How to ลบไฟล์ใน Downloads อัตโนมัติ บน Win10

เนื่องด้วยทางผู้เขียนเองในทุกๆ วัน ด้วยงานที่ทำและพฤติกรรมโดยส่วนตัว ส่งผลให้ Folder Downloads ในเครื่องตัวเองมีไฟล์เพิ่มขึ้นทุกวัน (แลดูรกมากๆ) มีทั้งไฟล์งาน ไฟล์เพลง ไฟล์วีดีโอ ไฟล์ภาพ เต็มไปหมด !! และเอาจริงๆ บางทีก็คิดนะว่าควรจะทำความสะอาดโดยการลบออกซักที แต่ก็นะ ด้วยความยุ่งวุ่นวายในหลายๆ อย่าง ก็เลยลืม และยังคงลืมมาโดยตลอดดดดดด 555+ จนสุดท้ายได้นั่งหาข้อมูลไปเรื่อยๆ จนมาเจอวิธีที่สามารถตั้งค่าการลบไฟล์ใน Folder Downloads ได้แบบอัตโนมัติ ซึ่งเหมาะมาก เหมาะกับคนที่ความจำแย่ ขี้ลืม และขี้เกียจ T T แบบผู้เขียน มา เรามาเริ่มกันเลย ไม่ต้องเกริ่นกันให้มากความ ลุยยยยย !! ก่อนอื่น Blog นี้จะเป็นการตั้งค่าบน Windows10 นะ (Windows อื่นๆนี่ยังไม่ได้ศึกษา แหะๆ) เริ่มแรกไปที่เมนู Start ก่อนเลย คลิกเลือก Start จากนั้นเลือกเมนู Settings ตามรูปเลยนะ เมื่อเข้ามาในหน้าต่าง settings ให้คลิกเลือกตรงเมนู “System” ได้เลย เมื่อเข้ามาในหน้าจอเมนู System ให้คลิกเลือกเมนูด้านซ้ายที่ชื่อว่า “Storage” (รอเครื่องเราโหลดข้อมูลสักครู่นะ) จากนั้นคลิกเลือกตรงด้านขวาของหน้าจอ เลือกข้อความ “Configure Storage Sense or run it now“ จากนั้นจะเข้าสู่หน้าจอ Configure Storage Sense or run it now ให้เลือก “Turn on” ในส่วนของ “Storage Sense“ ขั้นตอนสุดท้ายให้เลือกติ๊กถูกด้านหน้าข้อความ “Delete temporary files that my apps aren’t using” และเลือกระบุตามความพอใจได้เลยว่าต้องการให้ระบบทำการลบไฟล์ในระยะเวลาใด โดยค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30days อยู่แล้วนะ เพียงเท่านั้นก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นการตั้งค่าบน Windows 10 กันแล้วนะทุกคน มันดีจริงๆ อยากให้ทุกคนที่อยากลอง ก็ลองไปเล่นดูนะ สั้นๆ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากหรอก สำหรับ Blog นี้ก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านทุกๆท่านน๊าาาา ขอขอบคุณบทความดีๆจาก : https://www.varietypc.net

Read More »

สวัสดี PDPA :)

