Category: Operating System

  • สร้าง ER Diagram ง่ายๆ ด้วย Toad for Oracle

    สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน Blog ที่ 2 ของ TOR รอบนี้จะขอว่าด้วยเรื่องของ ER Diagram กันค่ะ การจัดทำ ER Diagram โดยปกติเราสามารถทำได้หลากหลายวิธี ใช้งานได้มากมายหลากหลายเครื่องมือ ก็แล้วแต่แหละเนอะ ว่าใครถนัดแบบไหน ใช้เครื่องมือใด

    สำหรับทางผู้เขียนจะคลุกคลีตีโมงอยู่กับ Toad for Oracle เป็นหลัก ครั้งนี้เลยจะมาขอแชร์วิธีการเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมีความสะดวกสบายในการสร้าง ER Diagram จากข้อมูลตารางที่อยู่ในฐานข้อมูลของเราโดยอัตโนมัตินั่นเอ๊งงงง !!!

    ปะ …. เรามาเริ่มกันเลยละกัน

    1. เมื่อเราเปิด Toad for Oracle และ Connect เข้า Database ที่เราต้องการเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้หน้าจอตามรูป
      ปล…หน้าตาอาจจะต่างกันเล็กน้อยแล้วแต่ version ของแต่ละคนที่ใช้งาน

    2. ให้คลิกเลือกเมนู “Database” —> จากนั้นเลือกเมนู “Report” —> เลือกเมนู “ER Diagram” เมื่อเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้พื้นที่ Workspace ของเราขึ้นมา ตัวอย่างดังรูปด้านล่างเลยจ๊ะ

    3. จากนั้นคลิกเลือก Add Objects ตรงสัญลักษณ์เครื่องหมาย + สีเขียวๆฟ้าๆ จากนั้นโปรแกรมจะแสดงหน้าต่างให้เราเลือก Table หรือ View จาก Schema ที่เราต้องการ เพื่อ “Add to ER Diagram

    ปล … ทั้งนี้หากเราไม่เลือกที่ละรายการ ก็สามารถเลือกได้ว่า Select All , Deselect All หรือ Invert selection ผ่าน เครื่องมือที่มีให้ได้เช่นเดียวกัน

    4. เราลองมาเลือก Table ข้อมูลที่เราต้องการนำมาสร้าง ER Diagram กันเลย และเมื่อเลือกเรียบร้อยแล้วก็ให้คลิกปุ่ม “OK” ได้เลยนะ จากนั้นก็จะได้หน้าตา ER Diagram ที่โยงความสัมพันธ์ของข้อมูลให้แล้ว ดังรูปเลยทุกคน !!

    5. และหากเราต้องการให้ใน ER Diagram ของเราแสดงเพียงแค่ชื่อ Column Name เท่านั้น ไม่แสดงรายละเอียดอื่นๆ ก็แนะนำให้เลือกตรงข้อความ All Columns จากนั้นเลือกแสดงแบบ “Column Names only

    6. เมื่อเลือกแสดงแบบ Column Names only ก็จะได้หน้าตาดังรูปด้านล่างนะ

    เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย Blog นี้พอจะช่วยให้การสร้าง ER Diagram สำหรับผู้อ่านง่ายขึ้นบ้างมั้ย ?

    ทั้งนี้ …. ทางผู้เขียนก็ขอออกตัวก่อนเลย มันมีมากมายหลายวิธีจริงๆ ในการสร้าง ER Diagram ทั้งอาจจะง่ายกว่าวิธีนี้ หรือยุ่งยากกว่าวิธีนี้ก็เป็นได้ ผู้เขียนจึงอยากจะขอแชร์วิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้เพื่อช่วยในการทำงานของทางผู้เขียนเองเท่านั้น และก็ยังคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย ตามคติที่ว่า “รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามมมมม” นั้นเอง 555+

    Special Thanks : Supervisor Regist Team สำหรับคำแนะนำในการใช้งานแง๊บบบบ 🙂

  • วิธี Convert Multiple email to Adobe PDF ด้วย MS Outlook

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ เอาจริงๆ ทางผู้เขียนห่างหายไปนานมากๆ กับการเขียน Blog นานมากกกกจริงๆ นะ 😊

