django – as a Dialogflow Webhook #03

บทความนี้ จะกล่าวถึง การใช้ django ทำหน้าที่เป็น Webhook จาก Dialogflow ผ่าน Fulfillment ทาง HTTP Post Request ด้วย JSON object และ ทำการประมวลผล แล้วตอบกลับไปเป็น JSON Object เช่นกัน เพื่อให้ Dialogflow ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้ตามต้องการ เช่น อาจจะให้ไปค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลในองค์กรมาตอบ เป็นต้น ในมุมของ django django (ดี)จังโก้ ดีอย่างไร #01 ได้กล่าวถึงการสร้าง Web Application จาก Model โดยกำหนด Fields ต่าง ๆ จากนั้น django ก็จะสร้าง Web Form ต่าง ๆ ให้อัตโนมัติ และยังสามารถสร้าง Users ของระบบ พร้อมทั้ง กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงของแต่ละคนได้อีกด้วย แล้วนำไปผูกกับส่วน Admin เพื่อให้ผู้ใช้ทำการ Authentication ก่อนเข้าจัดการกับข้อมูลต่างได้ และในบทความ django – Deploy to Production #02 ได้แนะนำวิธีการ Deploy ระบบที่สร้างขึ้นสู่ Production ตามลำดับ ในบทความนี้ จะใช้ “view” ซึ่งเป็นอีกส่วนของ django ตามขั้นตอนต่อไปนี้ ใน myproject สร้าง App ใหม่ ชื่อ fulfillment เพิ่ม ‘fulfillment’ app ลงใน myproject/settings.py ที่ INSTALLED_APPS( ในตัวอย่างก่อนหน้า เราเพิ่ม worklog app ไว้แล้ว)  INSTALLED_APPS = [ ‘django.contrib.admin’, ‘django.contrib.auth’, ‘django.contrib.contenttypes’, ‘django.contrib.sessions’, ‘django.contrib.messages’, ‘django.contrib.staticfiles’, ‘worklog’, ‘fulfillment’ ] จากนั้น แก้ไขไฟล์ myproject/fulfillment/views.py ตามนี้ from django.http import HttpRequest, HttpResponse from django.views.decorators.csrf import csrf_exempt import json # Create your views here. @csrf_exempt def sayHi(request): j = json.loads(request.body) x = { “fulfillmentText”: “This is a text response” } return HttpResponse(json.dumps(x)) ในส่วนนี้ จะ import packages ต่อไปนี้ HttpRequest เพื่อรับ Input ผ่าน HTTP HttpResponse เพื่อตอบ Output ผ่าน HTTP csrf_exempt เพื่อบอกว่า ยอมให้ทำงานผ่าน HTTP POST โดยไม่ต้องมี CSRF Token (ถ้าไม่ใส่ อยู่ ๆ จะส่ง POST เข้ามาไม่ได้ ) json เพื่อจัดการ JSON object จากนั้น สร้าง Function ชื่อ “sayHi” มี function ที่เรียกใช้งานดังนี้ json.loads(request.body) ทำหน้าที่แปลง JSON Object จาก HTTP Request เข้ามาอยู่ในรูป Python Object ในที่นี้ จะนำข้อมูลจาก Dialogflow

Read More »

