How to safely grant ALTER SYSTEM KILL SESSION “privilege” to non-DBA users

อยากฆ่าคน เอ้ย session บน oracle แต่ไม่มีสิทธิ์ (Privilege) ไปขอสิทธิ์ DBA แล้ว DBA บอกว่าไม่มีสิทธิ์ kill session จะแจกให้!!! ทำไงดี เข้าระบบฐานข้อมูล Oracle ด้วยผู้ใช้ system หรือ sys แล้วสร้าง Procedure ชื่อว่า sp_kill_dev_session ด้วยคำสั่ง จาก code ข้างต้น ให้เปลี่ยน SCOTT เป็น username ที่เป็นเจ้าของ session เช่น เป็นต้น จากตัวอย่าง จะมี 2 user คือ HIRXPXT และ PHU_XDMIHHION แล้ว grant สิทธิ์ ให้สามารถ exec กับ user ที่ต้องการฆ่า session เหล่านั้นด้วยคำสั่ง ตัวอย่างจะให้ user ชื่อว่า HIRXPXT มีสิทธิ์ exec แล้วจะทำให้ user ที่ชื่อ HIRXPXT สามารถฆ่า (kill) session ของ user ได้ 2 คนคือ HIRXPXT และ PHU_XDMIHHION วิธีใช้งาน เข้าระบบด้วย user ที่ชื่อ HIRXPXT แล้วเรียกใช้คำสั่ง เช่น โดย 14 คือ sid และ 26043 คือ serial ซึ่งสองค่านี้สามารถเรียกดูได้จากคำสั่ง เปลี่ยน <username> เป็น username ที่ต้องการ แต่การที่จะดูค่าเหล่านี้ได้ต้องมีสิทธิ์ จากตัวอย่าง user ที่ชื่อ HIRXPXT สามารถ select view และ table เหล่านี้ได้ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะให้ทีมพัฒนาสามารถฆ่า (kill) session ของตัวเองที่ค้างอยู่บน server ได้โดยไม่ต้องมาจิกหัว DBA กรั่กๆ ต้นฉบับ https://sqlpatterns.wordpress.com/2015/03/02/how-to-safely-grant-alter-system-kill-session-privilege-to-non-dba-users/ จบ…. ขอให้สนุก

Read More »

