ผู้เขียนจะมาแนะนำการตั้งค่า Grid เพื่อให้การขยับ Object ในรายงานของเราง่ายขึ้น ขั้นตอนดังนี้ค่ะ 1️⃣ คลิกขวาพื้นที่โล่ง ๆ เลือกเมนู “Design” 2️⃣ ต่อด้วยเมนู “Default Setting” 3️⃣ ใน Tab “Layout” สังเกตส่วนด้านขวาที่ชื่อว่า “Grid” 👀 จะพบ Checkbox “Show Grid” ให้ ✅ ไว้ 👀 ในส่วนของ Grid Size เราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ตัวกระดาษรายงานของเราแสดง Grid ถี่แค่ไหน ในที่นี้ผู้เขียนให้ความละเอียดมากสุดเลยกำหนดไว้ที่ 0.157 4️⃣หลังจากกำหนดค่าทุกอย่างเสร็จแล้วกลับมาหน้ารายงานเดิมจะพบว่า หน้าจอเราดำมืด ไม่ต้องตรงใจค่ะ เป็นเพราะค่า Grid ที่เรากำหนดไว้ถี่มาก หน้าจอเลยกลายเป็นท่านเปา วิธีการก็คือ ไปขยายหน้าจอค่ะ โดยไปที่เมนูบาร์ด้านบน จะพบค่าที่ Default อยู่ที่ 200% ให้ขยายเป็น 400% หรือตามที่ต้องการเลยค่ะ ✨หน้าจอหลังจากขยายก็จะเห็นดังภาพนะคะ เราสามารถจัด Object ให้ตรงตามที่เราต้องการได้เล้ย ^^

Read More »

Windows Terminal (1)

เบื่อ cmd ใช้ Windows Terminal แทนกันดีกว่า… ให้ดูรูปก่อน สวยงามตระการตา!!! บางคนใช้แล้วอาจจะมีความสุข เริ่มได้ เหมาะสำหรับ Windows 10 version 1909 ขึ้นไป ติดตั้ง Git ติดตั้ง Windows Terminal จาก Microsoft Store หรือ จาก Github ถ้าหากติดตั้งจาก Github ต้องติดตั้ง Desktop Bridge VC++ v14 Redistributable Package ด้วย และโปรแกรมจะไม่อัพเดตตัวเองต้องโหลดมาปรับรุ่นเองทุกครั้ง ระวัง!!! ติดตั้งแล้วเปิดใช้งานจะได้หน้าตาประมาณนี้ เราจะเปลี่ยนหน้าตากันเริ่มจากพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ (ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต) Posh-Git เอาไว้แสดงข้อมูลของ Git ใน prompt Oh-My-Posh เป็น theme สวยๆ ของ powershell นั่นเอง ต่อด้วยคำสั่ง ตรวจสอบโฟลเดอร์สำหรับเก็บ Profile ของ PowerShell ด้วยคำสั่ง สร้างแฟ้ม $PROFILE (ไฟล์ขื่อ Microsoft.PowerShell_profile.ps1 ในโฟลเดอร์ C:\Users\haruo\OneDrive\Documents\WindowsPowerShell\) โดยมีข้อความต่อไปนี้ ปิดแล้วเปิดใหม่ก็จะได้ดังภาพ จะเห็นว่ามีเครื่องหมาย  อยู่ที่ prompt ด้วยจำเป็นต้องลงฟอนท์เพิ่มเติมนั่นคือฟอนท์ Powerline ซึ่งสามารถติดตั้งโดยโหลด Cascadia Code มาติดตั้ง เมื่อติดตั้งแล้วให้เปลี่ยนฟอนท์ของ Windows Terminal โดยคลิก แล้วเลือก Settings จะเป็นการเปิดการตั้งค่า default ที่เรียกใช้งานอยู่ ด้วย default text editor เลื่อน cursor ลงมาประมาณบรรทัดที่ 38 แล้วกด enter เพิ่มข้อความว่า save แล้วไปดูผลได้เลย สวยแล้ว! จบขอให้สนุก Oh-My-Posh ยังมี Theme อื่นๆ ลองเข้าไปเลือกดูได้ เปลี่ยน theme ได้โดยแก้แฟ้ม $PROFILE เปลี่ยนจาก Paradox เป็นอย่างอื่นเช่น Darkblood เป็นต้น save ปิดแล้วเปิด Windows Terminal ใหม่