django – Deploy to Production #02

ต่อจาก django #01 Development Environment เริ่มจาก ไปที่ command prompt แล้วใช้คำสั่งต่อไปนี้ เพื่อ เก็บรายละเอียดของ Package และ Version ที่ใช้ในการพัฒนา ไว้ในไฟล์ myenv.txt และ เก็บไฟล์ myproject ทั้งหมดไว้ในไฟล์ myproject.tar.gz (บน Windows อาจจะใช้ 7zip สร้าง) แล้ว Upload ไฟล์ myenv.txt และ myproject.tar.gz ขึ้นบน Projection Server Production Server ในที่นี้ ลองไปใช้ Google Compute Engine สร้าง Instance ขึ้นมา เป็น Ubuntu 18.04 และ ได้ Upload ไฟล์ myenv.txt และ myproject.tar.gz จาก Development ขึ้นไว้แล้ว (ใน /home/user01) ติดตั้ง Python3, PIP, Apache2, และ mod_wsgi sudo apt update sudo apt install python3 python3-pip apache2 libapache2-mod-wsgi-py3 ติดตั้ง virtualenv pip3 install virtualenv สร้าง Virtual Environment ชื่อ production virtualenv production source production/bin/activate ติดตั้ง Package ต่าง ๆ ตามที่สร้างไว้จาก Development Environment (จากไฟล์ myenv.txt) pip install -r myenv.txt แตกไฟล์ myproject.tar.gz ออกมา tar -zxvf myproject.tar.gz สร้าง Apache Site Configuration ที่ /etc/apache2/sites-available/001-myproject.conf เนื้อหาตามนี้ จากนั้น สร้าง Symbolic Link จาก /home/user01/production/lib/python3.6/site-packages/django/contrib/admin/static มาที่ /home/user01/myproject/static ปรับ Permission ให้ www-data สามารถแก้ไข Database ได้ (เพราะในที่นี้ใช้ SQLite) สั่ง Apache ให้เอา Default Site ออก และ นำ myproject ขึ้นแทน และ ทำการ Reload ก็จะใช้ได้แล้ว หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

Read More »

django (ดี)จังโก้ ดีอย่างไร #01

ขอไม่ลงรายละเอียดว่า อะไรคือ Web Framework, MVC, MVT พวกนั้นนะครับ อ่านเองที่ https://www.djangoproject.com/ และ เขียนวิธีติดตั้งบน Windows ไว้คร่าว ๆ ที่ ขั้นตอนการติดตั้ง django บน Windows และในที่นี้ใช้ Visual Studio Code เป็น Editor (สั่งด้วยคำสั่ง code …) โจทย์ สมมุติในทีม มีคน 10 คน ต้องการ ระบบบันทึกการปฏิบัติงาน จัดเก็บข้อูล วันเวลาของงานที่ทำ, ประเภทของงงาน (ตาม TOR), รายละเอียดของงานที่ทำ, ระยะเวลาที่ใช้ไป (ชั่วโมง) แต่ละคน ต้อง Login เข้ามาก่อน จึงจะบันทึกปฏิบัติงานได้ วิถีแบบ django สร้าง project ชื่อ myproject django-admin startproject myproject สร้าง App ชื่อ worklog cd myproject python manage.py startapp worklog สร้าง Model ว่าจะเก็บข้อมูลอะไรบ้าง แก้ไขไฟล์ code worklog/models.py แล้วสร้าง Class ชื่อ Worklog เพื่อกำหนด Field เป็นช่องทางการเก็บค่าตามโจทย์ (Reference: https://docs.djangoproject.com/en/2.1/ref/models/fields/)–> ขั้นตอนนี้ เขียนใน Visual Studio Code เสร็จแล้ว Save and Exit from django.db import models from django.utils.timezone import now # Create your models here. class Worklog(models.Model): timestamp = models.DateTimeField(default = now()) typeOfWork = models.ForeignKey(‘TypeOfWork’, on_delete=models.CASCADE) work_text = models.TextField(default=””) manhour = models.FloatField(default=0) def __str__(self): return self.work_text class TypeOfWork(models.Model): typeOfWork_text = models.CharField(max_length=200) def __str__(self): return self.typeOfWork_text บอกให้ django สร้างโครงสร้างฐานข้อมูลตามโมเดล (จาก Command Prompt) python manage.py migrate เพิ่ม App ‘worklog’ เข้าสู่ myproject แก้ไขไฟล์ code myproject/settings.py เพิ่ม ‘worklog’ ในส่วนของ INSTALLED_APPS–> ขั้นตอนนี้ เขียนใน Visual Studio Code เสร็จแล้ว Save and Exit INSTALLED_APPS = [ ‘django.contrib.admin’, ‘django.contrib.auth’, ‘django.contrib.contenttypes’, ‘django.contrib.sessions’, ‘django.contrib.messages’, ‘django.contrib.staticfiles’, ‘worklog’ ] สร้าง Super User สักคนนึง python manage.py createsuperuser ตั้งชื่อว่า admin และ รหัสผ่านตามต้องการ เพิ่มโมเดล TypeOfWork และ WorkLog เข้าสู่หน้าของ Admin โดยการแก้ไขไฟล์–> ขั้นตอนนี้ เขียนใน Visual Studio Code เสร็จแล้ว Save and Exit code worklog/admin.py

