ระบบสารสนเทศ (1/5) : ขั้นตอนการพัฒนาระบบสารสนเทศ

ขั้นตอนการพัฒนาระบบสารสนเทศ ชาว ม.อ. ทราบหรือไม่ว่ามหาวิทยาลัยมีการพัฒนาระบบสารสนเทศใช้งานภายในมหาวิทยาลัยที่มีหลากหลายระบบ พัฒนาขึ้นโดยฝ่ายพัฒนาระบบสารสนเทศ สำนักนวัตกรรมดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ เช่น ระบบทะเบียนนักศึกษา ระบบรับสมัครนักศึกษาออนไลน์ ระบบสารสนเทศบุคลากร ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น พวกท่านทราบหรือไม่ว่าแต่ละระบบสารสนเทศกว่าจะออกมาให้ใช้งานกัน ทีมพัฒนาฯ ต้องทำอะไรกันบ้าง วันนี้จะขอมาเล่าส่วนของการพัฒนาตั้งแต่เริ่มต้น จนเปิดใช้งานระบบ แบบคร่าวๆ เข้าใจง่ายกันค่ะ ก่อนการพัฒนาระบบสักระบบ ต้องวิเคราะห์ความเร่งด่วน หรือแผนการใช้งานระบบ มีการเข้าคิวการพัฒนา เมื่อสรุปจะพัฒนาระบบใดระบบหนึ่ง มีขั้นตอนอย่างไรมาดูกันค่ะ ช่วงที่ 1 : Requirement เจ้าภาพ จะทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจจะเป็นวิทยาเขต คณะ เพื่อรวบรวมความต้องการให้ชัดเจนว่าจะจัดเก็บข้อมูลอะไรบ้าง กระบวนการ หรือรายงานเป็นอย่างไร ทีมพัฒนาระบบฯ : (1) จัดทำเอกสารเปิดโครงการ พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาในการพัฒนาระบบ (2) เอกสารรายงานการประชุมกับลูกค้า (3) เอกสารประเมินความเสี่ยง ช่วงที่ 2 : Analysis and Design ทีมพัฒนาฯ จะรวบรวมความต้องการจากลูกค้า เพื่อมาวิเคราะห์กระบวนการทำงาน พร้อมทั้งออกแบบหน้าจอและฐานข้อมูลให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน โดยทีมพัฒนาจะออกแบบหน้าจอที่ต้องการพัฒนาเพื่อมานำเสนอให้ลูกค้าตรวจสอบว่าระบบมีความครบถ้วน ถูกต้อง สีของหน้าจอ ปุ่มต่าง ๆ มีความสะดวกสบายกับการใช้งานหรือไม่ ซึ่งส่วนนี้ยังสามารถปรับปรุงความต้องการให้สอดคล้องกับการใช้งานจริงได้มากที่สุด และสรุปเป็นเอกสาร Requirement Checklist เพื่อยืนยันความต้องการกับเจ้าภาพอีกครั้ง ทีมพัฒนาระบบฯ : (4) จัดทำเอกสาร Requirement Checklist (5) เอกสาร Requirement Specification (6) เอกสาร Software Design (7) เอกสารประชุมติดตามความก้าวหน้าภายในทีม ช่วงที่ 3 : Development ช่วงนี้ทีมพัฒนาฯ จะเร่งมือในการพัฒนาระบบตาม Requirement Checklist เมื่อระบบสารสนเทศมีการพัฒนาไประยะหนึ่งก็จะมีการนัดประชุมกับลูกค้า เพื่อให้ดูความก้าวหน้าของระบบว่ามีการพัฒนาไปถึงส่วนใด ตรงตามที่ได้ออกแบบไว้หรือไม่ เมื่อมีการพัฒนาเสร็จแต่ละฟังก์ชั่น