    ต้องขอเล่าก่อนว่า ตั้งแต่สิงหาคม 2564 จนถึงสิ้นปีที่ผ่านมา การทำงานของผู้เขียนในตำแหน่ง Customer Support ค่อนข้างจะหนักหนาเอาการเลยทีเดียวแหละ 55+

    ดังนั้นปัญหาที่ตามมาคือการตอบคำถามให้กับนักศึกษาทั้ง 5 วิทยาเขตของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งช่องทางหลักๆ หนึ่งในการให้บริการคือ ถาม-ตอบปัญหาผ่านทาง Email ค่ะ

    สำหรับปัญหาของผู้เขียนคือ จะทำยังไง??? ที่จะเอา Email ในรอบ 4-5 เดือนที่ถาม-ตอบไปทั้งหมดออกมาเพื่อให้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ สามารถตรวจสอบได้ว่าเนื้อหา หรือปัญหาที่พบเจอมีอะไรบ้าง (คร่าวๆ ก็เกือบๆ 2000 ฉบับแหละ หื้ม)

    มาค่ะ เรามาเริ่มกันเลย …. วันนี้ทางผู้เขียนจะมาขอแบ่งปันเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เกี่ยวกับการ export ข้อมูลจาก Email บน Microsoft outlook ให้อยู่ในรูปแบบ PDF กันค่ะ

    โดยผู้เขียนจะขอพูดถึงในส่วนที่ผู้เขียนทราบและได้ทดสอบใช้งานจริงค่ะ

    ปล … จริงๆ แล้ว Microsoft Outlook มันก็มีวิธีให้เรา Export ข้อมูลในตัวของมันอยู่แล้ว แต่อาจจะอยู่ในรูปแบบของ .pst ซึ่งไม่ใช่แบบ pdf ที่ทางผู้เขียนต้องการเท่านั้นเอง แหะๆ (แต่จริงๆ อาจจะมีวิธีที่ทำได้มากกว่าวิธีที่ผู้เขียนจะแชร์ก็ได้นะ)

    Export ข้อมูล Email ทั้ง Folder ออกจาก Microsoft Outlook ให้อยู่ในรูปแบบ PDF

    ขั้นตอนที่ 1 : อย่างแรกเลยคือ เครื่องของผู้ใช้งานจะต้องติดตั้งหรือมี Adobe acrobat pro DC ก่อนนะ (วิธีดาวน์โหลดติดตั้งโปรแกรม สามารถค้นหาผ่าน google ได้เลยนะทุกคน)

    ขั้นตอนที่ 2 : เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วก็ Sign in เข้าไปด้วย Adobe Account กันเลย เมื่อขั้นตอนของการติดตั้ง Sign in เรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่ในส่วนของ Microsoft Outlook กันค่ะ

    ขั้นตอนที่ 3 : จากนั้นให้ผู้ใช้งานเปิดโปรแกรม Microsoft Outlook ขึ้นมาเลยค่ะ (จากรูปผู้เขียนใช้ Office 365 นะ)จะสังเกตได้ว่า จะมีเมนู Acrobat เพิ่มเข้ามาตามในรูปเลย

    ขั้นตอนที่ 4 : จากนั้นหากผู้ใช้ต้องการดำเนินการใน Folder ไหน ก็ให้คลิกขวาที่ Folder นั้นได้เลยค่ะ อย่างในรูปผู้เขียนจะดำเนินการใน Folder ที่ชื่อว่า “อว.ลดค่าเทอม” เมื่อเราคลิกขวา จะปรากฏเมนูที่ชื่อว่า “Convert อว.ลดค่าเทอม to Adobe PDF

    ขั้นตอนที่ 5 : คลิกเลือกเมนู “Convert อว.ลดค่าเทอม to Adobe PDF” ได้เลยค่ะ จากนั้น ก็เลือก Location สำหรับบันทึกไฟล์ดังกล่าว เมื่อยืนยันเรียบร้อยแล้ว Microsoft Outlook ก็จะทำการ Convert ข้อมูลใน Folder ดังกล่าวออกมาให้ค่ะ

    ปล…สำหรับของผู้เขียนรอนานมากกกกกกกค่ะ เพราะมีข้อมูลเกือบๆจะ 2000 ฉบับแน่ะ !!!

