Category: การพัฒนา ASP.NET Web Application

  • Remote Debugging ASP.NET application

    ในการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชัน การที่จะ publish เว็บขึ้น server ผู้พัฒนาย่อมมีการทดสอบการทำงานของแต่ละฟังก์ชันแต่ละ process ผ่าน localhost ก่อนอยู่แล้ว ว่าสามารถทำงานได้ถูกต้อง ไม่พบ error หรือปัญหาใดๆ แต่ในบางครั้งพบว่า เมื่อ publish เว็บไปแล้ว กลับพบ error ในบางฟังก์ชัน ทั้งที่ฟังก์ชันนั้นผ่านการทดสอบบน localhost ว่าทำงานถูกต้องแล้ว ซึ่งอาจเกิดจาก Environment ในตอนที่เรา run ที่ localhost กับบน server ไม่เหมือนกัน หรือฐานข้อมูลที่ทดสอบกับฐานข้อมูลที่ใช้งานจริงมีข้อมูลที่ conflict กันอยู่ เป็นต้น ซึ่งบทความนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำ Remote Debugging Tool สำหรับผู้พัฒนาเว็บด้วย ASP.NET

    Remote Debugging Tool

    คือ เครื่องมือที่ใช้ในการ remote debug สำหรับ ASP.NET แอพพลิเคชัน ซึ่งเป็นเครื่องมือขนาดเล็กที่มีชื่อว่า “Msvsmon.exe” ที่ให้เราสามารถ debug  code เพื่อหา error โดยการ remote จาก Visual Studio ไปยัง IIS server

     

    ติดตั้ง Remote Debugging Tool บน Windows Server

    download ตัวติดตั้ง Remote tools ตาม version ของ Visual Studio ที่เราใช้งาน เมื่อ download มาเรียบร้อยแล้วให้ทำการติดตั้ง โดยคลิกขวาที่ไฟล์ติดตั้ง เลือก Run as administrator จะปรากฎหน้าต่างดังรูป

     

    ให้เลือก Configure remote debugging จะเสร็จสิ้นขั้นตอนการติดตั้งและจะปรากฏหน้าต่าง Remote Debugger

    ซึ่งตอนนี้ Remote debugger ทำงานแล้ว โดยรอการเชื่อมต่อจากฝั่ง Visual Studio (ภายหลัง สามารถเรียกใช้งาน Remote Debugger ได้จาก Start menu)

    Attach Process จาก Visual Studio เครื่องพัฒนา

    1. เปิด Visual Studio ขึ้นมา และเลือก project ที่จะใช้งาน
    2. ที่แถบเมนูด้านบน เลือก Debug >> Attach to Process
    3. ปรากฎหน้าต่าง Attach to Process ดังรูป ในส่วนของ Qualifier ให้ระบุชื่อหรือ IP ของเครื่อง server ที่ web เราวางอยู่ และกดปุ่ม Refresh ด้านล่างเพื่อ connect ไปยังเครื่อง server ดังรูป

    4. เลือก process ที่ชื่อ w3wp.exe โดยสังเกตที่คอลัมน์ User Name เป็น path ของ site ที่เราต้องการทดสอบ หลังจากนั้นกดปุ่ม Attach ดังรูป

    5. เปิด browser และพิมพ์ url ไซต์ของเรา http://<remote computer name>

    6. เลือกมาร์กจุด breakpoint ที่จะ debug code ตามต้องการ เราก็จะสามารถ debug code โดยการ remote ไปยังเครื่อง server ที่เราได้ deploy เว็บของเราไปแล้วได้เหมือนการ debug บนเครื่อง localhost ที่เราพัฒนาค่ะ

     

    แหล่งข้อมูลอ้างอิงhttps://msdn.microsoft.com/en-us/library/mt621540.aspx

     

  • Auto remove schema in EDMX on build

    Entity Framework (EF)  คือ data access technology ที่เริ่มเปิดตัวครั้งแรกเป็นส่วนหนึ่งของ .NET Framework 3.5 SP1 โดยตัว EF จะทำหน้าที่เป็น object-relational mapper ที่ทำให้ผู้พัฒนาไม่จำเป็นต้องเขียน code ในส่วน data access ก็สามารถใช้ข้อมูลจาก relational database โดยผ่าน object model

    การพัฒนาโปรแกรมโดยใช้ EF นั้นจำเป็นต้องมี Entity Data Model เป็น model ที่กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับ entity และ relationship ระหว่าง entity นั้นๆ การสร้าง Entity Data Model สามารถแยกออกเป็น 2 แนวทางคือ “Code First” เป็นการกำหนดรูปร่างของ model โดยการสร้าง class (เขียน code) จะมี database หรือไม่มีอยู่ก่อนก็ได้  และ “Database First” ที่จะทำการสร้าง model ( reverse engineer) จาก database ที่มีอยู่โดย EF Designer ซึ่ง model ที่ได้จะเก็บอยู่ใน EDMX file (.edmx) สามารถเปิดหรือแก้ไขเพิ่มเติมได้ด้วย EF Designer สำหรับ class ที่ใช้ในโปรแกรมจะถูกสร้างโดยอัตโนมัติจาก EDMX file

    ข้อมูล Entity Data Model ใน EDMX file อยู่ในรูปแบบ xml สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ Storage model, Conceptual model และ Mapping ซึ่งในส่วนของ Storage model จะเป็นข้อมูลรายละเอียดของ entity จาก database เช่น

    ข้อมูล EntityType ที่ให้รายละเอียดของชื่อของ entity (table ใน database), ชื่อและประเภทของ property (column ของ table ใน database)

     <EntityType Name="VF_CONFIG_REPORT">
      <Key>
        <PropertyRef Name="ID" />
      </Key>
        <Property Name="ID" Type="number" Precision="38" Scale="0" Nullable="false" />
        <Property Name="REPORT_NAME" Type="varchar2" MaxLength="512" />
        <Property Name="REPORT_PATH" Type="varchar2" MaxLength="512" />
        <Property Name="GROUP_TYPE" Type="number" Precision="38" Scale="0" />
        <Property Name="SIGN_NUM" Type="number" Precision="38" Scale="0" />
        <Property Name="SIGNS" Type="varchar2" MaxLength="128" />
     </EntityType>

    ข้อมูล EntitySet ที่ประกอบด้วย ชื่อ,ประเภทของ entity, schema และ query ที่ใช้ดึงข้อมูล

    <EntitySet Name="VF_CONFIG_REPORT" EntityType="Self.VF_CONFIG_REPORT" store:Type="Views" store:Schema="FINANCE">
       <DefiningQuery>
          SELECT 
           "VF_CONFIG_REPORT"."ID" AS "ID",
           "VF_CONFIG_REPORT"."REPORT_NAME" AS "REPORT_NAME", 
           "VF_CONFIG_REPORT"."REPORT_PATH" AS "REPORT_PATH", 
           "VF_CONFIG_REPORT"."GROUP_TYPE" AS "GROUP_TYPE", 
           "VF_CONFIG_REPORT"."SIGN_NUM" AS "SIGN_NUM", 
           "VF_CONFIG_REPORT"."SIGNS" AS "SIGNS"
         FROM "FINANCE"."VF_CONFIG_REPORT" "VF_CONFIG_REPORT"   
       </DefiningQuery>
    </EntitySet>

    เมื่อมีการระบุ schema ของ entityใน EDMX file  นั่นทำให้การ deploy ระบบ(โปรแกรมและ database) จำเป็นต้องมี database ที่มี schema ชื่อเดียวกับที่กำหนดใน EDMX file เท่านั้น(schema ได้มาจากการ generate ของ EF Designer ในขั้นตอนการพัฒนาระบบ) ถ้าต้องการให้ EF ทำงานกับ database schema อื่นจะต้องแก้ไข schema ใน EDMX file ให้ตรงกัน หรือไม่ระบุ schema โดยลบส่วนที่ระบุ schema ออก ซึ่งการแก้ไขจะต้องทำการแก้ไขโดยตรงไปที่ EDMX file แล้วทำการ build ใหม่ (ในกรณีที่ไม่ได้เลือก build EDMX file เป็นแบบ embeded resource สามารถแก้ไขที่ .ssdl file ได้โดยไม่ต้อง build ใหม่)

    ในการเปลี่ยน schema ใน EDMX file นั้นจะต้องแก้ทุก EntitySet ที่มี ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดในการแก้ไข ทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ และถ้ามีความจำเป็นต้องปรับ Entity Data Model เพื่อเพิ่ม, แก้ไข หรือลบ entity ใดๆ EF Designer จะทำการ update .EDMX file ใหม่ ทำให้ schema ที่แก้ไขไปแล้วกลับมาเหมือนเดิม ต้องเปลี่ยน schema ใหม่อีกครั้ง ก็ยิ่งจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด และยุ่งยากในการบริการจัดการ source code

    เราสามารถทำให้กระบวนการแก้ไขหรือลบ schema ใน EDMX file เป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยการแก้ใข .csproj เพิ่มกระบวนการแก้ไขหรือลบ schema เข้าไปในขั้นตอนการ build ของ MsBuild หลังจากกระบวนการ “EntityDeployEmbededResource” ของ EF ดังนี้

     

    <Target Name="RemoveSchemaEntityDeployEmbeddedResources" AfterTargets="EntityDeployEmbeddedResources" Condition="'@(EntityDeployEmbeddingItems)' != ''">
      <PropertyGroup>
        <RemoveSchemaEmbeddedResources>"Libs\EFRemoveSchema" $(EntityDeployIntermediateResourcePath)%(EntityDeployEmbeddedResources.EntityDeployRelativeDir)</RemoveSchemaEmbeddedResources>
      </PropertyGroup>
      <Exec WorkingDirectory="$(MSBuildProjectDirectory)" Command="$(RemoveSchemaEmbeddedResources)" />
    </Target>

    “Libs\EFRomoveSchema” เป็นโปรแกรมเล็กๆที่พัฒนาเพื่อลบ schema ใน Entity Data Model ที่อยู่ใน folder   $(EntityDeployIntermediateResourcePath)%(EntityDeployEmbeddedResources.EntityDeployRelativeDir) โดยใช้ เทคนิคการค้นหา attribute ของ node ที่ต้องการใน XML file (EDMX file) เพื่อลบ และบันทึกกลับลงไปที่ XML file นั้นๆ

     

    อ้างอิง : https://msdn.microsoft.com/en-us/data/ee712907

  • ทำความรู้จักและเรียนรู้การใช้งานเบื้องต้นกับ StringBuilder ใน .NET Framework(C#)

