Author: parnchanok.j

  • Create a feedback form with NotionForms

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน มาค่ะ เรามาต่อกันใน Blog ที่ 4 ของรอบ TOR นี้
    ซึ่งผู้เขียนขอพาไปรู้จักกับ NotionForms

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปค่ะ ไปเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน 😜


    NotionForms 💬
    NotionForms was created to help Notion users to achieve more with their favourite tool.
    Need a contact form? Doing a survey? Create a form in 3 minutes
    and receive responses directly in Notion.


    เอาจริงๆ หลายๆ ท่านก็คงจะรู้จักวิธีการสร้างฟอร์ม สร้างแบบสอบถาม ด้วยเครื่องมืออื่นๆ มาบ้างแล้ว เช่น google form, microsoft form หรือ อื่นๆ NotionForms ก็คล้ายๆ กับเครื่องมือเหล่านั้น อาจจะมีแตกต่างกันบ้างในเรื่องของลูกเล่น หรือฟังก์ชัน ให้เราได้ลองใช้งานกันค่ะ

    เมื่อพร้อมแล้ว เรามาทดลองสร้าง Form ด้วย NotionForms ตัวนี้กันเลย

    💡 หมายเหตุ : แบบฟอร์มที่เราสร้างขึ้นด้วย NotionForms ข้อมูลการตอบกลับจะถูกเก็บไว้ใน Notion

    Step 1

    ก่อนอื่นเราต้องสร้างฐานข้อมูลหรือตารางสำหรับจัดเก็บข้อมูลแบบฟอร์มของเราขึ้นมาก่อน ตัวอย่างใน Blog นี้ผู้เขียนขอสร้างตารางชื่อ Admission Feedback เก็บข้อมูล 4 column
    – name (type = text)
    – feedback (type = text)
    – the system is easy to use (type = select)
    – How do you feel after using the system (type = select)

    โดย column ที่อยู่ในรูปแบบ select เราก็จะเพิ่ม option เข้าไป เช่น column “How do you feel after using the system” ก็จะมี 2 option
    1. 👍 ฉันถูกใจสิ่งนี้
    2. 👎 ฉันไม่ถูกใจ

    📌 วิธีการสร้าง Table เก็บข้อมูลใน notion สามารถตามไปอ่านได้ใน Blog ก่อนหน้า จัดการข้อมูลง่ายๆ ด้วย Database Notion

    Step 2

    ไปยัง NotionForms

    คลิก Create Form จากนั้น Register ข้อมูล โดยใช้ Email เดียวกับตอนสมัครเว็บไซต์ Notion

    Step 3

    คลิก Create a new form

    Step 4

    ให้เลือก Notion Database Name สำหรับขั้นตอนนี้ให้เราระบุชื่อ Database ที่เราสร้างไว้ใน Notion (ตามในขั้นตอนที่ 1) จากตัวอย่างเราจะเลือก Database ที่ชื่อ Admission Feedback


    Step 5

    NotionForms จะดึงข้อมูล Column ทั้งหมดที่เราสร้างไว้ใน Admission Feedback จาก Notion ขึ้นมาแสดง เราสามารถปรับแต่งการแสดงผลของ Forms ได้ตามต้องการ (setting ได้ภายใต้ฟังก์ชันที่ใช้ฟรีอะนะทุกคน 😜)

    Step 6

    แนะนำให้เพื่อนๆ เลื่อนลงมาในส่วนของการ Custom Block เราสามารถกำหนดการแสดงผลข้อมูล Column ของเราได้ เช่น ปิด/เปิด การแสดงผลหัวข้อใน form ได้ และยังสามารถ setting ค่าอื่นๆ เพิ่มเติมได้

    Step 7

    ตัวอย่างแบบฟอร์มนี้ผู้เขียนต้องการให้ Column ที่เป็น Type select ทั้ง 2 รายการ แสดงข้อมูล Option ภายในที่เรากำหนดเอาไว้ทันที โดยไม่ต้องคลิกเลือกจาก Dropdownlist ในฟอร์ม

    วิธีการ คือ ในส่วนของ Custom Block ให้ผู้ใช้ทดลองคลิก ⚙️ หลัง column จากนั้นเลื่อนหาส่วน select Option ให้ ✅ หน้าช่อง Always show all select options.

    Step 8

    ตัวอย่างผลลัพธ์การแสดงผลของ Form ที่ได้จากการตั้งค่าของเรา ก็จะแสดง Option ภายในที่เรากำหนดไว้ หากเราพอใจแล้ว ต้องการนำ Form ดังกล่าวไปใช้ต่อ ให้เพื่อนๆ คลิก “Create Form” ได้เลย

    Step 9

    NotionForms ก็จะ Generate URL ขึ้นมาให้เราซึ่งสามารถ copy และนำไปใช้ต่อได้เลย

    ตัวอย่างการนำมา embed ไว้ใน Notion Page ของเรา เพียงเท่านี้เราก็จะได้หน้าสำหรับเก็บ Feedback จากลูกค้าแบบน่ารัก น่าใช้ สวยงาม ด้วยเวลาอันรวดเร็ว