    ขั้นตอนที่ 6 : เมื่อเรียบร้อยแล้วเราก็จะได้ข้อมูลเป็นไฟล์ PDF ออกมาค่ะ ก็ลอง Double Click เปิดไฟล์ดูได้เลยค่ะ จะได้หน้าตาประมาณนี้นี่เอง ง่าย และสะดวกกกกกก ไม่ต้องนั่งทำผ่าน Email ที่ละฉบับ

    เป็นยังไงกันบ้างค่ะ พอจะช่วยเหลือการทำงานให้กับผู้อ่านได้บ้างรึเปล่าเอ่ย ???

    แต่ยังไงก็ตามผู้เขียนก็ยังคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยค่ะ เจอกันใหม่อีกทีใน Blog หน้า Coming Soon !!

    ปล … สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณผู้ช่วยเหลือ แนะนำและให้ข้อมูลสำหรับผู้เขียนมา ณ โอกาสนี้ด้วยแง๊บบบบบบบ

  • วิธี Install Windows Service (ที่เขียนด้วย VS.Net) ตัวเดียวกันมากกว่า 1 ครั้ง

    ปกติวิธี Install Windows Service ที่เขียนด้วย VS.Net เป็นดังนี้

    InstallUtil.exe MyService.exe

    และคำสั่ง Uninstall Windows Service ที่เขียนด้วย VS.Net เป็นดังนี้

    InstallUtil.exe /u MyService.exe

    อย่างเช่นมีไฟล์ Windows Service ชื่อ KillLoginSession โดยจะมีทั้ง file exe และ file config

    ไว้ใน folder C:\service1 ดังรูป

    เมื่อ run คำสั่งดังนี้

    %WINDIR%\Microsoft.NET\Framework\v2.0.50727\InstallUtil.exe c:\service1\KillLoginSession.exe

    แล้วเปิด Services ของ Windows ขึ้นมา จะมี Service KillLoginSession ปรากฎดังรูป

    ซึ่ง Service ตัวนี้จะมี Properties ดังนี้

    คือมี Service name = KillLoginSessionService

    และมี Display name = ALIST Kill Login Session Service

    ถ้าต้องการติดตั้ง Service KillLoginSession เพิ่ม เพราะบางครั้งต้องการใช้ Service เดิมแต่ปรับแก้ค่าที่ config file

    ก็ทำการ copy Service KillLoginSession ไปไว้เพิ่มใน folder C:\service2 ดังรูป

    แล้ว run คำสั่ง

    %WINDIR%\Microsoft.NET\Framework\v2.0.50727\InstallUtil.exe c:\service2\KillLoginSession.exe

    จะปรากฎ error ดังรูป

    คือมี service นี้ติดตั้งอยู่แล้ว

    วิธีแก้คือ ให้ใส่ code ดังนี้

    sc create <servicename> binpath= “<pathtobinaryexecutable>” [option1] [option2] [optionN]

    <servicename> คือ ชื่อ service ที่กำหนดขึ้นมาโดยต้องไม่ตรงกับ service ที่ทำงานอยู่

    <pathtobinaryexecutable> คือ ตำแหน่งที่ตั้งของ file service ที่จะทำการ Install

    [option] ไว้สำหรับใส่คำสั่งอย่างอื่นเพิ่ม เช่น Display Name จะมีหรือไม่มีก็ได้

    ใส่ code ตามข้างบนได้ดังนี้

    sc create KillLoginSessionTest binpath=”C:\service2\KillLoginSession.exe” DisplayName=”ALIST Kill Login Session Test”

    จะได้ผลดังรูป

    มี Properties ดังนี้

    คือมี Service name กับ Display name ตามที่ได้กำหนดไว้

    คำสั่งสำหรับ Uninstall ก็คือ

    sc delete <servicename>

    ถ้าต้องการ Uninstall Service ที่สร้างขึ้นก็ใส่ code ดังนี้

    sc delete KillLoginSessionTest

  • Flutter : ดึงข้อมูลจาก RESTFul API

    สำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชันในตอนนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก Flutter อย่างแน่นอนนะครับ ซึ่งตอนนี้ก็ออกเวอร์ชัน 2.2 มาแล้ว สำหรับผมเองที่เพิ่งเริ่มศึกษาก็ขอเริ่มด้วยการทดสอบดึงข้อมูลจาก API เป็นอย่างแรกนะครับ เพราะแอปพลิเคชันสำหรับใช้งานด้านต่างๆ ในองค์กรมักจะต้องใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล โดยการเชื่อมต่อผ่าน API เป็นหลักครับ