              โดยปกติแล้วนั้น ผู้พัฒนาโปรแกรมโดยใช้ .NET Framework มักจัดการข้อมูลที่เป็นอักษรหรือข้อความ (String) ด้วยคลาสของ String ที่มีใน .NET Framework ซึ่งประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นหรือเมธอดที่หลากหลายที่ติดมากับตัวคลาส เพื่อเตรียมมาไว้ให้ใช้งาน และสามารถรองรับความต้องการในการจัดการข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งมีวิธีการใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีมาตรฐานการใช้งานที่รู้จักโดยทั่วถึงกัน สะดวกและรวดเร็วทำให้ผู้พัฒนาสามารถเลือกวิธีจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคลาสของ String จะมีเมธอดให้เราได้เลือกใช้กันอย่างมากมายและมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบในการใช้งานกับตัวแปรของคลาส String คือ การเชื่อมต่อหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขค่าข้อความของตัวแปรชนิด String ในแต่ละครั้ง จะไม่สามารถเปลี่ยนรูป หรือกลับไปแก้ไขค่าของตัวแปรบนพื้นที่หน่วยความจำเดิมที่ถูกจองไว้ให้กับตัวแปรได้ หรืออาจพูดในทางโปรแกรมแบบง่ายๆได้ว่า หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรชนิด String เราจะไม่สามารถกลับไปแก้ไขค่าใน object ของตัวแปรที่ถูกสร้างขึ้นเดิมในหน่วยความจำ หรือ Memory ที่สร้างไว้ในตอนแรกได้ แต่จะมีการสร้าง object ตัวใหม่ขึ้นมา ทุกครั้งที่มีการแก้ไข/จัดการข้อมูลค่า หรือมีการใช้งานเมธอดในคลาส System.String และใช้วิธีให้ pointer ของตัวแปรชี้ไปยังตำแหน่งของ object ตัวใหม่ที่มีค่าของตัวแปรที่ถูกแก้ไขภายหลังแทน ซึ่งหากมีกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงค่าข้อมูล หรือเชื่อมต่อข้อความในตัวแปรดังกล่าวจำนวนหลายครั้ง หรือมีการวนลูปซ้ำในการเปลี่ยนแปลงค่าเป็นจำนวนมาก จะถือเป็นการใช้งานทรัพยากรหน่วยความจำอย่างสิ้นเปลือง เนื่องจาก object ของตัวแปรจะถูกสร้างขึ้นใหม่เรื่อยๆและมีการจองพื้นที่ให้กับ object ตัวที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามจำนวนครั้งที่ทำการแก้ไขหรือเชื่อมต่อข้อความนั่นเอง ดังภาพ


    ภาพการจองพื้นที่ในหน่วยความจำของตัวแปรชนิด String
    [ที่มาของภาพ : http://www.tutorialsteacher.com/csharp/csharp-stringbuilder]

                        จากภาพตัวอย่างจะเห็นได้ว่า เดิมทีมีการกำหนดค่าให้กับตัวแปรเป็นข้อความ “Hello World!!” แต่เมื่อมีการปรับแก้ค่าของตัวแปร จะมีการสร้าง object ตัวใหม่ โดยจะเก็บค่าที่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความไปเป็น “Hello World!! From Tutorials Teacher” และเลื่อนตำแหน่งของ pointer ของตัวแปรที่จะชี้ไปเพื่อให้ได้ค่าใหม่นั่นเอง
              จากปัญหาดังกล่าว .NET Framework ก็ได้จัดเตรียมคลาสที่มีชื่อว่า “StringBuilder” ขึ้นมา ซึ่งเป็นคลาสที่ใช้ในการจัดการกับข้อมูลชนิดข้อความเช่นเดียวกับคลาส String โดยยินยอมให้มีการแก้ไขและปรับเปลี่ยนค่าในตัวแปรข้อความ(string) ดังกล่าวได้ใน object ตัวเดิมบนพื้นที่หน่วยความจำเดิม โดยไม่ต้องสร้าง object และทำการจองพื้นที่หน่วยความจำขึ้นใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงค่าของข้อความดังเช่นในคลาส String นั่นเอง ซึ่งจะทำให้สามารถประหยัดการใช้ทรัพยากรหน่วยความจำได้ในกรณีที่มีการเชื่อมต่อข้อความหรือเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรจำนวนหลายครั้งได้

     ภาพการจองพื้นที่ในหน่วยความจำของตัวแปรชนิด StringBuilder

    [ที่มาของภาพ : http://www.tutorialsteacher.com/csharp/csharp-stringbuilder]

              ดังนั้น ในการจัดการข้อมูลที่เป็นตัวอักษร หรือข้อความ ผู้พัฒนาควรเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับประเภทและลักษณะการใช้งาน เพื่อให้การใช้งานบนพื้นที่หน่วยความจำ และทรัพยากรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึงวิธีการใช้งานในเบื้องต้นของการจัดการข้อมูลชนิด StringBuilder เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้พัฒนาต่อไป

     

    หลักการทำงานและการจองพื้นที่ในหน่วยความจำของตัวแปรชนิด StringBuilder

              โดยปกติแล้วนั้น ค่าของ “StringBuilder.Length” จะเป็นค่าของจำนวนตัวอักษรที่มีในตัวแปร object ของ StringBuilder และจะถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการเพิ่มตัวอักษรหรืออักขระเข้าไปในตัวแปรนั้นโดยไม่มีการจองพื้นที่หน่วยความจำเพิ่ม จนกว่าค่าของ Length เท่ากับจำนวนของความจุที่จองพื้นที่หน่วยความจำไว้ ซึ่งก็หมายถึงค่าของ “Capacity” นั่นเอง และหากการเพิ่มตัวอักษรดังกล่าวทำให้ค่าของ Length มากกว่าค่าของ Capacity ใน object นั้นๆ จะมีการจองพื้นที่หน่วยความจำเพิ่มเป็นเท่าตัว เช่น จากเดิม 16 ตัวอักษรจะถูกเพิ่มเป็น 32 ตัวอักษร โดยจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่เกินค่าความจุสูงสุด หรือที่เรียกว่า “MaxCapacity” ซึ่งถ้าหากมีการเพิ่มตัวอักษรที่เกินค่าของ MaxCapacity แล้วนั้นจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ แต่หากไม่มีการกำหนดค่าให้กับ Capacity และ MaxCapacity แล้วนั้น ค่าตั้งต้นของ Capactity เริ่มต้นจะอยู่ที่ 16 ตัวอักษร และค่าของ MaxCapacity จะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านตัวอักษร หรือเทียบเท่ากับค่าสูงสุดของ Int32.MaxValue นั่นเอง

    การอ้างอิง Namespace
    โดย Namespace ที่ต้องอ้างอิงเพิ่มเติมในการใช้งานคลาส StringBuilder มีดังนี้

    • using System;
    • using System.Text;

    การประกาศตัวแปรของคลาส StringBuilder
    ในการประกาศตัวแปร object ของคลาส StringBuilder จะใช้หลักการเดียวกันกับการประกาศตัวแปร object ของคลาสโดยทั่วไป แต่สามารถประกาศโดยมีการระบุค่าอื่นเพิ่มเติมโดยใช้ Constructor ได้ ซึ่งจะขอยกตัวอย่างในกรณีที่มีการใช้งานกันโดยทั่วไป ดังนี้
    แบบเดียวกับการประกาศ object ของคลาสทั่วไป
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder();

    แบบมีการกำหนดค่าตั้งต้น
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello World!!");

    คำอธิบาย : เป็นการสร้างตัวแปร object แบบมีการกำหนดค่าเริ่มต้นให้มีค่าเท่ากับ Hello World!!
    แบบมีการระบุขนาดในการจองพื้นที่ของหน่วยความจำ(Capacity)  แม้ว่าตัวแปรของคลาส StringBuilder สามารถเพิ่มและขยายได้ไม่จำกัดโดยไม่ต้องสร้าง object ตัวใหม่ แต่ผู้พัฒนาสามารถระบุขนาดสูงสุดของจำนวนตัวอักษรที่ตัวแปรจะสามารถรองรับได้ โดยค่าดังกล่าวที่ระบุนี้ เรียกว่า “Capacity” และเรียกค่าของความยาวตัวอักษรที่มีในตัวแปรนั้นๆ โดยใช้ properties ที่มีชื่อว่า “Length” โดยหากมีการกำหนดค่าของ Capacity ให้กับตัวแปรคลาส StringBuilder เมื่อมีการแก้ไขค่าของตัวแปรจะไม่ถูกจองพื้นที่ใหม่จนกว่าความยาวของตัวอักษรจะถึงค่าของ Capacity ที่กำหนด จึงจะมีการจองพื้นที่ใหม่ให้อัตโนมัติในขนาดเดียวกับ Capacity ที่กำหนดไว้เดิมเป็นเท่าตัว แต่หากไม่ได้ทำการกำหนดค่าของ Capacity ไว้ จะมีค่า default เท่ากับ 16 ซึ่งสามารถกำหนดค่าของ Capacity ได้ดังนี้

    StringBuilder sb = new StringBuilder(25);

    คำอธิบาย : เป็นการสร้างตัวแปร object แบบมีการกำหนดขนาดของตัวแปรให้มีขนาดความจุ หรือ Capacity ไว้ที่ 25 ตัวอักษร แต่หากมีการกำหนดค่าของข้อมูลที่มีความยาวตัวอักษรมากกว่าขนาดที่กำหนด จะมีการขยายพื้นที่ความจุให้กับขนาดตัวแปรอัตโนมัติ นอกจากจะสามารถกำหนดขนาดของตัวแปร StringBuilder โดยใช้ Constructor แล้วนั้นยังสามารถระบุผ่าน Properties ที่มีชื่อว่า Capacityได้อีกด้วย ดังนี้

    sb.Capacity = 25;

    แบบกำหนดค่าเริ่มต้นและระบุขนาดความจุของตัวแปร
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello World!", 25);

    คำอธิบาย : เป็นการประกาศตัวแปรขนาด 25 ตัวอักษร และมีค่าเริ่มต้นเป็นคำว่า “Hello World!!”

    แบบกำหนดค่าขนาดความจุและความจุสูงสุดของพื้นที่หน่วยความจำให้กับตัวแปร
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder( 25,200);

    คำอธิบาย : เป็นจองพื้นที่ในการประกาศตัวแปร(Capacity)ขนาด 25 ตัวอักษร และมีค่าความจุสูงสุด(MaxCapacity)ได้ไม่เกิน 200 ตัวอักษร

    แบบกำหนดค่าเริ่มต้นที่มีการตัดข้อความ(substring) และระบุขนาดความจุของตัวแปร
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello World!",0,5, 25);

    คำอธิบาย : เป็นจองพื้นที่ในการประกาศตัวแปรขนาด 25 ตัวอักษร และมีค่าเริ่มต้นเป็นคำว่า “Hello”

    เนื่องจากมีการ substring ค่าข้อความ “Hello World!!” ตั้งแต่ตำแหน่งที่ 0 มา 5 ตัวอักษร จึงกลายเป็นคำว่า “Hello” นั่นเอง

    เมธอดที่จำเป็นและควรรู้ในการใช้งานคลาส String builder

    โดยแบ่งตามลักษณะการทำงาน เพื่อง่ายต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ ดังนี้

    1.การเชื่อมต่อข้อความ เป็นการเชื่อมต่อข้อความกับค่าตัวแปรที่มีอยู่เดิมที่ตำแหน่งท้ายสุด ซึ่งมีเมธอดที่ใช้งานกันบ่อย ดังนี้
    • Append() เป็นเมธอดที่ใช้ในการเชื่อมข้อความ ซึ่งสามารถใช้แทนการต่อสตริงหรือข้อความแบบทั่วไปในคลาส String โดยจะไปต่อตรงส่วนท้ายสุดของค่าใน object โดยไม่ต้องเปลี่ยนการจองพื้นที่หน่วยความจำ
    ตัวอย่างที่ 1

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello World!");
    sb.Append(" Nice to meet you!!");
    Console.WriteLine(sb);

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าเดิมค่าของตัวแปรมีค่า “Hello World!” แต่เมื่อมีการเรียกใช้เทธอด Append() จะทำการต่อข้อความจากเดิมจนกลายเป็น “Hello World! Nice to meet you!!

    ตัวอย่างที่ 2

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello World");
    sb.Append(" !?!?",2,2);
    Console.WriteLine(sb);

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าเดิมค่าของตัวแปรมีค่า “Hello World” แต่เมื่อมีการเรียกใช้เมธอด Append() แบบมีการ substring ร่วมด้วย โดยจะเริ่มทำการตัดตัวอักษรจากข้อความ “ !?!?” จากตำแหน่งลำดับ index ที่ 2 ไป 2 ตัวอักษร ซึ่งนั่นก็คือ “?!” หลังจากนั้นก็จะเชื่อมต่อด้วยข้อความเดิมจนกลายเป็น “Hello World!?!

