Category: Open Source Software & Freeware

  • Windows Terminal (3)

    • ติดตั้ง WSL2 ก็แล้ว แต่ใช้แค่ bash ดูไม่ว้าววววว เลย ให้ดูตัวอย่างก่อนที่

    https://github.com/ohmyzsh/ohmyzsh/wiki/Themes

    สวยงามอล่างฉ่าง
    • มาติดตั้ง zsh และ theme กัน
    • เริ่มจากติดตั้ง zsh
    sudo apt install zsh
    install zsh
    • ต่อด้วยคำสั่งต่อไปนี้เพื่อติดตั้ง ohmyzsh
    sh -c "$(curl -fsSL https://raw.githubusercontent.com/ohmyzsh/ohmyzsh/master/tools/install.sh)"
    • จากภาพจะมีการเปลี่ยน default shell ด้วยเปลี่ยนจาก bash เป็น zsh ฉะนั้นเมื่อเปิด wsl terminal ครั้งใดก็จะได้เป็น zsh shell ทุกครั้ง
    • สิ่งที่เพิ่มมาและมีความสำคัญมากคือ .oh-my-zsh และ .zshrc
    • เสร็จละง่าย!! แต่ theme ตั้งต้นอาจจะไม่ฉูดฉาด
    • แก้ไขแฟ้ม .zshrc ด้วย editor ที่ชื่นชอบ!
    • ดูชื่อ theme ต่างๆ ได้ที่ https://github.com/ohmyzsh/ohmyzsh/wiki/Themes
    • มองหาคำว่า ZSH_THEME=”robbyrussell” สามารถเปลี่ยน robbyrussell เป็นอย่างอื่นได้เลย เช่น bira เปลี่ยนแล้ว save เมื่อออกมาอยู่ที่ prompt ให้พิมพ์
    . ./.zshrc
    • (อ่านว่า จุด-เว้นวรรค-จุด-สแลช-จุด-แซ่ด-เอส-เอช-อาร์-ซี)
    • หรือพิมพ์ว่า
    source .zshrc
    • ก็จะเปลี่ยนหน้าตาไปทันที ก่อนหน้านี้ต้องเคยติดตั้ง powerline font มาก่อนซึ่งในตอนที่ 1 ได้ให้ติดตั้งไปแล้ว จะได้ดังรูป
    • สวยแล้ว ทั้งนี้สวยแต่ละคนไม่เท่ากันก็อาจจะลองเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นๆ ได้เลย หรือหากต้องการเขียนเองก็ทำได้ อ่านเอกสารเองนะจ๊ะ
    • เท่านี้ก่อนสำหรับ zsh shell
    • สำหรับ zsh สามาติดตั้งได้บน linux server แทบทุกดิสโทรเลยทีเดียว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ubuntu หรือ debian ยังมี repository และ plugin เสริมต่างๆ ของ zsh อีกด้วย (ค่ายอื่นอาจจะมีแต่ไม่ได้ใช้งานมากเลยไม่ทราบนะครับ)
    • จบขอให้สนุก
    • ต้นฉบับ https://ohmyz.sh/
  • Windows Terminal (2)

    Q: วันก่อนติดตั้ง WSL2 แล้วอยากใช้งาน bash บน Windows Terminal ด้วยทำไง?

    A: กด แล้วเลือก Ubuntu 20.04 ไงล่ะ!!

    Q: ไม่อยากกดเอาแบบเปิดมาแล้วเป็น ubuntu เลยอ่ะ

    A: แก้ Settings คลิก เลือก Settings

    จะเป็นการเปิดการตั้งค่าต่างๆ ด้วย Text Editor ที่ชื่นชอบ

    เลื่อนลงมาดูเรื่อยๆ จะเจอว่ามี Ubuntu-20.04 อยู่

    สนใจบรรทัดที่เขียนว่า “guid”: ให้ copy ข้อความที่อยู่ภายใน “{ }” มาทั้งหมด จากตัวอย่างคือ 07b52e3e-de2c-5db4-bd2d-ba144ed6c273 แล้วให้เลื่อนจอขึ้นไปด้านบนจนเห็นบรรทัดที่มีข้อความว่า “defaultProfile”: แทนที่ข้อความที่อยู่ภายในเครื่องหมาย “{ }” ด้วยข้อความที่ copy ไว้

    เปลี่ยนเป็น

    แล้ว save ปิดแล้วเปิดใหม่ก็จะได้ Ubuntu-20.04 เป็นค่า default

    • จบขอให้สนุก
  • SSH:- no matching key exchange method found

    เดี๋ยวนี้ใน Windows 10 ก็มี ssh ให้ใช้งาน แต่พอใช้กับเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่าๆ ก็เข้าไม่ได้ซะงั้น ไปลอง ssh ฝั่ง Linux (WSL2) ก็ให้ผลเหมือนกันคือ!!!