Read More »

ปัญหาการ Debug บางคำสั่งใน .NET Web Project (VS.NET 2013)

ในการพัฒนา web application ด้วย Visual Studio.NET 2013 ผู้พัฒนาบางท่าน อาจจะเคยเจอปัญหาเมื่อ debug ไปถึงบางคำสั่งแล้ว คำสั่งไม่ทำงานตามที่ควรจะเป็น หรือบางครั้งก็ไม่มีการ return ค่าออกมา ทั้ง ๆ ที่ค่าของข้อมูลถูกต้อง ซึ่งหากเจอปัญหานี้แล้ว ให้ลองสังเกตดังต่อไปนี้ เครื่องที่ใช้พัฒนาเป็น Windows 32 bit หรือ 64 bit ตรวจสอบแน่ใจแล้วว่าใช้งานคำสั่งได้ถูกต้อง และข้อมูลที่คำสั่งนี้นำไปประมวลผลมีความถูกต้องแล้ว ถ้าเครื่องที่ใช้เป็น Windows 64 bit ให้ทดลองทำตามดังนี้ คือ ไปที่เมนู TOOLS –> Options จะปรากฏหน้าต่าง Options เมนูด้านซ้ายมือของหน้าต่าง Options เลือกเมนูย่อย Projects and Solutions และภายใต้เมนูนี้ เลือกเมนูย่อย Web Projects จะเห็นตัวเลือกด้านขวามือสองตัวเลือก ให้เลือกเครื่องหมายถูกตัวเลือกแรก คือ Use the 64 version… คลิกปุ่ OK และทดลอง run project และ debug คำสั่งที่พบปัญหาอีกครั้ง   ตัวอย่างคำสั่งที่พบปัญหา สำหรับตัวอย่างคำสั่งที่เคยพบปัญหาเมื่อทำการ debug คือ คำสั่งที่ใช้ในการอ่านข้อมูลจาก registry Registry.LocalMachine.OpenSubKey โดยคำสั่งนี้จะอ่านข้อมูลจาก registry ตาม key ที่ระบุ  โดยรายละเอียดปัญหาที่พบคือ มีข้อมูลใน registry ตาม key ที่ระบุจริง แต่ตอน debug กลับ return ค่าว่างกลับมา  ซึ่งหากไปใช้ใน projects ที่เป็น Windows และทำการ debug คำสั่งนี้จะ return ข้อมูลออกมาได้ถูกต้อง

Read More »