Read More »

Transcribe speech with Google Translate

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่าน หลังจากเงียบหายไปนาน และแล้ว วันนี้ก็มาถึง วันที่ต้องกลับมาเขียน Blog อีกรอบ เพราะ …. เพราะ …. เพราะอยากเขียนนี่แหละ (หื้มมม) ไม่มีอะไรในก่อไผ่หรอก 55 อะๆ อย่ามามัวเสียเวลากันเลยเนอะ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า !! วันนี้ขอว่าด้วยเรื่องของ feature บน google translate กันหน่อย feature ที่เพิ่มเข้ามาคือ “Transcribe” การถอดข้อความจากไฟล์เสียงนั่นเอง จริงๆแล้ว คนไหนที่เคยลองใช้ลองเล่น google translate ก็จะรู้กันอยู่แล้วว่าจะมี feature เกี่ยวกับเสียงอยู่แล้วก่อนหน้า ที่สามารถฟังเสียงหรือข้อความสั้นๆ และแปลออกมาเป็นคำ หรือบริบทสั้นๆ ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแปลในส่วนของไฟล์หรือข้อความเสียงที่แบบยาวๆ ต่อเนื่องได้ สำหรับวิธีการใช้งาน feature Transcribe ที่เพิ่มเข้ามาเนี่ย ง่ายดายมากๆ 1. เปิดเข้าไปที่ app google translate2. ให้กดไปที่ icon “Transcribe” ดูได้จากรูป 3. เมื่อคลิกเข้ามาก็จะเจอกับหน้าจอขาวๆ แบบนี้ ซึ่งคือพร้อมใช้ทำงานแล้วนะ มาๆ จะลองเล่นให้ดู ทดสอบอ่านบทความ(ภาษาไทย) ให้ดูละกันนะ จากวิดีโอตัวอย่างก็จะเป็นการอ่านบทความภาษาไทยและเจ้า app ตัวนี้ก็จะแปลเป็นภาษาอังกฤษ เราก็จะได้ผลลัพธ์ประมาณนี้ เจ๋งดีเนอะ ^^ เราสามารถตั้งค่าขนาดการแสดงผลของตัวอักษร หรืออื่นๆ ได้เล็กน้อยนะ สามารถลองเล่นได้โดยกดตรง รูปฟันเฟือง (มุมล่างซ้าย) กดๆดู ไม่ยากๆ สำหรับภาษาที่จะใช้ได้นั้น ขณะนี้รองรับ 8 ภาษา คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮินดี โปรตุเกส รัสเซีย สเปน และ ไทย เน้ออออออ ^__^ อ๊ะๆ สำหรับ feature ตัวนี้ขอบอกก่อนว่าทางผู้เขียนใช้ Android นะ แต่สำหรับบน iOS เนี่ยจะอัพเดทหรือยังไม่อัพเดท ทางผู้เขียนก็ไม่มั่นใจเช่นกันแต่คาดว่าน่าจะตามกันมาติดๆนั่นแหละ รอไม่นานหรอก ก็ลองไปติดตามข่าวสารกันดูนะ หวังว่าสาระวันนี้จะมีประโยชน์สำหรับทุกคนไม่มากก็น้อย พบกันใหม่รอบหน้า ทางผู้เขียนก็จะพยายามเขียนเรื่องสาระดีๆเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีประโยชน์พอจะนำมาใช้กันได้ในชีวิตประจำวัน จะเลือกแบบที่ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรอก เพราะตัวคนเขียนก็ไม่ค่อยรู้อะไรกับเค้าเหมือนกันนั่นแหละ 55+ อ้างอิงhttps://blog.google/products/translate/transcribe-speech/ https://www.rainmaker.in.th/transcribe-speech-with-google-translate/

Read More »

วิธีใช้งาน Google Form ให้เฉพาะผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะตอบแบบฟอร์มได้ โดยต้องไม่บังคับ Login ด้วย Google Account ด้วย