    Linux
    Windows
    • ถ้าเป็นเมื่อก่อน วิ่งไปหา putty อย่างไว…. แต่ Windows อุตส่าห์ทำมาให้ใช้แล้วทั้งทีจะไม่ใช้ได้ยังไง
    • สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อนคือ man ssh_config สำหรับ Linux ฝั่ง client ว่ารองรับ ciphers และ kexalgorithms แบบไหนรองรับหรือไม่ ส่วนฝั่ง Windows 10 จะอิงตาม OpenBSD manual ซึ่งเหมือนกับ Linux แหละ
    KexAlgorithms
    Ciphers
    • สร้างแฟ้ม .ssh/config โดย
      • Linux ก็จะให้สร้างที่ /home/username/.ssh/
      • Windows ก็อยู่ที่ C:\Users\username\.ssh
    • สำหรับ error ว่า no matching key exchange method found. Their offer: diffie-hellman-group-exchange-sha1,diffie-hellman-group14-sha1,diffie-hellman-group1-sha1 ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้ลงในแฟ้ม .ssh/config โดย somhost.example.org เป็นชื่อและโดเมนเนมของ server เป้าหมาย
    Host somehost.example.org
    	KexAlgorithms +diffie-hellman-group1-sha1
    • สำหรับ error ว่า no matching cipher found. Their offer: aes128-cbc,3des-cbc,blowfish-cbc,cast128-cbc,arcfour,aes192-cbc,aes256-cbc,rijndael-cbc@lysator.liu.se ให้เลือกมา 1 cipher ที่ปรากฎใน error มาใส่ในแฟ้ม .ssh/config
    Host somehost.example.org
        Ciphers aes256-cbc
    • บาง server ต้องรวมทั้งสองอย่างเช่น
    Host somehost.example.org
        KexAlgorithms +diffie-hellman-group1-sha1
        Ciphers aes256-cbc
    • ถ้าไม่อยากสร้างแฟ้ม .ssh/config สามารถสั่งผ่าน command line ได้เลยเช่น
    ssh -oKexAlgorithms=+diffie-hellman-group1-sha1 oracle@somehost.example.org

    หรือ ถ้ามี error 2 อย่าง

    ssh -oKexAlgorithms=+diffie-hellman-group1-sha1 -c aes256-cbc oracle@somehost.example.org

    เมื่อสร้างแฟ้ม .ssh/config แล้วลอง ssh เข้าไปใหม่

    Linux
    Windows
  • Windows Terminal (1)

    เบื่อ cmd ใช้ Windows Terminal แทนกันดีกว่า… ให้ดูรูปก่อน

    สวยงามตระการตา!!!

    บางคนใช้แล้วอาจจะมีความสุข

    เริ่มได้

    • เหมาะสำหรับ Windows 10 version 1909 ขึ้นไป
    • ติดตั้ง Git
    • ติดตั้ง Windows Terminal จาก Microsoft Store หรือ จาก Github

    ถ้าหากติดตั้งจาก Github ต้องติดตั้ง Desktop Bridge VC++ v14 Redistributable Package ด้วย และโปรแกรมจะไม่อัพเดตตัวเองต้องโหลดมาปรับรุ่นเองทุกครั้ง

    ระวัง!!!
    • ติดตั้งแล้วเปิดใช้งานจะได้หน้าตาประมาณนี้
    • เราจะเปลี่ยนหน้าตากันเริ่มจากพิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ (ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต)
    Install-Module posh-git -Scope CurrentUser
    Install-Module oh-my-posh -Scope CurrentUser

    Posh-Git เอาไว้แสดงข้อมูลของ Git ใน prompt
    Oh-My-Posh เป็น theme สวยๆ ของ powershell นั่นเอง