    AppendLine() เป็นเมธอดที่ใช้ในการแทรกบรรทัดใหม่เข้าไปให้กับตัวแปร
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello, I am Kate.");
    sb.AppendLine();
    sb.Append("Nice to meet you.");
    Console.WriteLine(sb);
    
    //หรือ
    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello, I am Kate.");
    sb.AppendLine("Nice to meet you.");
    Console.WriteLine(sb);
    
    

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น จะเป็นการเพิ่มการขึ้นบรรทัดใหม่ให้กับข้อความของตัวแปร จากค่า “Hello, I am Kate.” ด้วยการขึ้นบรรทัดใหม่ ตามด้วยข้อความ “Nice to meet you.” โดยแสดงทั้งตัวอย่างที่มีการเพิ่มบรรทัดโดยใช้เมธอด AppendLine() ก่อน แล้วจึงเชื่อมข้อความที่เหลือด้วยเมธอด Append() หรืออาจรวบวิธีการขึ้นบรรทัดใหม่ต่อด้วยข้อความด้วยการใช้เมธอด Appendline() แบบมีการส่งค่าพารามิเตอร์ของข้อความที่ต้องการเชื่อมต่อหลังจากขึ้นบรรทัดใหม่ได้เลยดังตัวอย่าง

    AppendFormat() เป็นเมธอดที่ใช้ในการเชื่อมต่อข้อความที่ท้ายสุดของค่าเดิม แบบที่มีการจัดรูปแบบให้กับข้อความที่ต้องการนำมาเชื่อมต่อ โดยรูปแบบที่ใช้ในการกำหนดเป็นรูปแบบมาตรฐานที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบของข้อมูลที่เป็นตัวเลข วันที่ และเวลา เป็นต้น
    ตัวอย่าง

    int MyInt = 25;
    StringBuilder sb = new StringBuilder("Your total is ");
    sb.AppendFormat("{0:C} ", MyInt);
    Console.WriteLine(sb);
    

    คำอธิบาย จากตัวอย่าง เป็นการจัดรูปแบบของข้อมูลที่จะนำมาทำการเชื่อมต่อกับตัวแปรเดิม โดยผลลัพธ์ที่ได้ คือ Your total is $25.00 นั่นเอง

    Insert() เป็นเมธอดที่ใช้ในการเพิ่มค่าข้อความแทรกไปยังตัวแปร โดยมีการกำหนดตำแหน่งเริ่มต้นที่ต้องการให้แทรกเพิ่มในค่าข้อมูลดังกล่าวเข้าไปในตัวแปร StringBuilder นั้นด้วย
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello, I am Kate.");
    sb.Insert(5," Mr.Kim");
    Console.WriteLine(MyStringBuilder);

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น จะเป็นการแทรกข้อความ “ Mr.Kim” ลงในตัวแปร sb ที่มีค่าเดิมเป็น
    Hello, I am Kate.” จนได้ผลลัพธ์ คือ “Hello Mr.Kim, I am Kate.”

    2.การล้างค่าหรือเอาค่าข้อมูลบางส่วนออก  เป็นการล้างค่าข้อมูลของตัวแปร หรือตัดข้อมูลของตัวแปรบางส่วนออกไป โดยเมธอดที่ใช้งานกันบ่อย มีดังนี้

    Clear() เป็นเมธอดที่ใช้ในการล้างค่าตัวอักษรในข้อความของตัวแปร String builder ดังกล่าว และกำหนดค่าให้กับความยาวตัวอักษรหรือ properties ที่มีชื่อว่า “Length เป็น 0
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello World!");
    sb.Clear();
    Console.WriteLine(sb);

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้นจะเป็นการล้างค่าข้อมูลให้กับตัวแปร sb จากเดิมที่มีค่าตั้งต้นเป็น “Hello World!” จะเหลือเป็นค่าว่าง หรือ String.Empty และหากต้องการให้แสดงผลจะไม่แสดงข้อความใดๆขึ้นมา แต่ยังคงจองพื้นที่หน่วยความจำไว้ให้กับตัวแปรนี้แม้จะไม่มีค่าข้อมูลใดๆก็ตาม และจะมีค่า Length เป็น 0 นั่นเอง

    Remove() เป็นเมธอดที่ใช้ในการตัดค่าของข้อความในตัวแปรออก โดยมีการกำหนดตำแหน่งเริ่มต้นและความยาวของตัวอักษรในข้อความที่ต้องการตัด โดยนับตำแหน่งจากตัวอักษรตัวแรกเป็นค่าตำแหน่งลำดับที่ 0(ซึ่งเป็นการอ้างอิงตามหลักการนับตำแหน่งของ index โดยเริ่มถือว่าตัวอักษรตัวแรกเป็น index ลำดับที่ 0 นั่นเอง)
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb = new StringBuilder("Hello World!");
    sb.Remove(5,7);
    Console.WriteLine(sb);
    

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น เดิมตัวแปรมีค่าข้อความเป็น “Hello World!” แต่เมื่อใช้เมธอด Remove() ในการตัดค่าข้อความตั้งแต่ตำแหน่งของลำดับ index ที่ 5 (หรือตำแหน่งที่ 4 เมื่อเริ่มต้นนับ 1 จากตัวอักษรแรกของข้อความ) ไปจำนวน 7 ตัวอักษร โดยผลลัพธ์ที่ได้ เป็นดังนี้ “Hello

    • การตัดค่าบางส่วนออกโดยกำหนดค่า properties ที่ชื่อว่า Length ให้กับตัวแปร

    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb1= new StringBuilder("Hello World!");
    sb1.Length--;
    //หรือ
    sb1.Length = sb1.Length-1;
    //หรือ
    sb1.Remove(sb1.Length-1,1);
    //เป็นการตัดค่าตัวอักษรตัวสุดท้ายออกจากข้อความ จะได้ผลลัพธ์ คือ Hello World 
    
    StringBuilder sb2= new StringBuilder("Hello World!"); 
    sb2.Length=0; 
    //เป็นการล้างค่าข้อมูลในตัวแปร sb2 
    ซึ่งจะมีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกับการใช้เมธอด Clear() ที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นนั่นเอง

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้น ในส่วนของ sb1 นั้นจะเป็นการตัดค่าตัวอักษรตัวสุดท้ายออกจากข้อความ “Hello World!” ซึ่งก็คือตัวอักษร “!” โดยจะได้ผลลัพธ์ เป็น “Hello World” และสำหรับกรณีของ sb2 จะเป็นการล้างค่าข้อมูลในตัวแปร sb2 ซึ่งจะมีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกับการใช้เมธอด Clear() ที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นนั่นเอง

    3. การเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปร  ดังนี้

    • Replace() เป็นเมธอดที่ใช้ในการแทนที่ข้อความ โดยมีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกับเมธอด Replace() ที่มีในคลาส String ที่จะต้องมีการกำหนดค่าใหม่ที่ต้องการให้แทนที่ และค่าที่ต้องการแทนที่นั่นเอง
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb= new StringBuilder("Hello World!");
    sb.Replace('World', 'Kate');
    Console.WriteLine(sb);
    

    คำอธิบาย จากตัวอย่างข้างต้น จะเป็นการแทนที่ค่าของข้อความเดิมคือ “World” ในคำว่า “Hello World!” ด้วยค่า “Kate” ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ คือ “Hello Kate!

    4. การแปลงค่าจากตัวแปรชนิด StringBuilder เป็น String  ดังนี้

    ToString() เป็นเมธอดที่ใช้ในการแปลงค่าตัวแปรแบบ StringBuilder มาเป็นค่าของตัวแปรแบบคลาส String เพื่อนำไปแสดงผลหรือนำมาประยุกต์ใช้งานกับเมธอดที่มีในคลาส String ต่อไป
    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb= new StringBuilder("Hello World!");
    Console.WriteLine(sb.ToString());
    //การนำไปใช้กับเมธอดหรือฟังก์ชั่นที่มีในคลาส String
    int a = sb.ToString().IndexOf("a");
    //เป็นการค้นหาตำแหน่งของอักษร a ในตัวแปร sb ที่ถูกแปลงเป็น String 
    ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะเท่ากับ -1 เนื่องจากไม่มีตัวอักษร a ในข้อความดังกล่าว

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการแปลงค่าของตัวแปรในคลาส StringBuilder ให้เป็นคลาส String ซึ่งหลังจากที่ได้ทำการแปลงค่าแล้วนั้น จะสามารถใช้งานเมธอหรือฟังก์ชั่นที่มีในคลาส String ได้ เช่น IndexOf หรือ StartsWith  เป็นต้น

    5. การอ้างอิงและเข้าถึงตัวอักษรที่อยู่ในข้อความ  ดังนี้

    ตัวอย่าง

    StringBuilder sb= new StringBuilder("Hello World!");
    Console.WriteLine(sb[6]);
    //ผลลัพธ์ที่ได้คือ "W"
    sb[2] = 'k';
    //ผลลัพธ์ที่ได้คือ "Heklo World!"

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการเข้าถึงตำแหน่งของค่าตัวแปรชนิด StringBuilder ผ่านการอ้างลำดับ index ของอักขระในตัวแปรนั้น และตัวอย่างถัดมาจะเป็นการเปลี่ยนแปลงค่าโดยการเข้าถึงอักขระในลำดับ index ที่กำหนด โดยให้ค่าใหม่แทนที่

    6. การค้นหา  ในการค้นข้อมูลของตัวแปรแบบ StringBuilder นั้น โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีเมธอดที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลโดยตรง ดังเช่นที่มีในคลาส String เช่น IndexOf หรือ StartsWith ดังนั้นเราสามารถประยุกต์วิธีการค้นหาตามลักษณะของข้อมูลและการจัดการได้ ดังนี้

    • การค้นหาค่าที่ได้กลับมาในรูปแบบ Stringจากการเรียกใช้เมธอด ToString() โดยใช้เมธอดที่มีเช่นเดียวกับในคลาส String ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย และสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลของตัวแปรได้โดยไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร
    • แปลงค่าของตัวแปรแบบ StringBuilder ให้เป็นแบบ String และใช้เมธอดในการค้นหาที่มีในคลาส String ซึ่งวิธีการนี้เหมาะกับการทำงานที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายหลังจากการแปลงค่ามากนัก เพื่อลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรในการแปลงค่าภายหลัง
    • ค้นหาข้อมูลให้เสร็จก่อนทำการนำมาแปลงค่าเป็นแบบ StringBuilder โดยวิธีนี้จะต้องไม่สนใจค่าลำดับของตัวอักษรที่ได้จากการค้นหานั้นๆ
    • ค้นหาโดยใช้ Properties ทีชื่อว่า Chars โดยวิธีนี้เหมาะกับข้อมูลที่มีอักษรจำนวนไม่มาก และเงื่อนไขในการค้นหาไม่ซับซ้อน

    เพิ่มเติม
    • หลักการเบื้องต้นในการพิจารณาการใช้งานกับการจัดการข้อมูลของตัวแปรข้อความ(String)ที่ใช้เมธอดการทำงานในแบบเดียวกัน หากเป็นการใช้งานที่มีการเชื่อมต่อข้อความในตัวแปรเดิมที่มากกว่า 4 ครั้ง ผู้พัฒนาควรหันมาใช้ตัวแปรแบบคลาส StringBuilder เนื่องจากจะทำให้ประหยัดทรัพยากรหน่วยความจำมากกว่า แต่หากจำนวนครั้งในการเชื่อมต่อน้อยกว่านั้นควรใช้คลาสของ String ตามเดิมเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากมีเมธอดรองรับการจัดการข้อความที่หลากหลายและไม่ถือเป็นการสิ้นเปลืองพื้นที่หน่วยความจำมากนัก

    • ในการเรียกใช้งานเมธอดต่างๆ สามารถนำมาเขียนรวมกันใน statement เดียวกันได้ ดังนี้

    ตัวอย่างที่ 1

          StringBuilder sb = new StringBuilder();
          sb.Append("This is the beginning of a sentence, ");
          sb.Replace("the beginning of ", "");
          sb.Insert(sb.ToString().IndexOf("a ") + 2, "complete ");
          sb.Replace(",", ".");
          Console.WriteLine(sb.ToString());
    

    คำอธิบาย : จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการเชื่อมต่อข้อความเริ่มต้น คือ “This is the beginning of a sentence, ” และแทนที่คำว่า  “the beginning of” ด้วย “”(ค่าว่าง) และแทรกข้อความคำว่า “complete ” เข้าไปในตำแหน่งซึ่งหามาได้จากการเรียกใช้เมธอด ToString() และตามด้วยเมธอด IndexOf ของตำแหน่งข้อความ “a ” ถัดไปอีก 2 ตำแหน่งด้วยค่า “complete ” และแทนที่เครื่องหมาย “,” ด้วย “.”