การเชื่อมต่อฐานข้อมูล Oracle ผ่าน Access office 365

สำหรับหลาย ๆ ท่านนอกเหนือจากที่ต้องมีหน้าที่ในการพัฒนาโปรแกรมเป็นหลักแล้ว อาจจะต้องมีหน้าที่ในการนำเข้าข้อมูลด้วย ตัวเองก็เช่นกันต้องทำหน้าที่ในการนำเข้าข้อมูลเข้าฐานข้อมูล Oracle อยู่เป็นประจำ จริงๆ มีหลายเครื่องมือในการนำเข้าข้อมูล เช่น SQL Developer , Toad for Oracle เป็นต้น แต่บางครั้งก็ไม่สะดวกเพราะบางข้อมูลต้องผ่านการจัดการก่อนถึงจะสามารถถ่ายโอนได้ ตัวเองก็มีอีกวิธีคือ ถ่ายโอนผ่าน Access office 365 สำหรับบทความในครั้งนี้ ขอนำเสนอวิธีการเชื่อมต่อฐานข้อมูล Oracle ผ่าน Access office 365 เผื่อใครจะใช้เป็นทางเลือกในการจัดการข้อมูลของ Oracle กันค่ะ โดยทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ STEP 1 ติดตั้ง  Oracle Database 12c Release 2 Client for Microsoft Windows (32–bit) ตั้งค่า TNS Service name ในการเข้าถึงฐานข้อมูล Oracle ผ่าน Oracle Net Manager โดยมีขั้นตอนดังนี้ เปิดโปรแกรม Net Manager คลิกที่ Local -> Service Naming คลิกเครื่องหมาย + ระบบแสดงหน้าต่าง Net Service Name Wizard ขั้นตอนที่ 1 ตรงช่อง Net Service Name ป้อนชื่อที่ต้องการ เช่น TEST_DB คลิกปุ่ม ถัดไป ขั้นนตอนที่ 2 คลิกเลือก TCP/IP (Internet Protocol)  คลิกปุ่ม ถัดไป ขั้นตอนที่ 3 ตรงช่อง Host Name: ป้อนชื่อฐานข้อมูล Oracle ที่ต้องการ เช่น TEST.PSU.AC.TH  ระบุ Port Number: 1521 ขั้นตอนที่ 4 ตรงช่อง Service Name ให้ใส่ชื่อ Service Name ของ Database ที่ระบุในขั้นตอนที่ 3 คลิกปุ่ม ถัดไป ขั้นตอนที่ 5 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย เราสามารถคลิกปุ่ม Test เพื่อทดสอบการ connect กับฐานข้อมูล และคลิกปุ่ม เสร็จสิ้น เพื่อสิ้นสุดการการสร้าง Service Naming STEP 2 เปิดโปรแกรม ODBC Data Sources (32-bit) คลิกเลือกแท็บ System DSN คลิกปุ่ม Add… คลิกเลือก driver : Oracle in OraClient 12Home1_32bit ในหน้าต่าง Create New Data Source คลิกปุ่ม Finish ระบบแสดงหน้าต่าง Oracle ODBC Driver Configuration กำหนด Data Source Name และ Description เลือก TNS Service Name จากที่สร้างไว้ในขั้นตอนการตั้งค่า TNS Service name ขั้นตอนที่ 2 (กรณีไม่มีให้เลือกสามารถพิมพ์เองได้) ตรงช่อง User ID ระบุ user / schema  เพื่อ connect เข้าฐานข้อมูล Oracle คลิกปุ่ม OK STEP 3 เปิดโปรแกรม Access office 365 คลิกเลือกเมนู External

Read More »

วิธีการแสดงผลวันที่เป็นภาษาที่ต้องการด้วยฟังก์ชัน TO_CHAR

หลาย ๆ คนคงเคยเจอปัญหาว่าฐานข้อมูลของเรากำหนด default การจัดเก็บข้อมูลวันที่ไว้เป็นปี ค.ศ. แต่ระบบที่เราพัฒนาต้องแสดงผลเป็นปี พ.ศ. เราต้องทำอย่างไร วันนี้จึงขอนำเสนอวิธีการแสดงผลวันที่เป็นภาษาที่เราต้องการด้วยฟังก์ชัน TO_CHAR กันค่ะ โดยที่ฟังก์ชัน TO_CHAR ทำหน้าที่ในการแปลงข้อมูลตัวเลขและข้อมูลวันที่เป็นตัวอักษร ซึ่งมีรูปแบบ Syntax ดังนี้ TO_CHAR( input_value, [format_mask], [nls_parameter] ) พารามิเตอร์ของฟังก์ชัน TO_CHAR คือ input_value (จำเป็น): ค่าของวันที่ที่ต้องการจะแปลงค่า format_mask (ทางเลือก): เป็นรูปแบบที่ต้องการให้แสดง หากไม่ได้ระบุไว้จะแสดงตามค่า default ที่กำหนดไว้ nls_parameter (ทางเลือก): เป็น nls language ที่จะใช้ในการแปลงค่า ต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง format_mask ที่ใช้บ่อย ๆ โดยแต่ละ format_mask สามารถนำผสมรวมกันได้ เพื่อให้ได้ค่าการแสดงผลที่เราต้องการ format_mask คำอธิบาย YEAR อ่านค่าปีเป็นตัวอักษร YYYY, YYY, YY, Y แสดงจำนวนหลักสุดท้ายของปีตามที่ระบุ MM แสดงเดือน (01-12, JAN = 01) MON แสดงชื่อเดือนแบบย่อ MONTH แสดงชื่อเดือนแบบเต็ม D แสดงวันในสัปดาห์ DAY แสดงชื่อของวัน DD แสดงวันของเดือน (1-31) DDD แสดงวันของปี (1-366) DY แสดงชื่อย่อของวัน HH แสดงชั่วโมงของวัน (1-12) HH12 แสดงชั่วโมงของวัน (1-12) HH24 แสดงชั่วโมงของวัน (0-23) MI แสดงนาที (0-59) SS แสดงวินาที (0-59) คราวนี้ลองมาเขียน query เพื่อดูตัวอย่างค่าของ format_mask แต่ละตัวกันว่าจะแสดงผลออกมาเป็นอย่างไร จะเห็นว่าค่าวันที่ที่แสดง แสดงเป็นปี ค.ศ. ตาม default ของฐานข้อมูล สังเกตุว่าข้อมูลบาง format_mask จะมีค่าศูนย์นำหน้า และมีช่องว่างตามหลัง ดังนั้นถ้าต้องการตัดเลขศูนย์และช่องว่างเราสามารถใช้ “FM” นำหน้า format_mask ตามตัวอย่างต่อไปนี้ คราวนี้ถ้าเราต้องการที่จะให้การแสดงผลวันที่เป็นวัน เดือน ปี ไทย เราสามารถใช้ nls_parameter เข้ามาช่วยได้โดยสามารถกำหนดได้ตามตัวอย่างข้างล่างนี้ ตัวแปรที่สำคัญคือ  – NLS_CALENDAR ตัวนี้แหละที่ทำให้ พ.ศ. แสดงเป็น พุทธศักราช 2562 (THAI BUDDHA) – NLS_DATE_LANGUAGE  ตัวนี้กำหนดให้แสดงเดือนเป็นภาษาไทย (THAI) ด้วยตัวพารามิเตอร์ NLS_CALENDAR และ NLS_DATE_LANGUAGE เราก็สามารถแสดงผลเป็น ภาษาอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ

Read More »

วิธีการคำนวณหาอายุด้วย Oracle Datetime Functions

อายุเป็นเพียงตัวเลข มีคนพูดไว้แบบนี้ แล้วถ้าเราอยากจะรู้ล่ะว่าไอ้ตัวเลข จำนวนปี จำนวนเดือน และจำนวนวัน ของอายุเรามันเป็นตัวเลขอะไร ถ้าไม่อะไรมากใช้เครื่องคิดเลข หรือนับเอาก็ได้อยู่ แต่ถ้าต้องคำนวณของทุกคนในองค์กรล่ะจะนับเอง หรือเครื่องคิดเลขก็คงไม่ไหวแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงจะขอแนะนำ Oracle Datetime Functions ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อคำนวณหาอายุของเรากันค่ะ Oracle Datetime Functions ที่จะแนะนำในวันนี้คือ ฟังก์ชัน TRUNC (date), ADD_MONTHS และฟังก์ชัน MONTHS_BETWEEN โดยมีรายละเอียดของฟังก์ชันดังนี้ ฟังก์ชัน คำอธิบาย ADD_MONTHS เพิ่มจำนวนเดือนลงในวันที่ที่ระบุ MONTHS_BETWEEN หาจำนวนเดือนระหว่าง 2 วันที่ที่ระบุ TRUNC (date) คืนค่าวันที่พร้อมส่วนเวลาของวันที่ตัดให้เป็นหน่วยที่ระบุ ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน ADD_MONTHSSyntax : ADD_MONTHS(date, integer) ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน MONTHS_BETWEEN Syntax : MONTHS_BETWEEN(date1, date2) ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชัน TRUNC (date)Syntax : TRUNC ( date [, format ] ) โดยที่ format ไม่ต้องระบุก็ได้ กรณีไม่ระบุวันที่จะถูกตัดเป็นวันที่ใกล้ที่สุด สามารถแสดงตัวอย่างของ format ได้ดังต่อไปนี้ รูปแบบ Format หน่วยปัดเศษ SYYYY, YYYY, YEAR. SYEAR, YYY, YY, Y ปี MONTH, MON, MM, RM เดือน DDD, DD, J วัน DAY, DY, D วันเริ่มต้นของสัปดาห์ HH, HH12, HH24 ชั่วโมง MI นาที จากตัวอย่าง query การใช้งานทั้ง 3 ฟังก์ชันข้างต้น เราสามารถประยุกต์ใช้เพื่อคำนวณหาจำนวนปี จำนวนเดือน และจำนวนวันของอายุได้ดังนี้ คิดว่านอกเหนือจากการคำนวณหาอายุแล้วก็ยังไปประยุกต์ใช้สำหรับการหาช่วงเวลาอื่นๆ ได้อีกเช่น ระยะเวลาในการปฏิบัติงานเป็นต้น