    👍👍👍


    เป็นยังไงกันบ้างค่ะ ผู้เขียนก็ยังคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะมีประโยชน์กับใครหลายๆคน ให้สามารถนำไปปรับใช้ หรืออย่างน้อยได้มาทำความรู้จัก เห็นหน้าค่าตากับเจ้าตัวที่ชื่อว่า NotionForms กันไม่มากก็น้อย

    💜💙💚 ตามคติ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามมม นะทุกคน 💚💙💜

    📍 พบกันใหม่ใน Blog หน้า ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ตอนนี้ผู้เขียนก็ยังนึกไม่ออกแหละ 555+ เอาเป็นว่าเจอกันใหม่โอกาสหน้าน๊า ….. 🙂

  • จัดการข้อมูลง่ายๆ ด้วย Database ใน Notion

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน สำหรับ Blog ที่ 3 ในรอบ TOR นี้ ผู้เขียนขอแนะนำการสร้าง Database เก็บข้อมูลบน Notion กันค่ะ

    📍 Blog นี้จะไม่ลงลึกในส่วนการสมัครใช้งาน notion แต่จะเน้นในส่วนของการสร้าง Table เพื่อเก็บข้อมูล

    Notion 💬
    Notion is a workspace with lots of tools to help you stay organized and productive.
    You can use notes, tasks, wikis and databases to manage projects, tasks, ideas and more.

    📲 More than a doc. Or a table. Customize Notion to work the way you do.


    📢 หากผู้อ่านอยากรู้ว่า Notion คืออะไร สามารถไปอ่านได้ที่ More than noting “Notion” ซึ่งมีสมาชิกผู้ร่วมอุดมการณ์เขียนแบบย่อๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

    มาค่ะ เรามาเริ่มขั้นตอนการสร้าง Database Notion กัน —>> สมัครใช้งาน Notion คลิกที่นี่ 📌

    ตัวอย่าง Blog นี้จะแนะนำการสร้าง Table สำหรับเก็บข้อมูลบันทึกการแจ้งปัญหาการใช้งานจากลูกค้า


    📝 Step 1 — เมื่อเราสมัครใช้งานให้เรียบร้อยแล้ว ให้เราเลือก Add a page ขึ้นมาจาก Sidebar ด้านซ้ายมือ

    📝 Step 2 — ตั้งชื่อ Page ตามต้องการ ตัวอย่างนี้ขอตั้งชื่อ “Report Problem” และเลือก Database รูปแบบ “Table”

    📝 Step 3 — เลือก New database เพื่อเริ่มต้นกำหนดและสร้าง Table เพื่อเก็บข้อมูลในรูปแบบที่เราต้องการ

    📝 Step 4 — กำหนด column ที่เราต้องการลงใน Table ตัวอย่างจะเก็บข้อมูล 5 column (ผู้อ่านสามารถทดลองกำหนดในรูปแบบตามที่ตนเองต้องการได้เลย)

    • รายละเอียดของปัญหา (Type = Text)
    • Category (Type = Multi-select)
    • ชื่อผู้แจ้ง (Type = Text)
    • หมายเลขติดต่อกลับ (Type = Phone)
    • วันที่แจ้ง (Type = Date)

    📝 Step 5 — เรามาทดสอบเพิ่มข้อมูลลง Table กัน ให้เอาเมาส์ไปชี้บน record ว่าง ใน column แรก เลือก OPEN ก็จะปรากฏหน้าจอให้เราเพิ่มรายละเอียดข้อมูลตามรายการ Column ที่เราสร้างไว้

    💡 แนะนำให้ทดลองเพิ่มเข้าไปหลายๆ รายการนะ

    📝 Step 6 — เมื่อสร้างรายการเรียบร้อยแล้ว เรามาลองนำข้อมูลรายการดังกล่าวที่อยู่ในมุมมอง Table ไปแสดงในมุมมองอื่นๆ –>> ให้เราคลิกสัญลักษณ์ +

    📝 Step 7 — เราสามารถเลือก View ได้หลายมุมมอง เช่น Calendar, Board, Timeline, List หรือ Gallery ตัวอย่างนี้ขอทดลองแสดงในรูปแบบ Calendar ละกันนะ

    💡 เราสามารถ Customize การแสดงผลข้อมูลในหน้าดังกล่าวเพิ่มเติมได้นะ ให้คลิกตรงจุด 3 จุดหน้าปุ่ม New ตามในรูป จากนั้น หน้าต่าง notion ก็จะ View Option ขึ้นมาให้เราสามารถกำหนด หรือปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ

    📌 สะดวก ใช้งานง่าย มี Template มากมาย รวมทุกฟังก์ชันไว้ในที่เดียว แนะนำ Notion นะทุกคน ! 📌


    📢 สุดท้าย ท้ายสุด ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยค่ะ แล้วพบกันใหม่
    Blog หน้า จะมาแนะนำการสร้าง Notion Form เพื่อสร้างแบบสำรวจ หรือแบบฟอร์มเก็บข้อมูล Feedback จากลูกค้ากันค่ะ

