Author: kampanart.c

  • การเข้ารหัส Password หรือข้อมูลส่วนบุคคลในฐานข้อมูล ด้วย Hash Function กับ Salt Value

    การ Hash
    การ Hash หรือ Hashing ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Cryptographic Hash คือการสร้างข้อมูลที่เป็นตัวแทนของข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งอาจจะเป็นรหัสผ่าน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ และนำไปจัดเก็บในฐานข้อมูลหรือใน Text file หรือในที่อื่นๆ ซึ่งข้อดีของการทำ Hash คือจะไม่สามารถถอดรหัส หรือกระทำการใดๆ เพื่อที่จะ Reverse ให้ออกมาเป็นข้อความต้นฉบับ ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการ Hash มากมาย เช่น MD5, SHA1, SHA256, SHA512, RipeMD, WHIRLPOOL, SHA3 เป็นต้น

    การเขียนโปรแกรม
    ในแง่การเขียนโปรแกรมของแต่ละภาษา จะมี Library หรือเครื่องมือที่เอาไว้ใช้ทำ Hash อยู่แล้ว สามารถเปิดจากคู่มือ ได้เลยครับ

    MD5 Hashing & Cracking
    เป็นการทำ Hash ที่พื้นฐานที่สุด และเมื่อหลายปีที่ผ่านมามีข่าวออกมาว่ามีผู้ Crack ได้สำเร็จ ซึ่งรายละเอียดคร่าวๆ ของเรื่องนี้คือ การทำ Hash ทุกชนิดจะมีการเกิดการซ้ำกันของค่า Hash เนื่องจากการมีคุณสมบัติแทนข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งค่า Hash ที่สร้างขึ้นจะมีความยาวที่เท่ากันเสมอ ซึ่งสำหรับ MD5 ก็จะมีความยาว 16 bytes (128 bits) ซึ่งค่า hash ที่เป็นไปได้ทั้งหมดก็จะมีค่า 256^16 (หรือ 2^128) ค่าเท่านั้น ในขณะนี้ที่ข้อมูลที่เราต้องการแทนตัวนั้นอาจเป็นข้อมูลอะไรก็ได้ที่มากกว่าค่า 256^16 (หรือ 2^128) แน่นอน จึงเป็นไปได้ที่จะพบข้อมูลมากกว่า 1 ชุดจะมีค่า Hash ที่ตรงกัน
    ความจริงแล้ว MD5 จะไม่สามารถถอดรหัสได้ เนื่องจาก Hash ทุกชนิดจะผ่านกระบวนการเข้ารหัสแบบทางเดียว ดังนั้นทางที่จะสามารถจะรู้ได้ว่าค่าตั้งต้นของ Hash นี้คืออะไร คือการพยายามสุ่มรหัสที่เป็นไปได้ จากนั้นเอาไปแปลงค่าเป็น MD5 และนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบ (เรียกว่าเป็นการ Brute force นั่นเอง) ซึ่งถ้าเป็นข้อมูลที่มีความยาวหรือมีความซับซ้อนมาก ก็จะต้องใช้เวลาที่นานขึ้น

    Rainbow Table
    เป็นการเก็บข้อมูล Hash โดยมีข้อมูลต้นฉบับจากการ Brute Force เพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบ ซึ่งในปัจจุบัน GPU ระดับปานกลางหลายๆ รุ่นจะสามารถคำนวน Hash ได้ในระดับ 10 ล้าน Hash ต่อวินาที ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ยอมเสียเวลาเพียงครั้งเดียวเพื่อสร้าง Hash ที่มีควายาวมากๆ และมีความซับซ้อน เพื่อในครั้งต่อๆ ไปจะสามารถนำมาาใช้งานได้ทันที และมีให้ดาวน์โหลดได้ฟรีอีกด้วย

    ปัญหาของ Rainbow Table ในปัจจุบันคือ ยังไม่มีการสร้าง rainbow table ขึ้นมาสำหรับ hash ทุกชนิดหรือทุกความยาวของข้อมูลที่ต้องการ ถึงแม้จะมี CPU หรือ GPU ความสามารถสูงๆ แต่การทำ Hash ก็ยังคงใช้พลังในการประมวลผลมากเช่น SHA-2 ขนาด 256 bits ขึ้นไป เป็นต้น

