การติดตั้ง Laravel 5 + WAMP

Laravel คืออะไร??   Laravel คือ PHP framework ที่นิยมตัวหนึ่ง ซึ่งมาในรูปแบบของ MVC pattern เช่นเดียวกับ Codeigniter โดยข้อดีของ Laravel คือ โปรแกรมเมอร์ไม่ต้องพยายามเขียนโค้ดเองทั้งหมด Laravel ช่วยลดงานในการพัฒนาโดยสร้างระบบสำเร็จรูปมาให้อย่างพวก authentication, routing, sessionsและ caching. ด้วยความที่เป็น framework ที่นิยม ทำให้มี document และ code ตัวอย่างที่หาอ่านได้ง่าย WAMP คืออะไร? WAMP ย่อมาจาก Windows Apache MySQL PHP ซึ่งก็คือ Apache server หรือตัวจำลอง server ที่ไว้ run จาก localhost นั่นเอง ข้อดีของ WAMP คือ สามารถสลับ PHP version ที่ใช้การ run แต่ละครั้งโดยสลับจากหน้าเมนู interface ของโปรแกรมได้เลย โดยไม่ต้อง stop/start ใหม่ การติดตั้ง 1.download WAMP และทำการติดตั้งให้เรียบร้อย 2.Configure SSL ตั้งค่าเปิดการใช้งาน SSL เพื่อให้ Composer สามารถ run ได้ โดยเข้าไปตั้งค่าที่ไฟล์ php.ini ที่เก็บอยู่ใน path C:\wamp\bin\php\php5.4.16\php.ini (path ที่ install WAMP) แล้วกด Ctrl+F ค้นหา “extension=php_openssl.dll” เมื่อเจอแล้ว ให้เอาเครื่องหมาย ; ที่อยู่ข้างหน้าออกแล้วกด save 3.ติดตั้ง Composer Composer คือ เครื่องมือในการจัดการ library และ package ต่างๆ ของ PHP Framework Download Composer for Window และทำการติดตั้ง **หมายเหตุ ต้องติดตั้ง WAMP ก่อน Composer เนื่องจากตัว Composer จะ run ด้วย php ซึ่งติดมากับ WAMP 4.ติดตั้ง Laravel Framework ตรวจสอบว่า Composer ได้ถูกติดตั้งและพร้อมใช้งานแล้ว โดยเปิด command prompt ขึ้นมาและพิมพ์คำสั่ง composer หากทำการติดตั้งและพร้อมใช้งานแล้วจะได้ผลลัพธ์ดังรูป ต่อมา ติดตั้ง Laravel โดยเข้าไปที่ path C:\wamp64\www ซึ่งเป็นที่เก็บตัว project web ของ WAMP Serverหลังจากนั้นให้พิมพ์คำสั่งตามด้านล่าง โดยให้ระบุชื่อ project หลัง /laravel เช่นในตัวอย่างคำสั่ง ชื่อ project ของเราคือ test composer create-project –prefer-dist laravel/laravel test หลังจากนั้น Composer จะไป download Laravel Framework และ Library ที่เกี่ยวข้องมาให้ ดังรูป เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้ Application key ของ project ที่เราสร้างขึ้น ดังรูป เข้าไป Directory ที่เราได้สร้าง project ไว้ จะพบโครงสร้าง project ดังรูป 5. ทดสอบ run project (อย่าลืม start WAMP ก่อน run ทุกครั้งนะคะ) โดยเปิด browser ขึ้นมา และพิมพ์ localhost/test/public/ จะได้ผลลัพธ์ดังรูป เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการติดตั้ง

Read More »

การเชื่อมต่อ OAuth2 ด้วย .NET C#

อยาก  Login ด้วย OAuth2 กับ .NET C# ต้องทำอย่างไร              สำหรับตัวอย่างนี้เอามาจาก GitHub Project : https://github.com/titarenko/OAuth2[1] ซึ่งเป็น Code ตัวอย่างนำมาเพิ่ม ในส่วนของการเชื่อมต่อ PSU Passport ดังนี้ เพิ่ม class file ใน project OAuth2->Client->Impl ชื่อ PassportClient.cs เนื้อหาดังนี้ using Newtonsoft.Json.Linq; using OAuth2.Configuration; using OAuth2.Infrastructure; using OAuth2.Models; namespace OAuth2.Client.Impl { /// <summary> /// Passport authentication client. /// </summary> public class PassportClient : OAuth2Client { /// <summary> /// Initializes a new instance of the <see cref=”PassportClient”/> class. /// </summary> /// <param name=”factory”>The factory.</param> /// <param name=”configuration”>The configuration.</param> public PassportClient(IRequestFactory factory, IClientConfiguration configuration) : base(factory, configuration) { } /// <summary> /// Defines URI of service which issues access code. /// </summary> protected override Endpoint AccessCodeServiceEndpoint { get { return new Endpoint { BaseUri = “https://oauth.psu.ac.th”, Resource = “?oauth=authorize” }; } } /// <summary> /// Defines URI of service which issues access token. /// </summary> protected override Endpoint AccessTokenServiceEndpoint { get { return new Endpoint { BaseUri = “https://oauth.psu.ac.th”, Resource = “?oauth=token” }; } } /// <summary> /// Defines URI of service which allows to obtain information about user which is currently logged in. /// </summary> protected override Endpoint UserInfoServiceEndpoint { get { return new Endpoint { BaseUri = “https://oauth.psu.ac.th”, Resource = “?oauth=me” }; } } /// <summary> ///

