วิธีการเปิด Audit Log ของ Windows 2012 เพื่อให้บันทึกการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ Account Management ต่างๆ

บน Microsoft Windows 2012 โดยปรกติจะไม่ทำการบันทึกการเปลี่ยนแปลงต่างๆเกี่ยวกับ Account ขั้นตอนต่อไปนี้จะทำให้เกิดการบันทึกใน Event Log เพื่อให้ Administrator ทราบว่า ใคร เปลี่ยนแปลงอะไร  เมื่อไหร่ ไปที่ Start Menu ค้นหา Group Policy Management เลือก Computer Configuration Policies Windows Settings Security Settings Local Policies Audit Policy จากนั้น Double Click “Audit account management” คลิกที่ Define these policy settings และเลือก Success แล้วคลิกปุ่ม OK จะได้ผลดังนี้ เมื่อเปิด Event Viewer > Security Log จะได้ผลดังนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ Account จะเกิด Task Category “User Account Management” มี Event ID 4738 ดังภาพ จะเห็นรายละเอียดว่า ใคร แก้ไข Account Name ใด เมื่อไหร่ และแก้ไข Attribute ใด เป็นอะไร หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ Reference: https://technet.microsoft.com/en-us/library/cc731607(v=ws.10).aspx https://support.microsoft.com/en-us/kb/977519  

Read More »

Oracle Database 12CR1 monitoring with MRTG

OS: Oracle Enterprise Linux  7.2  (CentOS 7.2) วิธีติดตั้ง MRTG สามารถติดตั้งได้โดยสามารถดูคู่มือที่ ติดตั้ง mrtg บน ubuntu อาจไม่เหมือนกันแต่สามารถทำได้ทำนองเดียวกัน กราฟสำหรับ Idle CPU and Load average, CPU Time spent waiting for IO, Traffic Analysis for eth0, TCP Current Establish สามารถใช้ script เดียวกับลิงค์ในข้อ ๒ ได้เลย สร้างแฟ้ม /etc/mrtg/get-memory.sh มีข้อความว่า #!/bin/bash FREE=$(free |grep “Mem:”|awk ‘{print $7}’) SWAP=$(free |grep “Swap:”|awk ‘{print $3}’) TIME=$(uptime) echo “${FREE}” echo “${SWAP}” echo “$TIME” hostname  สร้างแฟ้ม /etc/mrtg/myhost-memory.cfg มีข้อความว่า WorkDir: /var/www/mrtg/myhost Target[myhost-mem]:`/etc/mrtg/get-memory.sh` MaxBytes[myhost-mem]: 20000000000 Title[myhost-mem]: Free Memory and Swap Used PageTop[myhost-mem]: <H1>Free Memory and Swap Used</H1> ShortLegend[myhost-mem]: bytes YLegend[myhost-mem]: bytes LegendI[myhost-mem]:  Free Memory: LegendO[myhost-mem]: Swap Used: Legend1[myhost-mem]: Free memory, in bytes Legend2[myhost-mem]: Swap Used, in bytes Options[myhost-mem]: gauge, nopercent, growrightทดสอบสร้างภาพต้นแบบด้วยคำสั่ง env LANG=C /usr/bin/mrtg/myhost-memory.cfgปรับปรุงแฟ้ม index.html ด้วยคำสั่ง indexmaker –column=2 –output=/var/www/mrtg/myhost/index.html /etc/mrtg/myhost-cpu.cfg /etc/mrtg/myhost-cpu-io.cfg /etc/mrtg/myhost-speed-eth0.cfg /etc/mrtg/myhost-tcpestab.cfg /etc/mrtg/myhost-memory.cfg โฟลเดอร์ที่ต้องเฝ้าระวังได้แก่ /u02/app/oracle/adump, /u02/app/oracle/diag/rdbms/regist/regist/alert, /u02/app/oracle/rdbms_trace ซึ่งเป็นโฟลเดอร์สำหรับเก็บ Log ไฟล์ต่างๆ ซึ่งอาจมีขนาดเพิ่มขึ้นจนระบบไม่สามารถให้บริการได้ และโฟลเดอร์ /u03 เป็นโฟลเดอร์ที่ใช้เก็บ archive log (ในกรณีที่ฐานข้อมูลเปิด archive log mode) สร้างแฟ้ม /etc/mrtg/get-diskfree-misc1.sh มีข้อความว่า #!/bin/bash adump=$(du -sm /u02/app/oracle/adump|awk ‘{ print $1 }’) free=$(df -m /u02|grep u02|awk ‘{ print $4 }’) TEMP=$(uptime|grep -o “load average.*”|awk ‘{print $3}’|cut -d’,’ -f 1) LOAD=$(echo “${TEMP:-0} * 100″|bc|cut -d’.’ -f 1) TIME=$(uptime) echo “${adump}” echo “${free}” echo “$TIME” hostname สร้างแฟ้ม /etc/mrtg/myhost-diskfree-misc1.cfg มีข้อความว่า WorkDir: /var/www/mrtg/myhost Target[myhost-misc1]:`/etc/mrtg/get-diskfree-misc1.sh` MaxBytes[myhost-misc1]: 20000000000 Title[myhost-misc1]: Free disk space and disk Used of /u02/app/oracle/adump PageTop[myhost-misc1]: Free disk space and