การเรียกใช้งาน constructor จากอีก constructor ใน C#.NET

constructor คืออะไร constructor ก็คือ ฟังก์ชันที่ถูกเรียกใช้งาน เมื่อ object ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งใน C#.NET  ก็คือฟังก์ชันที่ตั้งชื่อเป็นชื่อเดียวกับชื่อ class นั่นเอง   constructor มีประโยชน์อย่างไร ในการสร้าง object ขึ้นมา บางครั้งต้องมีการระบุค่าเริ่มต้นบางอย่างให้กับ object นั้น ซึ่ง constructor ก็จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เป็นตัวช่วยบังคับให้ต้องระบุค่าเริ่มต้นนี้ตอนสร้าง object นั่นเอง   ยกตัวอย่าง เช่น class Student { public Student(string studentID) { คำสั่งดึงข้อมูลนักศึกษาด้วย Student ID โดยใช้ข้อมูล Student ID จาก argument studentID } } จากตัวอย่างนี้ ต้องการสร้าง object Student โดยใช้ Student ID เพื่อไปดึงข้อมูลเบื้องต้นของนักศึกษามาแสดง ดังนั้น object ใหม่ที่สร้างจาก class Student ก็จะต้องระบุค่า Student ID ให้กับ argument studentID ก่อน ตัวอย่างการเรียกใช้งานคือ Student student = new Student(12345); student ก็คือ object ที่ถูกสร้าง 123456 คือ ข้อมูล Student ID ทีต้องระบุตอนที่ object นี้ถูกสร้างนั่นเอง   ทำไมต้องเรียกใช้ constructor จากอีก constructor หนึ่ง ในบางครั้งเมื่อเราใช้งาน class ไประยะเวลาหนึ่ง อาจะเจอกรณีที่ constructor เดิม ยังไม่รองรับความต้องการที่เปลี่ยนไปหรือเพิ่มขึ้น   แต่ความต้องการใหม่นั้นยังคงต้องใช้ชุดคำสั่งและขั้นตอนการทำงานเหมือนกับที่มีอยู่เดิมด้วย และมีการเพิ่มเติมชุดคำสั่งใหม่เข้าไปเล็กน้อยเพื่อให้รองรับกับความต้องการใหม่ด้วย ซึ่งทางเลือกที่เป็นไปได้คือ ปรับแก้ constructor เดิมที่มีอยู่ให้รองรับความต้องการใหม่ สร้าง constructor ใหม่ โดยทำการสำเนาชุดคำสั่งทั้งหมดใน constructor เดิมมา สร้าง constructor ใหม่ โดยเรียกใช้งาน constructor เดิม มาพิจารณาแต่ละทางเลือก ทางเลือกที่ 1 เป็นการปรับแก้ของเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นทางที่ควรเลี่ยงที่สุด เพราะอาจจะไปกระทบกับการทำงานเดิมที่ถูกต้องอยู่แล้ว และอาจจะกระทบเป็นลูกโซ่กับ object อื่นที่มาเรียกใช้ ทางเลือกที่ 2 สำเนาคำสั่งทั้งหมดจาก constructor เดิม มาใส่ใน constructor ใหม่ แล้วเขียนคำสั่งเพิ่มเพื่อให้รองรับความต้องการใหม่ ซึ่งทางเลือกนี้ถือว่าดีกว่าทางเลือกแรก เพราะไม่กระทบกับการทำงานเดิมแน่นอน แต่จะเห็นว่าเกิดความซ้ำซ้อนกันของชุดคำสั่งของ constructor เดิม และใหม่ และจะพบปัญหาในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงคำสั่งที่ใช้อยู่ใน constructor ทั้งสอง ผู้พัฒนาก็จะต้องมาแก้ทั้งสองที่ให้เหมือนกันอีก ซึ่งจะเป็นการเสียเวลา ทางเลือกที่ 3 เรียกใช้งาน constructor เดิม ซึ่งจะเห็นว่าเป็นวิธีการที่สะดวกรวดเร็วที่สุด หากต้องการปรับปรุงคำสั่ง ก็เพียงไปจัดการที่ constructor เดิมเท่านั้น   วิธีการเรียกใช้งาน constructor เดิม จาก constructor ใหม่ syntax ที่ใช้ใน C#.NET คือ  หลังจากส่วนประกาศ constructor ให้ใช้  : this() เพิ่มเข้าไป ยกตัวอย่าง   class Student { public Student(string studentID) //constructor เดิม { คำสั่งดึงข้อมูลนักศึกษาด้วย Student ID โดยใช้ข้อมูล Student ID จาก argument studentID }   public Student(string studentID, string citizenID) : this(studentID)  //constructor ใหม่ { คำสั่งใหม่ที่เพิ่มเติม } }

Read More »