  • Rename นามสกุลไฟล์ หลายๆไฟล์พร้อมกัน ด้วย command line

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน เราเจอกันอีกแล้ววว 🙂

    Blog วันนี้ผู้เขียน ขอว่าด้วยเรื่องของการเปลี่ยนนามสกุลไฟล์ ครั้งละหลายๆไฟล์ พร้อมกัน ด้วยคำสั่ง command line

    อันที่จริงวันนี้ทางผู้เขียนเจอปัญหาการแสดงผลรูปภาพในหน้าเว็บไซต์ที่ทางทีมเป็นผู้ดูแล ซึ่งไม่รองรับไฟล์นามสกุล .jpeg ซะงั้น แต่ไฟล์รูปต้นฉบับ 2800 กว่าไฟล์นี่มัน .jpeg หมดเลยนี่สิ …. ครั้นจะมานั่งเปลี่ยนที่ละไฟล์ก็ดูจะเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป !!! เลยต้องมีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และนำมาทดลองใช้แก้ปัญหาในครั้งดู มาค่ะ มาเริ่มกันเลย

    Step 1 : ให้ทุกท่าน ไปที่ start ของ window ของเรา และค้นหาคำว่า cmd เพื่อเรียก command line ขึ้นมา

    ตัวอย่างไฟล์ที่เราต้องเปลี่ยนนามสกุล

    Step 2 : เราจะได้หน้าจอ command line ของเราขึ้นมา อย่างแรกเลยคือเราต้องเขียนคำสั่งเข้าไปยัง folder ที่เก็บไฟล์ที่เราต้องการ rename ก่อน จากตัวอย่างผู้เขียนจะเก็บไว้ที่ folder ชื่อ name2 ซึ่งอยู่บน desktop ตัวอย่างคำสั่งก็ประมาณนี้ cd c:/users/administrator/desktop/name2 จากนั้นคลิก enter เล้ย

    ปล…สำหรับคำสั่ง command line นี่มีมากมายเลยนะ อันนี้แค่เบื้องต้นเท่านั้นแหละ พวก cd, cd.. , del, rename ฯลฯ

    Step 3 : จากรูปด้านบนสังเกตุได้ว่า เราก็จะเข้าไปอยู่ใน folder name2 เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็มาเขียนคำสั่งเพื่อเปลี่ยนนามสกุลกันเล้ยยยย คำสั่งคือ rename *.jpeg *.jpg จากนั้นกด Enter เพื่อ run คำสั่งได้เลยทุกคน

    ปล…rename คือคำสั่ง เปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลของไฟล์ ส่วน * คืออะไรก็ตาม ตามรูปแบบคำสั่ง โดยรวมคือเราจะเปลี่ยนทุกไฟล์ใน folder name2 ที่นามสกุล .jpeg ให้เป็นนามสกุล .jpg

    จากตัวอย่างในวิดีโอ หลังจากเรา Run คำสั่งเรียบร้อยแล้ว นามสกุลไฟล์ใน name2 ของเราก็จะเปลี่ยนให้อัตโนมัติเน้อ

    ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกๆท่าน ไม่มากก็น้อย หลายๆท่านอาจรู้อยู่แล้ว แต่หลายๆท่านก็อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นลองอ่านลองทำตามกันดูนะคะ ง่ายมาก สะดวกและประหยัดเวลามากๆเลย

    ขอบคุณแหล่งข้อมูลอ้างอิงความรู้ดีๆจาก : https://www.techhub.in.th/

  • import file from “notion” to “azure devops”

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน Blog แรกของรอบ TOR ใหม่ในปีนี้ ผู้เขียนจะขอว่าด้วยเรื่องของการ export ข้อมูลจาก notion และการนำเข้าข้อมูลไปยัง azure devops กันค่ะ

    หลายๆคนคงมีคำถาม ว่าเจ้า notion นี่มันคืออะไร ?? ถ้าให้อธิบายสั้นๆ ง่ายๆ notion ก็คือ

    “ซอฟต์แวร์ตัวนึงที่เราสามารถใช้จดโน้ต จัดการงาน วางแผนต่างๆ ได้ครบจบในตัวเดียว ใช้งานง่าย หน้าตาน่ารัก” นั้นแหละนะ

    คำถามถัดมา แล้วทำไมไม่กรอกบน azure devops เลยละ ?

    ทางผู้เขียนขอตอบเลยว่าการบันทึกข้อมูลตามฟอร์ม work items เนี่ย ผู้เขียนมีความรู้สึก(ส่วนตัว) ว่ามันค่อนข้างจะกรอกยาก และเสียเวลาจริงๆ (ใช้ excel, google sheet หรือ notion ง่ายกว่าเย๊อะ)

    ปล…แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น azure devops ก็ยังคงมีประโยชน์และใช้งานได้ดีในส่วนอื่นๆ อยู่แหละนะ ^^

    Blog นี้ผู้เขียนจะไม่ลงลึกในส่วนของการใช้งาน notion แต่จะเน้นในส่วนของการ import ข้อมูลเข้าใน azure devops ซะมากกว่า ถ้าท่านผู้อ่านสนใจการใช้งาน notion สามารถค้นหาข้อมูลผ่าน google ได้เลย มีเยอะแยะมากมายเชียวละ