    Image result for hashing with salt

    Salting
    เป็นเทคนิคนึงสำหรับเพิ่มความปลอดภัยสำหรับข้อมูลตั้งต้นของเรา ซึ่งทำให้ใช้เวลาในการถอดรหัสมากขึ้น ดังตัวอย่างเช่น ข้อความที่ต้องการเข้ารหัสตั้งต้นคือ “ThisIsMyPassword” และเมื่อรวมเข้ากับ Salt (ซึ่งอาจมาจากข้อความที่สุ่มขึ้นมา) คือ “3gswgW09seh” จะได้เป็น “ThisIsMyPassword3gswgW09seh” จากนั้นนำข้อความนี้ไป Hasing ซึ่งถ้าคำนวนความน่าจะเป็นของข้อความ กรณีที่เป็นตัวอักษรตัวเล็ก ตัวใหญ่ และตัวเลข มีความเป็นไปได้ 62 แบบ จะเท่ากับว่าถ้ารหัสผ่านที่เราเก็บมีความยาว 16 ตัวอักษร ก็ต้อง Hash ถึง 16^62 แบบ แต่ถ้าเป็นข้อความที่รวมกับSalt แล้วข้างต้น เป็นความยาว 27 ตัวอักษร ผู้ไม่ประสงค์ดีต้อง Hash ถึง 27^62 ถึงจะได้ข้อความที่ถูกต้อง ซึ่งต้องใช้เวลามหาศาลมากกว่าเดิม แต่ข้อเสียของวิธี Salting จะต้องมีการเก็บ Salt Value ในลักษณะของ Plain Text หรือเก็บไว้ในโปรแกรมที่พัฒนา เพื่อการถอดรหัสที่ถูกต้อง และถ้าหาก Salt Value มีการเสียหายหรือเปลี่ยนค่าไปหลังจากการเข้ารหัสเสร็จแล้ว จะไม่สามารถเทียบ Hash เพื่ออ่านข้อความต้นฉบับได้เลย

    Image result for hashing with salt

    Conclusion
    1. การเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่าน หรือแม้กระทั่งเลขประจำตัวประชาชน ในฐานข้อมูล ควรเก็บในรูปแบบ Hash เท่านั้น
    2. รหัสผ่านยิ่งยาว ยิ่งใช้เวลาในการถอดรหัสมากขึ้น และยิ่งมีการใช้ Salt Value จะใช้เวลามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Salt Value เพิ่มเข้าไปเพื่อให้มีความยาวมากขึ้น
    3. MD5 ก็ยังเพียงพอต่อการเก็บรหัสผ่านและข้อมูลอื่นๆ แต่ก็ยังสู้ SHA-2 ไม่ได้
    4. ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าให้รหัสผ่านหรือข้อมูลที่เก็บอยู่ ถูกเข้าถึงจากภายนอก แม้แต่จะเป็นแค่ Hash ก็ตาม

    Reference:
    https://crackstation.net/hashing-security.htm

  • ติดตั้ง Let’s Encrypt Certificate สำหรับ SSL Sites บน IIS

    หลังจากที่พี่หนุ่ม คณกรณ์ หอศิริธรรม  ได้เขียนเรื่อง วิธีติดตั้ง HTTPS ด้วย Certificate ของ Let’s Encrypt ไปแล้วนั้น ก็จะมาถึงทางฝั่ง Windows กันบ้าง ซึ่งจะติดตั้งผ่านเครื่องมือ บน Command Line ครับ

    ตัวอย่างนี้จะเป็นวิธีการติดตั้งโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า WinACME ซึ่ง ดาวน์โหลดได้ที่นี่ (จริงๆ มีหลายตัวให้เลือกใช้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาผ่าน ACME API มีทั้งแบบเป็น Command Line, Power shell และเป็น GUI ครับ)

    หลังจากดาวน์โหลดไฟล์มาแล้ว ผม Extract ไปไว้ที่ C:\LetsEncryptSSL

    จากนั้นก็เปิด Command Prompt ด้วยสิทธิ Administrator
    (เปิดด้วยสิทธิ Administrator เพื่อให้มีการสร้าง Schedule Task ในการ Renew Cert. โดยอัตโนมัติครับ)

    จากนั้นทำการเรียกด้วยคำสั่ง letsencrypt จะพบกับเมนูดังภาพนี้ครับ

    ผมเลือกตอบตัว “n” จะพบกับเมนูให้เลือกด้านล่างนี้ (สำหรับผู้ที่มีความชำนาญ สามารถเลือก M เพื่อเปิด advanced option ได้ครับ)

    และเนื่องจากเครื่องที่แสดงอยู่นี้ เป็น multiple site และผมจะทำการติดตั้งลงไปเพียง 1 site ตามนี้ครับ

