Category: Manual

คู่มือการติดตั้ง, คู่มือการใช้งาน

  • Webmail transformation!! #1

    คุยก่อน

    webmail.psu.ac.th อยู่กับเรามา… นานมากแล้วจนปัจจุบันนี้แทบจะคุยไม่รู้เรื่องแล้วค้นหาด้วยภาษาไทย แท้ ๆ ก็ไม่ได้ ก็คงถึงเวลาต้องไป ที่ชอบๆ สักที

    พุทโธธรรมโมสังโข!!!

    เร็ว ๆ นี้สำนักนวตกรรมดิจิทัลและระบบอัจฉะริยะจะประกาศใช้งาน webmail ตัวใหม่ ที่ได้เปิดให้ทดสอบใช้งานมาระยะหนึ่งแล้วอย่างเป็นทางการ โดยสามารถเข้าใช้งานผ่าน https://webmail2.psu.ac.th ซึ่งต่อไปจะกลายเป็น https://webmail.psu.ac.th ผลกระทบถึงท่าน ๆ ทั้งหลาย… ดังนี้

    1. ถ้าก่อนหน้านี้ใช้ https://webmail.psu.ac.th มาตลอดไม่เคยใช้ gmail เลย ก็ไม่กระทบอะไรนอกจากรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป มาก… ถึงมากที่สุด
    2. ถ้าอ่านเมล์ที่ gmail.com เป็นหลักก็ไม่กระทบอะไรมากนัก
    3. ถ้ามีความต้องการตั้งค่า filter เพิ่มเติมก็จะกระทบมากเนื่องจากวิธีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมค่อนข้างมาก

    เริ่มต้นการใช้งาน

    1. เปิดเว็บ https://webmail2.psu.ac.th จะได้หน้าตาประมาณนี้ (อาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อประกาศใช้จริง)
    webmail2 start page
    1. ล็อคอินเข้าระบบให้เรียบร้อยจะได้หน้าตานี้
    Webmail2 Inbox
    1. ทดสอบค้นหาภาษาไทย คลิกในช่อง Search… ที่อยู่บล็อกกลาง
    Search…

    ลองค้นหาคำว่า “สถานะ” แล้วกด enter สิ่งที่ได้ก็ตามภาพนะครับ

    Keywords
    1. การค้นหาสามารถกำหนดเงื่อนไขได้ว่าจะให้ไปค้นหา คำ ๆ นั้น ในส่วนไหนของอีเมล์ ไม่ว่าจะเป็น Subject อย่างเดียว From อย่างเดียว หรือ เนื้อความในอีเมล์ ทำได้โดยคลิกที่ ที่อยู่หลังรูปซองจดหมายที่ช่อง Search… เมื่อคลิกจะได้ดังภาพ
    Search criteria

    จะเห็นว่ามีตัวเลือกมากมายว่าอยู่ที่เราเลือกไม่ว่าจะเป็น subject from to cc bcc body entire message ทั้งยังสามารถระบุช่วงเวลาที่ต้องการค้นหาหรือ กำหนด โฟลเดอร์ของเมล์ที่ต้องการค้นหาได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากกำหนดเงื่อนไขในการค้นหาเยอะ และมีจดหมายจำนวนมากการค้นหาก็อาจกินเวลานานได้

    1. การย้ายบ้านจาก webmail.psu.ac.th มายัง webmail2.psu.ac.th สิ่งที่ผู้ใช้ต้องทำเองคือการย้ายข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อ หรือที่เรียกว่า Address book นั่นเอง
    2. Log in เข้าระบบที่ https://webmail.psu.ac.th
    webmail.psu.ac.th
    1. เมื่อ log in เข้ามาแล้วคลิกที่ Addresses
    Addresses
    1. จะได้ดังภาพ ซึ่งเป็นการแสดงรายชื่อผู้ติดต่อที่มีทั้งหมด ทั้งยังสามารถ export ออกมาได้ด้วย
    Address
    1. เมื่อต้องการจะ export เลื่อนจอลงมาด้านล่างในส่วนของ Address book export
    Address book export
    1. คลิก Export to CSV File จะเป็นการ download รายชื่อทั้งหมดออกมาเก็บไว้ในไฟล์ .csv ก็ให้เซฟไว้ในที่ที่หาเจอนะครับ
    2. กลับมาที่ https://webmail2.psu.ac.th หาก session expire ไปแล้วให้ล็อคอินใหม่
    Your session is invalid or expired.
    1. เมื่อล็อคอินเข้ามาได้ให้คลิก Contacts ที่อยู่ด้านซ้ายมือ
    Contacts
    1. จะได้ดังภาพ
    Contacts
    1. คลิกปุ่ม Import ด้านขวามือ
    Import
    1. จะได้หน้าต่าง Import contacts
    Import contacts
    1. ก็ให้กด Browse ไปยังไฟล์ที่เซฟก็ไว้จากข้อ 10.
    Import contacts
    1. คลิก Import จะได้หน้าสรุปว่า นำเข้าสำเร็จกี่รายชื่อใครบ้าง หลังจากนั้นคลิก x ได้เลย
    Successfully imported
    1. จะได้รายชื่อผู้ติดต่อไว้ใน webmail2 เรียบร้อย *หมายเหตุเพิ่มเติม อีเมลแอดเดรสของรายชื่อผู้ติดต่อนั้นต้องมีอยู่จริงเท่านั้นจึงสามารถนำเข้าได้นะครับ
    Contacts
    1. สำหรับพาร์ท 1 ก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้รอพาร์ทต่อไปครับ ขอให้สนุก
  • ทำ functional design อย่างง่ายด้วยโปรแกรม Sandcastle Help File Builder

    เมื่อพัฒนาโปรแกรมเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาทำเอกสารการเขียนอธิบายโค้ดต่อ บางครั้งมันยุ่งยากเสียเวลา วันนี้มีวิธีที่สะดวกและรวดเร็วเพียงแค่เขียนอธิบายใน Class ที่เราต้องการอธิบาย เช่น Constructors, Properties, methods