    ขั้นตอนการติดตั้งบน Windows และเตรียมเครื่องมือสามารถอ่านได้ที่ https://flutter.dev/docs/get-started/install/windows

    ในบทความนี้ผมใช้ Visual Studio Code นะครับโดยติดตั้ง Extention เพิ่มเติมดังนี้

    1. เปิด Visual Studio Code
    2. คลิกเมนู View > Command Palette
    3. พิมพ์ “install”, จากนั้นเลือก Extensions: Install Extensions.
    4. พิมพ์ “flutter” เลือก install
    5. พิมพ์ “dart” เลือก install
    6. เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยจะมีรายการ Extention ดังรูปครับ

    จากนั้นทำการสร้างโปรเจค ดังนี้ครับ

    1. คลิกเมนู View > Command Palette
    2. พิมพ์ “flutter”, จากนั้นเลือก Flutter:New Application Project
    3. จะได้โปรเจคที่มีโครงสร้างไฟล์ดังรูปครับ

    สำหรับท่านใดที่อยากเห็นหน้าตาแอปพลิเคชันเริ่มต้น ให้เปิด USB Debuging ที่มือถือให้เรียบร้อย ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ จากนั้นที่มุมขวามือล่างของ Visual Studio Code ให้เลือกชื่อมือถือของท่าน จากนั้นกด F5 ได้เลยครับ

    ในการเชื่อมต่อกับ API เราจะต้อง import package เพิ่มโดยพิมพ์คำสั่งที่ terminal > cmd ดังรูปครับ

    จากนั้นแก้ไขในไฟล์ main.dart โดยเริ่มจากการ import ดังนี้ครับ

    import 'dart:async';
    import 'dart:convert';
    
    import 'package:flutter/material.dart';
    import 'package:http/http.dart' as http;
    

    ด้านล่างเป็น Code ที่เชื่อมต่อ API โดยใช้ http.get เพื่อดึงข้อมูลแบบ Get จากนั้นก็ return ค่า response โดยใช้ประเภท Future เทียบกับภาษาอื่นๆ ประเภทข้อมูลนี้ก็คือ CallBack นั้นเองครับ เอาไว้อ่านค่าที่ได้จาก api เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว (ในอนาคต ไม่รู้ตอนไหน เมื่อเสร็จจะบอก ประมาณนั้น) ซึ่งข้างในเป็นค่าประเภท dynamic ที่ได้จาก jsonDecode

    Future<dynamic> fetchAlbum() async {
      final response =
          await http.get(Uri.parse('https://jsonplaceholder.typicode.com/albums'));
    
      if (response.statusCode == 200) {
        return jsonDecode(response.body);
      } else {
        throw Exception('Failed to load album');
      }
    }

    ตรงนี้เป็นการสร้าง Widget สำหรับแสดงข้อมูลเป็นแถวๆ

    Widget _buildRow(String dataRow) {
      return ListTile(
        title: Text(
          dataRow,
          style: TextStyle(fontSize: 20, fontWeight: FontWeight.bold),
        ),
      );
    }

    ต่อไปก็จะเป็น Main Function ที่มีการประกาศ state เพื่อเก็บข้อมูลไว้แสดงผลในรูปแบบ ListView เมื่อได้ข้อมูลจาก API มาแล้วนะครับ

    void main() => runApp(MyApp());
    
    class MyApp extends StatefulWidget {
      MyApp({Key? key}) : super(key: key);
    
      @override
      _MyAppState createState() => _MyAppState();
    }
    
    class _MyAppState extends State<MyApp> {
      late Future<dynamic> futureAlbum;
    
      @override
      void initState() {
        super.initState();
        futureAlbum = fetchAlbum();
      }
    