    • ต่อด้วยคำสั่ง
    Set-ExecutionPolicy Unrestricted -Scope CurrentUser
    • ตรวจสอบโฟลเดอร์สำหรับเก็บ Profile ของ PowerShell ด้วยคำสั่ง
    echo $PROFILE
    • สร้างแฟ้ม $PROFILE (ไฟล์ขื่อ Microsoft.PowerShell_profile.ps1 ในโฟลเดอร์ C:\Users\haruo\OneDrive\Documents\WindowsPowerShell\) โดยมีข้อความต่อไปนี้
    Import-Module posh-git
    Import-Module oh-my-posh
    Set-Theme Paradox
    • ปิดแล้วเปิดใหม่ก็จะได้ดังภาพ
    • จะเห็นว่ามีเครื่องหมาย  อยู่ที่ prompt ด้วยจำเป็นต้องลงฟอนท์เพิ่มเติมนั่นคือฟอนท์ Powerline ซึ่งสามารถติดตั้งโดยโหลด Cascadia Code มาติดตั้ง
    • เมื่อติดตั้งแล้วให้เปลี่ยนฟอนท์ของ Windows Terminal โดยคลิก แล้วเลือก Settings
    • จะเป็นการเปิดการตั้งค่า default ที่เรียกใช้งานอยู่ ด้วย default text editor
    • เลื่อน cursor ลงมาประมาณบรรทัดที่ 38 แล้วกด enter เพิ่มข้อความว่า
    "fontFace": "Cascadia Code PL",
    "fontSize": 10,
    • save แล้วไปดูผลได้เลย
    • สวยแล้ว!
    • จบขอให้สนุก
    • Oh-My-Posh ยังมี Theme อื่นๆ ลองเข้าไปเลือกดูได้
    • เปลี่ยน theme ได้โดยแก้แฟ้ม $PROFILE เปลี่ยนจาก Paradox เป็นอย่างอื่นเช่น Darkblood เป็นต้น save ปิดแล้วเปิด Windows Terminal ใหม่
  • [บันทึกกันลืม] แก้ปัญหา server certificate verification failed บน gitlabs

    ปัญหาคือ: จะ git push จาก Linux/Ubuntu มาเก็บใน gitlabs ขององค์กร

    git push -u origin master

    แต่ติดปัญหาว่า

    fatal: unable to access 'https://gitlab.xxx.xxx.xxxx/userid/repo.git/': server certificate verification failed. CAfile: /etc/ssl/certs/ca-certificates.crt CRLfile: none

    วิธีแก้ปัญหา (แบบรีบ ๆ)

    git config --global http.sslVerify false

    ก็จะใช้งานได้แล้ว

    *** เออ “ก็ง่าย ๆ” แต่ไม่มีบอกไว้ให้หาง่าย ๆ นิ ***

  • Byeๆ TLS1.0 TLS1.1

    ใช้ Firefox beta อยู่เลยจะได้รับ Feature อะไรใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ จนเมื่อ beta 73 กว่าๆ เริ่มเข้าเว็บบางเว็บในมหาวิทยาลัยไม่ได้ จะปรากฏหน้าดังนี้

    เว็บสามัญประจำบ้านแห่งหนึ่ง

    อ่านดูถึงได้รู้ว่าออ เค้าจะเลิก TLS1.0 และ TLS1.1 แล้วจริงประกาศไว้นานละว่าจะเลิกปีนี้!! สำหรับ Firefox จะเลิกในรุ่น 74 และ Chrome น่าจะรุ่น 81 ส่วน Microsoft และ Safari ก็จะปิดในครึ่งปีแรก ในปีนี้เช่นกัน

    https://www.techtalkthai.com/old-tls-protocol-has-been-dropped-by-all-major-browsers-in-2020/

    เอ้าเลยเช็คเว็บตัวเองสักหน่อยเริ่มจาก ทดสอบกับเว็บที่เคยได้ A+ ผลเป็นดังรูป

    ม่ายยย

    อัยย่ะละก๊ะ…. เหลือ B เพราะเปิด TLS1.0 และ TLS1.1 เอาไว้ ปิดให้ไว

    วิธีการคือ (สำหรับ Apache2)