    ตัวอย่างการเขียนอธิบายโค้ด

    โดยทั่วไปแล้วการเขียน Logic ต่างๆ เพื่อนำไปใช้งานต่อหรืออ้างอิงโค้ดที่เราเขียนมักจะ build code เป็นไฟล์ .dll เพื่อให้ระบบอื่นมาเชื่อมต่อและเรียกใช้งานได้ โดยขั้นตอนแรกเราใช้โปรแกรม Sandcastle Help File Builder สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมตามลิ้งก์ https://github.com/EWSoftware/SHFB/releases และ download และติดตั้งตามลิ้งก์

    SHFBInstaller_v2019.11.17.0.zip 45.1 MB

    เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อย หน้าตาก็จะประมาณนี้

    โปรแกรม Sandcastle Help File Builder

    ก่อนอื่นเราต้องไปตั้งค่าการ build code ใน Visual Studio ในส่วนของ XML ตามไฮไลต์สีเหลือง

    การตั้งค่า XML ใน Visual Studio

    จากนั้นก็กด Build ใน Visual Studio

    แสดงการ Build ใน Visual Studio

    เมื่อ build เสร็จ เราจะได้ไฟล์ .dll และ .xml

    ไฟล์ .dll และ .xml

    เมื่อได้ไฟล์ .dll และ .xml เรียบร้อยแล้ว ก็เพิ่มในโปรแกรม Sandcastle Help File Builder โดยไปที่เมนู File > Project Explorer > Documentation Sources > Add Documentation Source

    เมนูการเพิ่ม Add Documentation Source

    เมื่อเลือกไฟล์ .dll และ .xml เรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้แสดงตามภาพ

    แสดงผลลัพธ์เมื่อ Add Documentation Source เสร็จ

    จากนั้นตั้งค่าเมนู Help File ตามตัวอย่างข้างล่าง

    ตั้งค่าเมนู Help File

    จากนั้นตั้งค่าเมนู Visibility ตามตัวอย่างข้างล่าง

    ตั้งค่าเมนู Visibility

    เมื่อตั้งค่าโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปที่เมนู Documentation > Build Project

    เมนู Documentation > Build Project

    รอโปรแกรมประมวลผลสักครู่ เราก็จะได้ไฟล์ .chm ออกมา

    ไฟล์ .chm

    เมื่อเปิดไฟล์ .chm เราก็จะได้ผลลัพธ์ Help File ตามรูปแบบที่แสดงตามภาพด้านล่าง

    ผลลัพธ์ Help File 1
    ผลลัพธ์ Help File 2
    ผลลัพธ์ Help File 3
    ผลลัพธ์ Help File 4
  • จับภาพ แชร์ภาพ ด้วย shareX Ep1

    Blog ที่4 นี้ขอนำเสนอโปรแกรมจับภาพหน้าจอฟรี ย้ำนะว่าฟรี !! มีชื่อว่า shareX ซึ่งสามารถจับภาพหน้าจอเพื่อนำไปใช้งานต่อในหลากหลายรูปแบบ เช่น ทำคู่มือ ทำวีดีโอ เอาไปลงในเว็บไซต์ หรื่ออื่นๆ ถือเป็นโปรแกรมฟรีแบบ Open Source ที่จัดเต็มในเรื่องของเครื่องมือต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้แบบครบครันนนนนน

    จริงๆแล้วโปรแกรมฟรีที่สามารถจับภาพหน้าจอ record วีดีโอนี่ก็มีมากมายเลยแหละ อยู่ที่ใครชอบแบบไหน เอาเป็นว่าวันนี้ลองมาทำความรู้จักกับอีก 1 ตัว ที่มีชื่อว่า shareX กันหน่อยละกันนะ “จะได้รู้ว่าดีกว่าที่ใช้อยู่เนี่ย มันก็มีนะ !!” (อันนี้ผู้เขียนบอกตัวเองนะ 55+)

    shareX สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://getsharex.com/ หรือจะหาผ่าน window store ก็ได้เหมือนกัน เมื่อดาวน์โหลดเรียบร้อยแล้ว ก็ทำการติดตั้งบนเครื่องของเราได้เลย

    สำหรับ shareX ก็จะมี feature หลักๆ คือ

    • รองรับการจัดภาพหน้าจอแบบเต็มจอ เฉพาะหน้าต่าง หรือเฉพาะส่วน
    • สามารถตั้งให้เปิดแก้ไขภาพในโปรแกรมอื่นๆ ก่อนที่จะอัพโหลดได้
    • save file อัตโนมัติเอาไว้ในเครื่อง
    • upload ภาพขึ้นไปยัง services ต่างๆ
    • สามารถ copy code ต่างๆได้จากในตัวโปรแกรม เช่น html สำหรับแทรกภาพ หรือ BBCode สำหรับแปะในเว็บบอร์ด
    • รองรับการย่อ URL ในตัว
    • รองรับการ upload ข้อความขึ้นเว็บ
    • รองรับการ upload file ขึ้นอินเตอร์เน็ต
    • แชร์สิ่งที่อัพโหลดไปยังแหล่งอื่นๆ ได้
    • ตั้งค่า hotkey สำหรับจับภาพได้

    เหล่านี้ถือเป็น feature คร่าวๆ ของเจ้า shareX นะ จริงๆ แล้ว services ต่างๆที่ตัวโปรแกรมเชื่อมต่อได้นั้นมีเยอะมากๆ เดี๋ยวเราจะลองไปดูกัน

    เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็จะเจอกับหน้าตาเจ้าตัว shareX ประมาณนี้ …..