    เลือก site จากนั้นกด Enter จะพบว่าโปรแกรมเริ่มทำการ Generate SSL Cert. และ Assign ไปยัง Site ของเรา พร้อมทั้งกำหนด Schedule Task เรียบร้อยแล้ว

    ลองดูผลลัพธ์ใน II

    ลองเปิดเว็บดู ผ่าน Google Chrome ปรากฎว่ามีรูปกุญแจขึ้นแล้วและเป็น Cert. ของ Let’s Encrypt ตามที่ต้องการ

    กลับไปตรวจสอบ Schedule Task พบว่ามีการสร้าง Task เพื่อ Renew Cert. เอาไว้แล้ว

    จบปิ๊ง…

  • Raspberry Pi 3 [Automated Relay Controller]

    ตอนที่แล้วเราได้ทดลองทำการสั่งงานรีเลย์แบบ Manual ผ่านหน้าเว็บไปแล้ว

    ครั้งนี้เราลองสั่งให้รีเลย์ทำงานโดยผ่านการประมวลผลค่าที่ได้จากเซนเซอร์ เพื่อให้ก้าวไปอีกขั้นของ IoT

     

    โดยเราจะใช้เซนเซอร์ที่เคยได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว นั่นคือ DHT22 Temperature & Humidity Sensor (ต่อที่ PIN: 32 [GPIO 12])
    และรีเลย์ 4 Channel ซึ่งสามารถนำไปต่อกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าได้ ต่อ PIN เดิมจากตอนที่แล้ว

     

    ความต้องการเบื้องต้นคือ
    1. เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าหรือเท่ากับ 28 องศา ให้เปิดพัดลมระบายอากาศ 1 (ที่ต่ออยู่กับ Relay 1)
    2. เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 28 องศา ให้ปิดพัดลมระบายอากาศ 1 และเปิดพัดลมระบายอากาศ 2 (ต่ออยู่กับ Relay 2)
    3. เมื่อความชื้นต่ำกว่า 50% ให้เปิดเครื่องสร้างความชื้น (Humidifier) (ต่ออยู่กับ Relay 3)  โดยไม่ต้องสนใจอุณหภูมิ

    เริ่มเขียนโค้ดเพื่อทำการประมวลผลกันเลย (โค้ดบางส่วน ได้อธิบายไว้ในตัวอย่างบทความก่อนหน้านี้แล้ว)

     

    ทำการติดตั้ง Library Adafruit จากบทความก่อนหน้านี้ Raspberry Pi 3 [Temperature & Humidity Sensor]

    จากนั้นทำการเขียน python ด้วยคำสั่ง

    sudo nano automated_relay.py

    ด้วยโค้ดต่อไปนี้

     

    import os
    import time
    import datetime

    while True :
     temperature = os.popen(‘sudo /home/pi/sources/Adafruit_Python_DHT/examples/AdafruitDHT.py 2302 12 | cut -c 6-7’).read()
     humidity = os.popen(‘sudo /home/pi/sources/Adafruit_Python_DHT/examples/AdafruitDHT.py 2302 12 | cut -c 22-23’).read()
     now = datetime.datetime.now()

     print ”
     print ”
     print now.strftime(“%d-%m-%Y %H:%M:%S”)
     print ‘Temperature: ‘ + temperature + ‘Humidity: ‘ + humidity

     if int(temperature) <= 28:
      os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_off.py 2’).read()
      os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_on.py 1’).read()
      print ‘Temperature below 28C ==> Relay 1: ON. Relay 2: OFF’
     else:
      os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_off.py 1’).read()
      os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_on.py 2’).read()
      print ‘Temperature above 28C ==> Relay 1: OFF. Relay 2: ON’

     if int(humidity) < 50:
      os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_on.py 3’).read()
      print ‘Humidity below 50% ==> Relay 3: ON’
     else:
      os.popen(‘sudo python /var/www/html/relay_off.py 3’).read()
      print ‘Humidity above 50% ==> Relay 3: OFF’

     time.sleep(5)

     

     