    เรามาเริ่มดูหน้าตาเจ้า notion กันก่อนเลยดีกว่า

    Step 1 : สมัครใช้งานให้เรียบร้อย จากนั้น Add a page ขึ้นมา ตั้งชื่อตามต้องการ เลือกใช้ DATABASE ในรูปแบบ Table ซึ่งตอบโจทย์ในการทำงาน และเก็บข้อมูลของทางผู้เขียน

    Step 2 : สร้าง column ข้อมูลตามที่เราต้องการบันทึก สำหรับขั้นตอนนี้ แนะนำให้สร้างตรงกับฟิลด์ที่ใช้เก็บข้อมูลใน work item ของเราบน azure devops นะ เพราะมันจะง่ายและลดระยะเวลาในการทำงานได้เยอะเลยแหละ

    ตัวอย่างข้อมูลที่กรอกบน notion

    Step 3 : ขั้นตอนนี้จะเป็นการ Export ข้อมูลที่เรากรอกไว้บน notion ให้อยู่ในรูปแบบ .csv ให้เราคลิกตรง … มุมบนด้านขวาของ page ที่เราต้องการ Export จากในตัว notion จากนั้นเลือก Export

    Step 4 : เลือก format และเงื่อนไขอื่นๆ ที่เราต้องการ Export โดยผู้เขียนจะเลือกเป็น Markdown& CSV เมื่อเรา Export เรียบร้อยแล้วก็จะได้หน้าตาข้อมูลมาประมาณนี้ (เราสามารถปรับแก้ไขตัวไฟล์ดังกล่าวเพิ่มเติมได้เลยนะ)

    Step 5 : เปิดหน้าจอ azure devops ของเราขึ้นมาก่อนเลย เลือก Project ที่ต้องการดำเนินการ เลือกเมนู “Boards” เมนูย่อย “Work Items

    Step 6 : เลือก Import Work Items จากนั้นให้เราเลือก Choose File โดยเลือกเป็นไฟล์ที่เรา Export ได้มาตะกี้นั่นแหละ

    Step 7 : เมื่อเรา Import ข้อมูลจาก .CSV เราเข้ามาเรียบร้อยแล้ว เราก็จะพบกับข้อมูลดังกล่าวบนตัว azure devops หน้าตาประมาณนี้เลย

    สุดท้าย ท้ายสุด หากตรวจสอบพบว่าถูกต้อง ไม่มีปัญหาใดๆ ก็ให้คลิก Save items ได้เลยนะทุกคนนนนนน

    เอาจริงๆ ง่ายมากๆ ลดเวลาการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อนในการทำงานของทางผู้เขียนได้ดีมากๆ เอาไปเลย 5 ดาววววววว

    ทั้งนี้ทางผู้เขียนยังคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลดังกล่าวจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับผู้อ่านหลายๆ ท่านน๊าาาา แล้วพบกันใหม่ใน Blog หน้าเน้ออออออ

    ขอขอบคุณน้องเอก (Akekyz) ผู้แนะนำให้ทดลองใช้งานเจ้าตัว notions มา ณ ที่นี้ด้วยยยยยย 🙂

  • สร้าง ER Diagram ง่ายๆ ด้วย Toad for Oracle

    สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน Blog ที่ 2 ของ TOR รอบนี้จะขอว่าด้วยเรื่องของ ER Diagram กันค่ะ การจัดทำ ER Diagram โดยปกติเราสามารถทำได้หลากหลายวิธี ใช้งานได้มากมายหลากหลายเครื่องมือ ก็แล้วแต่แหละเนอะ ว่าใครถนัดแบบไหน ใช้เครื่องมือใด

    สำหรับทางผู้เขียนจะคลุกคลีตีโมงอยู่กับ Toad for Oracle เป็นหลัก ครั้งนี้เลยจะมาขอแชร์วิธีการเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมีความสะดวกสบายในการสร้าง ER Diagram จากข้อมูลตารางที่อยู่ในฐานข้อมูลของเราโดยอัตโนมัตินั่นเอ๊งงงง !!!

    ปะ …. เรามาเริ่มกันเลยละกัน

    1. เมื่อเราเปิด Toad for Oracle และ Connect เข้า Database ที่เราต้องการเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้หน้าจอตามรูป
      ปล…หน้าตาอาจจะต่างกันเล็กน้อยแล้วแต่ version ของแต่ละคนที่ใช้งาน

    2. ให้คลิกเลือกเมนู “Database” —> จากนั้นเลือกเมนู “Report” —> เลือกเมนู “ER Diagram” เมื่อเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้พื้นที่ Workspace ของเราขึ้นมา ตัวอย่างดังรูปด้านล่างเลยจ๊ะ

    3. จากนั้นคลิกเลือก Add Objects ตรงสัญลักษณ์เครื่องหมาย + สีเขียวๆฟ้าๆ จากนั้นโปรแกรมจะแสดงหน้าต่างให้เราเลือก Table หรือ View จาก Schema ที่เราต้องการ เพื่อ “Add to ER Diagram

    ปล … ทั้งนี้หากเราไม่เลือกที่ละรายการ ก็สามารถเลือกได้ว่า Select All , Deselect All หรือ Invert selection ผ่าน เครื่องมือที่มีให้ได้เช่นเดียวกัน

    4. เราลองมาเลือก Table ข้อมูลที่เราต้องการนำมาสร้าง ER Diagram กันเลย และเมื่อเลือกเรียบร้อยแล้วก็ให้คลิกปุ่ม “OK” ได้เลยนะ จากนั้นก็จะได้หน้าตา ER Diagram ที่โยงความสัมพันธ์ของข้อมูลให้แล้ว ดังรูปเลยทุกคน !!