    แก้ไขแฟ้ม /etc/apache/mod-enabled/ssl.conf หาข้อความว่า

     SSLProtocol All -SSLv3

    (บางคนอาจจะมี -SSLv2 ด้วยแต่ apache2 ไม่สนับสนุน SSLv2 โดยปริยาย (default) แล้ว) เปลี่ยนข้อความข้างต้นเป็น

    SSLProtocol All -SSLv3 -TLSv1 -TLSv1.1

    บันทึกแล้ว restart apache ให้เรียบร้อย เมื่อไปตรวจใหม่ได้ผลตามภาพ

    เย่ กลับมา A+ แล้ว จบขอให้สนุก

    เกี่ยวข้อง

    https://sysadmin.psu.ac.th/hardening-your-http-response-headers/

    https://sysadmin.psu.ac.th/เปลี่ยน-certificate/

  • Open Google Calendar

    หลังจากครั้งก่อนได้แนะนำ extension สำหรับสร้างตารางนัดหมายบน Google Calendar ผ่านโปรแกรมเมล์ยอดนิยมตลอดกาล นั่นคือ Thunderbird นั่นเอง!!! อ่านได้ที่ Thunderbird Return วันนี้ก็จะมาเล่าถึง Extension อีกตัวทำงานอย่างเดียวกันแต่รอบนี้ไม่ต้องทำอะไรให้วุ่นวาย extension ชื่อเหมือนบทความคือ Open Google Calendar ขอข้ามวิธีติดตั้งเลยละกัน ติดตั้งเหมือน extension ตัวเก่ากลับไปอ่านบทความก่อนหน้าได้นะครับ

    เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะมีปุ่มเพิ่มขึ้นมาที่มุมบนขวาดังรูป

    คลิกที่ Open Google Calendar แล้ว Sign In เข้าระบบให้เรียบร้อย จะได้ดังภาพ.

    Google Calendar

    สามารถเพิ่มอีเว้นท์อีไม่เว้นท์ได้เหมือนเปิดเว็บ กรั่กๆ ง่ายกว่าวิธีเก่า พอสมควรแก่การใช้งานบนเครื่องที่เราใช้คนเดียว!! ย้ำคนเดียว เพราะยังหาวิธี sign out ไม่เจอ 555

    วันนี้สั้นๆ แค่นี้ครับ จบขอให้สนุก…

  • ทำ bootable USB drives ด้วยโปรแกรม Rufus for Windows

    เป็นวิธีการทำให้เราสามารถ boot Linux/Windows ด้วย USB Drive แทนการ Boot จากแผ่น DVD ผมใช้งานมาตั้งแต่เวอร์ชั่น 2.6 ตอนนี้ 3.8 แล้ว ก็มาอัปเดตอีกสักครั้ง

    ขั้นตอน

    1.ดาวน์โหลด ISO file ที่จะนำมาทำ Bootable USB drive

    2.ดาวน์โหลดโปรแกรม Rufus จากที่นี่ https://rufus.ie/

    Rufus : Create bootable USB drives the easy way

    3.นำไฟล์มาวางไว้ที่ Desktop ใช้ได้โดยไม่ต้องทำขั้นตอนติดตั้งโปรแกรม

    4.เสียบ USB Drive

    5.เปิดโปรแกรม Rufus

    จากรูปภาพ

    • หมายเลข 1 ช่อง Device บอกว่าเสียบ USB Drive 8 GB แล้ว
    • หมายเลข 2 ช่อง SELECT คลิกตรงคำว่า SELECT
    • หมายเลข 2.1 และ 2.2 คลิกเลือก ISO file ที่ดาวน์โหลดมา
    • หมายเลข 3 ช่อง Partition scheme และ Target system สามารถเลือกได้ว่าจะติดตั้งเป็น MBR หรือ UEFI
    • หมายเลข 4 คลิก Start เพื่อเริ่ม

    6.คลิก OK ยืนยันการใช้ค่าที่แนะนำตามรูปหมายเลข 5 และ 6

    7.รอจนเสร็จ ก็ดึง USB drive ออกได้เลย ทดสอบนำไป boot ใช้งานได้

    ผมคิดว่าโปรแกรมนี้น่าใช้ และ ใช้ง่ายดี

  • djsurvey – Google Forms Alternative #01

    ต่อจาก ddready – แพ็ครวม django + bootstrap4 + crispy form + docker พร้อมใช้งาน ในบทความนี้ ผมได้พยายามทำให้ใช้งาน Django ได้ง่ายขึ้น จนได้ แบบสำรวจอย่างง่าย พร้อมใช้งาน ใน 3 ขั้นตอน

