Category: Manual

คู่มือการติดตั้ง, คู่มือการใช้งาน

  • สร้างสื่อเสมือนจริงง่ายๆ ด้วย Pixlive maker

    Blog ก่อนหน้าเราได้ทำความรู้จักกับ สื่อเสมือนจริง หรือที่เราเรียกกันว่า AR กันไปแล้ว ภาคต่อใน Blog นี้จะพาไปเจาะลึกมากขึ้นอีก Step นึง ก็คือ เราจะมาดูกันว่า AR เนี่ย สร้างกันอย่างไร

    สำหรับผู้เขียน Blog นี้ขอเลือกใช้งานการสร้าง AR ง่ายๆ ผ่านเว็บ VIDINOTI ละกันนะ
    ปะ ไปดูกันเลย

    เริ่มต้นด้วยไปที่เว็บ https://www.vidinoti.com/home/ เมื่อเข้าสู่หน้าเว็บเรียบร้อยแล้ว ก็สมัครเข้าใช้งานกันก่อนเลย คลิกเลือกที่ Free Sign up มุมบนด้านขวา จากนั้นก็กรอกข้อมูลเพื่อสมัครเข้าใช้งาน ตัวอย่างตามรูปด้านล่างนะทุกคน

    เมื่อ Register เรียบร้อยแล้ว ให้เข้าไป Activate จาก link ที่ส่งไปยัง e-mail ที่เราได้สมัครเอาไว้นะ เมื่อ Activate แล้วก็ Log in เพื่อใช้งานกันโลดดดดดดด !!

    หน้าแรกจะมีการแนะนำขั้นตอนเบื้องต้นบอกเราว่า เราต้องทำการดาวน์โหลด App V-Player นะ จะต้อง Scan QR Code นะ และก็มีวีดีโอแนะนำการใช้งานให้เราได้ดูกัน อ่านเสร็จแล้วก็กด “OK” ได้เลย

    หน้าแรกของระบบจะประกอบด้วย

    1. ซ้ายมือจะเป็นกลุ่มเมนูการจัดการต่างๆ
    2. ตรงกลางเป็นส่วน Plan ซึ่งเราสามารถดูได้ว่าเราทำไปกี่ content แล้ว หรือ publish ไปแล้วกี่ content รวมถึงสามารถ upgrade account ได้ด้วยน๊าาาาาา (ระดับเราแล้ว ฟรี อย่างเดียว !!)
    3. มุมล่างด้านขวาของหน้าจอจะเป็น QR Code ซึ่งประโยชน์ของมันก็คือ คนที่จะมองเห็นงาน AR ของเรานั้น จะต้องทำการเปิด App V-Player จากนั้นนำมาส่ง QR Code ตัวนี้เพื่อจะดูผลงานของเรานั่นเอง
      หมายเหตุ : ให้บันทึก QR Code เก็บไว้ก่อนนะ แล้วค่อยนำรูปไปแปะไว้ในงานของเรา

    มาเริ่มสร้างงาน AR ของเรากันเถอะ !!

    Step 1
    จากหน้าแรก ให้คลิกเลือก “Create new content”

    Step 2
    เลือก “Image AR” จากนั้นให้เราทำการ Drop file หรือ Browse file ที่เราได้สร้างหรือออกแบบเอาไว้ เข้ามาในระบบ

    Step 3
    เมื่อเลือกรูปที่ต้องการ upload เสร็จแล้ว ให้กด “Continue” จากนั้นระบบก็จะแสดงหน้าถัดไป ให้ตั้งชื่อ “content name” และ “Description” (อันหลังนี่จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้นะ) จากนั้นกด “Continue” อีกรอบนึงนะ ปุ่มจะอยู่ด้านล่างขวาของหน้าจอนั่นแหละ

    Step 4
    เมื่อเจอหน้าจอดังรูปด้านล่าง ให้เราคลิกที่รูปในหน้าจอได้เลย ระบบจะพาเราไปยังหน้า Pixlive editor