    5. และหากเราต้องการให้ใน ER Diagram ของเราแสดงเพียงแค่ชื่อ Column Name เท่านั้น ไม่แสดงรายละเอียดอื่นๆ ก็แนะนำให้เลือกตรงข้อความ All Columns จากนั้นเลือกแสดงแบบ “Column Names only

    6. เมื่อเลือกแสดงแบบ Column Names only ก็จะได้หน้าตาดังรูปด้านล่างนะ

    เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย Blog นี้พอจะช่วยให้การสร้าง ER Diagram สำหรับผู้อ่านง่ายขึ้นบ้างมั้ย ?

    ทั้งนี้ …. ทางผู้เขียนก็ขอออกตัวก่อนเลย มันมีมากมายหลายวิธีจริงๆ ในการสร้าง ER Diagram ทั้งอาจจะง่ายกว่าวิธีนี้ หรือยุ่งยากกว่าวิธีนี้ก็เป็นได้ ผู้เขียนจึงอยากจะขอแชร์วิธีที่ผู้เขียนเลือกใช้เพื่อช่วยในการทำงานของทางผู้เขียนเองเท่านั้น และก็ยังคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย ตามคติที่ว่า “รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามมมมม” นั้นเอง 555+

    Special Thanks : Supervisor Regist Team สำหรับคำแนะนำในการใช้งานแง๊บบบบ 🙂

  • วิธี Convert Multiple email to Adobe PDF ด้วย MS Outlook

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ เอาจริงๆ ทางผู้เขียนห่างหายไปนานมากๆ กับการเขียน Blog นานมากกกกจริงๆ นะ 😊

    ต้องขอเล่าก่อนว่า ตั้งแต่สิงหาคม 2564 จนถึงสิ้นปีที่ผ่านมา การทำงานของผู้เขียนในตำแหน่ง Customer Support ค่อนข้างจะหนักหนาเอาการเลยทีเดียวแหละ 55+

    ดังนั้นปัญหาที่ตามมาคือการตอบคำถามให้กับนักศึกษาทั้ง 5 วิทยาเขตของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งช่องทางหลักๆ หนึ่งในการให้บริการคือ ถาม-ตอบปัญหาผ่านทาง Email ค่ะ

    สำหรับปัญหาของผู้เขียนคือ จะทำยังไง??? ที่จะเอา Email ในรอบ 4-5 เดือนที่ถาม-ตอบไปทั้งหมดออกมาเพื่อให้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ สามารถตรวจสอบได้ว่าเนื้อหา หรือปัญหาที่พบเจอมีอะไรบ้าง (คร่าวๆ ก็เกือบๆ 2000 ฉบับแหละ หื้ม)

    มาค่ะ เรามาเริ่มกันเลย …. วันนี้ทางผู้เขียนจะมาขอแบ่งปันเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เกี่ยวกับการ export ข้อมูลจาก Email บน Microsoft outlook ให้อยู่ในรูปแบบ PDF กันค่ะ

    โดยผู้เขียนจะขอพูดถึงในส่วนที่ผู้เขียนทราบและได้ทดสอบใช้งานจริงค่ะ

    ปล … จริงๆ แล้ว Microsoft Outlook มันก็มีวิธีให้เรา Export ข้อมูลในตัวของมันอยู่แล้ว แต่อาจจะอยู่ในรูปแบบของ .pst ซึ่งไม่ใช่แบบ pdf ที่ทางผู้เขียนต้องการเท่านั้นเอง แหะๆ (แต่จริงๆ อาจจะมีวิธีที่ทำได้มากกว่าวิธีที่ผู้เขียนจะแชร์ก็ได้นะ)

    Export ข้อมูล Email ทั้ง Folder ออกจาก Microsoft Outlook ให้อยู่ในรูปแบบ PDF

    ขั้นตอนที่ 1 : อย่างแรกเลยคือ เครื่องของผู้ใช้งานจะต้องติดตั้งหรือมี Adobe acrobat pro DC ก่อนนะ (วิธีดาวน์โหลดติดตั้งโปรแกรม สามารถค้นหาผ่าน google ได้เลยนะทุกคน)

    ขั้นตอนที่ 2 : เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วก็ Sign in เข้าไปด้วย Adobe Account กันเลย เมื่อขั้นตอนของการติดตั้ง Sign in เรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่ในส่วนของ Microsoft Outlook กันค่ะ

    ขั้นตอนที่ 3 : จากนั้นให้ผู้ใช้งานเปิดโปรแกรม Microsoft Outlook ขึ้นมาเลยค่ะ (จากรูปผู้เขียนใช้ Office 365 นะ)จะสังเกตได้ว่า จะมีเมนู Acrobat เพิ่มเข้ามาตามในรูปเลย