ก็จะส่งต่อให้กับทีมทดสอบระบบ หากมีความต้องการเพิ่มเติมระหว่างการพัฒนาจะมีการปรับปรุงระบบส่วนนี้จะเรียกกว่า Change Request ซึ่งจะไปนับรวมกับ Requirement Checklist ทีมพัฒนาระบบฯ : (8) ติดตามการพัฒนาระบบโดยใช้โปรแกรม Azure DevOps ช่วงที่ 4 : Testing ช่วงนี้จะเป็นงานของทีมทดสอบระบบ จะต้องตรวจสอบว่าทีมพัฒนาฯ ได้พัฒนาเสร็จสิ้นตาม Requirement Checklist โดยทีมทดสอบจะทำการเขียน Test case ที่ครอบคลุมว่ากระบวนการทุกกระบวนการก่อนที่จะส่งต่อให้กับผู้ใช้งาน (User) ต้องครบถ้วน สมบูรณ์ หากผิดพลาดไม่ตรงตามความต้องการจะส่งกลับไปยังทีมพัฒนาฯ ให้ปรับปรุงแก้ไขระบบให้ถูกต้อง ครบถ้วนที่สุด เมื่อทดสอบครบทุกฟังก์ชั่น จะมีการนัดประชุมลูกค้าเพื่อส่งมอบระบบ โดยจะมีเอกสาร Acceptance Checklist ให้ลูกค้าตรวจสอบหัวข้อในการพัฒนาระบบทั้งหมดในระบบ ทีมพัฒนาระบบฯ : (9) ทดสอบระบบโดยใช้โปรแกรม Azure DevOps โดยทดสอบตาม Test case ทุกเงื่อนไข (10) เอกสาร Acceptance Checklist ช่วงที่ 5 : Training เมื่อพัฒนาระบบครบถ้วนตาม Requirement Checklist ช่วงนี้จะเป็นการอบรมผู้ใช้งาน (User) หากเป็นระบบใหม่ทางทีมพัฒนาฯ จะอบรมใหม่ทั้งระบบ อาจจะแบ่งเป็นส่วนของเจ้าหน้าที่ อาจารย์ หรือเป็นผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เป็นระดับต่างๆ แต่หากเป็นระบบที่มีการพัฒนาเพิ่มเติม ก็ขึ้นอยู่กับว่าการพัฒนามีความแตกต่างจากระบบเดิมมากน้อยแค่ไหน จำเป็นต้องจัดอบรมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าภาพ และในยุคปัจจุบันมีการอบรมผ่านช่องทางออกไลน์ ทำให้สะดวกกับผู้เข้าอบรมมากยิ่งขึ้น ทีมพัฒนาระบบฯ : (11) เอกสารการอบรมระบบ (12) คู่มือการใช้งานระบบในรูปแบบเอกสาร หรือ VDO ช่วงที่ 6 : Deployment เมื่อปรับปรุงระบบจนพร้อมใช้งานแล้ว ก็แจ้งเปิดระบบอย่างเป็นทางการตามที่เจ้าภาพต้องการ เช่น เริ่มใช้งานในปีการศึกษา 1/2565 เป็นต้น ซึ่งทีมพัฒนาระบบฯ จะมีการเฝ้าระวังระบบในช่วงการใช้งานในช่วงแรกว่าสามารถใช้งานได้สมบูรณ์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับกระบวนการใช้งานของแต่ละระบบ เช่น หากเป็นระบบรับสมัครนักศึกษาออนไลน์ จะต้องตรวจสอบตั้งแต่ช่วงที่เจ้าหน้าที่คณะจัดทำโครงการ ตลอดจนผู้สมัครสามารถสมัครสมาชิก จนสามารถสมัครโครงการ ชำระเงินได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทีมพัฒนาระบบฯ : (13) เอกสาร Operation Guideline (14)