    Step 5
    ครั้งแรกที่เข้ามาในส่วน Pixlive editor ก็มีการแนะนำการใช้งาน คลิก “take the tour!” ก็คลิกๆ ตามๆ ที่เค้าชี้ไปเรื่อยๆ เมื่อครบแล้วก็โปรดรอสักครู่ ! ก็จะเจอกับหน้าจอดังรูป

    • ซ้ายของหน้าจอคือ content ต่างๆ ไว้ให้เราเลือกใช้
    • ตรงกลางส่วนแสดงผล สามารถเลือกมุมมองสลับไปมาได้ระหว่าง Scene View หรือ Scenario มี % การแสดงผล
    • ขวาของหน้าจอก็จะเป็น Properties ของแต่ละ Scene ที่เราโฟกัสอยู่นั่นเอง

    Step 6
    ก่อนอื่นเรามามองภาพรวมก่อนการสร้างงานกันสักนิดนึง ตามตัวอย่างที่ผู้เขียนออกแบบงานของผู้เขียนไว้คือ “จะมีเมนู 5 เมนู ซึ่ง 3 เมนูแรกจะเชื่อมโยงไปยัง VDO เมนูถัดมาจะเชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บที่ได้มีไฟล์แขวนเอาไว้ ส่วนสุดท้ายจะเป็นส่วนแสดงช่องทาง Contact มายังผู้จัดทำ storyboard ก็ประมาณนี้นะ” มาเริ่มกันที่ 3 เมนูแรกเลยละกัน

    ให้คลิกเลือก content “Image Button” เพื่อเพิ่มปุ่มแรกกันเลย จริงๆ Image Button จะมีสองแบบคือ ด้านซ้ายรูปแบบที่ระบบมีไว้ให้แล้ว ส่วนด้านขวาจะเป็นแบบที่เราออกแบบเอาไว้ ให้เรา Browse file ที่ต้องการเข้ามาได้เลย เมื่อเรียบร้อยแล้ว คลิกปุ่ม “Apply changes

    Step 7
    เมื่อสร้างปุ่มแรกเรียบร้อยแล้ว ระบบก็จะ New Scene2 ขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติ โดยให้ลอง Switch ไปดูในมุมมอง Scenario จะเห็นภาพชัดเจน ตามรูปเลยนะ

    Step 8
    คราวนี้เราจะมาโฟกัสที่ Scene2 กันนะ ตามที่บอกไว้ ปุ่มแรกของเราจะเชื่อมโยงไปยัง VDO ดังนั้นให้คลิกบน Scene2 ก่อนเลย เมื่อคลิกเสร็จแล้วก็ให้เลือก content ที่เป็น “Video” มาวางบน Scene2 เลย
    ปล … ชื่อ Scene นี่สามารถเปลี่ยนได้ตรง Properties ด้านขวามือเลยนะ เปลี่ยนให้เป็นชื่อที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ เวลามีหลาย Scene จะได้ไม่งงเน้อออ

    Step 9
    VDO นี่ก็เลือกได้ 2 แบบเหมือนกันนะ upload จากเครื่องเราขึ้นไป หรือจะแปะ link แทน เช่น พวก link จาก youtube เป็นต้น แต่ผู้เขียนขอ upload จากเครื่องตัวเองละกันนะ และเลือกแสดงได้นะว่าจะให้แสดงแบบไหน Full , Loop หรืออื่นๆ ตามที่เห็นนั่นแหละ จากนั้นคลิก “Apply changes” ได้เลย

    Step 10
    ก็ทำตามขั้นตอนเดิม จนครบทุกหน้าที่ตาม Storyboard ที่เราวางไว้ แต่ปุ่มเมนูหลักเนี่ยเวลาจะลากมาวางให้ วางไว้ใน Start Scene นะ อย่าลืมกันละทุกคน และสำหรับหน้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ VDO เนี่ย ก็ให้เลือก content ให้ถูกนะ เป็น Web เป็น PDF หรืออื่นๆ ก็เลือกให้ถูกต้องก่อนนำมาวางละ หากทำครบตามที่วางแผนเอาไว้ ก็จะได้หน้าตาประมาณนี้นะ