    จากนั้นเซฟและทดลองรันด้วยคำสั่ง python automated_relay.py

    พบว่ารีเลย์ทำงานได้ตามต้องการและได้ผลดังรูปนี้

    จากรูปด้านบน เมื่ออุณหภูมิอยู่ที่ 24 องศา ความชื้น 48% จะทำการ ON Relay 1 และ OFF Relay 2 และ ON Relay 3
    จากนั้นทำการรอไป 5 วินาที จากนั้นจึงอ่านค่าใหม่ วนแบบนี้เรื่อยๆ
    และเมื่อความชื้นสูงกว่า 50% ก็จะทำการ OFF Relay 3 ขึ้นมา โดยไม่ได้สนใจอุณหภูมิ
    จากนั้นเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 28 องศา ก็จะทำการ OFF Relay 1 และ ON Relay 2 ตามโปรแกรมที่เราเขียนเอาไว้

     

    โปรแกรมด้านบนนี้ เป็นโปรแกรมอย่างง่าย ซึ่งอาจจะมีข้อบกพร่อง (bug) อยู่หลายประการ เช่นการ initial state ของ relay ตอนเริ่มต้น, การแสดงผลบนหน้าจอ เป็นต้น
    โดยท่านที่สนใจ สามารถนำไปปรับปรุงต่อได้ด้วยตัวเองครับ ผมต้องการเพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นถึง concept การทำงานเท่านั้น

     

    การนำไปประยุกต์ใช้ ขึ้นอยู่กับความต้องการเป็นหลัก ซึ่งมีเซนเซอร์ให้เลือกใช้มากมาย เช่น

    • หากเราต้องการให้เปิดไฟเมื่อมีคนเดินผ่าน เราสามารถใช้ Passive Infrared Sensor (PIR) มาจับความเคลื่อนไหวและความร้อนของวัตถุ (จากรังสี Infrared ที่ปล่อยออกมา) และนำไป Trig Relay ได้ทันที
    • ระบบรดน้ำอัตโนมัติ เมื่ออุณหภูมิหรือความชื้นหรือเวลา ตรงกับเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ ให้ Trig Relay ที่ต่อกับ Solinoid Valve (วาล์วน้ำไฟฟ้า ที่จะเปิดเมื่อมีไฟไหลผ่าน) เพื่อรดน้ำต้นไม้
    • ระบบระบายความร้อน หรือ HVAC ที่จะทำงานตามเงื่อนไขอุณหภูมิและความชื้น โดยสามารถโปรแกรมให้มีการเปรียบเทียบอุณหภูมิจากภายในและภายนอก ให้พัดลมระบายอากาศทำงานตามที่กำหนด
    • ฯลฯ

     

    จากบทความเรื่อง Raspberry PI ทั้งหมดที่เขียนมา จะเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่นกับอุปกรณ์ Input/output เท่านั้น ซึ่งแท้จริงๆแล้ว Raspberry PI นั้นมีความสามารถมากกว่านี้อีกเยอะ ซึ่งหากว่าท่านต้องการทำแค่ระบบ Automation หรือ IoT ในบ้านง่ายๆ ยังมี Solution อื่น ที่ประหยัดงบประมาณมากกว่านี้คือการเลือกใช้ Arduino Board ซึ่งจะเป็นการทำงานแบบ Microcontroller เข้ามาทำงานในส่วนประมวลผลง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ที่สำคัญหรือราคาถูกกว่าครึ่ง (เฉพาะบอร์ด)

     

    ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ

    ขอบคุณครับ

     

     

     

     

     

     

  • Raspberry Pi 3 [Relay Control via Web Interface]

    ตอนนี้เราจะมาสร้างหน้าเว็บสำหรับดูสถานะและควบคุมรีเลย์อย่างง่ายๆ

     

    ก่อนอื่น ผมได้ทำการเปลี่ยน PIN ของ GPIO บน Raspberry Pi 3 เพื่อให้เป็นระเบียบมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว
    โดยผมได้เลือกใช้ PIN: 12 (GPIO 18), PIN: 16 (GPIO 23), PIN: 18 (GPIO 24) และ PIN: 22 (GPIO 25) สำหรับสั่งงานรีเลย์ตัวที่ 1-4 ตามลำดับ ดังรูปด้านล่างนี้

     

    หลังจากการทดสอบการทำงานของรีเลย์ทุกตัว (ในบทความที่แล้ว) จากนั้นเราจึงเริ่มขึ้นตอนการติดตั้ง Apache Web Server, PHP และเขียนหน้าเว็บ ดังขั้นตอนต่อไปนี้ครับ

     