สำหรับ Blog นี้ ทางผู้เขียนขอพูดถึง PDPA เบื้องต้นละกัน คิดว่านาทีนี้จากไม่อยากรู้จัก ก็ต้องมาทำความรู้จักกันไว้บ้างแล้วแหละ !! ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ในยุคปัจจุบันที่มีการพัฒนาของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด การเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ง่ายขึ้น รวมไปถึงการเข้าใช้งาน Internet แบบเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกเพศทุกวัย และมีการใช้งานที่กำลังขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้เกิดโลกออนไลน์ที่มีขนาดใหญ่ และสิ่งต่างๆ เหล่านี้นี่แหละที่เราทุกๆ คน หากต้องการเข้าใช้งาน เราก็จะต้องแลกมาด้วยการใส่ข้อมูลเข้าไป ผลจากสิ่งต่างๆ ที่มีความทันสมัย และสะดวกสบายเหล่านั้น มันก็จะมีผลบางอย่างที่เดินตามหลังเรามาแบบติดๆ ผลกระทบที่เห็นได้ชัดอย่างนึงเลยก็คือเรื่องของ “ข้อมูลส่วนบุคคล“ ที่อาจจะมีผู้ไม่หวังดีสามารถที่จะเลือกใช้ช่องโหว่ของเทคโนโลยีเหล่านั้นมาก่อปัญหา และหลายครั้งก็นำมาซึ่งความเดือดร้อน หรือสร้างความเสียหายให้แก่เจ้าของข้อมูล เราจึงจำเป็นต้องมีกฏหมายขึ้นมา เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ กำกับดูแล และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว นั่นก็คือ “PDPA“ พระเอกของเราในวันนี้นั่นเอง PDPA คืออะไร ? PDPA (Personal Data Protection Act, B.E. 2562(2019)) ก็คือพระราชบัญญัติคุ้มครองส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อ วันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และได้มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ไปแล้วในบางส่วน และเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ถือเป็นวันที่ พ.ร.บ. ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตามกฏหมายทั้งฉบับ ข้อมูลส่วนบุคคล คืออะไร? ถ้าว่ากันตาม PDPA ดังกล่าว จะให้ความหมายของคำว่า “ข้อมูลส่วนบุคคล” ไว้ดังนี้ “ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรม และข้อมูลนิติบุคคล ไม่ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.นี้” ตัวอย่างข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ชื่อ – นามสกุล, เลขประจำตัวประชาชน, เลขประกันสังคม, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เป็นต้น ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, วันเกิด, อีเมล, การศึกษา, เพศ, อาชีพ, รูปถ่าย ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive Personal Data) เช่น ข้อมูลทางการแพทย์หรือสุขภาพ, เชื้อชาติ, ความคิดเห็นทางการเมือง, ความเชื่อทางศาสนาหรือปรัชญา, พฤติกรรมทางเพศ เป็นต้น PDPA เกี่ยวกับใคร ? เอาจริงๆ ผู้เขียนมองว่าเกี่ยวกับทุกคนนะ และอย่างน้อยๆ เราควรรู้ข้อมูลเหล่านี้ไว้บ้างไม่มากก็น้อย เพื่อไว้ในการช่วยรักษาสิทธิของเราเอง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject) คือ บุคคลที่ข้อมูลระบุไปถึง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) คือ บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ “ตัดสินใจ” เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) คือ บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล “ตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” ทั้งนี้บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการดังกล่าว ต้องไม่เป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หากหน่วยงาน / องค์กรของเราต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้ ต้องทำอย่างไร ? กรณีที่ต้องมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลด้วยการยินยอม ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) ต้องดำเนินการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนการประมวลผลข้อมูล ดังนี้ ต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงวัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลที่ขอความยินยอม ต้องระบุประเภทของข้อมูลที่นำไปใช้ ต้องมีข้อความที่เข้าถึงได้ง่าย อ่านเข้าใจ และไม่เป็นภาษาในทางกฏหมายจนเกินไป ไม่เป็นการบังคับ ต้องให้สิทธิอิสระแก่เจ้าของข้อมูลในการให้หรือไม่ให้ความยินยอม ห้ามกำหนดการให้ความยินยมเป็นเงื่อนไขในการให้บริการ กรณีเป็นผู้เยาว์อายุไม่ถึง 20 ปี คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ การขอความยินยอมต้องได้จากผู้ใช้อำนาจปกครอง ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ด้วย บทลงโทษหากเราไม่ปฏิบัติตาม PDPA เพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้ในทางที่เหมาะสม ใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ การให้ข้อมูลในแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน เพราะหากไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวแล้วนั้นหน่วยงาน องค์กร หรือผู้ควบคุมข้อมูล อาจได้รับโทษ ดังนี้ ความรับผิดทางแพ่ง ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นอีก โดยสูงสุดไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริง โทษทางอาญา จำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษทางปกครอง ปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท จริงๆแล้ว รายละเอียดที่เราควรรู้ หรือควรเตรียมพร้อมรับมือเกี่ยวกับ