    Step 11
    ทำเสร็จแล้ว รีวิวดูแล้วถูกต้องก็มา Save กันเลย ให้คลิกเลือกที่มุมบนด้านขวาของหน้าจอเลยนะ ตามรูปเลย

    Step 12
    เมื่อบันทึกเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เลือก “My Contents” ระบบก็จะมาโฟกัสที่ Content list ให้เรา จากนั้นก็ให้ดูว่า Content ที่เราได้สร้างไปนั้น แสดงสถานะเป็น Published แล้วหรือไม่ ปล..จริงๆ แล้วก็จะ Publish ให้อัตโนมัตินั่นแหละ

    Step สุดท้ายยยยยยยย
    ถ้าจะทดสอบงานของเราก็คลิกเข้าไปใน Content ที่เราสร้างไว้ได้เลย จากนั้นให้เอา smartphone ของเราที่ได้ติดตั้ง App V-Player เรียบร้อยแล้ว นำมาส่อง QR Code ของเราได้เลย งานที่เราสร้างก็จะแสดงให้เราเห็น ตามตัวอย่างใน VDO ด้านล่างเลยนะ

    ตัวอย่างผลลัพธ์ AR ที่เราได้สร้างไว้

    เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ยากมั้ย นี่ผู้เขียนว่ามันไม่ยากนะ แต่มันแค่ยาวเท่านั้นเอง 555+ ยังไงก็แล้วแต่สามารถทดลองไปสร้างไปใช้งานกันได้นะ สนุกดี แถมเรายังได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ ไว้ใช้ในการพัฒนาตัวเราเองได้ด้วย ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยแหละเนอะ ไว้เจอกันใหม่ Blog หน้า เน้อทุกคนนนนน แฮ่ 🙂

    อ้างอิง
    youtube ช่องของอาจารย์ Apiwat Wongkanha ค่ะ ละเอียด และทำตามได้จริงๆ แนะนำๆ

  • รู้จักสื่อแบบ AR

    TOR รอบใหม่นี้ Blog แรก (จาก 16 Blog!! ที่ต้องเขียน) ที่ผู้เขียนจะนำมาเล่าสู่กันฟังก็คือ เทคโนโลยี AR จะมาเล่าว่ามันคืออะไร แล้วถ้าเราจะสร้าง AR เนี่ย จะต้องทำยังไง ยากง่ายแค่ไหน แต่ๆๆ Blog แรกเนี่ยเอาเป็นแค่ลองมาทำความรู้จักกันก่อนละกันเนอะ วิธีการสร้างขอเป็น Blog ถัดๆ ไปละกัน อิอิ 🙂

    AR คืออะไร ??
    หลายๆ คนคงมีคำถามแบบเดียวกัน และอีกหลายๆ คนก็คงจะไม่เคยรู้ว่าเจ้า AR เนี่ย อยู่ใกล้กับชีวิตประจำวันเรามากกว่าที่คิดนะ 55+

    ——————————————————————————————————————–

    เรามารู้จักกับเจ้าเทคโนโลยี AR กันเถอะ ….

    เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) คือเป็นเทคโนโลยีที่ผสานเอาโลกแห่งความจริง (Real) เข้ากับโลกเสมือน (Virtual) โดยผ่านทางอุปกรณ์เว็บแคม กล้องโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือคอมพิวเตอร์ ร่วมกับการใช้ Software ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ภาพที่เห็นในจอภาพจะเป็นวัตถุ (Object) ยกตัวอย่างเช่น คน สิ่งของ โดยแสดงผลออกมาเป็นลักษณะ 3 มิติ ซึ่งมีมุมมองถึง 360 องศาเลยนะ