Read More »

วิธีการสร้าง/แชร์ Template จาก Notion

การใช้งานโปรแกรม Notion มีเครื่องมือการใช้งานที่หลากหลาย มาประยุกต์กับงานต่างๆ ได้ ซึ่งงานที่เอามาใช้มากที่สุดตอนนี้เป็นการบันทึกรายงานการ สร้างเป็น Table เมื่อตั้งชื่อเพจ และสร้าง Table เรียบร้อยแล้ว เราต้องการสร้าง template สำหรับเป็นรูปแบบที่เมื่อมีการบันทึกการประชุมทุกครั้งจะต้องมีหัวข้อนี้เสมอ ลองมาทำกันต่อค่ะ เริ่มสร้าง template เริ่มจากการตั้งชื่อ template ตัวอย่างใช้ชื่อว่า “Meeting Template” สร้างส่วนที่ 1 เป็นการสร้างข้อมุลการประชุม ได้แก่ เพิ่มข้อมูลวันที่ เลือกประเภทเป็น “Date” ส่วนของวันที่จะสามารถตั้งค่าได้ว่า Format ว่าต้องการให้แสดง Month/Day/Year ซึ่งตัวอย่างเราจะเคยชินจึงเลือกใช้เป็น Day/Month/Year เพิ่มข้อมูลประเภทการประชุม เมื่อเราเพิ่มประเภทการประชุมเรียบร้อยแล้ว บันทึกข้อความที่ต้องการสร้าง Template ตามหัวข้อที่เราต้องการ มีการจัดทำวาระย่อยๆ ตามวาระการประชุม เมื่อสร้าง Template เรียบร้อยแล้ว ดำเนินการยืนยันการตั้งค่า default ตรวจสอบอีกครั้งว่า Template ที่สร้างเป็นค่า default หรือยัง เมื่อต้องการบันทึกรายงานการประชุม สร้างเอกสารการประชุมใหม่ หากต้องการแชร์ไฟล์บันทึกการประชุมให้แก่เพื่อน หรือใช้ภายในหน่วยงาน สามารถแชร์ได้ วิธีการ Duplicate เพื่อนำ Template จากเพื่อนมาใช้งาน โดยนำลิงก์ที่ได้มาเปิด หวังว่าวิธีการนี้จะสามารถทำให้การทำงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้นนะคะ ^^

Read More »

มารู้จักเครื่องมือ Smart Facebook URL ที่สามารถเปิด Facebook ตามอุปกรณ์ที่ใช้งานปัจจุบัน

ทุกท่านเคยเป็นกันไหมค่ะ เมื่อเพื่อนของเราส่งลิงก์ Facebook มาให้เราดู แต่เมื่อเราเปิดใช้งานบนมือถือ มันก็จะเด้งไปหน้าเบราว์เซอร์ แล้วระบบก็จะให้เรา Login ซึ่งคนทั่วไปจะใช้งานบน App Facebook หากเราใช้งานผ่านมือถือ และจะใช้ผ่านเบราว์เซอร์เมื่อเราใช้ผ่านคอมพิวเตอร์ ***มาดูตัวอย่างการเปิดลิงก์ Facebook Fan Page เมื่อเพื่อนส่งมาให้*** ตัวอย่างการส่งลิงก์ Facebook ให้เพื่อนช่วยกดไลค์แฟนเพจ เมื่อเราคลิกลิงก์จากข้อความ ระบบปฏิบัติการ Android จะเปิดมาที่ เบราว์เซอร์ เป็น m.facebook หากต้องการใช้งานก็จะต้อง Login Facebook ใหม่ ซึ่งปกติเราก็มักจะลืม Username หรือ Password ระบบปฏิบัติการ iOS มีข้อความแจ้งเตืนอว่าจะให้เปิดผ่าน Faceook หรือไม่ หากกดปุ่ม “เปิด” จะเป็นไปยัง App ให้ทันที่ แต่หากกดปุ่ม “ยกเลิก” จะเปิดมาที่ เบราว์เซอร์ เป็น m.facebook ก็จะต้อง Login Facebook ใหม่ ระบบปฏิบัติการ iOS จะเปิดมาที่เบราว์เซอร์ เป็น m.facebook หากต้องการใช้งานก็จะต้อง Login Facebook ใหม่เช่นเดียวกับ ระบบปฏิบัติการ Android **** ซึ่งเมื่อเราจะส่งลิงก์ URL ให้เพื่อน เราจะไม่ทราบว่าเพื่อนใช้ Smart phone ระบบปฏิบัติการอะไร ดังนั้นเรามีวิธีการดังนี้….=>> เข้าเว็บไซต์ : URL สมาร์ทสำหรับ Facebook (piliapp.com) ******เมื่อเราได้ URL ที่ต้องการแล้ว ส่งให้เพื่อนอีกครั้ง แล้วให้เพื่อนเปิดดูเลยค่ะ****** ระบบปฏิบัติการ Android เมื่อคลิก URL แล้วจะเลือก “Android” ให้อัตโนมัติ ระบบปฏิบัติการ Android เลือก “facebook app” ให้อัตโนมัติ ระบบปฏิบัติการ Android จะเข้า “Facebook App” ให้อัตโนมัติ สามารถกดไลค์แฟนเพจได้ทันที ระบบปฏิบัติการ iOS เมื่อคลิก URL แล้วจะเลือก “iPhone” ให้อัตโนมัติ ระบบปฏิบัติการ iOS เลือก “Facebook App” ให้อัตโนมัติ ระบบปฏิบัติการ iOS จะเข้า “Facebook App” ให้อัตโนมัติ สามารถกดไลค์แฟนเพจได้ทันที การใช้งานผ่าน Computer เมื่อคลิก URL แล้วจะเลือก “คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล” ให้อัตโนมัติ การใช้งานผ่าน Computer เลือก “เบราว์เซอร์” ให้อัตโนมัติ การใช้งานผ่าน Computer จะเข้า “เบราว์เซอร์” ให้อัตโนมัติ สามารถกดไลค์แฟนเพจได้ทันที