    จะเห็นได้ว่าข้อความที่ขึ้นบอกไว้นั้นคือ ปุ่มใช้งานมาตรฐานที่โปรแกรมกำหนดมาให้ หากเราต้องการปุ่มอื่นๆ ถามว่าเปลี่ยนได้มั้ย ตอบเลยว่า …. ได้ !! แต่เดี๋ยวจะอธิบายไว้ในส่วนของ Hotkey settings ด้านล่างนะ

    ——————————————————————————————————————————————–

    Capture

    มากันที่ Feature หลักอันแรกคือ “Capture” หรือการจับภาพหน้าจอนั่นเอง shareX จะรองรับการจับภาพในหลายรูปแบบ ย้ำว่าหลากหลาย จริงๆ

    Fullscreen          จับภาพหน้าจอแบบ Fullscreen
    window               จับภาพหน้าจอแบบ Window ซึ่งสามารถเลือกได้จากหน้าจอทั้งหมดที่เราเปิดไว้ในเครื่องได้เลย
    monitor               หากมีมากกว่า 1 จอ ก็จะสามารถเลือกได้ว่าจะจับหน้าจอใด
    Region                 จับภาพหน้าจอแบบเลือกเฉพาะส่วน
    Last region        จับภาพในส่วนล่าสุดที่เราเพิ่งจับภาพไป
    Screen recording      บันทึกภาพหน้าจอ
    Screen recording (GIF)           บันทึกภาพหน้าจอแบบ GIF
    Scrolling capture        จับภาพหน้าจอที่มีความยาวมากเกินกว่าที่จะสามารถแสดงบนหน้าจอได้ทีเดียวหมด (ต้อง Scroll mouse ขึ้นลงนั่นเอง)
    Text capture (OCR)    จับภาพโดยเลือกเฉพาะตัวอักษรในภาพนั้น
    Auto capture           สามารถตั้งเวลาได้ ว่าจะให้จับภาพหน้าจอ ทุกๆ กี่วินาที
    Show Cursor          สามารถเลือกได้ว่าภาพหน้าจอที่เรา capture ไปเนี่ย จะให้แสดง cursor หรือไม่
    Screenshot delay: 0s สามารถเลือกความ delay ของการ capture หน้าจอได้

    Upload Feature

    Workflows

    แสดง Hotkey นั่นแหละ โดยส่วนหลักตัวโปรแกรมก็จะกำหนดมาให้อยู่แล้ว แต่เราสามารถปรับเปลี่ยน Hotkey ได้เอง และยังสามารถเพิ่ม workflows ได้อีกด้วยตัวอย่างจะอธิบายในส่วนของ Hotkey settings นะ

    • Capture region คือการจับภาพโดยเลือกพื้นที่ ๆ เราต้องการ
    • Capture entire screen คือการจับภาพแบบเต็มหน้าจอ
    • Capture active window คือการจับภาพจากหน้าต่างที่เราเลือก หรือกำลังทำงาน
    • Start/Stop screen recording using custom region คือการบันทึกหน้าจอโดยบันทึกจากพื้นที่ที่เราได้เลือกหรือกำหนดเอาไว้
    • Start/Stop screen recording (GIF) using custom region  คือการบันทึกหน้าจอโดยบันทึกจากพื้นที่ที่เราได้เลือกหรือกำหนดเอาไว้โดยผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปแบบไฟล์ GIF นั่นเอง

    Tools

    เครื่องมือเพิ่มเติม หรือส่วนเสริมของตัวโปรแกรมที่ทำให้เจ้า shareX เนี่ย ล้ำกว่าโปรแกรมอื่นไปอีก Step ขอยกตัวอย่างเป็นบางเครื่องมือละกัน เนื่องจากผู้เขียนก็ยังใช้ไม่ครบทุกเมนูเล้ยยยยย ตัวอย่างเช่น

    • Color picker           สามารถเลือกสีได้ ว่าต้องการสีอะไร
    • Screen color picker… เลือกสีบนหน้าจอเราได้เลยว่าต้องการสีอะไร โดยโปรแกรมจะ copy code สีเราให้ทันที เราสามารถนำไป code สีดังกล่าวไปใช้ต่อได้
    • Image editor           หน้าจอสำหรับปรับแต่งแก้ไขรูปภาพของเรา เช่น บันทึก upload print, select and move, สามารถใส่ข้อความลงในภาพได้ ทั้งแบบตัวอักษร หรือ free hand ใส่ step ในรูปภาพได้, Hilight, zoom, ใส่ emotion ได้, crop รูปภาพ แทรกรูปภาพ เป็นต้น
    • Image effects…       สำหรับใส่ effects ให้กับภาพได้ เช่น เพิ่ม filter ภาพ, ปรับ Adjustment, เพิ่ม text watermark หรือ image watermark เป็นต้น
    • Ruler…                เลือกเพื่อวัดขนาดของส่วนหน้าจอที่เราเลือกได้ ดังรูป
    • Image combiner…           อันนี้ก็เจ๋งดี เราสามารถเลือกภาพหน้าจอที่เราได้ capture ไว้เนี่ย นำมาผสมกันได้ ให้อยู่ในรูปเดียวกัน และยังเลือกแสดงผลได้อีกว่าจะให้แสดงในแนวนอน หรือแนวตั้ง เป็นต้น

    After capture tasks

    สามารถตั้งค่าได้ว่าหลังจากที่จับภาพเสร็จแล้วให้โปรแกรมทำอะไรต่อไป ตัวอย่างตามภาพด้านล่างเลย เช่น บันทึกเป็นไฟล์ภาพทันที, ใส่เอฟเฟกต์, ใส่ลายน้ำ, บันทึกเป็นภาพขนาดย่อ, คัดลอกในคลิปบอร์ด อัพโหลดไปยังเว็บ หรือ print เป็นต้น อยากเลือกอันไหนบ้างก็คลิกบนรายการ หรือบน icon ได้เลย

    After upload tasks

    สามารถตั้งค่าได้ว่าหลังจากที่อัพโหลดภาพแล้วให้โปรแกรมทำอะไรต่อไป เช่น แสดง shorten URL, Show QR code หรือ Copy URL to Clipboard เป็นต้น

    Destinations

    คือส่วนที่เราสามารถเข้ามาเลือกได้ว่าปลายทางที่เราจะเก็บไฟล์ภาพ ไฟล์ตัวอักษร หรือแปลง URL shortener เนี่ย เราจะเลือกอะไร คือเอาจริงๆ มันเยอะมากกกกกก หลักๆ ถ้าเป็นรูปผู้เขียนก็จะเลือก upload ไว้ที่ google photo หากเป็น file ก็จะไว้ที่ google drive เป็นต้น เอาเป็นว่าการตั้งค่าเนี่ยจะมาเล่าในตอนต่อๆ ไปละกันนะ มันเยอะจริงๆ

    Task settings…..