    ——————————————————————————————————————–

    จริงๆ แล้วเนี่ย AR มันเป็นเทคโนโลยีที่มีมานานมากกกกแล้ว ทางผู้เขียนก็ได้ยินผ่านๆ มาอยู่ตลอด แต่ยังไม่เคยได้ลองทดสอบเข้าไปศึกษาและใช้งานแบบจริงๆจังๆ ซะที

    อาจเพราะในอดีต จะมีข้อจำกัดในทางเทคโนโลยีจึงยังไม่ค่อยมีความแพร่หลายในการใช้งานสักเท่าไหร่ แต่สำหรับยุคปัจจุบัน แทบไม่ต้องพูดถึงเลยว่า อุปกรณ์สมาร์ทโฟนเนี่ยเราสามารถข้าถึงได้ง่ายดายแค่ไหน “เรียกว่าปัจจัยที่ 5 กันเลยทีเดียว” เล่นกันตั้งแต่เด็ก 3 ขวบ จนไปถึงผู้สูงอายุวัย 80 กันนั่นแหละ !!

    ดังนั้นเทคโนโลยีตัวนี้จึงกลับมาเริ่มมีความแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ถูกกล่าวถึงและมีคนให้ความสนใจอยู่เป็นระยะ อาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับอีกหลายๆ ตัว แต่ก็คาดว่ายังสามารถต่อยอดไปได้อีกไกลแหละนะ

    ในปัจจุบันเทคโนโลยีเสมือนจริง สามารถนำมาพัฒนาเป็น Application เพื่อช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็กๆ หรือช่วยในส่วนของธุรกิจการค้าที่ต้องปรับกลยุทธ์เชิงรุกในรูปแบบออนไลน์ หรือจะให้ยกตัวอย่าง AR ง่ายๆ เลยคือ “เกมส์โปเกมอน โก” นั่นแหละ

    หลักการทำงานของ AR หลักๆ ประกอบด้วย

    1. วิเคราะห์ภาพ (Image Analysis) โดยค้นหาจากตัว Marker (หรือที่เราเรียกว่า Markup) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ หรือรูปภาพที่เรากำหนดไว้เป็นตัวเปรียบเทียบ กับสิ่งที่เราได้เก็บไว้ในฐานข้อมูล (Marker Database)
    2. กล้องวิดีโอ กล้องเว็บแคม กล้องโทรศัพท์มือถือ หรือตัวจับ Sensor อื่นๆ
    3. Software ส่วนประมวลผลเพื่อวัตถุแบบ 3 มิติ
    4. การแสดงผลบนจอภาพจากคอมหรือโทรศัพท์มือถือ หรืออื่นๆ โดยกระบวนการสร้างภาพ 2 มิติ จากโมเดล 3 มิติ (3D Rendering) เป็นการเพิ่มข้อมูลเข้าไปในภาพโดยใช้ค่าตำแหน่งเชิง 3 มิติ ที่คำนวณได้จนได้ภาพเสมือนจริง

    พื้นฐานหลักของ AR

    ง่ายๆ คือ ใช้หลักการการตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Detection) การเต้น หรือ การเคาะ (Beat Detection) การจดจำเสียง (Voice Recognize) และการประมวผลภาพ (Image Processing) นั่นเอง

    เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา AR ก็มีอยู่หลากหลายนะ เช่น Unity , Pixlive Maker เป็นต้น
    หาดูใน google ก็จะขึ้นเยอะแยะไปหมด เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย พอจะเข้าใจเทคโนโลยีเสมือนจริงเพิ่มมากขึ้นอีกสักนิดกันมั้ย
    ไม่ต้องรีบๆ ค่อยๆเรียนรู้ไปด้วยกันนะทุกคนน