Read More »

แชร์หน้าจอมือถือขณะ VDO Call ด้วย LINE

สำหรับ Blog ในวันนี้จะมาขอแชร์เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน (ถึงแม้จะใช้ LINE กันอยู่ทุกวันก็เถอะ) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทาง LINE ได้มีการ update version ล่าสุด คือ10.6.5 ซึ่งใน version นี้จะเน้นไปที่การเพิ่มคุณสมบัติขณะวิดีโอคอล เช่น สามารถดู YouTube ร่วมกันได้ หรือสามารถแชร์หน้าจอตัวเองได้ เป็นต้น จริงๆแล้ว เรื่องของการแชร์หน้าจอขณะ VDO Call เนี่ย เดิมบนคอมพิวเตอร์ก็ทำได้อยู่ก่อนแล้วนะ แต่ตอนนี้ update ให้สามารถแชร์ผ่าน application บน smart phone ได้ด้วย วิธีการก็ไม่ยากเลย ปะ ไปดูกันว่าเค้าทำกันยังไง !! Step1 : เริ่มจากเปิด LINE และเลือก VDO Call หาคนที่เราต้องการ Step2 : เมื่อเริ่มการ VDO Call เรียบร้อยแล้ว แตะหน้าจอเบาๆ 1 ครั้ง จากนั้นให้สังเกตุมุมบนด้านขวาของหน้าจอ จะปรากฏicon เล็กๆ ให้กดเลือกตรงจุด3จุด Step3 : หน้าจอจะแสดงเมนูให้เราเลือก ให้เลือก “Share screen” Step4 : เมื่อกดเลือกเรียบร้อยแล้วหน้าจอก็จะถามเราว่า “LINE will start capturing everything that’s displayed on your screen.” ให้เลือกว่าจะ cancel หรือ start now เลือกแบบไหนก็เลือกเลย หากไม่ต้องการให้รอบหน้าแสดงข้อความนี้อีกก็สามารถ Checkbox ด้านหน้าคำว่า Don’t show again ได้เลย Step5 : เมื่อเราเริ่มต้นการ Share screen เรียบร้อยแล้ว หน้าจอเราเปิดอะไรอยู่ เพื่อนที่เรา VDO Call ด้วยก็จะเห็นเหมือนกัน ตัวอย่างก็จะได้ดังรูป ^^ จะว่าไปก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเลยนะ ยิ่งช่วงนี้อะไรๆก็ออนไลน์ ทั้งเรียน ทั้งประชุม ทั้งพูดคุย ตัวคุณสมบัติที่เพิ่มเข้ามาอันนี้ตอบรับนโยบาย social distancing ได้ดีมากๆ อย่างไรก็ตามผู้เขียนอยากให้ทุกคนไปลองเล่นดูนะ ความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเหล่านี้ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม จริงมั้ย !! อ้างอิงhttps://www.rainmaker.in.th/line-update-video-call/

Read More »