    สามารถเขียนรวมเป็น statement เดียวกันได้ดังนี้

    ตัวอย่างที่ 2

          StringBuilder sb = new StringBuilder("This is the beginning of a sentence, ");
          sb.Replace("the beginning of ", "").Insert(sb.ToString().IndexOf("a ") + 2, 
                                                     "complete ").Replace(",", ".");
          Console.WriteLine(sb.ToString());

    ซึ่งจะให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับตัวอย่างที่ 1

              จากบทความข้างต้นที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลจะดีเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการพิจารณาและเลือกใช้วิธีการจัดการข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนของข้อมูล จำนวนครั้งในการเปลี่ยนแปลงข้อมูล และจำนวนทรัพยากรที่ใช้ในการพัฒนา เป็นต้น ซึ่งข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลในเบื้องต้นเกี่ยวกับ StringBuilder เท่านั้น ยังคงมีข้อมูลรอให้พวกเรานักพัฒนาทั้งหลายได้เข้าไปทำการศึกษาและเรียนรู้กันอีกมากมาย หากผู้ใดมีความสนใจสามารถค้นหาเพิ่มเติมและมาร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันได้ และผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้การตัดสินใจเลือกใช้วิธีการจัดการข้อมูลเป็นไปได้ง่ายขึ้น และโปรแกรมที่พัฒนาทำงานได้มีประสิทธิภาพรวดเร็วขึ้นไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

    แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
    http://www.dotnetperls.com/stringbuilder
    https://msdn.microsoft.com/en-us/library/2839d5h5(v=vs.110).aspx
    http://www.tutorialsteacher.com/csharp/csharp-stringbuilder
    https://blog.udemy.com/stringbuilder-c-sharp/

  • ASP.NET MVC Part 4: ทำความรู้จักกับ ViewData, ViewBag และ TempData

    การส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันใน ASP.NET MVC จะมีการส่งผ่านกันด้วย objects ซึ่งใน ASP.NET MVC จะมี object ที่ชื่อ ViewData, ViewBag และ TempData เป็น object ที่่ใช้ในการส่งผ่านข้อมูลในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยในการส่งผ่านข้อมูลจะแบ่งได้เป็น 3 กรณี คือ

    • การส่งผ่านค่าจาก Controller ไปยัง View
    • การส่งผ่านค่าจาก Controller หนึ่ง ไปยัง Controller อื่น
    • การส่งค่าระหว่าง Action หนึ่ง ไปยัง Action อื่น

    โดยทั้ง 3 objects จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

    1. ViewBag เป็น dynamic object ในการส่งค่าจาก controller ไปยัง view
    2. ViewData เป็น dictionary object ในการส่งค่าจาก controller ไปยัง view
    3. TempData เป็น dictionary object ในการส่งค่าข้ามกันระหว่าง controller และ action

     

    การส่งผ่านข้อมูลจาก controller ไปยัง View

    การส่งผ่านข้อมูลจาก Controller ไปยัง View สามารถทำได้ 3 รูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่ต้องการส่งว่าเป็นข้อมูลลักษณะไหน มีความซับซ้อนเพียงใด แต่ละรูปแบบสามารถเขียนได้ดังนี้

    controllertoview

     

    ส่งผ่าน Model

    การส่งผ่านข้อมูลผ่านตัว model เป็นการส่งผ่านข้อมูลผ่านตัว model ตรงๆ โดยที่ข้อมูลจะมี property ตามที่มีอยู่ใน model ที่สร้างไว้ ดังตัวอย่าง สร้าง model ของ Book และ set ค่าให้กับ property ต่างๆ และ return model Book ไปยังหน้า View

    ฝั่ง Controller

    public ActionResult Index()
            {
                List<ฺBook> b = new List<Book>() {
     
                   new Book{ Id = 1, Title = "Harry Potter", Author= "JK. Rolling"},
                   new Book{ Id = 2, Title = "Inferno", Author= "Dan Brown"}
                };
     
                return View(b);
            }
    

    ฝั่งแสดงผล View

    ประกาศ type ของ model เป็น Book หลังจากนั้นใช้ตัวแปร model ในการเข้าถึง property ต่างๆของ Model

    @model MvcBook.Models.Book
    <table class="table">
        <tr>
            <th>
                @Html.DisplayNameFor(model => model.Title)
            th>
            <th>
                @Html.DisplayNameFor(model => model.Author)
            th>
            <th>th>
        tr>
     
    @foreach (var item in Model) {
        <tr>
            <td>
                @Html.DisplayFor(modelItem => item.Title)
            td>
            <td>
                @Html.DisplayFor(modelItem => item.Author)
            td>
        tr>
    }
     
    table>
    

     

    ส่งผ่าน ViewBag

    การส่งผ่านข้อมูลด้วย ViewBag จะเป็นการส่งข้อมูลที่เป็น dynamic object เช่น string, int, float เป็นต้น ดังตัวอย่าง

    ฝั่ง Controller

    public ActionResult Index()
            {
                ViewBag.title = "THE DAVINCI CODE";
                return View();
            }
    

    ฝั่งแสดงผล View

    <h2>@ViewBag.Title</h2>
    

     

    ส่งผ่าน ViewData

    การส่งผ่านข้อมูลด้วย ViewData จะเป็นการส่งข้อมูลที่เป็น dictionary object เช่น List, Enumerable, array เป็นต้น ดังตัวอย่าง

    ฝั่ง Controller

    public ActionResult Index()
            {
                List<string> listBook = new  List<string>();
                listBook.Add("Davinci code");
                listBook.Add("The lost symbol");
                listBook.Add("Inferno");
                ViewData["ListBook"] = listBook;
                return View();
            }
    

    ฝั่งแสดงผล View

    ในการแสดงผลข้อมูลที่เป็น dictionary object นั้นให้ทำการ cast ให้เป็น type ที่ตรงกับ type ที่ส่งมาจาก controller

    <table class="table"> 
    @foreach (var item in (List<string>)ViewData["ListBook"]) {
        <tr>
            <td>
                @item
            td>
        tr>
    }
    <table>
    

     

    การส่งผ่านข้อมูลจาก controller/Action หนึ่ง ไปยัง controller/Action อื่น

    ในการส่งผ่านข้อมูลจาก controller หนึ่ง ไปยังอีก controller หรือจาก action ไปยังอีก action จะใช้ object ที่ชื่อ TempData ในการส่งค่าระหว่างกัน ซึ่ง TempData จะเก็บข้อมูลใน session โดยเป็นการส่งค่าจาก HTTP request หนึ่งไปยัง HTTP request อื่นๆ ดังตัวอย่าง

    tempdata

    controller ฝั่งส่งค่า

    public ActionResult Index()
            {
              TempData["data1"] = "I am from action 1";
              return RedirectToAction("Read");
             
            }
    

    controller ฝั่งรับค่า

    public string Read()
            {
                string str;
                str = TempData["data1"].ToString();
                return str;
            }
    

     

    สรุป

    ในการส่งข้อมูลระหว่าง controller กับ view และ controller/action กับ controller/action ของ ASP.NET MVC นั้น ในเบื้องต้นสามารถส่งผ่าน object ทั้ง 3 ตัว ได้แก่ ViewBag, ViewData และ TempData โดยในการเลือกใช้ให้พิจารณาลักษณะของข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นหลัก

    บทความก่อนหน้า : ASP.NET MVC Part3: สร้าง Model ด้วย Entity Framework

    แหล่งอ้างอิง : 

    [1] http://www.codeproject.com/Articles/476967/What-is-ViewData-ViewBag-and-TempData-MVC-Option?msg=4858421

    [2] http://rachelappel.com/when-to-use-viewbag-viewdata-or-tempdata-in-asp-net-mvc-3-applications/

  • ASP.NET MVC Part3: สร้าง Model ด้วย Entity Framework

    จากบทความก่อนหน้า ซึ่งอาจจะนานมากพอสมควรที่ได้แนะนำ MVC ไปไว้แล้วในเบื้องต้น (ASP.NET MVC Part 1 : ทำความรู้จักกับ ASP.NET MVC และ ASP.NET MVC Part2: เริ่มต้นสร้างเว็บด้วย MVC with Bootstrap) บทความนี้จะมาแนะนำในส่วนของการสร้าง Model ในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ในการ query และจัดการกับข้อมูล เพื่อส่งให้กับ Controller และ View เรียกใช้ในลำดับต่อไป

    Model คือ ส่วนหนึ่งในองค์ประกอบของการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันตามรูปแบบ MVC Framework (Model-View-Controller) โดยจะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ Business Model หรือส่วนที่ติดต่อกับฐานข้อมูล โดยบทความนี้นำเสนอการนำเครื่องมือ Entity Framework มาใช้ในการสร้างและจัดการ Model ในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล สำหรับการพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันตามรูปแบบ MVC Framework

    Entity Framework
    Entity Framework คือ tools ที่ทำหน้าที่จัดการกับฐานข้อมูล โดยแนวคิดของ Entity Framework อยู่ในรูปแบบของ O/RM (Object/Relational Mapping) คือ Entity Framework จะสร้าง Layer ทำหน้าที่เป็น Database Model ขึ้นมาเป็น Class ใน Project ของเรา โดยจะทำหน้าที่ Mapping ตัว Class ที่จะสร้างขึ้น กับ Table , View และ Stored Procedure จากฐานข้อมูบ มาไว้บน Project ซึ่งทำให้เราเราสามารถเรียกใช้มันผ่าน Class ที่อยู่ใน Project เราได้เลย ส่วนการเขียน Query หรือจัดการกับข้อมูลผ่านตัว Entity Model จะใช้ Syntax ของ LINQ to Entities ซึ่งเป็น syntax ที่สามารถเข้าใจได้ง่ายตามรูปแบบของภาษาเช่น VB.Net หรือ C#

    ex_entity
    ตัวอย่างการใช้งาน Entity Framework

     

    วิธีการใช้งาน Entity Framework เบื้องต้น

    1. เปิด solution ที่ต้องการใช้ขึ้นมา (ในบทความนี้เป็น project แบบ MVC Framework)

    2. คลิกขวาที่โฟลเดอร์ Model แล้วเลือก Add =>New Item

    3. ที่ tab ด้านซ้ายมือ เลือก Data จากนั้นเลือก ADO.NET Entity Data Model และทำการตั้งชื่อ และกดปุ่ม Add

    new_entityModel

     