    ——————————————————————————————————————–

    เอาไว้ใน Blog ถัดไป ผู้เขียนจะมาเล่าถึงวิธีการสร้างเจ้า AR ตัวนี้ละกันนะ ขอเวลาไปเขียน storyboard ก่อนแป๊บนึง …. Bye 🙂
    ปล … สร้างอะไม่ยากหรอก จะยากก็ตอนออกแบบ นั่งหารูป สร้างข้อความ เลือกสี หา Background เหล่านี้นี่แหละ พูดเลย นาน 55+

    ขอบคุณข้อมูลดีดี
    อ้างอิง : http://www.techno.lru.ac.th/techno

  • HelpNDoc – #1 (หุบ ๆ ย่อ ๆ) กำหนดการแสดงผล Table of contents เริ่มแรกให้กับเอกสาร HTML

    บทความนี้จะขอแนะนำให้กับผู้ใช้งานโปรแกรม HelpNDoc ในการสร้างเอกสารกันอยู่ค่ะ ว่าเราสามารถกำหนดการแสดง table of contents ของเอกสารชนิด HTML ที่เราได้ generate ได้ว่าจะให้แสดงผลเริ่มต้นกับผู้อ่านเมื่อเปิดเอกสารอย่างไรค่ะ

    โดยสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ table of contents ของเอกสารของเรานั้น ขยายไปที่ topic ของ contents ใน Level ใด

    —> วิธีการกำหนดการแสดงเริ่มแรกให้กับ table of contents ของเอกสารของเรานั่นง่ายมาก ๆ มาเริ่มกันเลยยย

    ในขั้นตอนการ Generate เอกสารให้เป็น Html เมื่อเรา Click Generate Document และเลือก ฺBuild เอกสารเป็น html นั้น จะพบลิงก์ Customize ให้คลิกลิงก์ดังกล่าว เพื่อเข้าไปกำหนดค่าต่างๆ ให้กับเอกสารของเรากันค่ะ

    เมื่อคลิก Customize ให้สังเกตในแท๊ป Template settings และเลื่อนลงไปในหัวข้อ Table of content expand level ทำการเลือก level ของ topic contents (เริ่มต้นจาก level 0) ที่เราต้องการให้แสดงเริ่มต้นเมื่อเปิดเอกสารขึึ้นมา แล้วคลิกปุ่ม Generate เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

    มาดูผลลัพธ์กันเลย เมื่อเราเลือก เป็น Level 0 จะเห็นได้ว่า เมื่อเปิดเอกสารขึ้นมาในครั้งแรก table of contents ของเอกสารของเรา ก็จะแสดงแบบขยายในระดับ level 0 (หัวข้อแรก) เท่านั้นค่ะ แต่ยังไงไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ไงก็สามารถกดย่อขยายหัวข้อที่มีอยู่ของเอกสารได้ทั้งหมดอยู่ดีค่ะ เป็นแค่การแสดงผลเริ่มแรกเมื่อเปิดเอกสารเท่านั้น

    ลองเลือกเป็น Level 2 กันค่ะ ก็จะได้หน้าตาออกมาแบบนี้

    เป็นยังไงบ้างคะ ง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ ไว้บทความหน้า จะมาแนะนำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการใช้งานโปรแกรม HelpNDoc กันอีกนะคะ สำหรับบทความนี้ก็มีเพียงเท่านี้ค่า ขอบคุณค่ะ 😉


  • How to install PSU SSL VPN Client ubuntu 18.04

    • เปิด terminal
    • เริ่มด้วยการติดตั้งโปรแกรมที่จำเป็น
      sudo apt install -y openfortivpn
    • สร้างแฟ้ม /home/username/fortivpn.config มีข้อความว่า
      host = vpn2.psu.ac.th
      port = 443
      username = PSU Passport Username
      password = PSU Passport Password
      trusted-cert = 34df1a6bd3705782fd17152de0c4fe0b3e7f31302cbdcf737b113c17a5b9ff09
    • สั่งรันคำสั่ง
      sudo openfortivpn -c fortivpn.config
    • ได้ข้อความประมาณว่า
    • แปลว่าเชื่อมต่อได้แล้ว หากต้องการยกเลิกการเชื่อมต่อให้กด ctrl-c จะได้ข้อความประมาณว่า
    • แปลว่ายกเลิกการเชื่อมต่อแล้ว
    • ต้องเปิด terminal ที่รันคำสั่ง openfortivpn ไว้ตลอดเวลาที่เชื่อมต่อห้ามปิด
    • จบสไตล์คอมมานไลน์ ….