Google Form เป็นเครื่องมือสร้างแบบสำรวจยอดฮิต สร้างง่าย ใช้ง่าย เหมาะสำหรับงานที่เปิดให้ใครก็ได้ สามารถตอบแบบสอบถาม แต่ ถ้าต้องการให้เฉพาะคนในองค์กรซึ่งใช้ G Suite (เช่น กรณีของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ใช้ G Suite for Education โดเมน psu.ac.th เป็นต้น) ตอบแบบสอบถามเท่านั้น ก็พอจะทำได้ แต่ก็จะเจอปัญหาคือ ผู้ใช้ในองค์กรอาจจะ Login ด้วย Web Browser ซึ่ง Sign-In ด้วย Gmail ส่วนตัว ก็จะยุ่งยากหน่อย ต้องสลับ Account เป็นต้น แล้วยิ่งบางคน ใช้ LINE เพื่อ Scan QR Code แล้วก็ไปใช้ In-App Browser ซึ่งก็ไม่รู้ว่า Sign-In ด้วย Account ไหน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นการไปใช้งานนอกสถานที่ที่ใช้ประจำ Google ก็มักจะ Challenge โดยการ ให้ระบุ เบอร์โทรศัพท์มือถือ หรือ Email ที่ใช้ Recovery สร้างความวุ่นวายได้เป็นอย่างมาก แล้ว ก็มี Requirement “ง่าย ๆ” มาให้คิด ต้องการออกแบบระบบ ลงคะแนน ให้คณะกรรมการ ซึ่งอยู่ทั้งในและนอกองค์กร ท่าน ๆ เหล่านี้ ล้วน … ทรงคุณวุฒิ และ วัยวุฒิ ใช้อุปกรณ์หลากหลาย ส่งแบบฟอร์มไปให้กรอก โดยผ่าน Email ท่าน ๆ ซึ่งเป็น @yahoo.com, @hotmail.com, @gmail.com, @xxx.edu, @xxxxxxxxx บางท่าน ไม่มี Email แต่มี LINE เท่านั้น การลงคะแนน ต้องมั่นใจว่า กรรมการแต่ละท่าน เป็นผู้ลงคะแนนจริง ๆ ท่าน ๆ ลงคะแนนได้ 1 เสียงเท่านั้น เปลี่ยนใจได้ด้วย คือ ตอนแรกจะลงคะแนนอย่างนึง แล้วก็ Submit ไปแล้ว แต่ก็คิดว่า เอ๊ะ เปลี่ยนใจแระ (ในกรอบเวลา) ไม่สามารถทราบได้ว่าใครเป็นผู้ลงคะแนนได้ (โดยง่าย) แนวทางการแก้ปัญหา Google Form มี Feature นึง ที่บางคนไม่เคยใช้ นั่นคือ “Get pre-filled link” Pre-filled Link กล่าวคือ ทำการกรอกข้อมูลบางอย่างใน Google Form แล้วส่งให้ผู้ใช้ เช่น เรารู้อยู่แล้วว่า จะส่งแบบฟอร์มนี้ ไปทาง Email ของกรรมการท่านนี้ ก็แทนที่ต้องให้ท่าน กรอกชื่อตัวเอง เราก็กรอกไปให้ท่านเลย อะไรทำนองนั้น Idea ของเราคือ จะสร้าง “Question” ชื่อ Token ขึ้นมา (จะตั้งว่าอะไรก็ได้นะ) แล้วคลิกที่ “Get Pre-filled Link” จะได้แบบฟอร์มพร้อมกรอกอย่างนี้ เราก็จะ Mark ตำแหน่งที่จะแทนค่า Token ด้วยการใส่คำอะไรก็ได้ แต่ในที่นี้ จะใส่เป็นคำว่า “token” ตัวพิมพ์เล็ก ไปใส่ แล้วคลิกปุ่ม Get Link จากนั้น คลิกปุ่ม COPY LINK Link ที่ได้ จะเป็นแบบนี้ https://docs.google.com/forms/d/e/XXXXXXXXXX/viewform?usp=pp_url&entry.625502761=token จากนั้นแค่ค่า ข้อความ “token” ด้วยค่า Hash เช่น เอาชื่อ นามสกุล และ email address ของแต่ละคนมาเข้ารหัส MD5

Read More »