Read More »

Workshop : PSU Passport OAuth2

มีวิธี Authen แบบอื่นนอกจาก LDAP กับ Web Service ไหม             ด้วยยุคสมัยเปลี่ยนไป ด้วยเทคโนโลยี OAuth2 ทำให้เราจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมกันอีกครั้งครับ หมายเหตุ : เนื่องจากต้องการให้เป็น Blog เปิดเผยได้ จึงขอไม่ระบุชื่อ Server จริง ๆ ลงไปนะครับ  โดยรวบรวม Blog แบ่งเป็น 7 Blog ดังนี้ Blog ที่ ชื่อ Blog      1 เรียนรู้เทคโนโลยี OAuth2      2 การติดตั้ง Postman      3 ทดสอบเชื่อมต่อ OAuth2 ด้วย Postman      4 การเชื่อมต่อ OAuth2 ด้วย Joomla      5 การเชื่อมต่อ OAuth2 ด้วย Wordpress      6 การเชื่อมต่อ OAuth2 ด้วย .NET C#      7 การเชื่อมต่อ OAuth2 ด้วย PHP (กำลังดำเนินการ) บทความและ Link เพิ่มเติม [1] การยืนยันตัวตนและกำหนดสิทธิ์ Apache UserGrid 2.x [2] รวม Code สำหรับเชื่อมต่อ OAuth ทุกภาษา 1 : https://oauth.net/code/ [3] รวม Code สำหรับเชื่อมต่อ OAuth ทุกภาษา 2 : https://developer.byu.edu/docs/consume-api/use-api/follow-sample-code

Read More »

กว่าจะมา… C# 7.0

สวัสดีครับ บทความนี้เขียนเพื่อนำเสนอ Features ใหม่ บนภาษา C# 7.0 พร้อมกับเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนหน้าครับ ซึ่งเพิ่งจะ Release ออกมาเมื่อวันอังคารที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง และได้เป็นส่วนหนึ่งของ Visual Studio 2017 ไปเรียบร้อยแล้วครับ (มีให้ดาวน์โหลดใน Microsoft Imagine แล้วครับ ซึ่งขณะเขียนบทความนี้เป็นเวอร์ชั่น Release Candidate (RC)) ขั้นตอนการติดตั้ง ไม่ขอเอ่ยถึงนะครับ เชื่อว่าทุกคนติดตั้งเป็น ส่วนสำคัญจะเป็นการเลือก Component สำหรับติดตั้งครับ เลือกตามที่ต้องการ ซึ่งใน Microsoft Imagine จะเป็น Professional Edition ครับ เพียงพอสำหรับการใช้งาน   ตัวอย่าง Source Code สามารถ ดาวน์โหลดได้ที่นี่ ครับ   เริ่มกันเลยครับ Out Variable ก่อนหน้าตัวแปร out variable จะต้องทำการประกาศค่า (pre-declare) ก่อนที่จะนำไปใช้ แต่ด้วย C# 7.0 สามารถ declare ค่าพร้อมกับรับค่าจากส่วน out argument ได้ทันที ตัวอย่างการนำไปใช้งาน กับ Decision if…else… ซึ่งหากเราต้องการ discards ค่าตัวแปรที่รับมา ก็สามารถทำได้ ด้วยการใส่ “_” Pattern Matching เป็นการตรวจสอบว่า element ที่มีอยู่นั้นมีรูปร่าง (shape) หรือค่า (value) ตรงกับที่ต้องการหรือไม่ ดังตัวอย่าง Is expression ตัวอย่างการนำไปใช้งานร่วมกับการ decision if…else… ร่วมกับ method Try… Switch expression สามารถ switch โดยใช้ type ได้ (ไม่เฉพาะ primitive types) ซึ่งสามารถนำ patterns มาใช้ในส่วนของ case และสามารถเพิ่มเงื่อนไข (condition) ได้ ดังตัวอย่าง   Tuples คือการ return ค่าจาก method มากกว่า 1 ค่า (ในเวอร์ชั่นก่อนหน้าของ c# ก็สามารถทำได้ โดยใช้ out parameters หรือ System.Tuple<…> หรือสร้าง transport type ด้วยตัวเอง (custom-built) หรือให้ return ค่าเป็น anonymous type ผ่าน dynamic return type) ซึ่งในเวอร์ชั่นใหม่นี้ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีกแล้ว ดังตัวอย่าง (กรณี target framework ต่ำกว่า 4.6.2 จะไม่สามารถใช้ได้ ให้เลือก target framework ของ project เป็น 4.6.2 หรือไม่ก็ค้นหา “System.ValueTuple” จาก Nuget Package ครับ การนำไปใช้งาน หรือเรียกจาก method อื่น สามารถรับค่า tuple ผ่านประเภทตัวแปร var โดยสามารถเข้าถึงแต่ละ element แบบ individually ได้เลย   ซึ่งถ้าสังเกตตอน coding พิมพ์ตัวแปร names จะขึ้น Intellisense Item… ให้เลือก หรือจะตั้งชื่อให้กับ tuple เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งาน ดังตัวอย่างนี้ครับ และแน่นอนว่า Intellisense ก็จะมีชื่อให้เลือก แทนที่จะเป็น Item1, Item2, Item3 ตามตัวอย่างก่อนหน้าครับ