    หากอยากได้ง่ายกว่านี้

    • ติดตั้งโปรแกรม OpenFortiGUI โหลดที่ https://hadler.me/linux/openfortigui/ โดยเลือกโปรแกรมสำหรับ Ubuntu 18.04
    • โหลดมาแล้วติดตั้งด้วยคำสั่ง
      sudo dpkg -i openfortigui_0.6.2-1_bionic_amd64.deb
    • จะมี error message มากมาย ให้ต่อด้วยคำสั่ง
      sudo apt -f -y install
    • เริ่มใช้งานเปิดโปรแกรม openFortiGUI โดยกดที่ปุ่ม Show Applications เลือก openFortiGUI
    • จะได้หน้าต่าง
    • คลิกปุ่ม Add เลือก VPN จะได้
    • กรอกข้อความตามรูป ช่อง username และ password ก็ใส่ PSU Passport ลงไปเสร็จแล้วกด Save
    • ได้ดังรูป
    • เลือก PSU แล้วคลิก Connect ได้ผลดังรูป
    • คลิก x เพื่อปิดหน้าต่างสังเกตว่าจะมีรูป  ที่มุมบนขวา หากจะยกเลิกการเชื่อมต่อ คลิกขวาที่  เลือก PSU เพื่อ dissconnect
    • จบขอให้สนุก…

    ***  จากที่ลองทดสอบพบว่า เมื่อเชื่อมต่อ AIS 4G จะไม่สามารถใช้วิธี OpenFortiGUI ได้ แต่ใช้วิธีคอมมานไลน์ได้ครับ

  • วิธีการใส่เลขหน้า ให้กับเอกสาร PDF แบบบ้าน ๆ

    สืบเนื่องจาก ทะเลาะกับ Printer เป็นวันๆ เพื่อที่จะใส่เลขหน้าให้กับเอกสาร PDF เสียกระดาษ เวลา และอารมณ์ไปเยอะ สุดท้าย ก็ได้วิธีการ เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ จึงอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง

    1. Printer ที่ใช้เป็น Ricoh Africo MP301 SPF
    2. รุ่นนี้ มีที่ใส่กระดาษ 2 Tray อันบนคือ Tray 1 เอาไว้ใส่กระดาษเปล่า ส่วน อันล่าง Tray 2 ไว้ใส่กระดาษใช้แล้ว ซึ่ง ในที่นี้ เราจะเอาไว้ใส่กระดาษที่มีเลขหน้าในขั้นตอนต่อไป
    3. ปัญหาคือ ต้องจัดรูปเล่มเอกสารใหม่ เอาไฟล์ Word บ้าง PowerPoint บ้าง ภาพจากการ Capture บ้าง มารวม ๆ กัน เป็นเอกสารใหม่ ที่ต้องมีเลขหน้ากำกับ
    4. วิธีการคือ สร้าง PowerPoint หรือ Word ก็ได้ ที่มีเลขหน้า อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ และ จำนวนแผ่นที่เท่ากับจำนวนทั้งหมดที่ต้องการ  แล้วสั่งพิมพ์ออก Tray 1 ปรกติ
    5. จากนั้น นำกระดาษที่พิมพ์เลขหน้าเสร็จแล้ว กลับมาใส่ใน Tray 2 *** จุดสำคัญคือ การวางหัวกระดาษ*** ให้หันไปทางซ้ายมือ ดังภาพ
    6. จากนั้น ก็ Print สิ่งที่ต้องการใส่ เลขหน้า ตามลำดับ ลงไปที่ Tray 2
    7. สุดท้าย เราก็จะได้ กระดาษที่มีเนื้อหาตามต้องการ พร้อมเลขหน้าตามลำดับ
      ในภาพนี้ ได้ผลออกมาแล้ว นำกลับไป Scan เป็น PDF อีกครั้งหนึ่งที่ความละเอียด 600 dpi แบบ Photo