    Prerequesite

    ติดตั้ง Python 3.6+ หรือ ใช้ Python Container แล้ว

    Repository

    https://github.com/nagarindkx/djsurvey

    ง่าย ๆ 3 ขั้นตอน

    1. Clone Repository

    ใช้คำสั่ง git

    git clone https://github.com/nagarindkx/djsurvey.git

    หรือ Download ไปก็ได้

    https://github.com/nagarindkx/djsurvey/archive/master.zip

    2. กำหนดข้อคำถามในแบบสำรวจ

    แก้ไขไฟล์

    /code/main/survey/models.py

    ตัวอย่างเช่น แบบสำรวจ ประกอบด้วย

    1. ชื่อ
    2. อีเมล
    3. เพศ
    4. วันเดือนปีเกิด
    5. ผลไม้ที่ชอบ
    6. ข้อเสนอแนะ

    ก็สร้าง Model ตามนี้ ( แรก ๆ อาจจะรู้สึกน่ากลัว แต่พอเข้าใจแล้ว มันง่ายมาก)

    from django.db import models
    class Survey(models.Model):
        fullname = models.CharField(
            verbose_name="ชื่อ",
            max_length=255,  blank=False)
        email = models.EmailField(
            verbose_name="อีเมล",
            blank=False)
        gender = models.CharField(
            verbose_name="เพศ",
            max_length=1,    blank=False,
            choices=[('F', 'หญิง'), ('M', 'ชาย')],
            default='F',
        )
        birthdate = models.DateField(
            verbose_name="วันเดือนปีเกิด",
            auto_now=False,  blank=False)
        fruit = models.CharField(
            verbose_name="ผลไม้ที่ท่านชอบ",
            max_length=1,    blank=False,
            choices=[('a', 'แอปเปิ้ล'), ('b', 'มะละกอ'),
                     ('c', 'กล้วย'), ('d', 'ส้ม')],
            default='c',
        )
        comment = models.TextField(
            verbose_name="ข้อเสนอแนะ",
            blank=True)

    แนะนำให้ใช้ Visual Studio Code จะทำงานได้ง่ายมาก

    3. Migrate แล้ว Run

    ใช้คำสั่งต่อไปนี้

    python manage.py migrate
    python manage.py runserver 0:8080

    ชมผลงาน

    http://localhost:8080/survey/

    หรือ ตกแต่งอีกนิดหน่อย ก็จะได้แบบนี้

    http://localhost:8080/advancedsurvey/

    สำหรับผู้ที่ใช้ Docker สามารถ ทำตามขั้นตอนใน แนวทางการพัฒนา Web Application ด้วย django จาก local docker สู่ Google Cloud Run เพื่อนำขึ้น Google Cloud Run ได้เลย (แต่ต้องเชื่อมกับ Database จริง ๆ ก่อนนะ – โปรดติดตามตอนต่อไป)

    คุณกำลังเจอปัญหาเหล่านี้อยู่ใช่ไม๊ ?

    • Google Forms ก็ง่ายดีแหล่ะ แต่ จะทำอย่างไรให้เก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลได้ ?
    • อยากให้ ผู้ใช้งาน Upload เอกสารเข้ามา / แก้ไขข้อมูล ซึ่ง Google Forms ก็ทำได้ แต่ต้อง Login ด้วย Google Account ก่อน จึงจะทำได้
    • Google Forms ก็ทำ Conditions ได้แหล่ะ (Go to section base on answer) แต่ ถ้าจะให้มีการคำนวนที่ซับซ้อนกว่านั้น ก่อนจะเลือกคำถามถัดไป จะทำอย่างไร ?

    ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อคุณใช้ Django !

    • ติดตั้งได้ บน Web Server ของคุณ!
    • Login ด้วย Facebook/Twitter/Google/Line หรือ Email หรือ จะเป็น Single Sign-On ก็ยังได้
    • ทุกอย่างสามารถ Customize ได้ ทำแบบสอบถามที่ซับซ้อนได้

    ไว้เจอกันในตอนต่อ ๆ ไปครับ