Read More »

มาใช้งาน letsencrypt กันเถอะ

สำหรับใครก็ตามที่มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลเว็บเซิร์ฟเวอร์ในปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่าจะหลีกไม่พ้นที่จะต้องรู้เรื่องของการเซ็ตอัพให้เซิร์ฟเวอร์ที่ต้อดูแล สามารถใช้งานผ่านโปรโตคอล https ได้ นอกเหนือไปจากการใช้งานผ่านโปรโตคอล http ซึ่งเป็นโปรโตคอลมาตรฐานดั้งเดิม สำหรับการให้บริการเว็บเซิร์ฟเวอร์ เอาล่ะ ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว งานที่ต้องเพิ่มขึ้นมาสำหรับการที่จะทำให้ เว็บเซิร์ฟเวอร์สามารถใช้ https ได้ ถ้าทำให้มันใช้ http ได้แล้ว โดยทั่วไปก็ไม่ได้ยุ่งยากมากขึ้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับเซอร์ติฟิเคท (certificate) ที่ใช้ด้วย แต่ว่ากันโดยทั่วไป ระบบที่มีผู้ใช้งานเยอะ ตัวติดตั้งซอฟต์แวร์ของระบบปฏิบัติการ ก็มักจะจัดเตรียมวิธีการตรงนี้ไว้ให้แล้ว เหลือแค่การเรียกใช้งานเพิ่มแค่ไม่กี่คำสั่ง ก็สามารถใช้งานได้เลย ขอยกตัวอย่างเลยก็แล้วกัน สำหรับระบบปฏิบัติการเดเบียนลินุกซ์ (Debian Linux) รุ่น เจสซี่ (jessie) และ ใช้งาน apache เวอร์ชัน 2 เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ วิธีการติดตั้งตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์ก็คือ $ sudo apt-get install apache2 เพียงเท่านี้ เราก็สามารถใช้งานเว็บเซิร์ฟเวอร์ สำหรับให้บริการแบบสแตติกไฟล์ และสามารถใช้สคริปต์แบบ CGI ได้แล้ว แล้วถ้าต้องการให้มันรองรับแบบไดนามิก โดยใช้ภาษา php ได้ด้วยล่ะ? ก็ไม่ได้ยากอะไร ก็เพียงเพิ่มโมดูลของ php เข้าไป โดยใช้คำสั่ง $ sudo apt-get install libapache2-mod-php5 ตัวโปรแกรมสำหรับติดตั้ง (apt-get) ก็จะตรวจสอบ แพกเกจที่จำเป็นต้องใช้และยังไม่ได้ติิดตั้งเอาไว้ เช่น php5 แล้วก็ติดตั้งแพกเกจเหล่านั้นให้ด้วยเลยโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นเราก็สามารถสร้าง index.php ในไดเรคตอรี่ /var/www/html/ แล้วก็เขียนโปรแกรมภาษา php ให้บริการบนเว็บได้เลย ทีนี้ถ้าต้องการให้บริการเว็บ โดยใช้ https โปรโตคอลล่ะ เพื่อให้มีการเข้ารหัสข้อมูลที่มีการรับส่งระหว่าง ตัวเว็บเบราเซอร์ และ เว็บเซิร์ฟเวอร์ อันนี้ ไม่จำเป็นจะต้องติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เพราะตัว apache ติดตั้งให้โดยปริยายตั้งแต่แรกแล้ว แต่ ไม่ได้เปิดให้ใช้งานโดยอัตโนมัติ ผู้ดูแลระบบจะต้องสั่งเพิ่มว่า ให้เปิดบริการแบบ https ด้วย โดยใช้คำสั่งดังนี้ $ sudo a2enmod ssl $ sudo a2ensite default-ssl และสั่ง restart ตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์โดยใช้คำสั่ง $ sudo systemctl restart apache2 เท่านี้ ก็จะสามารถใช้งาน https โปรโตคอลเพิ่มเติมขึ้นมาจากเดิม ที่ใช้งานได้เฉพาะ http โปรโตคอล แต่ … มันไม่ได้จบง่ายๆแค่นั้นน่ะสิ ถึงแม้ว่าการให้บริการจะโดยใช้ https โปรโตคอลจะมีการเข้ารหัสข้อมูลที่มีการรับส่งระหว่างตัวเบราเซอร์กับตัวเซิร์ฟเวอร์ แต่ เซอร์ติฟิเคท (certificate) สำหรับกุญแจที่ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลนั้น จะเป็นแบบที่เรียกว่า self-signed certificate ซึ่งตัวเบราเซอร์โดยทั่วไปจะ ไม่เชื่อถือ (un trusted) ว่าเป็นเซอร์ติฟิเคท ที่ออกให้กับเว็บไซท์ ที่ระบุว่าเป็นโดเมนนั้นๆจริง ในการใช้งานเว็บไซท์ที่ตัวกุญแจเข้ารหัสใช้ self-signed certificate ตัวเบราเซอร์ก็จะ “เตือน”, และสร้างความยุ่งยากในการใช้งานให้กับ ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าใช้งานเว็บไซท์นั้นๆ นั่นอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร สำหรับเว็บไซท์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้บริการภายในหน่วยงานกันเอง ซึ่งผู้ใช้งานในหน่วยงาน อาจจะใช้วิธีการอื่นๆ เช่นเดินไปถาม, โทรศัพท์ไปถาม, ส่ง e-mail ไปถาม … หรือในกรณีที่เป็นจริงส่วนใหญ่ ก็คือ ไม่ต้องถาม ก็แค่กดปุ่มยอมรับความเสี่ยง ให้ตัวเบราเซอร์จำเซอร์ติฟิเคทนั้นไว้ แล้วก็ใช้งานไปแค่นั้นเอง แต่นั่น อาจจะเป็นปัญหาในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ถ้าเว็บไซท์ดังกล่าว เปิดให้บริการให้กับบุคคลภายนอกหน่วยงานด้วย ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเว็บไซต์ของภาควิชาใดภาควิชาหนึ่ง ในหลายๆคณะของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดให้บริการแบบ https ขึ้นมา และบุคคลภายนอก ซึ่งบุคคลภายนอกนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็น บุคคลภายนอกของมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งบุคคลากรของมหาวิทยาลัย แต่อยู่ต่างคณะ หรือแม้ต่างภาควิชา การที่จะตรวจสอบว่า เว็บดังกล่าว เป็นเว็บของหน่วยงานนั้นจริงๆ ก็เริ่มเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาระดับนึงแล้ว ถ้าต้องให้บริการกับบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยด้วย การที่จะตรวจสอบว่าเป็นเว็บของหน่วยงานนั้นๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่ ยุ่งยากเกินเหตุ … แน่นอน ในทางปฏิบัติ ใครที่จำเป็นจะต้องเว็บไซท์เหล่านั้น ก็คงจะต้องใช้ต่อไป ก็เพราะจำเป็นที่จะต้องใช้