Read More »

SQL Expression สำหรับหาช่วงเวลาที่ต้องการ

ใครที่เคยสร้าง Materialized View จะทราบว่าต้องมีการกำหนดช่วงเวลาเพื่อให้ Materialized View นั้นทำการ Refresh ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน หรือแม้แต่ Job ก็เช่นกันต้องกำหนดช่วงเวลาเพื่อให้ Job ทำงานตามช่วงเวลาที่กำหนด บางคนอาจจะเจอปัญหาว่าไม่รู้ว่าต้องกำหนดอย่างไร เช่น อยากให้ทำงานทุก 8 โมงเช้า หรืออยากให้ทำงานทุกเที่ยงคืน เป็นต้น เพื่อให้ปัญหานั้นหมดไป เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับช่วงเวลาบน Oracle กันดีกว่า จากที่เราทราบกันว่า 1 วันมี 24 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงมี 60 นาที และ 1 นาทีมี 60 วินาที บน Oracle เราสามารถเขียนเป็น Expression ได้ตามตัวอย่างข้างล่างนี้ ช่วงเวลา : Period Expression 1 Expression 2 1 Day 1 1 1 Hour 1/24 1/24 1 Minute 1/(24*60) 1/1440 1 Second 1/(25*60*60) 1/86400 ดังนั้นจาก Expression ข้างต้นเราก็สามารถเขียนช่วงเวลา ด้วย SQL Expression ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ช่วงเวลาที่ต้องการ SQL Expression Now sysdate Tomorrow sysdate+1 Yesterday sysdate-1 One hour from now sysdate + 1/24 Ten minutes from now sysdate + 10/1440 Thirty seconds from now sysdate + 30/86400 Tomorrow at 12 Midnight trunc(sysdate+1) Tomorrow at 8 AM trunc(sysdate+1) + 8/24 Yesterday at 10 AM trunc(sysdate-1) + 10/24 Next Monday at 12 Noon next_day(trunc(sysdate),’MONDAY’) + 12/24 คราวนี้เราลองมาเขียนคำสั่งในการ select ข้อมูลตามช่วงเวลาที่ต้องการกันดีกว่าค่ะ ตัวอย่างที่ 1 ต้องการ query ข้อมูลเพื่อหาข้อมูลช่วงเวลาดังนี้ วันเวลาปัจจุบัน, หนึ่งชั่วโมงถัดไปจากปัจจุบัน, พรุ่งนี้ตอนเที่ยงคืน และพรุ่งนี้ตอน 8 โมงเช้า สามารถเขียน query เพื่อให้ได้ช่วงเวลาที่ต้องการได้ดังนี้ค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้จาก query ตัวอย่างที่ 1 ตัวอย่างที่ 2 ต้องการ query ข้อมูลเพื่อหาข้อมูลช่วงเวลาดังนี้ วันเวลาปัจจุบัน, สิบนาทีถัดไปจากปัจจุบัน, 30 วินาทีถัดไปจากปัจจุบัน และเวลาเที่ยงของวันศุกร์ถัดไป สามารถเขียน query เพื่อให้ได้ช่วงเวลาที่ต้องการได้ดังนี้ค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้จาก query ตัวอย่างที่ 2 จาก 2 ตัวอย่างข้างต้นคิดว่าก็พอจะเป็นแนวทางให้กับทุกท่านได้สามารถกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการได้ไม่มากก็น้อย

Read More »