      @override
      Widget build(BuildContext context) {
        return MaterialApp(
          title: 'Fetch Data Example',
          theme: ThemeData(
            primarySwatch: Colors.blue,
          ),
          home: Scaffold(
            appBar: AppBar(
              title: Text('Fetch Data Example'),
            ),
            body: Center(
              child: FutureBuilder<dynamic>(
                future: futureAlbum,
                builder: (context, snapshot) {
                  if (snapshot.hasData) {
                    return ListView.builder(//สร้าง Widget ListView
                        padding: EdgeInsets.all(16.0),
                        itemBuilder: (context, i) {
                           //หากไม่สร้าง Object สามารถเรียกใช้งานแบบนี้ได้เลย
                          return _buildRow(snapshot.data[i]["title"].toString()); 
                        });
                  } else if (snapshot.hasError) {
                    return Text("${snapshot.error}");
                  }
    
                  // รูป Spiner ขณะรอโหลดข้อมูล
                  return CircularProgressIndicator();
                },
              ),
            ),
          ),
        );
      }
    }

    เมื่อ Run ดูก็จะได้หน้าตาประมาณนี้ครับ

    เรียกได้ว่าสัมผัสแรกกับ Flutter รู้สึกประทับใจทั้งในด้าน Extension ที่มีใน Visual Studio Code ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการพัฒนาด้วย .Net Framwork เพราะสามารถ Debug ได้ มี Intellisense ครบถ้วน ในด้าน Syntax เนื่องจากเป็นภาษาใหม่ยังต้องทำความเข้าใจอีกพอสมควร ในด้านการออกแบบ UI สำหรับท่านใดที่เคยใช้ React Native มาน่าจะพอเข้าใจ Concept ของ View Widget (เทียบเท่า Component) ได้ไม่ยากนัก ถ้าหากได้นำมาใช้ในงาน Production จริงๆ แล้วจะนำประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆมาแชร์กันเพิ่มเติมครับ

    อ้างอิง

    https://flutter.dev/docs/get-started/codelab

    https://flutter.dev/docs/cookbook/networking/fetch-data

  • การใช้งาน touchpad ใน windows 10

    การใช้งาน touchpad ใน windows 10 มีดังนี้

    1. ใช้ 1 นิ้วกดที่ touchpad  การทำงานจะเหมือนกด mouse ด้านซ้าย

    ถ้ากด 1 ครั้ง จะเป็นการเลือกไฟล์หรือกดปุ่มคำสั่งที่ cursor ชี้อยู่เวลานั้น

    ถ้ากด 2 ครั้ง จะเป็นการเปิดไฟล์หรือเปิดโปรแกรม

    2. ใช้ 1 นิ้วกดที่ touchpad  2 ครั้งค้างไว้แล้วลาก  การทำงานจะเหมือนกด mouse ด้านซ้ายค้างไว้แล้วเลื่อน mouse

    เป็นการเลื่อนไฟล์ที่เลือกไปตำแหน่งอื่น หรือ เป็นการเลือกไฟล์แบบคลุม หรือใช้เลื่อน scroll bar

    3. ใช้ 2 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้ง การทำงานจะเหมือนกด mouse ด้านขวา

    เป็นการแสดงคำสั่งอื่นๆ

    4. ใช้ 2 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้งค้างแล้วกางออกหรือหุบเข้า

    เป็นการทำ Zoom in , Zoom out

    5. ใช้ 2 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้งค้างแล้วเลื่อนขึ้นลง

    เป็นการเลื่อนหน้าจอขึ้นลง

    6. ใช้ 3 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้ง

    เป็นการเปิดปุ่ม search

    7. ใช้ 3 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้งค้างแล้วลากขึ้น

    เป็นการเปิด task view

    8. ใช้ 3 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้งค้างแล้วลากลง

    เป็นการแสดงหน้า desktop

    9. ใช้ 3 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้งค้างแล้วลากไปทางซ้ายหรือขวา

    เป็นการสลับโปรแกรมที่เปิดใช้งานอยู่

    10. ใช้ 4 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้ง

    เป็นการเปิด Action Center

    11. ใช้ 4 นิ้วกดที่ touchpad  1 ครั้งค้างแล้วลากไปทางซ้ายหรือขวา

    เป็นการเลือกหน้า Desktop ที่เปิดอยู่

    ถ้าต้องการปิดการใช้งาน touchpad ขณะเสียบ mouse ให้ทำดังนี้

    1. เปิด windows setting แล้วเลือก Devices

    2. เลือก Touchpad แล้วเอาเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ “Leave touchpad on when a mouse is connected” ออก