    ขั้นตอนที่ 4 : จากนั้นหากผู้ใช้ต้องการดำเนินการใน Folder ไหน ก็ให้คลิกขวาที่ Folder นั้นได้เลยค่ะ อย่างในรูปผู้เขียนจะดำเนินการใน Folder ที่ชื่อว่า “อว.ลดค่าเทอม” เมื่อเราคลิกขวา จะปรากฏเมนูที่ชื่อว่า “Convert อว.ลดค่าเทอม to Adobe PDF

    ขั้นตอนที่ 5 : คลิกเลือกเมนู “Convert อว.ลดค่าเทอม to Adobe PDF” ได้เลยค่ะ จากนั้น ก็เลือก Location สำหรับบันทึกไฟล์ดังกล่าว เมื่อยืนยันเรียบร้อยแล้ว Microsoft Outlook ก็จะทำการ Convert ข้อมูลใน Folder ดังกล่าวออกมาให้ค่ะ

    ปล…สำหรับของผู้เขียนรอนานมากกกกกกกค่ะ เพราะมีข้อมูลเกือบๆจะ 2000 ฉบับแน่ะ !!!

    ขั้นตอนที่ 6 : เมื่อเรียบร้อยแล้วเราก็จะได้ข้อมูลเป็นไฟล์ PDF ออกมาค่ะ ก็ลอง Double Click เปิดไฟล์ดูได้เลยค่ะ จะได้หน้าตาประมาณนี้นี่เอง ง่าย และสะดวกกกกกก ไม่ต้องนั่งทำผ่าน Email ที่ละฉบับ

    เป็นยังไงกันบ้างค่ะ พอจะช่วยเหลือการทำงานให้กับผู้อ่านได้บ้างรึเปล่าเอ่ย ???

    แต่ยังไงก็ตามผู้เขียนก็ยังคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยค่ะ เจอกันใหม่อีกทีใน Blog หน้า Coming Soon !!

    ปล … สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณผู้ช่วยเหลือ แนะนำและให้ข้อมูลสำหรับผู้เขียนมา ณ โอกาสนี้ด้วยแง๊บบบบบบบ

  • โหมดไม่ระบุตัวตน ?

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน Blog ปิดท้ายของเดือนพฤษภาคม ปี 64 นี้ ผู้เขียนขอเล่าในเรื่องของความรู้เพิ่มเติมในการใช้ Browser ละกันเนอะ

    จากการใช้งานท่องเว็บของเราในแต่ละวัน คาดว่าผู้อ่านแต่ละท่าน คงจะคุ้นเคยกับคำว่า โหมดไม่ระบุตัวตนกันมาบ้างแล้ว

    จริงๆ ในแต่ละ Browser เนี่ย ชื่อเรียกมันก็จะต่างกันนะ เช่น Incognito , Private หรือ Inprivate เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันก็คือ โหมดไม่ระบุตัวตนนั่นแหละ

    โหมดไม่ระบุตัวตน คืออะไร ?

    เอาแบบภาษาบ้านๆ พูดง่ายๆ ก็คือ เป็น Feature นึงที่มีอยู่ในทุกๆ Browser โดยโหมดนี้ จะทำให้ Browser ของเราจะไม่จัดเก็บข้อมูลของเว็บที่เราเข้า ไม่มีที่อยู่ ไม่มี cookie ไม่มีข้อมูลที่เราป้อนก่อนหน้า ก็คือไม่มีอะไรเลย ! มันก็คงคล้ายๆ กับการทำให้ Browser ของเราความจำเสื่อมชั่วคราวนั่นแหละนะ

    คราวนี้มาขยายความแบบทางการกันหน่อย

    • Browser จะไม่เก็บประวัติการเข้าใช้งานเว็บไซต์
    • Browser จะไม่เก็บ cookie ของเว็บไซต์ และ ข้อมูลที่กรอกในฟอร์มต่างๆ
    • แต่ถ้ามีการ bookmarks หรือดาวน์โหลดไฟล์ระหว่างใช้งาน ข้อมูลเหล่านั้นก็จะยังคงอยู่ ถึงแม้จะเราจะปิดโหมดนี้ไปแล้ว
    • ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยังคงเห็นการเข้าใช้งานของเราตามปกติ
    • IP ที่เข้าใช้งานเว็บไซต์ ไม่ว่าจะโหมดปกติ หรือโหมดไม่ระบุตัวตน ยังเป็น IP เดียวกัน และโหมดไม่ระบุตัวตนมันไม่ได้ซ่อนที่อยู่ IP ของเราให้นะทุกคนนนน !!
    • การใช้งานโหมดนี้ในเครื่องสาธารณะ หรือเครื่องที่มีความเสี่ยง โหมดนี้ไม่ได้ช่วยให้ความเสี่ยงเหล่านั้นลดน้อยลง

    พออ่านไปอ่านมาจนถึงตรงนี้ หลายๆ ท่านคงรู้สึก เอ๊ะ ! แล้วนี่มันเป็นการท่องเว็บแบบส่วนตัวจริงเหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนๆ จะไม่ส่วนตัวยังไงยังงั้นกันใช่มั้ย … เอาจริงๆ ผู้เขียนมองว่า เราก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องกันก่อน ว่าโหมดไม่ระบุตัวตนตัวนี้เนี่ย เหมาะกับการใช้งานแบบไหน ขอบเขตการทำงานของมันเป็นยังไง

    แล้วมันเหมาะ หรือไม่เหมาะ กับการใช้งานแบบใดกันละ ?