Transcribe speech with Google Translate

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่าน หลังจากเงียบหายไปนาน และแล้ว วันนี้ก็มาถึง วันที่ต้องกลับมาเขียน Blog อีกรอบ เพราะ …. เพราะ …. เพราะอยากเขียนนี่แหละ (หื้มมม) ไม่มีอะไรในก่อไผ่หรอก 55 อะๆ อย่ามามัวเสียเวลากันเลยเนอะ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า !! วันนี้ขอว่าด้วยเรื่องของ feature บน google translate กันหน่อย feature ที่เพิ่มเข้ามาคือ “Transcribe” การถอดข้อความจากไฟล์เสียงนั่นเอง จริงๆแล้ว คนไหนที่เคยลองใช้ลองเล่น google translate ก็จะรู้กันอยู่แล้วว่าจะมี feature เกี่ยวกับเสียงอยู่แล้วก่อนหน้า ที่สามารถฟังเสียงหรือข้อความสั้นๆ และแปลออกมาเป็นคำ หรือบริบทสั้นๆ ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถแปลในส่วนของไฟล์หรือข้อความเสียงที่แบบยาวๆ ต่อเนื่องได้ สำหรับวิธีการใช้งาน feature Transcribe ที่เพิ่มเข้ามาเนี่ย ง่ายดายมากๆ 1. เปิดเข้าไปที่ app google translate2. ให้กดไปที่ icon “Transcribe” ดูได้จากรูป 3. เมื่อคลิกเข้ามาก็จะเจอกับหน้าจอขาวๆ แบบนี้ ซึ่งคือพร้อมใช้ทำงานแล้วนะ มาๆ จะลองเล่นให้ดู ทดสอบอ่านบทความ(ภาษาไทย) ให้ดูละกันนะ จากวิดีโอตัวอย่างก็จะเป็นการอ่านบทความภาษาไทยและเจ้า app ตัวนี้ก็จะแปลเป็นภาษาอังกฤษ เราก็จะได้ผลลัพธ์ประมาณนี้ เจ๋งดีเนอะ ^^ เราสามารถตั้งค่าขนาดการแสดงผลของตัวอักษร หรืออื่นๆ ได้เล็กน้อยนะ สามารถลองเล่นได้โดยกดตรง รูปฟันเฟือง (มุมล่างซ้าย) กดๆดู ไม่ยากๆ สำหรับภาษาที่จะใช้ได้นั้น ขณะนี้รองรับ 8 ภาษา คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮินดี โปรตุเกส รัสเซีย สเปน และ ไทย เน้ออออออ ^__^ อ๊ะๆ สำหรับ feature ตัวนี้ขอบอกก่อนว่าทางผู้เขียนใช้ Android นะ แต่สำหรับบน iOS เนี่ยจะอัพเดทหรือยังไม่อัพเดท ทางผู้เขียนก็ไม่มั่นใจเช่นกันแต่คาดว่าน่าจะตามกันมาติดๆนั่นแหละ รอไม่นานหรอก ก็ลองไปติดตามข่าวสารกันดูนะ หวังว่าสาระวันนี้จะมีประโยชน์สำหรับทุกคนไม่มากก็น้อย พบกันใหม่รอบหน้า ทางผู้เขียนก็จะพยายามเขียนเรื่องสาระดีๆเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีประโยชน์พอจะนำมาใช้กันได้ในชีวิตประจำวัน จะเลือกแบบที่ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรอก เพราะตัวคนเขียนก็ไม่ค่อยรู้อะไรกับเค้าเหมือนกันนั่นแหละ 55+ อ้างอิงhttps://blog.google/products/translate/transcribe-speech/ https://www.rainmaker.in.th/transcribe-speech-with-google-translate/

Read More »