  • ลบภาพบนเอกสาร Word ทั้งหมดได้ง่าย ๆ ภายในพริบตา

    หลายท่านคงเคยมีปัญหาในการนำข้อความจาก word  อาจจะต้องนำไป Copy ไว้ที่ไหนสักที่ หรือ นำไปเขียน blog บนเว็บ แต่ไฟล์ที่เรามีอยู่ในมือ ดูแล้วมีรูปภาพเต็มไปหมด ไอ้เราก็ต้องการเฉพาะแค่ข้อความเท่านั้น ทำไงล่ะทีนี้ จะต้องมานั่งลบรูปทีละรูปอย่างนั้นเหรอ ?? เสียเวลาชะมัด เห้อ …..  แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ มันไม่เสียเวลาขนาดนั้น มันก็มีวิธีอยู่นะคะ ที่เราจะไม่ต้องมานั่งคลิกลบทีละรูป เอาล่ะมาดูวิธีกันดีกว่า

    1. เปิดไฟล์ที่เราต้องการลบรูปทั้งหมดขึ้นมา จะเห็นว่าในไฟล์มีรูปภาพหลายรูปเลยล่ะค่ะ


    2. คลิกที่ปุ่ม Replace


    3. ในช่อง Find What  ให้พิมพ์ ^g   ส่วนตรง Replace With ไม่ต้องกรอกอะไรลงไปค่ะ ปล่อยว่างไว้เลย  จากนั้นให้กดปุ่ม Replace All


    4. ปรากฏข้อความแจ้งดำเนินการเสร็จสิ้น กดปุ่ม OK เพื่อปิดข้อความ


    5. กดปุ่ม Close เพื่อปิดหน้าจอการ Replace


    6. จะเห็นว่ารูปทั้งหมดหายวับไปกับตา เหลือเพียงแค่ข้อความที่เราต้องการ


    เป็นไงคะ ไม่ยากเลยใช่ไหม จากที่ต้องคอยลบทีละรูป คราวนี้ใช้เวลาแค่ไม่ถึงนาทีก็ลบรูปได้ทั้งหมดเลย  ^^

  • ตรวจสอบ Battery ด้วยคำสั่งเดียว (Windows OS)

    เคยมั้ยครับอยากรู้ว่า Battery ของ Notebook ที่เราใช้งานอยู่ Design Capacity จากโรงงานเท่าไหร่ Full Charge Capacity ตอนนี้เหลือเท่าไหร่ ปกติก็ต้องหาโหลดโปรแกรม ติดตั้งและค่าที่ได้ออกมาบางทีก็ไม่ครบถ้วน เสี่ยงต่อมัลแวร์ ต้องเลือกแหล่งที่มาดีๆ สำหรับท่านที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows นั้น มีเครื่องมือที่ชื่อว่า powercfg ติดมาอยู่แล้วนะครับ จริงๆความสามารถของมันที่เกี่ยวกับการจัดการพลังงานของเครื่องมีเยอะมากครับ สามารถใช้คำสั่ง powercfg /? เพื่อเรียกดูความสามารถอื่นๆได้ โดยในบทความนี้ผมจะแนะนำวิธีการออก Battery report เพื่อตรวจสอบ Battery ของเราครับ

    • เปิด cmd ขึ้นมา (พิมพ์ค้นหาว่า cmd )
    • พิมพ์คำสั่ง powercfg /batteryreport /output “c:\battery-report.html”

  • เสร็จเรียบร้อยครับเราก็จะได้ไฟล์ battery-report.html อยู่ที่ c:\ สามารถเปลี่ยนชื่อไฟล์ หรือที่จัดเก็บได้
  • ไฟล์ดังกล่าวสามารถเปิดดูด้วย Browser ได้ทุกตัวครับ โดยในไฟล์ดังกล่าวจะประกอบไปด้วย