Read More »

การสร้างเอกสารด้วย Sphinx

sphinx คือเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างเอกสารที่พัฒนาโดย Georg Brandl เดิมที sphinx ได้รับการพัฒนาเพื่อใช้สร้างเอกสารสำหรับ Python แต่สามารถใช้งานกับภาษาอื่นๆได้เช่นกัน sphinx ใช้ reStructuredText (ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ reStructuredText ได้ที่ บทความ ก่อนหน้า) ในการกำหนดรูปแบบของเอกสาร และชุดเครื่องมือในการ parsing และ translating เอกสารในรูปแบบ  reStructuredText ไปเป็นรูปแบบที่ต้องการเช่น html หรือ pdf เป็นต้น ในการติดตั้งใช้งาน sphinx นั้นจำเป็นต้องต้องติดตั้ง Python เนื่องจาก sphinx ได้รับการพัฒนาโดยใช้ Python language ทำให้การใช้งาน sphinx ต้องติดตั้ง Python ด้วย โดย Python ที่ใช้ต้องเป็น Python version 2.7 เป็นอย่างน้อย การติดตั้ง Python บน windows  ทำได้โดยเข้าไป download “Python windows installer” ที่ https://www.python.org/ และทำการติดตั้ง หลังจากติดตั้งเรียบร้อย จะต้องทำการกำหนดค่า Python executable directory ใน PATH environment variable เพื่อที่จะสามารถ run Python และ package command เช่น sphinx-build ได้จาก command prompt Installing Sphinx with pip การติดตั้ง Sphinx ทำได้โดยการใช้ “pip”  ซึ่ง pip เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ download และติดตั้ง 3rd-party libraries สำหรับ Python ซึ่งจะถูกรวมอยู่ใน Python official installation ตั้งแต่ version Python-3.4.0 การติดตั้ง sphinx โดยใช้คำสั่งดังนี้บน command prompt C:\> pip install sphinx หลังจากติดตั้งเรียบร้อย ให้พิมพ์คำสั่ง sphinx-build -h บน command prompt ถ้าทุกอย่างถูกต้อง จะแสดงข้อมูล Sphinx version number และ list ของ option ต่างๆสำหรับคำสั่งนี้ Setting up the documentation sources การพัฒนาเอกสารด้วย sphinx นั้น เริ่มแรกเราจะต้องกำหนดพื้นที่สำหรับพัฒนาเอกสารและจัดเก็บ config ที่ใช้สำหรับ sphinx ซึ่ง sphinx มีคำสั่ง sphinx-quickstart ซึ่งทำหน้าที่กำหนด source directory และสร้าง default config file “conf.py” ที่จำเป็นให้ โดยใช้คำสั่งดังนี้ C:\> sphinx-quickstart sphinx-quickstart script สร้างโครงสร้าง folder พร้อมทั้ง file เริ่มต้นรวมทั้ง Makefile และ make.bat ซึ่งจะใช้ในการ build (parsing และ translating โดยที่ถ้าพบส่วนที่ไม่ตรงตามข้อกำหนด syntax จะแสดง warning หรือ error พร้อมทั้งรายละเอียดของ line เช่นเดียวกับการ build “code program”) หลังได้โครงสร้าง folder สำหรับพัฒนาเอกสารเรียบร้อย ก็สามารถเริ่มต้นเขียนเอกสารโดยใช้ reStructuredText ในการกำหนดรูปแบบการแสดงผลของ text จากนั้นเมื่อต้องการสร้างเอกสารในรูปแบบที่ต้องการเช่น html document ก็จะต้องทำการ build โดยใช้คำสั่ง C:\> make html ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้คำสั่งนี้คือ HTML

Read More »