    การตั้งค่าในการบันทึกหน้าจอ เมื่อคลิก “Task settings” ก็จะปรากฏหน้าต่างขึ้นมา จริงๆ การตั้งค่าหลักๆ โปรแกรมก็จะตั้งมาให้เรียบร้อยอยู่แล้ว

    Application settings

    เป็นส่วนสำหรับตั้งค่าต่างๆ ของตัวโปรแกรม shareX หลักๆ ก็จะมีภาษา ตั้งค่า path ที่เก็บไฟล์ การแสดงผลของ History หรือต้องการให้โปรแกรมแสดงหรือไม่แสดงในส่วนไหน เป็นต้น แล้วแต่ผู้ใช้แต่ละคนนะ ก็ลองเข้ามาตั้งค่ากันดูได้

    Hotkey settings

    1. เลือกเมนู “Hotkey setting
    2. เลือกรายการที่ต้องการเปลี่ยน
    3. คลิกบน hotkey เดิม จากนั้นก็จะปรากฏหน้าจอด้านล่างเพื่อให้เราสามารถ select hotkey…. ใหม่ตามที่เราต้องการได้เลย

    แต่หากไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ Hotkey ที่ให้มาก็จำง่ายอยู่แล้วก็ข้ามเมนูนี้ไปได้เล้ย

    Screenshots folder…..

    เมนูนี้ใช้สำหรับเปิด Folder ที่เก็บภาพหน้าจอที่เราได้ Capture เอาไว้นั่นเอง หากต้องการเปลี่ยน path ที่เก็บสามารถเปลี่ยนได้โดยเลือกไปที่เมนู “Application settings” นะ

    History

    ใช้สำหรับเรียกดูประวัติการใช้งานย้อนหลังทั้งหมดของเรา โดยจะแยกให้เห็นเลยว่า total รวมเป็นเท่าไหร่ และเป็นประเภท image , text , URL อย่างละกี่ไฟล์ เป็นต้น

    Image history…..

    ใช้สำหรับเรียกดูประวัติการจับภาพหน้าจอย้อนหลังของเราทั้งหมด

    News

    ข่าวประกาศจากทาง shareX

    Debug

    ส่วนสำหรับข้อมูลการพัฒนา และมีในส่วนของการทดสอบเครื่องมือต่างๆ ไว้ด้วยเช่น test text upload, test images upload เป็นต้น

    Donate

    ถ้าใครคิดว่าใช้งานโปรแกรมนี้จนประทับใจแล้วก็สามารถไปบริจาคเพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานของ ShareX กันได้

    About

    แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรม shareX

    ——————————————————————————————————————————————–

    สำหรับ Blog นี้ผู้เขียนขอแนะนำโปรแกรม shareX  โดยอธิบายคุณสมบัติหลักๆ แต่ละตัว แบบไม่ได้ลงลึกเอาไว้ก่อน Blog หน้า จะกลับมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมทั้งในส่วนของการ connect ไปยังปลายทางที่เราเลือกสำหรับ upload ภาพ หรือการ Generate ออกมาเป็น QR Code หรืออื่นๆ เท่าที่ผู้เขียนจะอธิบายได้ละนะ 555 อย่าลืมไปลองใช้กันดูละ จิ๋วแต่แจ๋ว นะจะบอกให้

    อ้างอิง : bit.ly/refblog4

  • สร้างสื่อเสมือนจริงง่ายๆ ด้วย Pixlive maker

    Blog ก่อนหน้าเราได้ทำความรู้จักกับ สื่อเสมือนจริง หรือที่เราเรียกกันว่า AR กันไปแล้ว ภาคต่อใน Blog นี้จะพาไปเจาะลึกมากขึ้นอีก Step นึง ก็คือ เราจะมาดูกันว่า AR เนี่ย สร้างกันอย่างไร

    สำหรับผู้เขียน Blog นี้ขอเลือกใช้งานการสร้าง AR ง่ายๆ ผ่านเว็บ VIDINOTI ละกันนะ
    ปะ ไปดูกันเลย

    เริ่มต้นด้วยไปที่เว็บ https://www.vidinoti.com/home/ เมื่อเข้าสู่หน้าเว็บเรียบร้อยแล้ว ก็สมัครเข้าใช้งานกันก่อนเลย คลิกเลือกที่ Free Sign up มุมบนด้านขวา จากนั้นก็กรอกข้อมูลเพื่อสมัครเข้าใช้งาน ตัวอย่างตามรูปด้านล่างนะทุกคน

    เมื่อ Register เรียบร้อยแล้ว ให้เข้าไป Activate จาก link ที่ส่งไปยัง e-mail ที่เราได้สมัครเอาไว้นะ เมื่อ Activate แล้วก็ Log in เพื่อใช้งานกันโลดดดดดดด !!

    หน้าแรกจะมีการแนะนำขั้นตอนเบื้องต้นบอกเราว่า เราต้องทำการดาวน์โหลด App V-Player นะ จะต้อง Scan QR Code นะ และก็มีวีดีโอแนะนำการใช้งานให้เราได้ดูกัน อ่านเสร็จแล้วก็กด “OK” ได้เลย

    หน้าแรกของระบบจะประกอบด้วย

    1. ซ้ายมือจะเป็นกลุ่มเมนูการจัดการต่างๆ
    2. ตรงกลางเป็นส่วน Plan ซึ่งเราสามารถดูได้ว่าเราทำไปกี่ content แล้ว หรือ publish ไปแล้วกี่ content รวมถึงสามารถ upgrade account ได้ด้วยน๊าาาาาา (ระดับเราแล้ว ฟรี อย่างเดียว !!)
    3. มุมล่างด้านขวาของหน้าจอจะเป็น QR Code ซึ่งประโยชน์ของมันก็คือ คนที่จะมองเห็นงาน AR ของเรานั้น จะต้องทำการเปิด App V-Player จากนั้นนำมาส่ง QR Code ตัวนี้เพื่อจะดูผลงานของเรานั่นเอง
      หมายเหตุ : ให้บันทึก QR Code เก็บไว้ก่อนนะ แล้วค่อยนำรูปไปแปะไว้ในงานของเรา

    มาเริ่มสร้างงาน AR ของเรากันเถอะ !!