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

  • จดหมายลอกลวง 23/4/61

    ช่วง ศุกร์ที่ 20 ถึง เช้าวันนี้ จันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 พบว่า มีผู้ใช้หลายท่านได้รับ email ลักษณะประมาณนี้

    แล้วมีคำถามว่า เป็นของมหาวิทยาลัยส่งจริงหรือไม่

    ตอบก่อนเลยว่า “ไม่ใช่อีเมลของทางมหาวิทยาลัย” เป็นจดหมายหลอกลวง

    ทางระบบของมหาวิทยาลัยจะไม่ส่ง email แจ้งเตือนใดๆอย่างนี้

    ข้อสังเกต

    1. ลิงค์ใน email ที่ให้คลิก จะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ psu.ac.th (ทราบไม๊ครับ ? ว่าโดเมนเนมของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คือ psu.ac.th ???)

      ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่ถูกต้อง ของมหาวิทยาลัย จะต้องปรากฏ รูปกุญแจเขียว และ โดเมนเป็นของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งใช้โดเมนเนม psu.ac.th ดังภาพ

    2. ผู้ส่ง (From) ในทางปฏิบัติ จะ “ตั้งค่า” ให้เป็นใครก็ได้ แต่ในที่นี้ เค้าจะไม่สามารถตั้งค่าเป็น @psu.ac.th ได้ เพราะเราได้ทำการจดทะเบียน DomainKeys Identified Mail (DKIM) และทำตามกระบวนการ Sender Policy Framework (SPF) แล้ว ซึ่งจะกำหนดว่า ต้องเป็น IP ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น จึงจะบอกว่า ส่งจาก @psu.ac.th ได้เท่านั้น …. แม้จะส่งได้และเข้ามาใน Inbox ของท่าน แต่อาจจะเป็นบน gmail.com, hotmail.com, yahoo.com ก็ตาม ก็จะถูกระบุว่า ไม่สามารถเชื่อถือได้

      ในที่นี้ จึงเลี่ยงไปใช้ @itservice.psu.ac.th ซึ่ง ก็ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน

     

    หากหลงเชื่อ คลิก Link แล้วกรอกข้อมูลไปแล้วควรทำอย่างไร?

    ให้ทำการตั้งรหัสผ่าน PSU Email ใหม่ที่ ตามวิธีการนี้เท่านั้น

    http://gafe.psu.ac.th/support/1/1

     

    และ เว็บไซต์ที่จะทำการ ตั้งรหัสผ่าน PSU Email ได้ ต้องเป็นเว็บไซต์นี้เท่านั้น ซึ่งต้องยืนยันตัวจริง ด้วย PSU Passport อีกชั้นหนึ่งด้วย

    https://webmail.psu.ac.th/src/resetpassword.html

     

    ลืม PSU Passport / ไม่แน่ใจว่า PSU Passport คืออะไร ทำอย่างไร ???

    1. บุคลากรมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ >>> ติดต่อการเจ้าหน้าที่ คณะ หน่วยงานของท่าน
    2. นักศึกษา >>> ติดต่อ ศูนย์คอมพิวเตอร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (email สอบถาม: passport@psu.ac.th)
    3. บุคลากรที่เกษียณ/ไม่ได้ทำงานที่มหาวิทยาลัยแล้ว >>> มหาวิทยาลัยยังคง email ของท่านไว้เสมอ สามารถใช้ต่อไปได้ แม้ เกษียณ/ลาออก ก็ตาม แต่ในกรณีที่ท่านต้องการเปลี่ยนรหัสผ่าน PSU Email แล้ว ไม่สามารถใช้งาน PSU Passport ได้แล้ว ให้มาติดต่อด้วยตนเองที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่เท่านั้น
  • วิธีส่ง email ในนามหน่วยงาน ที่ออกจาก Gmail ให้เป็น @psu.ac.th หรือ @group.psu.ac.th