    4. เมื่อเข้าสู่หน้าจอให้เลือก Model Content ให้เลือก EF Desiner from DataBase และกด Next จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

    choose_content

     

    5.ขั้นตอนถัดมาคือการเลือก Data Connection เป็นการเลือกการติดต่อกับฐานข้อมูลว่าจะให้ Entity ติดต่อกับฐานข้อมูลไหน โดยครั้งแรกหากยังไม่มี ฐานข้อมูลมาให้เลือกใน comboBox จะต้อง New Connection ขึ้นมาก่อน และทำตามขั้นตอนไปได้เลย แต่ถ้ามีแล้วให้เลือก Connection จาก ComboBox หลังจากนั้นให้กดเลือก Yes,include the sensitive data in connection string และเลือก Checkbox ให้ Save Connection string เข้าสู่ Web.Config และตั้งชื่อให้กับ Conection string โดย default ชื่อจะเป็น “Entities” และกดปุ่ม Next เข้าสู่ขั้นตอนต่อไปchoose_dataConrection

     

    6.ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย สำหรับเลือกว่า เราจะติดต่อ Entity กับ Table, View หรือ Storeprocdure อะไรบ้าง ให้กด expand และเลือก Table, View หรือ Storeprocdure ที่ต้องการ หลังจากนั้นให้กดปุ่ม Finish เป็นอันเสร็จกระบวนการสร้าง Entity Data Model ในการติดต่อกับฐานข้อมูล

    choose_table

     

    การเรียกใช้งานจากฝั่ง Controller

    1.ที่ไฟล์ xxxController.cs ทำการ using เพื่อเรียกใช้งาน

    using MVCBootstrap.Models;
    

    2.ประกาศตัวแปรขึ้นมา new object เพื่อจะเข้าถึง entity model ที่เราได้ทำการสร้างไว้ก่อนหน้านี้

    var db = new Budget_Entities();
    

    3.เข้าถึงแต่ละ Entity โดยใช้ syntax linq  โดยขอยกตัวอย่างในส่วนของการเข้าถึงและจัดการข้อมูลเบื้องต้น

    • Query ข้อมูล
     public ActionResult QueryData()
            {
                var db = new Budget_Entities();
                var listCampus = db.VF_CAMPUS.Where(w => w.CAMP_NAME_THAI.Contains("วิทย"));
                return View(listCampus);
            }
    
    • Insert ข้อมูล

    public ActionResult InsertData()
            {
                bool isSuccess = true;
                I_ITEM item = new I_ITEM();
                item.ITEM_NO = "001";
                item.ITEM_THAI_NAME = "รายการวัสดุทางการศึกษา";
                db.SaveChanges();
                return View(isSuccess);
            }
    
    • Update ข้อมูล

     public ActionResult UpdateData(int itemID)
            {
                bool isSuccess = true;
                var db = new Budget_Entities();
                var itemForUpdate = db.I_ITEM.Find(itemID);
                itemForUpdate.ITEM_THAI_NAME = "รายการวัสดุแก้ไข";
                db.SaveChanges();
                return View(isSuccess);
            }
    
    • Remove ข้อมูล
     public ActionResult RemoveData(int itemID)
            {
                bool isSuccess = true;
                var db = new Budget_Entities();
                var itemForRemove = db.I_ITEM.Find(itemID);
                db.I_ITEM.Remove(itemForRemove);
                db.SaveChanges();
                return View(isSuccess);
            }
    

     

    ซึ่งจากทั้ง 4 ตัวอย่างจะมีการประกาศตัวแปร var db = new Budget_Entities(); เป็นการ new object ขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าถึง entity ภายใน และทำการ query ข้อมูล, set ค่าให้กับ attribute หรือลบข้อมูล หลังจากที่จัดการกับตัว entity เสร็จแล้ว จะเรียกใช้งาน method SaveChanged() ซึ่งเป็นการสั่งให้ entity Model ทำการ execute และเปลี่ยนแปลงข้อมูลตามที่เราได้เขียน code ไว้ไปยังฐานข้อมูล เป็นอันเสร็จกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่กระทำกับฐานข้อมูล จากนั้นเราจะเอาค่านั้นไปใช้ต่อหรือ จะ return ค่า ไปยัง View เพื่อแสดงผลต่อไปก็แล้วแต่ผู้ใช้เลยค่ะ

     

    บทความถัดไป : ASP.NET MVC Part 4: ทำความรู้จักกับ ViewData, ViewBag และ TempData

    บทความก่อนหน้า : ASP.NET MVC Part2: เริ่มต้นสร้างเว็บด้วย MVC with Bootstrap

    แหล่งข้อมูลอ้างอิง :

    [1] http://www.asp.net/mvc/overview/getting-started/database-first-development/creating-the-web-application

    [2] https://msdn.microsoft.com/en-us/library/bb399760(v=vs.100).aspx

  • การเรียกใช้งานเมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์/เว็บเซอร์วิสแบบ Ajax ด้วย jQuery (C#)

              ก่อนจะพูดถึงวิธีการเรียกใช้งานเมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์/เว็บเซอร์วิสแบบ Ajax ด้วย jQuery ผู้เขียนขอเกริ่นนำเกี่ยวกับที่มาที่ไปเกี่ยวกับแนวคิดแบบ Ajax เพื่อให้ผู้อ่านบางท่านที่ยังอาจงงๆได้ทำความเข้าใจเสียก่อน ว่าโดยปกติแล้วนั้น ในการพัฒนาเว็บไซต์(Web application)ของ ASP.NET จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ Client side และ Server side ซึ่งการทำงานในส่วนของ Client side จะหมายถึงส่วนของ browser หรือหน้าจอการทำงานของผู้ใช้ เช่น Google Chrome Firefox และ Internet explorer ส่วนในฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะมีการรับคำร้องขอ(request) จากฝั่ง Client ทำการประมวลผลและส่งค่าผลลัพธ์คืนกลับมายังฝั่ง Client อีกครั้งเพื่อให้ผู้ใช้เห็นผลลัพธ์การตอบกลับนั้นได้ ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นการพัฒนาจะประกอบด้วยโค้ด 2 ส่วน คือ

    • Server-side code ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของการทำงานในการติดต่อไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์ และถูกนำมาใช้ในการพัฒนา Web application ซึ่งใน ASP.NET นั้นนับว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยจะมีการใช้งานผ่านทาง .NET Framework ในรูปแบบของภาษา C# VB หรือภาษาอื่นๆที่มีใน .NET ในการประมวลผลเพื่อติดต่อกับฐานข้อมูล หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆจากคำร้องขอในฝั่ง Client และทำการส่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมายังฝั่ง Client อีกครั้ง หลังจากมีการส่งผลลัพธ์ตอบกลับมาเรียบร้อยแล้วนั้น จะมีการ render หน้าจอดังกล่าวขึ้นอีกครั้งเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้เพจหรือหน้าจอที่ใช้งานมีการโหลดหรือ refresh เกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียทำให้ผู้ใช้รู้สึกล่าช้าในการรอการตอบกลับการประมวลผลพร้อมทั้งการแสดงผลจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยโค้ดในลักษณะนี้ผู้พัฒนาบางท่านอาจรู้จักกันในนามของ code behind นั่นเอง
    • Client-side code อาจเรียกได้ว่าเป็น client-side script ที่ถูกฝังไว้ในฝั่ง client และมีการประมวลผลในส่วนของ Browser ของผู้ใช้ ซึ่งสคริปต์ที่นิยมใช้ในการพัฒนาโดยส่วนใหญ่จะเป็น JavaScript และโต้ตอบกลับมาโดยตรงด้วย element ที่มีใน HTML เช่น textbox ปุ่ม หรือตาราง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้งานของโค้ดภาษา HTML และ CSS(Cascading Style Sheets) ร่วมด้วย แต่การพัฒนาในส่วนนี้ต้องมีการคำนึงถึงภาษาและโค้ดที่รองรับในแต่ละ browser ของผู้ใช้ด้วย ซึ่งการพัฒนาด้วยโค้ดในส่วนนี้ จะทำให้การตอบโต้กับผู้ใช้งานเกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้น เกิด overhead น้อย แต่ก็มีข้อเสียเกี่ยวกับการเลือกใช้ภาษาในการพัฒนาให้ครอบคลุมในความหลากหลายของ browser ที่ผู้ใช้ใช้งานในการเปิดเว็บไซต์ได้

    Ajax (Asynchronous JavaScript and XML)
              เทคโนโลยีและแนวคิดแบบ Ajax ได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและหลักการทำงานโดยทั่วไปที่มีอยู่เดิมของ web application เล็กน้อย คือจะมีการส่งคำร้องขอจากฝั่ง Client ไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์โดยตรงเพื่อตอบโต้กับ object ที่มีในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เช่น ฐานข้อมูล หรือไฟล์ เป็นต้น โดยปราศจากการ postback โดยแนวคิดของ Ajax จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิม เช่น ข้อมูลในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เว็บเซอร์วิส และการเขียนสคริปต์ในฝั่ง client โดย client-side script จะใช้ในการเรียกใช้เว็บเซอร์วิสเพื่อประมวลผลกับฐานข้อมูลตามคำร้องขอ ซึ่งคำร้องขอดังกล่าวอาจเป็นการบันทึกหรืออ่านค่าข้อมูลจากฐานข้อมูล และการเรียกใช้แบบ Ajax นี้จะเป็นลักษณะ Asynchronous คือ เมื่อผู้ใช้มีการส่งคำร้องขอไปยังเว็บเซอร์วิส ในหน้าจอการทำงานจะไม่ถูกล็อคไว้ และสามารถทำงานในส่วนอื่นต่อได้โดยไม่จำเป็นต้องรอกระบวนการทำงานให้เสร็จทีละส่วน สามารถทำคู่ขนานกันไปได้ และหากส่วนใดเสร็จสิ้นการประมวลผลแล้วนั้นตัวเว็บเซอร์วิสก็จะส่งผลลัพธ์กลับมาให้แสดงยังฝั่งผู้ใช้เอง
              โดยเทคโนโลยีที่ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นสำหรับ client-side script นั่นก็คือ jQuery ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเป็นที่นิยม เนื่องจากประมวลผลได้เร็ว มีขนาดเล็ก และมีคุณสมบัติอีกหลายประการที่จะเข้ามาช่วยทำให้การพัฒนาโปรแกรมมีประสิทธิภาพมากยิ่ง
    จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเว็บไซต์โดยหลีกเลี่ยงการ postback เมื่อมีการเรียกใช้งานไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ถือเป็นอีกทางเลือกของนักพัฒนาที่จะหยิบมาใช้ เพื่อลด over head ให้กับตัว web server และสามารถตอบสนองต่อผู้ใช้ได้รวดเร็วขึ้น ลดจำนวนในการโหลดเพจ และรอการตอบสนองทุกครั้งที่มีการส่งคำร้องขอ ผู้เขียนจึงขอแนะนำวิธีการเรียกใช้หรือส่งคำร้องขอไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์แบบ Ajax ด้วย jQuery ดังนี้

    • การเรียกใช้เมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ตามแนวคิดของ Ajax ด้วย jQueryหลักการเขียนเพื่อเรียกใช้เมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์/เว็บเซอร์วิส
      CheckUserNameAvailability-2
      ที่มาของภาพ :http://www.aspsnippets.com/Articles/Call-ASPNet-Page-Method-using-jQuery-AJAX-Example.aspx
       