ฝึกภาษาด้วย Mate Translate

สวัสดี หนีห่าวววว ท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ทางผู้เขียนมี extension ดีๆ ที่ลงตัว มาแนะนำให้ได้รู้จักกันอีกแล้วเน้อ ไม่ต้องเกริ่นมาก ไปดูกันเลยดีกว่า จริงๆ แล้ว ณ ปัจจุบัน ถ้าจะพูดถึงการแปลภาษา extension หรือเว็บที่เราคุ้นชินกันมาก ถึงมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น google translate กันใช่มั้ย ซึ่งการทำงานของ เจ้าตัว google translate เนี่ยก็ถือว่าดีอยู่แล้วเช่นเดียวกัน แต่ก็นะ ชีวิตนี้จะรู้จักแค่อันนี้อันเดียวก็คงจะดูโลกแคบไปหน่อยนึง วันนี้ผู้เขียนเลยอยากจะลองนำเสนอ extension แปลภาษาดีๆ อีกสักตัวนึง ให้ทุกคนได้รู้จัก เจ้าตัวนี้มีชื่อว่า “Mate Translate” นั่นเอง Mate Translate จะเหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นอ่านบทความต่างประเทศ ฝึกภาษา และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ สำหรับใครที่ชื่นชอบการดู Netflix และฝึกภาษาจากการดูหนังดูซีรีย์ เชื่อเถอะเจ้า Mate Translate จะช่วยให้การแปลภาษาในระหว่างการดูหนังง่ายขึ้นไปอี๊กกกก เพียงแค่ คลิกบนคำศัพท์ หรือข้อความในส่วน subtitles ที่ขึ้นบนหน้าจอ ตัว extension Mate ก็จะแปลความหมายของคำนั้นขึ้นมาให้เราอ่าน ง่ายม๊ากกก เพียงแค่คลิกเดียวจริงๆ นะเออ ไม่ใช่แค่เพียงภาษาอังกฤษนะ ตัวช่วยตัวนี้สามารถแปลภาษา คำ วลี ประโยค ได้ถึง 103 ภาษา แถมยังสามารถฟังการออกเสียงอย่างถูกต้องได้ด้วย ปะ ติดตั้งกันเลย เข้าไปที่ webstore ของ google chrome ได้เลย หรือ ตามนี้นะ https://chrome.google.com/webstore/category/extensions จากนั้นค้นหาคำว่า Mate Translate (ตัวที่หน้าตาสีเขียวๆ นั่นแหละ) 2. คลิกปุ่ม “เพิ่มใน Chrome” หรือ “Add to Chrome” ได้เลย 3. ระบบก็จะถามซ้ำอีกครั้ง เราก็เลือกปุ่ม “เพิ่มส่วนขยาย” เพื่อยืนยันการติดตั้งไปอีกครั้ง 4. เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะปรากฏ icon เล็กๆ ตรงมุมบนด้านขวาของหน้าจอ เมื่อคลิกครั้งแรกก็จะปรากฏหน้าต่างให้เรายอมรับเงื่อนไข จากนั้นก็คลิก Continue ต่อได้เลย 5. เรามาทดลองตั้งค่าก่อนการใช้งานกันก่อนเลยละกัน คลิกบน icon จากนั้นเลือก “ตั้งค่า” (ตรงสัญลักษณ์ฟันเฟืองนะ) เมื่อเราคลิกแล้วก็จะได้หน้าตาประมาณนี้ ปล..ระดับเราๆแล้ว ไม่ต้อง upgrade หรอก ใช้ version ฟรีนั่นแหละ 55+ หลักๆ ก็จะมาดูในส่วนของ on-page ละกัน ตัวอย่างเช่น double click translation ก็เปิด on ได้เลย เวลาเราเจอคำที่ต้องการแปลก็แค่ double click ไปบนคำนั้น ตัวช่วยก็จะแปลความหมายขึ้นมาให้เราเองทันที ไม่ต้อง copy แล้วว่าง tooltip size ก็สามารถเลือกได้ว่าหน้าจอที่แสดงคำแปลเนี่ย จะเอาขนาดไหน translate Netflix subtities ก็คือเมื่อเราคลิกบนคำใน subtitles บนหนัง หรือ วีดีโอที่ดูใน Netflix มันก็จะแปลความหมายขึ้นมาให้เราเลย ***เหมาะมากสำหรับคนที่ฝึกภาษาด้วยซีรีย์เนี่ยยย !! จริงๆ แล้วอยากให้ลองดูกันนะ ตัวช่วยแปลดีๆเนี่ย ไม่ได้มีแค่ google translate นะจ๊ะทุกคนนนนน อย่างไรก็ตามทางผู้เขียนหวังว่า blog นี้จะช่วยเหลือ หรือมีประโยชน์กับผู้อ่านได้ ไม่มากก็น้อยแหละนะ พบกันใหม่ครั้งหน้า สำหรับวันนี้ บ๊ายยยยย !! ขอบคุณแหล่งอ้างอิงดีๆ มา ณ ที่นี้ด้วยแง๊บ– https://www.9tana.com/node/5-chrome-extensions/

Read More »