    ข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
    ข้อมูล Battery ชื่อรุ่นและสิ่งที่เราอยากทราบนะครับ จากโรงงานความจุเท่าไหร่ (Design Capacity) ตอนนี้ชาร์ทเต็มแล้วได้เท่าไหร่ (Full Charge Capacity)
    ถ้าใครอยากทราบประวัติก็มีให้ดูครับ (ลดเร็วมาก เนื่องจากผมใช้งานแบบเสียบสายชาร์ทไว้ตลอดเวลา)
    สุดท้ายคือค่าประมาณเวลาที่ Battery ใช้งานได้ โดยช่องแรกคือเวลาที่ใช้ปกติ ช่องที่สองคือเวลา Stand by โดยคิดจาก Full Charge Capacity ช่องที่สาม สี่ คิดจาก Design Capacity ซึ่งคิดจากประวัติการใช้งานเครื่องของเราครับ (น่าจะเป็นค่าเฉลี่ย เปิดโปรแกรมที่ใช้พลังงานเยอะๆ ตลอดเวลาก็น่าจะต่ำกว่านี้)
  • พิมพ์ข้อความใน Excel แล้วให้มีเสียงพูด

    วันนี้มาแนะนำเทคนิคง่าย ๆ ในการพิมพ์ลงในเซลให้มีเสียงอ่านอัตโนมัติ เราพิมพ์อะไรลงไปก็ให้มันอ่านคำนั้นออกมา มีวิธีการตั้งค่ายังไง มาดูกันค่ะ

    1.เปิด Excel ขึ้นมา ไปที่เมนู File > More > Options

    ตั้งค่าดังรูปข้างต้น จากนั้นจะมี Icon ดังกล่าวแสดงที่แถบ Ribbon ดังรูป

    วิธีการใช้งานให้คลิกปุ่มข้างต้น 1 ครั้ง สังเกตว่าเมื่อคลิกคือเปิดการใช้งาน จะแสดงในลักษณะเหมือนถูกกด ถูกคลิก ถูกใช้งาน จากนั้นมาทดสอบพิมพ์ข้อความช่องไหนก็ได้ เช่นพิมพ์คำว่า Hello แล้วกดปุ่ม “Enter” มันก็จะอ่านว่า “Hello” พิมพ์ประโยค แล้วกดปุ่ม “Enter” ก็จะอ่านทั้งประโยค พิมพ์ตัวเลข เช่น 1 ก็จะอ่านว่า “one” ข้อจำกัดคือจะอ่านเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น!!

    หากไม่ใช้งาน Function ดังกล่าวแล้วก็กดที่ปุ่มเดิม เพื่อยกเลิกการใช้งานค่ะ

    อันนี้เป็นเทคนิคน้อย ๆ นะคะในการใช้ Excel การพิมพ์แล้วให้มีเสียงยังไง

  • วิธี Zoom icon บน iPhone

    เวลาที่เราจะต้องการ Capture เพื่อทำคู่มือ หรือ ต้องการส่งหน้าจอให้ผู้อื่นดูว่าใช้ Icon ไหนในการเข้าใช้งาน เราสามารถ Capture หน้าจอพร้อมทั้ง Zoom Icon ให้ผู้ใช้เห็นกันชัดๆ อีกด้วย โดยมีขั้นตอนดังนี้ค่ะ

    1. Capture หน้าจอ โดยกดปุ่ม Home พร้อมกับปุ่ม Power จะเข้าหน้าจอของการแก้ไขภาพ  เลือกเครื่องหมาย + กด แล้วเลือก Magnifier


    2. ปรากฏแว่นขยาย ให้เลือกเลื่อนไปยัง Icon ที่เราต้องการ Zoom แล้วปรับขนาดได้ตามต้องการ

    3. จะได้หน้าจอผลลัพธ์ที่เราได้ Zoom ไว้

    ซึ่งวิธีนี้เรายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อ Zoom ข้อความหรือเมนูต่างๆ ได้ตามที่เราต้องการค่ะ ลองดูนะคะบางทีส่งรูปไปคนรับก็อาจจะหาเมนูหรือข้อความไม่เจอ นอกจากใช้วิธีขีดเส้นแบบวงกลมเอาตามที่เราเคย ๆ ใช้กันแล้ว วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธี แถมยังดูมืออาชีพด้วยค่ะ