Read More »

วิธีการแปลงไฟล์จาก PDF เป็น Word แบบบ้าน ๆ โดยใช้ Google Drive

วิธีการแปลงไฟล์จาก PDF เป็น Word มีหลากหลายวิธี ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเว็บไซต์ หรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับแปลงไฟล์กัน แต่…สำหรับคนที่ไม่ต้องการให้เอกสารของเราไปอัปโหลดเพื่อแปลงไฟล์กับเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก หรือไม่มีโปรแกรมลิขสิทธิ์ที่สามารถแปลงไฟล์ได้ ลองมาดูวิธีนี้กันนะคะ คิดว่าทุกคนสามารถทำได้อย่างง่ายดายค่ะ ในตัวอย่างวันนี้จะมีวิธีการแปลงไฟล์ PDF เป็น Word วิธีเดียวเท่านั้นแต่….จะทดลองทำให้ดูกับ 2 ไฟล์ ได้แก่ แบบที่ 1 : ไฟล์ PDF ที่เกิดจากการแปลงจาก Word มาโดยตรง ซึ่งการแปลงไฟล์ PDF มาเป็น Word สิ่งที่คิด คือ ข้อความในเอกสารส่วนใหญ่ จะถูกต้องครบถ้วน และสวยงาม แบบที่ 2 : ไฟล์ PDF ที่เกิดจากการสแกน หรือเป็นรูปถ่าย การแปลงไฟล์ PDF มาเป็น Word สิ่งที่คิด คือ ข้อความจะมีลักษณะไม่เหมือนกับต้นฉบับ อาจจะมีสระหรือวรรณยุกต์ที่ไม่ครบถ้วน แต่สามารถนำไปปรับปรุงต่อให้สวยงามได้ค่ะ มาดูวิธีการกันเลย และจะเปรียบเทียบทั้ง 2 แบบเอกสารให้ดูนะคะ แบบที่ 1 : เป็นเอกสารที่เกิดจากการแปลงมาจากเอกสาร Word เมื่อเปิดไฟล์ในรูปแบบ PDF วิธีการคือคลิกที่ไฟล์ที่ต้องการแปลงไฟล์จาก PDF เป็น Word (1) คลิกเลือก Open with (2) คลิกเลือก Google Docs ดังรูป รอระบบทำการแปลงไฟล์ ดังรูป เมื่อแปลงไฟล์เรียบร้อยจะแสดงเอกสาร Word มาให้ ดังรูป แบบที่ 2 : เป็นเอกสารที่เกิดจากการแปลงมาจากเอกสารที่ผ่านการสแกน เมื่อเปิดไฟล์ในรูปแบบ PDF เมื่อแปลงไฟล์เรียบร้อยจะแสดงเอกสาร Word มาให้ ดังรูป สรุปผลการแปลงไฟล์ทั้ง 2 รูปแบบ แบบที่ 1 : ไฟล์ PDF ที่เกิดจากการแปลงจาก Word มาโดยตรง ซึ่งการแปลงไฟล์ PDF มาเป็น Word           สิ่งได้ คือ มีตัวสระที่ยังไม่ถูกต้องนัก อาจจะเป็นเพราะรูปแบบตัวอักษรที่แปลงมา แต่ภาพรวมก็ถือว่าดีมากแล้ว แบบที่ 2 : ไฟล์ PDF ที่เกิดจากการสแกน หรือเป็นรูปถ่าย การแปลงไฟล์ PDF มาเป็น Word           สิ่งได้ คือ ว๊าวมากค่ะ ไม่คิดว่าตัวอักษรที่ออกมาจาะครบถ้วนสมบูรณ์ขนาดนี้ แต่ต้องปรับนิดหน่อยให้สวยงาน *** นี่เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการแปลงไฟล์จาก PDF มาเป็น Word โดยไม่ต้องง้อโปรแกรมหรือเว็บไซต์ออนไลน์ทั่วไปเลยค่ะ ขอบคุณผู้อ่านที่รักทุกท่านค่ะ ^^