Read More »

file checksum integrity verifier

Microsoft มี file checksum integrity verifier เป็น command line สามารถดาวน์โหลดมาใช้เพื่อตรวจสอบ file.iso ที่ดาวน์โหลดมาว่ามี md5sum ตรงกับที่หน้าเว็บไซต์แจ้งไว้หรือไม่ เพื่อจะได้ไม่หยิบเอา file.iso ที่อาจโดนใส่โปรแกรมไว้เนื่องจากเว็บไซต์ที่วางไฟล์ไว้อาจโดยแฮก ดาวน์โหลดได้ที่นี่ https://www.microsoft.com/en-us/download และค้นด้วยคำว่า file checksum integrity verifier แตกไฟล์ออกมาไว้ใน Folder ที่ต้องการ เช่น Downloads นำมาใช้โดยเปิด Command Prompt และพิมพ์คำสั่ง fciv.exe file.iso ดังตัวอย่าง  

Read More »

วิธีนำไฟล์ iso Linux Mint ลง USB Flash Drive ด้วยโปรแกรม Rufus for Windows

วิธีนำไฟล์ iso Linux Mint ลง USB Flash Drive ด้วยโปรแกรม Rufus for Windows เป็นการทำให้เราสามารถ boot Linux Mint ด้วย USB Flash Drive แทนการ Boot จากแผ่น DVD   ขั้นตอน 1.ดาวน์โหลด Linux Mint ISO file จากที่นี่ http://www.linuxmint.com/ (หรือในม.อ.ที่นี่ https://licensing.psu.ac.th) 2.ดาวน์โหลดโปรแกรม Rufus จากที่นี่ https://rufus.akeo.ie/ Rufus : Create bootable USB drives the easy way 3.นำไฟล์มาวางไว้ที่ Desktop ใช้ได้โดยไม่ต้องทำขั้นตอนติดตั้งโปรแกรม 4.เสียบ USB Flash Drive 5.เปิดโปรแกรม Rufus 5.คลิกเลือก ISO file ที่ดาวน์โหลดมา และคลิก Start 6.คลิก OK ยืนยันการใช้ค่าที่แนะนำ 7.รอจนเสร็จ

Read More »