    Step 1
    จากหน้าแรก ให้คลิกเลือก “Create new content”

    Step 2
    เลือก “Image AR” จากนั้นให้เราทำการ Drop file หรือ Browse file ที่เราได้สร้างหรือออกแบบเอาไว้ เข้ามาในระบบ

    Step 3
    เมื่อเลือกรูปที่ต้องการ upload เสร็จแล้ว ให้กด “Continue” จากนั้นระบบก็จะแสดงหน้าถัดไป ให้ตั้งชื่อ “content name” และ “Description” (อันหลังนี่จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้นะ) จากนั้นกด “Continue” อีกรอบนึงนะ ปุ่มจะอยู่ด้านล่างขวาของหน้าจอนั่นแหละ

    Step 4
    เมื่อเจอหน้าจอดังรูปด้านล่าง ให้เราคลิกที่รูปในหน้าจอได้เลย ระบบจะพาเราไปยังหน้า Pixlive editor

    Step 5
    ครั้งแรกที่เข้ามาในส่วน Pixlive editor ก็มีการแนะนำการใช้งาน คลิก “take the tour!” ก็คลิกๆ ตามๆ ที่เค้าชี้ไปเรื่อยๆ เมื่อครบแล้วก็โปรดรอสักครู่ ! ก็จะเจอกับหน้าจอดังรูป

    • ซ้ายของหน้าจอคือ content ต่างๆ ไว้ให้เราเลือกใช้
    • ตรงกลางส่วนแสดงผล สามารถเลือกมุมมองสลับไปมาได้ระหว่าง Scene View หรือ Scenario มี % การแสดงผล
    • ขวาของหน้าจอก็จะเป็น Properties ของแต่ละ Scene ที่เราโฟกัสอยู่นั่นเอง

    Step 6
    ก่อนอื่นเรามามองภาพรวมก่อนการสร้างงานกันสักนิดนึง ตามตัวอย่างที่ผู้เขียนออกแบบงานของผู้เขียนไว้คือ “จะมีเมนู 5 เมนู ซึ่ง 3 เมนูแรกจะเชื่อมโยงไปยัง VDO เมนูถัดมาจะเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บที่ได้มีไฟล์แขวนเอาไว้ ส่วนสุดท้ายจะเป็นส่วนแสดงช่องทาง Contact มายังผู้จัดทำ storyboard ก็ประมาณนี้นะ” มาเริ่มกันที่ 3 เมนูแรกเลยละกัน

    ให้คลิกเลือก content “Image Button” เพื่อเพิ่มปุ่มแรกกันเลย จริงๆ Image Button จะมีสองแบบคือ ด้านซ้ายรูปแบบที่ระบบมีไว้ให้แล้ว ส่วนด้านขวาจะเป็นแบบที่เราออกแบบเอาไว้ ให้เรา Browse file ที่ต้องการเข้ามาได้เลย เมื่อเรียบร้อยแล้ว คลิกปุ่ม “Apply changes

    Step 7
    เมื่อสร้างปุ่มแรกเรียบร้อยแล้ว ระบบก็จะ New Scene2 ขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติ โดยให้ลอง Switch ไปดูในมุมมอง Scenario จะเห็นภาพชัดเจน ตามรูปเลยนะ

    Step 8
    คราวนี้เราจะมาโฟกัสที่ Scene2 กันนะ ตามที่บอกไว้ ปุ่มแรกของเราจะเชื่อมโยงไปยัง VDO ดังนั้นให้คลิกบน Scene2 ก่อนเลย เมื่อคลิกเสร็จแล้วก็ให้เลือก content ที่เป็น “Video” มาวางบน Scene2 เลย
    ปล … ชื่อ Scene นี่สามารถเปลี่ยนได้ตรง Properties ด้านขวามือเลยนะ เปลี่ยนให้เป็นชื่อที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ เวลามีหลาย Scene จะได้ไม่งงเน้อออ

    Step 9
    VDO นี่ก็เลือกได้ 2 แบบเหมือนกันนะ upload จากเครื่องเราขึ้นไป หรือจะแปะ link แทน เช่น พวก link จาก youtube เป็นต้น แต่ผู้เขียนขอ upload จากเครื่องตัวเองละกันนะ และเลือกแสดงได้นะว่าจะให้แสดงแบบไหน Full , Loop หรืออื่นๆ ตามที่เห็นนั่นแหละ จากนั้นคลิก “Apply changes” ได้เลย

    Step 10
    ก็ทำตามขั้นตอนเดิม จนครบทุกหน้าที่ตาม Storyboard ที่เราวางไว้ แต่ปุ่มเมนูหลักเนี่ยเวลาจะลากมาวางให้ วางไว้ใน Start Scene นะ อย่าลืมกันละทุกคน และสำหรับหน้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ VDO เนี่ย ก็ให้เลือก content ให้ถูกนะ เป็น Web เป็น PDF หรืออื่นๆ ก็เลือกให้ถูกต้องก่อนนำมาวางละ หากทำครบตามที่วางแผนเอาไว้ ก็จะได้หน้าตาประมาณนี้นะ

    Step 11
    ทำเสร็จแล้ว รีวิวดูแล้วถูกต้องก็มา Save กันเลย ให้คลิกเลือกที่มุมบนด้านขวาของหน้าจอเลยนะ ตามรูปเลย

    Step 12
    เมื่อบันทึกเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เลือก “My Contents” ระบบก็จะมาโฟกัสที่ Content list ให้เรา จากนั้นก็ให้ดูว่า Content ที่เราได้สร้างไปนั้น แสดงสถานะเป็น Published แล้วหรือไม่ ปล..จริงๆ แล้วก็จะ Publish ให้อัตโนมัตินั่นแหละ

    Step สุดท้ายยยยยยยย
    ถ้าจะทดสอบงานของเราก็คลิกเข้าไปใน Content ที่เราสร้างไว้ได้เลย จากนั้นให้เอา smartphone ของเราที่ได้ติดตั้ง App V-Player เรียบร้อยแล้ว นำมาส่อง QR Code ของเราได้เลย งานที่เราสร้างก็จะแสดงให้เราเห็น ตามตัวอย่างใน VDO ด้านล่างเลยนะ