    ติดตั้ง Apache Web Server และ PHP ดังนี้

    ใช้คำสั่ง sudo apt-get install apache2 เพื่อติดต้ัง apache web server

    (หากขึ้นว่า Package apache2 is not available ให้ใช้คำสั่ง sudo nano /etc/apt/sources.list  จากนั้น uncomment บันทัดสุดท้าย เซฟไฟล์และใช้คำสั่ง sudo apt-get update เมื่อเรียบร้อยแล้วให้ลองใช้คำสั่งด้านบนอีกครั้ง)

    จากนั้นทดสอบเปิดเว็บด้วย

    http://localhost/ หรือ http://{RASPBERRY_IP}/

     

    จากนั้นติดตั้ง PHP5 Module สำหรับ Apache

    sudo apt-get install php libapache2-mod-php

     

    เมื่อเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้คำสั่งต่อไปนี้

    cd /var/www/html

    เนื่องจากไฟล์ index.html จะมีเจ้าของเป็น root ทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้ ให้ใช้คำสั่งเปลี่ยน owner ดังนี้

    sudo chown pi: index.html

    จากนั้นทำการลบไฟล์ index.html เพราะเราไม่ใช้

    ใช้คำสั่ง sudo nano index.php เพื่อสร้างไฟล์และเขียนโค้ดต่อไปนี้ เพื่อทดสอบการทำงานของ php

    <?php phpinfo(); ?>

    และลองเปิดหน้าเว็บดู จะพบกับหน้านี้ ถือว่าติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว

     

    จากนั้นเพิ่ม user ของ apache นั่นคือ www-data ให้สามารถใช้คำสั่ง sudo ได้ ด้วยวิธีการต่อไปนี้

    sudo nano /etc/sudoers

    จากนั้นเพิ่มบันทัดต่อไปนี้ลงไปท้ายสุด

    www-data ALL=(ALL) NOPASSWD: ALL

    และเพื่อความสะดวก ทุกท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ที่ผมได้ทำเอาไว้แล้ว ==> relay_control_via_web.zip
    (สามารถแก้ไขรูปแบบการแสดงผลให้สวยงามขึ้นได้ในภายหลังได้ด้วยตัวท่านเอง) และทำการ copy file ไปไว้ที่ /var/www/html

     

    โดยหลักการทำงานคือ

    เมื่อมีการเปิดหน้าเว็บขึ้นมา จะเรียกไฟล์ index.html และจะทำการ post ajax firstcheck.php เพื่อทำการตรวจสอบสถานะของรีเลย์ (ซึ่งภายใน firstcheck.php จะเป็นการเรียกคำสั่ง python firstcheck.py และส่งค่ากลับเป็น json)

    เมื่อมีการสั่งงานรีเลย์ จะทำการ post ajax changestate.php โดยที่ไปเรียกคำสั่ง relay_off หรือ relay_on (มี parameter คือชุดของรีเลย์ ที่ได้ทำการเซฟค่า BCM GPIO ID เอาไว้ในไฟล์ .py ดังกล่าวแล้ว) เพื่อเป็นการสั่งให้รีเลย์ดังกล่าว ทำงาน

    (เพื่อความปลอดภัย ในกรณีที่ท่านต้องการแยกไฟล์ .py ออกจาก web root directory /var/www/html ท่านสามารถทำได้ โดยท่านจะต้องทำการแก้ไขไฟล์ .php ให้เรียก path ที่ถูกต้อง – และตรวจสอบ permission execute ของไฟล์สำหรับ user: www-data ด้วย)

     

    ทดสอบลองเปิดหน้าเว็บ
    (เว็บถูกพัฒนาขึ้นด้วย bootstrap ดังนั้น จะสามารถใช้งานผ่านหน้าจอมือถือได้ทันที เพียงเรียก http://RASPBERRY_IP/)

             
    ทดสอบการแสดงผลและการสั่งงานบน Google Chrome ทั้งบน iOS และ PC

     

    สำหรับตอนหน้า จะเป็นการสั่งงานรีเลย์ด้วยระบบอัตโนมัติตามค่าที่ได้จากเซนเซอร์ภายนอก ซึ่งจะเป็นการประยุกต์ใช้ทั้งส่วนการ Input จากเซนเซอร์และ Output ไปยังรีเลย์
    เช่น เมื่ออุณหภูมิถึง 30 องศา ให้เปิดพัดลมระบายอากาศ เป็นต้น

     

    ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ

    ขอบคุณครับ

  • Raspberry Pi 3 [Relay Control]

    จากตอนที่แล้ว เราได้ลองต่อเซนเซอร์ภายนอก ซึ่งเซนเซอร์จะเป็นประเภท Input เพื่อนำข้อมูลไปประมวลผลต่อตามที่เราต้องการ