      • ตัวอย่างที่ 1 : การเรียกใช้งานเมธอดแบบส่งค่ากลับเป็น string แบบไม่มีการส่งค่าพารามิเตอร์
        ฝั่ง Client(aspx)
       function CallServerMethodString() {
                          $.ajax({
                              type: "POST", //ชนิดในการส่งค่า
                              contentType: "application/json",
                              ///ที่อยู่ของเมธอดที่ต้องการเรียก (ชื่อเพจ/ชื่อเมธอด)
                              url: "TestPageMethod.aspx/getDataRetString", 
                              dataType: "json", ///ส่งค่าแบบ json
                              beforeSend: function () {
                              ///  เป็นส่วนการแสดง loading progress bar ในขณะที่กำลังทำงานอยู่
                                  $("#loadingmessage").show();
                              },
                             //////เป็นส่วนที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดข้อผิดพลาดในการเรียกใช้เมธอด
                              error: function (XMLHttpRequest, textStatus, errorThrown) {
                                  alert("Request: " + XMLHttpRequest.toString() + "\n\nStatus: " + textStatus + "\n\nError: " + errorThrown);
                              },
                            //////เป็นส่วนที่เกิดขึ้น เมื่อการเรียกใช้เมธอดเสร็จสิ้นสมบูรณ์
                              success: function (response) {
      ///ล้างค่าข้อมูลใน div และนำผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียกใช้(response.d) มาแสดงใน div ที่กำหนด
                                  $("#dvResult").html("");
                                  $("#dvResult").append(response.d);
      ///ซ่อน loading progress bar เมื่อเสร็จสิ้นการทำงาน
                                  $("#loadingmessage").hide(); 
                              }
      
                          });
                      }
      

      ฝั่ง Server (c#)

       [System.Web.Services.WebMethod]
       public static string getDataRetString()
       {
           string Result = "";
           string[] digits = { "zero", "one", "two", "three", "four", "five", "six", "seven", "eight", "nine" };
           var results = from p in digits
                            select p;
           foreach (var d in digits)
           {
               Result= Result+ "Result is :" + d.ToString() + "<br>";
           }
              return Result;
          }
       }
      

      คำอธิบาย : เป็นตัวอย่างการสร้างเมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยในการสร้างเมธอดต้องมีการกำหนด [System.Web.Services.WebMethod] ไว้ในส่วนบนของเมธอด และมีชนิดเป็น static โดยในส่วนนี้ตามความเป็นจริงจะเป็นส่วนที่อาจมีการดึงมาจากฐานข้อมูล เพื่อคืนค่ากลับไปให้ฝั่ง Client แสดงผล แต่ในที่นี้จะขอสร้างเป็นเพียงข้อมูลสมมุติของอาร์เรย์ที่เป็นข้อความขึ้นมาเท่านั้น

      ผลลัพธ์

      result1

      • ตัวอย่างที่ 2 : แบบส่งค่ากลับเป็น object โดยมีการส่งพารามิเตอร์มายังฝั่งเซิร์ฟเวอร์ด้วย
        ฝั่ง Client (aspx)
      <script type="text/javascript">
       function CallServerMethodObject() {
                          $.ajax({
                              type: "POST",
                              contentType: "application/json",
                              url: "TestPageMethod.aspx/getDataRetObj",
               ///ส่งค่าพารามิเตอร์จากการเลือกประเภทสถานศึกษาให้กับเมธอดฝั่งเซิร์ฟเวอร์
                              data: "{'CategoryID' : " + ddlMain.val() + "}",
                              dataType: "json", ///ส่งค่าแบบ json
              /// เป็นส่วนการแสดง loading progress bar ในขณะที่กำลังทำงานอยู่
                              beforeSend: function () {
                                  $("#loadingmessage").show();
                              }, 
                              error: function (XMLHttpRequest, textStatus, errorThrown) {
                                  alert("Request: " + XMLHttpRequest.toString() + "\n\nStatus: " + textStatus + "\n\nError: " + errorThrown);
                              },
              ///เป็นส่วนที่จะทำงานเมื่อมีการเรียกใช้เมธอดเสร็จสิ้นโดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ
                              success: function (response) {
                  ///ประกาศตัวแปรของคอนโทรล dropdownlist ที่ชื่อว่า ddlResult และล้างค่าข้อมูล
                                  var ddlResult = $("[id*=ddlResult]");
                                  ddlResult.empty().append('กรุณาเลือกชื่อสถานศึกษา');
                   ///วนรอบเพื่อดึงค่าจาก obj ที่ถูกส่งกลับมาเพื่อ populate ลงใน dropdownlist 
                                 $.each(response.d, function (index, item) {
                             ddlResult.append($("").val(item.SubCategory).html(item.title));
                                  });
                   ////ซ่อน loading progress bar เมื่อการทำงานสิ้นสุด
                                $("#loadingmessage").hide();
                              }
                          });
                      }
        </script>
       <asp:DropDownList ID="ddlMain" runat="server" onchange="CallServerMethodObject()" >
       <asp:ListItem Selected="True" Value="0">กรุณาเลือกประเภทสถานศึกษา</asp:ListItem>
       <asp:ListItem Value="1">มหาวิทยาลัย</asp:ListItem>
       <asp:ListItem Value="2">โรงเรียน</asp:ListItem>
       </asp:DropDownList>
       <asp:DropDownList ID="ddlResult" runat="server" >
      <asp:ListItem Value="0">กรุณาเลือกชื่อสถานศึกษา</asp:ListItem>
      </asp:DropDownList>
      

      คำอธิบาย : เป็นตัวอย่างการสร้าง Cascading dropdownlist อย่างง่าย โดยหากมีการเลือกประเภทสถานศึกษา จะมีการเรียกใช้ฟังก์ชั่น CallServerMethodObject() และส่งค่าที่เลือก(รหัสประเภทสถานศึกษา) ให้กับการเรียกใช้เมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ในพารามิเตอร์ที่ชื่อว่า CategoryID เพื่อดึงค่าของชื่อสถานศึกษาตามประเภทที่เลือก

      ฝั่ง server (c#)

       [System.Web.Services.WebMethod]
          public static object getDataRetObj()
          {
      ///สมมุติให้ในส่วนนี้ เป็นการสร้างข้อมูลที่เป็น object และนำผลลัพธ์ที่ได้ส่งกลับไปยั่งฝั่ง Client เพื่อแสดงผล
        var obj = new { Category = 1, SubCategory=1, title = "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"};
        var objList = (new[] { obj }).ToList();
        objList.Add(new { Category = 1, SubCategory=2,  title = "มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา" });
        objList.Add(new { Category = 2, SubCategory=3, title = "โรงเรียนมหาวชิราวุธ"});
        objList.Add(new { Category = 2, SubCategory=4, title = "โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย" });
      ////ดึงค่าชื่อสถานศึกษาตามรหัสประเภทสถานศึกษา CategoryID
              var results = from p in objList.Where(p=>p.Category==int.Parse(CategoryID))
                            select p;
      
              return results;
          }

      คำอธิบาย : เป็นตัวอย่างการสร้างเมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยในการสร้างเมธอดต้องมีการกำหนด [System.Web.Services.WebMethod] ไว้ในส่วนบนของเมธอด และมีชนิดเป็น static โดยในส่วนนี้ตามความเป็นจริงจะเป็นส่วนที่อาจมีการดึงมาจากฐานข้อมูลตามเงื่อนไขของพารามิเตอร์ที่ส่งมา เพื่อคืนค่ากลับไปให้ฝั่ง Client แสดงผล แต่ในที่นี้จะขอสร้างเป็นเพียงข้อมูลสมมุติของ object ขึ้นมาเท่านั้น

      ผลลัพธ์

      result3

    • การเรียกใช้เว็บเซอร์วิสตามแนวคิดของ Ajax ด้วย jQuery
      • ตัวอย่างที่ 1 : เป็นการเรียกใช้เมธอดจากเซอร์วิสในการแสดงผล

      ฝั่ง Client(aspx)

     <script type="text/javascript">
     function CallWebservice() {
                        var ddlMain = $("[id*=ddlMain]");
    
                        $.ajax({
                            type: "POST",
                            contentType: "application/json",
                            url: "WebServiceTest.asmx/getDataRetOddEven",
                            ///ส่งค่าพารามิเตอร์จากการเลือกประเภทชนิดข้อมูลตัวเลขให้กับเมธอดที่สร้างในเซอร์วิส
                            data: "{'CategoryID' : " + ddlMain.val() + "}",
                            dataType: "json",
                            beforeSend: function () {
                                $("#loadingmessage").show();
                            }, error: function (XMLHttpRequest, textStatus, errorThrown) {
                                alert("Request: " + XMLHttpRequest.toString() + "\n\nStatus: " + textStatus + "\n\nError: " + errorThrown);
                            },
                            success: function (response) {
                                $("#dvResult").html("");
                                $("#dvResult").append(response.d);
                                $("#loadingmessage").hide();
                            }
    
                        });
                    }
     </script>
     <asp:DropDownList ID="ddlMain" runat="server" onchange="CallWebservice()" >
     <asp:ListItem Selected="True" Value="-1">กรุณาเลือกประเภทตัวเลข</asp:ListItem>
     <asp:ListItem Value="0">เลขคู่</asp:ListItem>
     <asp:ListItem Value="1">เลขคี่</asp:ListItem>
     </asp:DropDownList>
    

    คำอธิบาย : เป็นตัวอย่างการเรียกใช้เมธอดจากเว็บเซอร์วิส เพื่อทำการดึงค่าข้อมูลตัวเลขตามประเภทของตัวเลขที่เลือกจาก dropdownlist ซึ่งในตัวอย่างนี้จะเป็นการเรียกใช้เมธอดที่มีชื่อว่า getDataRetOddEven ในเว็บเซอร์วิส WebServiceTest.asmx โดยลักษณะการเรียกใช้จะคล้ายกับตัวอย่างของการเรียกใช้เมธอดจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ที่กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้ มีเพียงส่วนของการกำหนด url ที่เมธอดนั้นอยู่เท่านั้นที่ต้องให้มาอ้างจากเมธอดในเว็บเซอร์วิสแทน

    ฝั่งเว็บเซอร์วิส (WebServiceTest.asmx)

     [WebMethod]
        public string getDataRetOddEven(string CategoryID)
        {
             string result = "";
             int[] numbers = { 0, 1, 2, 3,4, 5, 6, 7,8, 9 };
    
             var results = from p in numbers.Where(p => p % 2 == int.Parse(CategoryID))
                          select p;
             foreach (var d in results)
             {
                 result = result + "Result is :" + d.ToString() + "
    ";
             }
             return result;
        }
    

    คำอธิบาย : เป็นตัวอย่างการสร้างเมธอดในเว็บเซอร์วิสเพื่อรับค่าชนิดของตัวเลข(คู่/คี่) เพื่อนำมาใช้ในการดึงข้อมูลตามเงื่อนไข โดยในการสร้างเมธอดต้องมีการกำหนด [WebMethod] ไว้ในส่วนบนของเมธอด และมีเพิ่ม [System.Web.Script.Services.ScriptService] ในส่วนบนของไฟล์ เพื่อให้สามารถรันสคริปต์ผ่านเว็บเซอร์วิสได้ โดยในส่วนนี้ตามความเป็นจริงจะเป็นส่วนที่อาจมีการดึงมาจากฐานข้อมูล เพื่อคืนค่ากลับไปให้ฝั่ง Client แสดงผล แต่ในที่นี้จะขอสร้างเป็นเพียงข้อมูลสมมุติของอาร์เรย์ที่เป็นข้อความขึ้นมาเท่านั้น
    หมายเหตุ : 

    ผลลัพธ์

    result4result5

    เพิ่มเติม : 
    Namespace ที่ต้องอ้างอิงเพิ่มเติมหากมีการใช้งานเกี่ยวกับ LINQ คือ using System.Linq;