Read More »

รูปเยอะ พื้นที่เต็ม อยากจะย้ายรูปจากบัญชี Google Account ไปอีกบัญชี Google Account ทำอย่างไร

รูปเยอะ พื้นที่เต็ม อยากจะย้ายรูปจากบัญชี Google Account ไปอีกบัญชี Google Account ทำอย่างไรดีนะ…. สำหรับชาว PSU ทุกคนทราบกันอยู่แล้วว่าพวกเรามี Google Account ทุกคน โดยการเข้าใช้งานด้วย ชื่อ PSUPassport@psu.ac.th แค่นี้ง่ายๆ ก็สามารถใช้งานได้แล้ว ผู้ใช้งานบางคนมีการเชื่อมต่อบนมือถือระบบปฏิบัติการ Android ด้วยบัญชี Google Account ซึ่งสามารถ Upload รูปภาพไปจัดเก็บที่ Google Photos ให้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องกลัวว่าเมื่อมือถือหาย มือถือพัง รูปจะหาย ไฟล์จะเสีย…แต่….เมื่อมือถือ Upload รูปภาพไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ ก็ไม่มีการ Upload อีกแล้ว เมื่อตรวจสอบพบว่าพื้นที่จัดเก็บเต็ม ทำอย่างไรดีเนี้ย รูปก็สำคัญ เรามีวิธีการย้ายรูปจากบัญชี Google Account ไปอีกบัญชี Google Account ด้วยวิธีง่าย ๆ มาดูกันว่าทำกันอย่างไรนะคะ1. เปิด Google Account ที่พื้นที่เต็มต้องการย้ายรูป ชื่อว่า Account_1 และ Google Account ที่ต้องการย้ายรูปไปชื่อว่า Account_2 ค่ะตัวอย่าง Account_1 : ที่มีพื้นที่เต็ม ตัวอย่าง Account_2 : ที่มีพื้นที่เหลือ 2. เลือกรูปที่ต้องการ จะเลือกทีละรูป หรือเลือกทั้งวันของรูปภาพ 1. เลือกรูปภาพย้ายไปยัง Account_2 2. กดปุ่ม “Share” 3. เลือก Account_2 ที่ต้องการย้ายรูปภาพ 4. ตรวจสอบความถูกต้องของรูปภาพ แล้วกดปุ่ม “ส่งภาพ” 5. เมื่อกดปุ่ม “ส่งภาพ” รูปภาพเรียบร้อยแล้ว จะแสดงรูปภาพทั้งหมดให้อีกครั้ง 6. เปิด Account_2 จะพร้อมคลิกปุ่ม “Sharing” 7. คลิกปุ่ม “Sharing” จะแจ้งไฟล์รูปภาพที่มีการ share มาให้ 8. กดปุ่ม save 9. เมื่อบันทึกเรียบร้อยแล้วแสดง Saved 10. เมื่อมาตรวจสอบที่ Google Photos ก็จะมีรูปภาพที่มีแชร์มา ดังรูป 11. เมื่อย้ายรูปภาพมา ตรวจสอบความถูกต้องแล้วก็สามารถลบรูปภาพ Account_1 เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้ว่างสำหรับรูปที่ Upload มาเพิ่มค่ะ *** หมั่นตรวจสอบ หมั่นลบให้เป็นนิสัยจะได้ไม่มีไฟล์ขยะให้พื้นที่เต็มนะคะ หวังว่าเรื่องนี้เป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่คนทั่วๆ ลองทำตามกันดูนะคะ

Read More »