    ตัวอย่างผลลัพธ์ AR ที่เราได้สร้างไว้

    เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ยากมั้ย นี่ผู้เขียนว่ามันไม่ยากนะ แต่มันแค่ยาวเท่านั้นเอง 555+ ยังไงก็แล้วแต่สามารถทดลองไปสร้างไปใช้งานกันได้นะ สนุกดี แถมเรายังได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ ไว้ใช้ในการพัฒนาตัวเราเองได้ด้วย ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยแหละเนอะ ไว้เจอกันใหม่ Blog หน้า เน้อทุกคนนนนน แฮ่ 🙂

    อ้างอิง
    youtube ช่องของอาจารย์ Apiwat Wongkanha ค่ะ ละเอียด และทำตามได้จริงๆ แนะนำๆ

  • รู้จักสื่อแบบ AR

    TOR รอบใหม่นี้ Blog แรก (จาก 16 Blog!! ที่ต้องเขียน) ที่ผู้เขียนจะนำมาเล่าสู่กันฟังก็คือ เทคโนโลยี AR จะมาเล่าว่ามันคืออะไร แล้วถ้าเราจะสร้าง AR เนี่ย จะต้องทำยังไง ยากง่ายแค่ไหน แต่ๆๆ Blog แรกเนี่ยเอาเป็นแค่ลองมาทำความรู้จักกันก่อนละกันเนอะ วิธีการสร้างขอเป็น Blog ถัดๆ ไปละกัน อิอิ 🙂

    AR คืออะไร ??
    หลายๆ คนคงมีคำถามแบบเดียวกัน และอีกหลายๆ คนก็คงจะไม่เคยรู้ว่าเจ้า AR เนี่ย อยู่ใกล้กับชีวิตประจำวันเรามากกว่าที่คิดนะ 55+

    ——————————————————————————————————————–

    เรามารู้จักกับเจ้าเทคโนโลยี AR กันเถอะ ….

    เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) คือเป็นเทคโนโลยีที่ผสานเอาโลกแห่งความจริง (Real) เข้ากับโลกเสมือน (Virtual) โดยผ่านทางอุปกรณ์เว็บแคม กล้องโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือคอมพิวเตอร์ ร่วมกับการใช้ Software ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ภาพที่เห็นในจอภาพจะเป็นวัตถุ (Object) ยกตัวอย่างเช่น คน สิ่งของ โดยแสดงผลออกมาเป็นลักษณะ 3 มิติ ซึ่งมีมุมมองถึง 360 องศาเลยนะ

    ——————————————————————————————————————–

    จริงๆ แล้วเนี่ย AR มันเป็นเทคโนโลยีที่มีมานานมากกกกแล้ว ทางผู้เขียนก็ได้ยินผ่านๆ มาอยู่ตลอด แต่ยังไม่เคยได้ลองทดสอบเข้าไปศึกษาและใช้งานแบบจริงๆจังๆ ซะที

    อาจเพราะในอดีต จะมีข้อจำกัดในทางเทคโนโลยีจึงยังไม่ค่อยมีความแพร่หลายในการใช้งานสักเท่าไหร่ แต่สำหรับยุคปัจจุบัน แทบไม่ต้องพูดถึงเลยว่า อุปกรณ์สมาร์ทโฟนเนี่ยเราสามารถข้าถึงได้ง่ายดายแค่ไหน “เรียกว่าปัจจัยที่ 5 กันเลยทีเดียว” เล่นกันตั้งแต่เด็ก 3 ขวบ จนไปถึงผู้สูงอายุวัย 80 กันนั่นแหละ !!

    ดังนั้นเทคโนโลยีตัวนี้จึงกลับมาเริ่มมีความแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ถูกกล่าวถึงและมีคนให้ความสนใจอยู่เป็นระยะ อาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับอีกหลายๆ ตัว แต่ก็คาดว่ายังสามารถต่อยอดไปได้อีกไกลแหละนะ

    ในปัจจุบันเทคโนโลยีเสมือนจริง สามารถนำมาพัฒนาเป็น Application เพื่อช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็กๆ หรือช่วยในส่วนของธุรกิจการค้าที่ต้องปรับกลยุทธ์เชิงรุกในรูปแบบออนไลน์ หรือจะให้ยกตัวอย่าง AR ง่ายๆ เลยคือ “เกมส์โปเกมอน โก” นั่นแหละ

    หลักการทำงานของ AR หลักๆ ประกอบด้วย

    1. วิเคราะห์ภาพ (Image Analysis) โดยค้นหาจากตัว Marker (หรือที่เราเรียกว่า Markup) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ หรือรูปภาพที่เรากำหนดไว้เป็นตัวเปรียบเทียบ กับสิ่งที่เราได้เก็บไว้ในฐานข้อมูล (Marker Database)
    2. กล้องวิดีโอ กล้องเว็บแคม กล้องโทรศัพท์มือถือ หรือตัวจับ Sensor อื่นๆ
    3. Software ส่วนประมวลผลเพื่อวัตถุแบบ 3 มิติ
    4. การแสดงผลบนจอภาพจากคอมหรือโทรศัพท์มือถือ หรืออื่นๆ โดยกระบวนการสร้างภาพ 2 มิติ จากโมเดล 3 มิติ (3D Rendering) เป็นการเพิ่มข้อมูลเข้าไปในภาพโดยใช้ค่าตำแหน่งเชิง 3 มิติ ที่คำนวณได้จนได้ภาพเสมือนจริง

    พื้นฐานหลักของ AR

    ง่ายๆ คือ ใช้หลักการการตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Detection) การเต้น หรือ การเคาะ (Beat Detection) การจดจำเสียง (Voice Recognize) และการประมวผลภาพ (Image Processing) นั่นเอง

    เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา AR ก็มีอยู่หลากหลายนะ เช่น Unity , Pixlive Maker เป็นต้น
    หาดูใน google ก็จะขึ้นเยอะแยะไปหมด เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย พอจะเข้าใจเทคโนโลยีเสมือนจริงเพิ่มมากขึ้นอีกสักนิดกันมั้ย
    ไม่ต้องรีบๆ ค่อยๆเรียนรู้ไปด้วยกันนะทุกคนน