              มาถึงตรงนี้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เนื้อหาและตัวอย่างที่มีในบทความนี้ จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียกใช้งานเมธอดในฝั่งเซิร์ฟเวอร์/เว็บเซอร์วิสแบบ Ajax ด้วย jQuery เพื่อช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพทำงานของระบบที่พัฒนา และน่าจะช่วยให้การประมวลผลไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์รวดเร็วขึ้น เกิดความพึงพอใจในการใช้งานของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพัฒนาต่อยอดและประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับงานของผู้พัฒนาแต่ละท่านได้ หากมีส่วนใดผิดพลาด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณค่ะ

    แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
    http://www.seguetech.com/blog/2013/05/01/client-side-server-side-code-difference
    http://www.aspsnippets.com/Articles/Call-ASPNet-Page-Method-using-jQuery-AJAX-Example.aspx

  • Convert Solution Visual Studio 2005 to 2013

    ในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงเครื่องมือในการพัฒนาตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Visual Studio โดยจะนำเสนอวิธีการ Convert Solution ASP.NET จากเวอร์ชั่นเก่าไปยังเวอร์ชั่นใหม่โดยไม่ต้องสร้างโปรเจคขึ้นมาใหม่ ตัวอย่างในวันนี้จะแสดงการ Convert Project Solution ที่พัฒนาด้วย Visual Studio 2005 ไปพัฒนาบน Visual Studio 2013 ซึ่งแน่นอนครับว่าจะต้องมีการ config ค่าเพิ่มเติมต่างๆ ผู้เขียนจะกล่าวไว้ช่วงท้ายนะครับ เราเริ่มขั้นตอนการ Convert กันเลยดีกว่าครับ

    ขั้นตอนแรก : เตรียมข้อมูลให้พร้อม

    1. เตรียม solution ตัวเก่าของเราให้พร้อม (ในที่นี้เราใช้ solution ของ Visual Studio 2005 ชื่อ GSMISII )

    Capture

    รูปที่ 1 Folder Project Solution Visual Studio 2005

    Capture2

    รูปที่ 2 ไฟล์ Project Solution Visual Studio 2005

         2. เตรียม Visual Studio 2013 ให้พร้อม

    Capture3

    รูปที่ 3 Visual Studio 2013

    ขั้นตอนที่สอง : เริ่ม Convert

          1. เราจะทำการ Convert Solution โดยคลิกขวาไฟล์ Solution ( xxx.sln ) ตามรูปที่ 2 เลือก Open with… ก็จะปรากฎดังรูป

    Capture4

    รูปที่ 4 Keep using Microsoft Visual Studio Version Selector

     

    2. เลือก Keep using Microsoft Visual Studio Version Selector

    Capture5

    รูปที่ 5 Review Project And Solution Changes

         3. Visual Studio จะตรวจสอบว่ามีโปรเจคหรือ Solution ใดบ้าง ตามตัวอย่างมีแค่ 1 Solution กด OK

    Capture10

    รูปที่ 6 Loading solution projects…

          กรณีมีการใช้ Crystal Report จะมีการให้ Backup ก่อนที่จะ Convert (ซึ่งหากต้องการใช้ Crystal Report จะต้องลง SAP Version ที่รองรับกับ Visual Studio 2013 ก่อน)Capture11

    รูปที่ 7 Loading solution projects…

         กรณีที่มีการใช้ Source Control จะมีให้เลือกว่าจะ remove ออกหรือไม่

    Capture9

    รูปที่ 8 Source Control remove

         เสร็จเรียบร้อยแล้ว… จริงหรือ??

    Capture12 

    รูปที่ 9 Solution in Visual Studio 2013

         เรามาลอง Build Solution กันดีกว่า…

    Capture13

    รูปที่ 10 Error Build Solution 

        Oops! Error!!  ไม่ต้องตกใจกันนะครับ เพราะ error พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นค่า config ที่อยู่ใน file web.config ที่ไม่รองรับกับ control เวอร์ชั่นใหม่อยู่แล้ว ซึ่งรวมไปถึง crystal report ด้วย ตามแก้ให้เรียบร้อย (ใช้ความอดทนเล็กน้อย ให้สังเกตุว่า error assembly ตัวใด สังเกตุเวอร์ชั่นด้วย) แล้วลอง Build ใหม่กันอีกครั้ง

         ปล. สำหรับ Crystal Report สำหรับ Visual Studio 2013 สามารถ Download ได้ที่
    http://scn.sap.com/docs/DOC-7824

  • การ Encrypt/Decrypt ข้อมูลในไฟล์ Web.config

    การเข้ารหัส (Encrypt) ไฟล์ Web.config ถือเป็นวิธีการหนึ่งในการช่วยเพิ่มความปลอดภัยและช่วยป้องกันการถูกโจมตีจากผู้บุกรุกในการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล เนื่องจากไฟล์ web.config เป็นที่รวมการ config ค่าต่างๆ ของ web application ของเราไว้ เช่น ข้อมูลรหัสผ่านสำหรับการเชื่อมต่อฐานข้อมูล (ConnectionString), AppSetting, คีย์ API หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตั้งค่าต่างๆ โดยบทความนี้นำเสนอการเข้ารหัสและการถอดรหัส (Encrypt/Decrypt) ไฟล์ Web.config ด้วยคำสั่งผ่าน Command line โดยใช้ tools ที่มากับ .NET Framework ดังนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราจะต้องมีการติดตั้ง .NET Framework ไว้อยู่ก่อนแล้ว สำหรับข้อมูลในไฟล์ Web.config จะถูกแบ่งออกเป็น section หลายๆ section ด้วยกัน โดยผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างการ Encrypt/Decrypt ข้อมูลในส่วนของ section<connectionString>ดังนี้

     

    ก่อนทำการ Encrypt Web.config

    ที่ section <connectionStrings> ซึ่งเก็บข้อมูล config ค่าต่างๆ ของ Database sever ไว้ เช่น user/password เป็นต้น

    <configuration>
    <connectionStrings>
    <add name="SqlServices" connectionString="Data Source=localhost;PASSWORD=1234;Integrated Security=SSPI;Initial Catalog=Northwind;" />
    </connectionStrings>
    </configuration>

     

    Encrypt Web.config

    1.เปิด Command Prompt ขึ้นมา (อย่าลืมเปิดแบบ Run as administrator ด้วยนะคะ)

    2.พิมพ์คำสั่ง ดังนี้(Version ของ.NET Framework ขึ้นอยู่กับที่ลงไว้ที่เครื่อง) :

    cd C:\Windows\Microsoft.NET\Framework\v4.0.30319

    step1

    3.เข้าไปที่ directory path ที่เก็บไฟล์ web.config แล้วพิมพ์คำสั่ง ดังนี้

    aspnet_regiis.exe -pef connectionStrings  C:\inetpub\wwwroot

    step2

    หมายเหตุ: “connectionString” เป็น case sensitive ตัวพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ต้องพิมพ์ให้ถูกต้อง

     

    หลังทำการ Encrypt Web.config

    หลังจากทำการ Encrypt แล้วจะเห็นว่า ที่ section connectionString จะเป็นรหัสที่ไม่สามารถอ่านเข้าใจได้

    <connectionStrings configProtectionProvider="RsaProtectedConfigurationProvider">
       <EncryptedData Type="http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#Element"
         xmlns="http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#">
         <EncryptionMethod Algorithm="http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#tripledes-cbc" />
         <KeyInfo xmlns="http://www.w3.org/2000/09/xmldsig#">
           <EncryptedKey xmlns="http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#">
             <EncryptionMethod Algorithm="http://www.w3.org/2001/04/xmlenc#rsa-1_5" />
             <KeyInfo xmlns="http://www.w3.org/2000/09/xmldsig#">
               <KeyName>Rsa Key</KeyName>
             </KeyInfo>
             <CipherData>
               <CipherValue>SryXAF+wpnIpZ8P3HMP8ffMDBorz9j08/oX2vXDA+9LkMHY1i50qeCqYmOYnQXK4C6iNhyIZx9R+AcE7yY7AQeHzzPhZ/bZ04NPuOpd7wD+NL82CWeec/fToTIBbHvE6zNBgenUSE+8zTv9II357tsqpjH1xaII+zmZbgo5+fnhjAD8nVffqd+NQ0x+IXDwyBraeT50TlEXx4lJlAph7jqdglg1Xf/yjSTfwrOB2NcVIHVaVWN3CrelWgQKASftGXdDVingbRn2RXphyooTuVsZgJdzbFMpd7H6fJHggORSPwOud1ZU5vE4aNAMHDa4fb6FOA3I8R0urWD4sT34YRg==</CipherValue>
             </CipherData>
           </EncryptedKey>
         </KeyInfo>
         <CipherData>
           <CipherValue>iKttnP9CEMRfq+mhcHqN8f5GiwsySBLw0CWeiAxSQVIfoEQMNutubrRFruoNIb+m0XJnPL5FIypqqQ72dqZ4DSeQdUJwAVyO4HSlM5F3b+Jnogz9aMAuwdoww5QKdI94yH9fx8RwxhAzq1a9eApjLglAwTmKY84Wg/Lqpcn9wfvKyIZJyQaJCaLCEteGhB9bopjT9z+nmMZVQ2LrDEtKMEe1oltPoR8EvTel2/2jJ/gwvJK+vTw9sL2GMPJIoA/NZQWjR2CWaCGlEFIjmgqT8BjTwiSS6hEp90CEQVN14U9A71vXquH73X6ZAyIFScf2XJS1Y+iCaEFo6r8qIIiGdrAGUTgfa8r9EwHzb5emCzlQzEDWgzno5IUDxuMBNzJinFudgwPFkA/xhdAHcHnB+quFOGGKVZJw72o5Ix7IeWI1Frs2n8+JZMrpPNW5r4SHHLrMD/iPR5FSfDz/sQqR5f+3/N3i3aq0LX8NfthfYtS9N4oCdPBPbIReP1w05we1Q+PJMO4KVG4w3x8k9O7aT0zoi+5CuPgKR30IgbE0sL8fOeki5OKYfsscNMzV/6T23axh9Ky+axI9fAMarjjL5aeYfa8n6jeevpA4f2SmlkbvW6P72292Ihk3bD1HMghn7ibjZ2q6hLwTb9QWyQvSDjHPsqeoiuKBTNJZgsCqBA4QK8j6/9exufTsOe/SgTclHPfiXpSI7CgbaGd6JQ2P5QSDVwQNQPuaf4qFKsZdPWfdEGcCgxLVZtcU0Cd12AnpaWIpiVUjCz6pWl4YygEXsvntLQfLSQ7XX2Q8lA1DjqBOcDQXY9mMo6PvZi3IsqcdF/DEn931nwBPO09T2AqWJWuAaK/Vh4+olkVYFWuj/Eerp2UkG2ItJduUaRNWzXV9s1hQ/q/36S0RTxN0DgXPII6CowQWIV2d5ZYwSUKVgsiDM43GBPF4SFFJOUec37yzYv6XT3/BmDmNpq32a+VAUB/OP23k4mnTvm/Nay1Iy6E8sUOYSpCY1up6XAcFL1XsacpNKLpMTmH6LsROX9BhmdTNaWgCQaDNVNeAISoJ8HZ5lw/EX1f6Rtz4uWyvBfSOPPAWPkNQawexjVKl0FtR6fRSnAGMkgflURH5QNX5xm+y0sfZsNz9sAFZofoJLQ3rdV7ToFJE+JlEvPKRHFDVbxDCURQ5CynXFnqlLj+2LhBbyX0n6oHQwMgTTTIf/+PNcjOx3zBn6/V3T0PdD6fnjVtTDnbJzN7ct7SOuifW0OfCfyeKSs0IOzPm8BucZ4CODaTwjY1bz2kgGRTjuenCp1N1GIRhMJBIBJhWOs3nee6Y9DgtlpWc3SZRZeYkmOffT5xNwQeTLrIXvTZCByHZcN3+g8OG0HqlodUCbPgf8jK45dMeT8piyFwZem8Dotjz7mXOaJxF7C66SQKvFVfuJjXDmTbmdzqwt33z+w39TV8ueXGyB/5S1kpV/ul+c7LwTwked7bMJtFJpVwdFKFiUxMebDuu3vINlVSZJfo43SSmTD3rM2UXV8ol65KzlmacBhgCwXtLFg7/8uGQrrUVq9gqHsoPyEgt</CipherValue>
         </CipherData>
       </EncryptedData>
     </connectionStrings>
    