    ถ้าตามความเข้าใจของผู้เขียน ผู้เขียนเข้าใจว่า

    1. เหมาะกับกรณีที่เราไปใช้งานตามร้าน Internet cafe หรือ เครื่องสาธารณะ ที่เราไม่ต้องการให้ Browser มีการเก็บประวัติการเข้าใช้งาน
    2. เหมาะกับกรณีที่เราต้องการเข้าใช้บริการต่างๆ พร้อมกันมากกว่า 1 account
    3. ข้อนี้ส่วนตัว แหะๆ ผู้เขียนคิดว่ามันเหมาะกับงานของผู้เขียน คือ ใช้สำหรับใช้ทดสอบระบบ หรือเว็บที่เราพัฒนา เนื่องจากจะไม่มีการจำ cache ใด ให้เราปวดหัว ^^
    4. ไม่เหมาะกับกรณีที่เราไปใช้งานในทางที่ไม่ดี เพราะมันยังสามารถโดนติดตามได้อยู่ … อย่าลืมระวังข้อนี้ด้วยนะ !!
    5. หากสิ่งที่ท่านผู้อ่านต้องการ ที่ไม่ใช่แค่ไม่เก็บประวัติ ไม่เก็บ cookie เหล่านี้ ทางผู้เขียนขอแนะนำให้ไปศึกษาใช้การ VPN หรือ Proxy ควบคู่ไปกับการใช้โหมดไม่ระบุตัวตน

    สุดท้ายแล้ว เจ้าโหมดไม่ระบุตัวตนนี้ ก็ยังคงเป็นอีกตัวเลือกที่ง่าย และยังคงมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน และสภาพแวดล้อมของแต่ละคน ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะยังคงเพิ่มความเข้าใจ ให้ความกระจ่างกับผู้อ่านในเรื่องของ โหมดไม่ระบุตัวตน ได้ไม่มากก็น้อยแหละเนอะ

    ขอบคุณแหล่งข้อมูลข่าวสาร และความรู้ >>> https://www.techhub.in.th/

  • Checker Plus for gmail ~ ชีวิตที่ง่ายขึ้น

    สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน … Blog วันนี้ผู้เขียนจะขอนำเสนอ Extension ที่มีชื่อว่า Checker Plus for gmail ซึ่งมีไว้สำหรับช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย (หรือไม่ก็ช่วยเพิ่ม level ความขี้เกียจ อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะ 55+)

    คำถามถัดมา แล้วมันน่าสนใจตรงไหน ?

    ก็ต้องขอบอกก่อนว่าคงเป็น Extension อีกตัวที่เหมาะกับการทำงานของหลายๆ ท่าน ที่ในแต่ละวันต้องเช็ค Email ตอบกลับ รับแจ้งปัญหา ต่างๆนาๆ อยู่เป็นประจำ เช่น งานบริการถาม-ตอบปัญหา ให้กับลูกค้า ดังเช่นผู้เขียน เป็นต้น

    เจ้า Checker Plus for gmail ก็จะถือว่าค่อนข้างสะดวกมากเลยแหละ สำหรับคนที่อยากเช็ค Email แต่ไม่อยากเปิด Tab ใหม่  ดังนั้นเมื่อเราติดตั้งเจ้า Extension ตัวนี้ไว้ ทุกครั้งที่เราจะเช็ค Email ก็สามารถกดที่ Checker Plus ที่เราติดตั้งได้เลย มันก็จะแสดง Email ทั้งหมดในกล่อง Inbox ของเรานั่นเองงงงง

    วิธีการก็ง่ายมากๆ ปะ … เรามาเริ่มกันเล้ย

    ขั้นตอนที่ 1 ในหน้า Browser google chrome เข้าไปที่ More tool –> เลือก Extensions

    ขั้นตอนที่ 2 จากนั้นให้เข้า Open Chrome web store ค้นหาคำว่า “Checker Plus for gmail”

    ขั้นตอนที่ 3 เราก็มาเริ่มต้นการติดตั้งกันเลย คลิก “Add to chrome”

    ขั้นตอนที่ 4 เมื่อติดตั้งสำเร็จ ให้สังเกตุมุมบนด้านขวาของ Browser ได้เลย แท่น แท่น แท๊นนน … สีแดงๆ นั่นแหละ พระเอกของเราในวันนี้

    ขั้นตอนที่ 5 ลองคลิกเข้าไปดูได้เลย เราก็จะเห็น Inbox ใน gmail ของเราทั้งหมด หลังจากนี้เราก็ไม่ต้องมานั่งกังวลอีกต่อไป ว่าต้องเปิด Tab ใหม่ทุกครั้งที่ต้องการเช็ค Email

    เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย ผู้เขียนว่ามันอำนวยความสะดวกสำหรับงานของตัวผู้เขียนเองมากๆ จึงอยากจะมาแนะนำให้ทุกๆ คนได้ทดลองใช้งานกันดู และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Blog นี้จะยังคงมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย เน้อออออ …

    ขอขอบคุณข่าวสารดีๆ จาก : https://www.techhub.in.th/

  • Youtube ~ Checks !!