    ——————————————————————————————————————–

    เอาไว้ใน Blog ถัดไป ผู้เขียนจะมาเล่าถึงวิธีการสร้างเจ้า AR ตัวนี้ละกันนะ ขอเวลาไปเขียน storyboard ก่อนแป๊บนึง …. Bye 🙂
    ปล … สร้างอะไม่ยากหรอก จะยากก็ตอนออกแบบ นั่งหารูป สร้างข้อความ เลือกสี หา Background เหล่านี้นี่แหละ พูดเลย นาน 55+

    ขอบคุณข้อมูลดีดี
    อ้างอิง : http://www.techno.lru.ac.th/techno

  • HelpNDoc – #1 (หุบ ๆ ย่อ ๆ) กำหนดการแสดงผล Table of contents เริ่มแรกให้กับเอกสาร HTML

    บทความนี้จะขอแนะนำให้กับผู้ใช้งานโปรแกรม HelpNDoc ในการสร้างเอกสารกันอยู่ค่ะ ว่าเราสามารถกำหนดการแสดง table of contents ของเอกสารชนิด HTML ที่เราได้ generate ได้ว่าจะให้แสดงผลเริ่มต้นกับผู้อ่านเมื่อเปิดเอกสารอย่างไรค่ะ

    โดยสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ table of contents ของเอกสารของเรานั้น ขยายไปที่ topic ของ contents ใน Level ใด

    —> วิธีการกำหนดการแสดงเริ่มแรกให้กับ table of contents ของเอกสารของเรานั่นง่ายมาก ๆ มาเริ่มกันเลยยย

    ในขั้นตอนการ Generate เอกสารให้เป็น Html เมื่อเรา Click Generate Document และเลือก ฺBuild เอกสารเป็น html นั้น จะพบลิงก์ Customize ให้คลิกลิงก์ดังกล่าว เพื่อเข้าไปกำหนดค่าต่างๆ ให้กับเอกสารของเรากันค่ะ

    เมื่อคลิก Customize ให้สังเกตในแท๊ป Template settings และเลื่อนลงไปในหัวข้อ Table of content expand level ทำการเลือก level ของ topic contents (เริ่มต้นจาก level 0) ที่เราต้องการให้แสดงเริ่มต้นเมื่อเปิดเอกสารขึึ้นมา แล้วคลิกปุ่ม Generate เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

    มาดูผลลัพธ์กันเลย เมื่อเราเลือก เป็น Level 0 จะเห็นได้ว่า เมื่อเปิดเอกสารขึ้นมาในครั้งแรก table of contents ของเอกสารของเรา ก็จะแสดงแบบขยายในระดับ level 0 (หัวข้อแรก) เท่านั้นค่ะ แต่ยังไงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ไงก็สามารถกดย่อขยายหัวข้อที่มีอยู่ของเอกสารได้ทั้งหมดอยู่ดีค่ะ เป็นแค่การแสดงผลเริ่มแรกเมื่อเปิดเอกสารเท่านั้น

    ลองเลือกเป็น Level 2 กันค่ะ ก็จะได้หน้าตาออกมาแบบนี้

    เป็นยังไงบ้างคะ ง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ ไว้บทความหน้า จะมาแนะนำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการใช้งานโปรแกรม HelpNDoc กันอีกนะคะ สำหรับบทความนี้ก็มีเพียงเท่านี้ค่า ขอบคุณค่ะ 😉


  • How to install PSU SSL VPN Client ubuntu 18.04

    • เปิด terminal
    • เริ่มด้วยการติดตั้งโปรแกรมที่จำเป็น
      sudo apt install -y openfortivpn
    • สร้างแฟ้ม /home/username/fortivpn.config มีข้อความว่า
      host = vpn2.psu.ac.th
      port = 443
      username = PSU Passport Username
      password = PSU Passport Password
      trusted-cert = 34df1a6bd3705782fd17152de0c4fe0b3e7f31302cbdcf737b113c17a5b9ff09
    • สั่งรันคำสั่ง
      sudo openfortivpn -c fortivpn.config
    • ได้ข้อความประมาณว่า
    • แปลว่าเชื่อมต่อได้แล้ว หากต้องการยกเลิกการเชื่อมต่อให้กด ctrl-c จะได้ข้อความประมาณว่า
    • แปลว่ายกเลิกการเชื่อมต่อแล้ว
    • ต้องเปิด terminal ที่รันคำสั่ง openfortivpn ไว้ตลอดเวลาที่เชื่อมต่อห้ามปิด
    • จบสไตล์คอมมานไลน์ ….

    หากอยากได้ง่ายกว่านี้

    • ติดตั้งโปรแกรม OpenFortiGUI โหลดที่ https://hadler.me/linux/openfortigui/ โดยเลือกโปรแกรมสำหรับ Ubuntu 18.04
    • โหลดมาแล้วติดตั้งด้วยคำสั่ง
      sudo dpkg -i openfortigui_0.6.2-1_bionic_amd64.deb
    • จะมี error message มากมาย ให้ต่อด้วยคำสั่ง
      sudo apt -f -y install
    • เริ่มใช้งานเปิดโปรแกรม openFortiGUI โดยกดที่ปุ่ม Show Applications เลือก openFortiGUI
    • จะได้หน้าต่าง
    • คลิกปุ่ม Add เลือก VPN จะได้
    • กรอกข้อความตามรูป ช่อง username และ password ก็ใส่ PSU Passport ลงไปเสร็จแล้วกด Save
    • ได้ดังรูป
    • เลือก PSU แล้วคลิก Connect ได้ผลดังรูป
    • คลิก x เพื่อปิดหน้าต่างสังเกตว่าจะมีรูป  ที่มุมบนขวา หากจะยกเลิกการเชื่อมต่อ คลิกขวาที่  เลือก PSU เพื่อ dissconnect
    • จบขอให้สนุก…