     

    Decrypt Web.config

    การถอดรหัส (Decrypt) ไฟล์ Web.config สามารถใช้คำสั่งเช่นเดียวกันกับการ Encrypt แต่เปลี่ยนจาก -pef เป็น -pdf ดังคำสั่งต่อไปนี้ :

    aspnet_regiis.exe -pdf connectionStrings  C:\inetpub\wwwroot

    หมายเหตุ: “connectionString” เป็น case sensitive ตัวพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ต้องพิมพ์ให้ถูกต้อง

    การ Decrypt จะทำได้เฉพาะที่เครื่องที่ทำการ encrypt เท่านั้น จะไม่สามารถ decrypt ไฟล์ web.config นี้จากเครื่องอื่นได้ หากเรานำไฟล์ไป Decrypt จากเครื่องอื่นก็จะพบ message Failed ดังรูป

    step3

    โดยการ Encrypt/Decrypt ด้วยการใช้คำสั่งผ่าน command line สามารถทำได้กับทุก section (ไม่เฉพาะ connectionString)ในไฟล์ Web.confog เพียงแต่เปลี่ยนคำสั่งในส่วนของ section ตามที่ต้องการ

     

    แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://msdn.microsoft.com/en-us/library/ff647398.aspx

  • สร้างกราฟด้วย Chart.js ร่วมกับ ASP.NET

        การแสดงผลในรูปแบบกราฟสำหรับเว็บแอพลิเคชัน ในปัจจุบันนั้น มีเครื่องมือ หรือเฟรมเวิร์ค มากมายให้เลือกใช้งาน ซึ่งสำหรับการเลือกใช้งานก็แล้วแต่ความเหมาะสมกับเครื่องมือ เทคโนโลยี ของเว็บนั้นๆ หรืออาจจะแล้วแต่ความถนัดของผู้พัฒนาเอง

        สำหรับ Chart.js นั้นเป็นเฟรมเวิร์คที่สร้างด้วยภาษา JavaScript ดังนั้นคุณสมบัติที่พ่วงมาด้วยคือการทำงานแบบ AJAX อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในบทความนี้จะเป็นการนำเอามาใช้ร่วมกับเว็บแอพลิเคชัน ที่พัฒนาด้วย ASP.NET โดยวิธีการส่งข้อมูลในรูปแบบ JSON ผ่าน Web Services และทำการแปลงข้อมูล JSON ให้อยู่ในรูปแบบของ Object ที่มีโครงสร้างตรงตามที่ Chart.js ต้องการ เพื่อนำไปใช้แสดงผลในรูปแบบกราฟแท่ง กราฟเส้น กราฟวงกลม  ผ่าน HTML Tag ที่มีชื่อว่า Canvas ซึ่งมีการเพิ่มส่วนแสดงความหมายของสีต่างๆในกราฟ ที่ได้พัฒนาเพิ่มเติมขึ้นมาอีกด้วย

        ในบทความนี้จะยกตัวอย่างการสร้างกราฟใน 3 รูปแบบ และมีการกำหนดค่า Option ในการแสดงผลเท่าที่จำเป็นเท่านั้น สามารถอ่านวิธีการใช้งานเต็มรูปแบบได้ที่ http://www.chartjs.org/docs

    1. ทำการ Include ไฟล์ Javascript ของ chart.js ไว้ใน header (ในตัวอย่างเป็นการเรียกใช้งานจาก CDN หากต้องการใช้งานจากไฟล์ที่เก็บไว้ที่เว็บเซิฟเวอร์ให้ปรับแก้ src path)
    <script src="https://code.jquery.com/jquery-1.11.3.min.js" type="text/javascript"></script>
    <script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/Chart.js/1.0.2/Chart.min.js" type="text/javascript"></script>
    1. เพิ่ม canvas ในส่วนของ body
     <canvas id="report" width="600" height="300"></canvas>
    1. เขียน JavaScript เพื่อสร้างข้อมูล ตามโครงสร้างของกราฟแต่ละประเภท ในตัวอย่างจะเป็นโครงสร้างข้อมูลของกราฟแท่ง
     var dataDemo = { labels: ["Apple", "Sumsung", "ASUS", "OPPO"],
     datasets: [{
     label: "2557",
     fillColor: "#5B90BF",
     data: [20, 10, 9, 8]
     }]
     };
    1. ทำการสร้าง Context จาก canvas เพื่อนำไปสร้าง Chart Object โดยใช้คำสั่ง ดังนี้
     var ctx = $("#report").get(0).getContext("2d");
     var chart = new Chart(ctx).Bar(dataDemo, { bezierCurve: false });

     

    จาก 4 ขั้นตอนดังกล่าวเราจะได้โค้ดที่เมื่อทำการเพิ่มโครงสร้างของหน้าเว็บ และบันทึกเป็นไฟล์ html แบบนี้ chart.html  ลองเปิดดูจะพบว่าสามารถแสดงกราฟแท่งได้แล้ว

     

        แต่ในงานจริงนั้น รู้กันดีนะครับ ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น โจทย์ของเราคือ สามารถนำข้อมูลจาก Database ซึ่งได้เขียน Query จนได้ข้อมูลแบบที่เราเรียกกันติดปากว่า Crosstab นั้นคือมีชื่อฟิลด์ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันในแกน x และแกน y ซึ่งเป็นรูปแบบข้อมูลที่นำมาสร้างเป็นกราฟนั้นเอง ส่วนวิธีการนั้น ผมไม่ขอลงรายละเอียดในบทความนี้ แต่สำหรับท่านใดที่ใช้งานฐานข้อมูล Oracle ตั้งแต่ 11g ขึ้นไปลองศึกษาคำสั่งชื่อ Pivot ดูครับ น่าจะช่วยลดความยุ่งยากในขั้นตอนนี้ได้มาก ตัวอย่างข้อมูล แบบ Crosstab ที่เราจะส่งจากฝั่ง Server มาสร้างเป็น Object สำหรับสร้างกราฟอีกทีครับ

     

    crosstab-datatable

     

        อีกจุดที่มีความยุ่งยาก คือการแปลงจากรูปแบบข้อมูล Crosstab Datatable เป็น JSON ตัวช่วยของผมในเรื่องนี้คือ Library ที่ชื่อ Newtonsoft.Json สามารถดาวส์โหลดมาใช้งานผ่าน NuGet ได้เลยครับ จากนั้นก็เรียกใช้งาน ดังตัวอย่าง โดยตัวแปล data คือ Datatable ของเรา เมื่อได้ข้อมูล JSON แล้วให้ทำการสร้าง Web Service เพื่อให้สามารถดึงข้อมูลดังกล่าวจาก Javascript ได้

    JsonConvert.SerializeObject(data)

    ถัดจากนั้น ก็คือการนำ JSON นั้นไปสร้างเป็น Object ที่มีโครงสร้างตามที่ Chart.js ต้องการอีกที ในขั้นตอนนี้ผมลองหา Library ดูแล้วแต่ไม่เจอ ก็ได้พัฒนาเป็นชุดคำสั่ง helper เล็กๆ ซึ่งค่อนข้างจะจำเพาะกับลักษณะข้อมูล และรูปแบบการแสดงผลของเว็บไซด์ที่ผมพัฒนาอยู่ แต่สามารถนำไปปรับแก้ให้เหมาะสมได้ครับ ซึ่งในไฟล์นี้ หากใส่ parameter และเขียนโครงสร้าง html ตามตัวอย่าง เราจะเหลือโค้ดที่จะต้องเขียนเพียงไม่กี่บรรทัด ก็จะได้กราฟมาใช้งานใน 3 รูปแบบ คือ กราฟแท่ง กราฟเส้น และกราฟวงกลม ตามที่มี method ให้ครับ

     

    สำหรับการสร้างกราฟจะมีขั้นตอนเปลี่ยนไปดังนี้ครับ

    1. ทำการ include ไฟล์ Javascript โดยเพิ่มเติม chart-helper.js
    <script src="https://code.jquery.com/jquery-1.11.3.min.js" type="text/javascript"></script>
    <script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/Chart.js/1.0.2/Chart.min.js" type="text/javascript"></script>
    <script src="chart-helper.js" type="text/javascript"></script>
    1. ทำการ include ไฟล์ Style Sheet ดังนี้ bootstrap-grid.css และไฟล์ chart.css
    <link href="bootstrap-grid.css" rel="stylesheet" type="text/css" />
    <link href="chart.css" rel="stylesheet" type="text/css" />
    1. สร้าง HTML ตามโครงสร้าง โดยมีการใช้งาน class ในส่วน grid system ของ Bootstrap มาช่วยวางตำแหน่งซ้ายขวา ดังนี้
    <div class="row">
     <div class="col-xs-8">
     <canvas id="reportBar" width="600" height="300">
     </canvas>
     </div>
     <div class="col-xs-4">
     <ul id="chartLabelBar" class="chart-label-list">
     </ul>
     </div>
     </div>
     <div class="row">
     <div class="col-xs-8">
     <canvas id="reportLine" width="600" height="300">
     </canvas>
     </div>
     <div class="col-xs-4">
     <ul id="chartLabelLine" class="chart-label-list">
     </ul>
     </div>
     </div>
     <div class="row">
     <div class="col-xs-8">
     <canvas id="reportPie" width="600" height="300">
     </canvas>
     </div>
     <div class="col-xs-4">
     <ul id="chartLabelPie" class="chart-label-list">
     </ul>
     </div>
     </div>
    1. จากนั้นทำการเรียกใช้งาน Method ของ chart-helper.js ซึ่งประกอบไปด้วย CreateBarChart (สร้างกราฟแท่ง), CreateLineChart (สร้างกราฟเส้น), CreatePieChart (สร้างกราฟวงกลม) จะรับค่าเป็นข้อมูล JSON และ ID ของ HTML เพื่อนำไปสร้างกราฟโดยตัวอย่างการใช้งาน Method เหล่านี้ร่วมกับ Webservice (ทั้งนี้รูปแบบการเรียก Webservice ขึ้นอยู่กับวิธีการ Response ด้วย) มีดังนี้
    $.ajax({
     type: "POST",
     url: "DemoService.asmx/MethodName",
     data: { param:data1 }
     }).done(function (json) {
     CreateBarChart(json, "reportBar", "chartLabelBar");
     CreateLineChart(json, "reportLine", "chartLabelLine");
     CreatePieChart(json, "reportPie", "chartLabelPie");
     }).fail(function (jqXHR, textStatus) {
     alert(textStatus);
     });

    สามารถดาวโหลดไฟล์ตัวอย่างแบบเต็มได้ตามนี้ครับ chart-with-helper.html และกราฟที่ได้จะมีหน้าตาแบบนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลของเราด้วยครับ

    bar line pie