    Hi ผู้อ่านทุกๆ ท่านนนนนนน ช่วงนี้เป็นช่วงการระบาดระลอกใหม่ ของ COVID-19 ซึ่งเรื่องที่ตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เรื่องนึงเลยก็คือ การต้องทำงานแบบ WFH นั่นเอง !! (เฮ้อ ….)

    ส่วนตัวของผู้เขียนงานหลักๆ ในช่วงนี้ก็จะเป็นการอบรมออนไลน์ และสร้างสื่อวิดีโอ เพื่อแนะนำการใช้งานง่ายๆ ของระบบที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ โดยผู้เขียนเลือกจะที่ใช้ช่องทางการเผยแพร่วิดีโอ ผ่าน Youtube ซึ่งสะดวก และง่ายต่อการเข้าถึง

    ล่าสุด Youtube เหมือนจะมีเครื่องมือใหม่คือ Youtube Studio ที่มีส่วนเข้ามาช่วยตรวจสอบการละเมิดลิขสิทธิ์ของวิดีโอ ตั้งแต่ในส่วนขั้นตอนการอัปโหลด ก่อนการเผยแพร่ออกไป ซึ่ง … เฮ้ย มันโอเคเลยนะ ที่เราจะรู้ว่าวิดีโอเรามีการละเมิดลิขสิทธิ์ใดๆ หรือไม่ ไม่ใช่อัปโหลดแล้ว คนอื่นมาดูแล้ว แต่เพิ่งได้รับแจ้งว่าเนื้อหาภายในมีการละเมิดลิขสิทธิ์ !! (ตัวผู้เขียนเองก็เคยโดนอยู่บ่อยๆ แหะๆ)

    แล้วขั้นตอนการตรวจสอบทีว่าเพิ่มเข้ามาเนี่ย มันอยู่ตรงไหน ?

    งั้นไป ไปดูกันเลย …. ขอเริ่มต้นด้วยขั้นตอนหลักๆ ในการอัปโหลดวิดีโอ กันก่อนนะ ทุกคน

    ขั้นตอนที่ 1 เลือก “อัปโหลดวิดีโอ”

    ขั้นตอนที่ 2 เลือกวิดีโอที่ต้องการอัปโหลด

    ขั้นตอนที่ 3 อัปโหลดวิดีโอ เตรียมเผยแพร่

    ทุกคนสังเกตุ เห็นอะไรมั้ย …. นั่นไง ส่วนที่เขียนว่า “ตรวจสอบ” (Checks) เมื่อระบบประมวลผลเรียบร้อยแล้ว หากวิดีโอของเราที่อัปโหลดขึ้นไป ได้รับการตรวจสอบเบื้องต้น และพบว่าผ่าน ตรงส่วน “การตรวจสอบ” ดังกล่าวจะขึ้นเครื่องหมายถูก เหมือนตัวอย่างในภาพ จากนั้นให้เรากดปุ่ม “ถัดไป

    เมื่อเราคลิกมาจนถึงส่วนของการตรวจสอบ ภายในก็จะมีข้อความบอกเราถึงรายละเอียดในการตรวจสอบลิขสิทธิ์ พบ/ไม่พบปัญหา และเราก็ยังสามารถคลิก “ดูข้อมูลเพิ่มเติม” เพื่อศึกษารายละเอียดได้มากยิ่งขึ้นด้วยนะ

    เจ้าตัวเครื่องมือ Checks เนี่ย หลักๆ เลยจะทำหน้าที่ตรวจสอบวิดีโอที่เราอัปโหลด ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาด้านลิขสิทธิ์หรือไม่ ที่พบโดยส่วนใหญ่เลยคือพวกเพลงที่ใช้ประกอบในวิดีโอของเรานั่นแหละ

    ข้อดี ของเจ้าตัวเครื่องมือใหม่นี้ จะช่วยให้เราๆ หรือชาว youtuber, creator ได้มีโอกาสแก้ปัญหาในวิดีโอของเราก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการเผยแพร่ จะแสดงให้เราเห็นรายละเอียดของปัญหา และผลกระทบที่จะมีตามมาได้ หรือง่ายๆ เลย Checks จะช่วยปกป้องตัวเราให้ไม่ต้องไปเผชิญกับปัญหาการร้องเรียนการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยมิได้ตั้งใจนั่นเอง

    ผู้เขียนหวังว่า blog สั้นๆ ที่ได้นำมาเล่าสู่กันฟังนี้จะช่วยให้ผู้อ่านหลายๆ ท่าน ได้รับรู้ข้อมูล และนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยแหละเนอะ

    ขอบคุณแหล่งที่มา : youtube.com มานะที่นี้ด้วยแง๊บบบบ