    ***  จากที่ลองทดสอบพบว่า เมื่อเชื่อมต่อ AIS 4G จะไม่สามารถใช้วิธี OpenFortiGUI ได้ แต่ใช้วิธีคอมมานไลน์ได้ครับ

  • วิธีการใส่เลขหน้า ให้กับเอกสาร PDF แบบบ้าน ๆ

    สืบเนื่องจาก ทะเลาะกับ Printer เป็นวันๆ เพื่อที่จะใส่เลขหน้าให้กับเอกสาร PDF เสียกระดาษ เวลา และอารมณ์ไปเยอะ สุดท้าย ก็ได้วิธีการ เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

    1. Printer ที่ใช้เป็น Ricoh Africo MP301 SPF
    2. รุ่นนี้ มีที่ใส่กระดาษ 2 Tray อันบนคือ Tray 1 เอาไว้ใส่กระดาษเปล่า ส่วน อันล่าง Tray 2 ไว้ใส่กระดาษใช้แล้ว ซึ่ง ในที่นี้ เราจะเอาไว้ใส่กระดาษที่มีเลขหน้าในขั้นตอนต่อไป
    3. ปัญหาคือ ต้องจัดรูปเล่มเอกสารใหม่ เอาไฟล์ Word บ้าง PowerPoint บ้าง ภาพจากการ Capture บ้าง มารวม ๆ กัน เป็นเอกสารใหม่ ที่ต้องมีเลขหน้ากำกับ
    4. วิธีการคือ สร้าง PowerPoint หรือ Word ก็ได้ ที่มีเลขหน้า อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ และ จำนวนแผ่นที่เท่ากับจำนวนทั้งหมดที่ต้องการ  แล้วสั่งพิมพ์ออก Tray 1 ปรกติ
    5. จากนั้น นำกระดาษที่พิมพ์เลขหน้าเสร็จแล้ว กลับมาใส่ใน Tray 2 *** จุดสำคัญคือ การวางหัวกระดาษ*** ให้หันไปทางซ้ายมือ ดังภาพ
    6. จากนั้น ก็ Print สิ่งที่ต้องการใส่ เลขหน้า ตามลำดับ ลงไปที่ Tray 2
    7. สุดท้าย เราก็จะได้ กระดาษที่มีเนื้อหาตามต้องการ พร้อมเลขหน้าตามลำดับ
      ในภาพนี้ ได้ผลออกมาแล้ว นำกลับไป Scan เป็น PDF อีกครั้งหนึ่งที่ความละเอียด 600 dpi แบบ Photo

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

  • จดหมายลอกลวง 23/4/61

    ช่วง ศุกร์ที่ 20 ถึง เช้าวันนี้ จันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 พบว่า มีผู้ใช้หลายท่านได้รับ email ลักษณะประมาณนี้

    แล้วมีคำถามว่า เป็นของมหาวิทยาลัยส่งจริงหรือไม่

    ตอบก่อนเลยว่า “ไม่ใช่อีเมลของทางมหาวิทยาลัย” เป็นจดหมายหลอกลวง

    ทางระบบของมหาวิทยาลัยจะไม่ส่ง email แจ้งเตือนใดๆอย่างนี้

    ข้อสังเกต

    1. ลิงค์ใน email ที่ให้คลิก จะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ psu.ac.th (ทราบไม๊ครับ ? ว่าโดเมนเนมของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คือ psu.ac.th ???)

      ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่ถูกต้อง ของมหาวิทยาลัย จะต้องปรากฏ รูปกุญแจเขียว และ โดเมนเป็นของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งใช้โดเมนเนม psu.ac.th ดังภาพ

    2. ผู้ส่ง (From) ในทางปฏิบัติ จะ “ตั้งค่า” ให้เป็นใครก็ได้ แต่ในที่นี้ เค้าจะไม่สามารถตั้งค่าเป็น @psu.ac.th ได้ เพราะเราได้ทำการจดทะเบียน DomainKeys Identified Mail (DKIM) และทำตามกระบวนการ Sender Policy Framework (SPF) แล้ว ซึ่งจะกำหนดว่า ต้องเป็น IP ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น จึงจะบอกว่า ส่งจาก @psu.ac.th ได้เท่านั้น …. แม้จะส่งได้และเข้ามาใน Inbox ของท่าน แต่อาจจะเป็นบน gmail.com, hotmail.com, yahoo.com ก็ตาม ก็จะถูกระบุว่า ไม่สามารถเชื่อถือได้

      ในที่นี้ จึงเลี่ยงไปใช้ @itservice.psu.ac.th ซึ่ง ก็ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน

     

    หากหลงเชื่อ คลิก Link แล้วกรอกข้อมูลไปแล้วควรทำอย่างไร?

    ให้ทำการตั้งรหัสผ่าน PSU Email ใหม่ที่ ตามวิธีการนี้เท่านั้น

    http://gafe.psu.ac.th/support/1/1

     

    และ เว็บไซต์ที่จะทำการ ตั้งรหัสผ่าน PSU Email ได้ ต้องเป็นเว็บไซต์นี้เท่านั้น ซึ่งต้องยืนยันตัวจริง ด้วย PSU Passport อีกชั้นหนึ่งด้วย

    https://webmail.psu.ac.th/src/resetpassword.html

     

    ลืม PSU Passport / ไม่แน่ใจว่า PSU Passport คืออะไร ทำอย่างไร ???

    1. บุคลากรมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ >>> ติดต่อการเจ้าหน้าที่ คณะ หน่วยงานของท่าน
    2. นักศึกษา >>> ติดต่อ ศูนย์คอมพิวเตอร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (email สอบถาม: passport@psu.ac.th)
    3. บุคลากรที่เกษียณ/ไม่ได้ทำงานที่มหาวิทยาลัยแล้ว >>> มหาวิทยาลัยยังคง email ของท่านไว้เสมอ สามารถใช้ต่อไปได้ แม้ เกษียณ/ลาออก ก็ตาม แต่ในกรณีที่ท่านต้องการเปลี่ยนรหัสผ่าน PSU Email แล้ว ไม่สามารถใช้งาน PSU Passport ได้แล้ว ให้มาติดต่อด้วยตนเองที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่เท่านั้น