    ไปที่
    คลิก Add Another email address
    ใส่ ชื่อที่ต้องการ
    email address ที่ต้องการส่งออกไป
    แล้วคลิก Next Step
    จากนั้น ใส่
    SMTP Server: smtp2.psu.ac.th
    Username; yourpsuemail@psu.ac.th  <—– email address ของ psu ครับ
    Password: Password ของ psu email
    แล้วคลิก Add Account
    รอ email ที่เข้าสู่ Groupmail ที่กำหนดไว้
    จะได้รับ email ประมาณนี้
    ให้เอา Confirmation Code ไป หรือ จะคลิก Link ก็ได้
    เมื่อเสร็จแล้วก็จะได้ผลลัพธ์ประมาณนี้
    ครับ
  • การลบเมลล์ใน PSU Webmail

    เคยเจอปัญหาว่า…

    มีคนทั้งนอกและในมอ. ส่งเมลล์เช้า @psu.ac.th แต่ไม่ได้รับเมลล์ (ปกติเช็คเมลล์ผ่าน google) เลยลองเข้า https://webmail.psu.ac.th ดูเพื่อที่จะเข้าไปลบเมลล์ เพราะระบบแจ้งว่าพื้นที่เมลล์เต็มแล้ว ก็ทำการลบ(ตามรูป) แต่ก็ไม่เป็นผล เหมือนว่าเมลล์ยังไม่ได้ถูกลบ และพื้นที่เมลล์ก็ยังคงเต็มอยู่เหมือนเดิม

    มาดูวิธีการลบเมลล์ในกล่อง Inbox กันครับ

    1. select all
    2. click ปุ่ม Delete
    3. แล้วคลิกปุ่ม Expunge อีกครั้ง
    เมลล์จะถูกลบเป็นหน้าๆ ไป ก็ทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด

    4. Sign Out แล้วทำการ Sign in ใหม่อีกครั้ง

    5. พื้นที่เก็บเมลล์ (Quota Usage) เหลือเยอะขึ้น

     

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนหรือผู้ที่ประสบปัญหาเดียวกันนะครับ ^^

    *** อย่าลืมหมั่นตรวจสอบ และลบเมลล์ออกบ้างนะครับเพื่อเคลียร์พื้นที่ในการจัดเก็บเมลล์

  • การใช้ GitHub Command Line #newbie

    Prerequisite

    • ต้องมี GitHub Account ก่อน ทำตามวิธีการนี้ https://help.github.com/articles/signing-up-for-a-new-github-account/
    • สร้าง GitHub Repository บน Web ก่อน  (ในที่นี้ จะสร้าง Repository ชื่อ mynewrepo) ซึ่งจะได้ URL มาเป็น https://github.com/your-username/mynewrepo.git

    สร้าง local repository

    mkdir mynewrepo
    cd mynewrepo
    git init
    git status

    สร้างไฟล์ใหม่

    # สมมุติสร้างไฟล์ใหม่
    echo "Hello World" > mynewfile.txt
    git add .
    git status

    ทำการ Commit

    git commit -m "This is a first Commit"

    สร้าง Connection ระหว่าง Local Folder กับ GitHub Repository

    git remote add origin https://github.com/your-username/mynewrepo.git
    git push -u origin master

    จากนั้น ใส่ Username/Password ของ GitHub Account

    ไปดูผลงานใน Repository “mynewrepo” ที่ https://github.com/your-username/mynewrepo

    เมื่อมีการแก้ไขไฟล์

    echo "Hello New World" >> mynewfile.txt
    git status

    ทำการ เพิ่ม > Commit > Push

    git add .
    git commit -m "This is a second Commit"
    git push -u origin master

    วนไป