    ยังมีอุปกรณ์บางตัวที่เราสามารถต่อเป็น Output จาก Raspberry Pi ได้ด้วย

    ซึ่งหนึ่งในนั้นจะเป็นอุปกรณ์หลักที่นำมาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย นั่นคือ รีเลย์ (Relay) – (ไม่ใช่ Delay นะครับ กรุณาอย่าสับสน)

     

    Relay คืออะไร

    Relay ถ้าให้พูดจากความเข้าใจคือ สวิตซ์ ประเภทหนึ่งครับ ที่จะทำงานตามกระแสไฟ นั่นคือ เมื่อมีกระแสไฟไปเหนี่ยวนำภายใน สวิตซ์ก็จะทำงาน (Energize)
    (พูดให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่งคือ เหมือนสวิตซ์ตามผนังนี่แหละครับ แต่แทนที่จะเอามือไปกด เราก็ใช้กระแสไฟเข้าไปให้มันทำงานแทนนั่นเอง)
    และในบางครั้ง ในระบบไฟฟ้ากำลัง อาจจะเรียกอุปกรณ์นี้ว่า Magnetic Contactor ซึ่งเป็นหลักการทำงานแบบเดียวกันครับ

    (ขออภัย หากรูปจะไม่ถูกต้องตามหลักการเป๊ะๆ เพราะวาดจากความเข้าใจ)

    จากในรูปด้านบนนี้
    DC+, DC- คือ ไฟที่เราจะจ่ายให้ขดลวดแม่เหล็ก (ตาม spec ของ relay) เพื่อจะไปทำให้สวิตซ์ Relay ทำงาน
    โดยที่ขา
    C = Common ขาที่ต้องการให้กระแสไฟมารออยู่ หรือ กระแสไหลกลับ
    NC = Normal Close เมื่อไม่มีไฟจ่ายที่ขดลวดแม่เหล็ก ขา C และ NC จะเชื่อมต่อถึงกันอยู่
    NO = Normal Open จะทำงานเมื่อมีไฟจ่ายมาที่ขดลวดแม่เหล็ก จะทำให้ขา C และ NO นั้น เชื่อมถึงกัน และทำให้ขา C ขาดการเชื่อมกับ NC

    วิธีการอ่านสเปครีเลย์ (ตัวสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินในรูปด้านบน)
    – 5VDC คือไฟที่เราจ่ายเพื่อให้รีเลย์ทำงาน (Energize)
    – 10A 250VAC คือ หน้าคอนแทคทนกระแสได้ 10A ที่ 250V AC
    – 15A 125VAC คือ หน้าคอนแทคทนกระแสได้ 15A ที่ 125V AC

     

    รีเลย์ที่จะเอามาใช้กับ Raspberry Pi ควรจะเป็นรีเลย์ที่ทำงานด้วยไฟ 5V เพราะจะได้ต่อ +5V และ GND ออกจากบอร์ดของ Raspberry Pi ได้เลย ซึ่งรีเลย์ก็จะมีด้วยกันสองแบบคือ Active Low และ Active High นั่นคือ…

    – Active Low รีเลย์จะทำงานเมื่อมีการจ่าย Logic Low เข้ามา (จ่าย GND เข้ามา)
    – Active High รีเลย์จะทำงานเมื่อมีการจ่าย Logic High เข้ามา (จ่าย +5V เข้ามา)

    รีเลย์บางรุ่นรองรับทั้งสองแบบ แต่จะมี Jumper ให้เซ็ตว่าต้องการทำงานในแบบไหน

     

    ** ถ้าหากไม่รู้จริงๆ ก็ลองเขียนโปรแกรมตามด้านล่าง เพื่อทดสอบได้ครับ ไม่พัง จ่ายผิด รีเลย์ก็แค่ไม่ทำงานครับ **

    ** รุ่นที่ผมนำเอามาใช้งาน จะเป็น Active Low นั่นคือจ่าย GND หรือ Logic 0 (เลขศูนย์) เพื่อให้รีเลย์ทำงาน **

     

    การเชื่อมต่อนั้นไม่ยากครับ

    GND ต่อกับ GND ของ Raspberry Pi
    VCC ต่อกับ +5V ของ Raspberry Pi
    IN1…4 ต่อกับ GPIO ขาที่ว่างอยู่ โดยดูจาก Pinout ของ Raspberry Pi ครับ

    โดยผมเลือกที่จะเชื่อมต่อขาของ Raspberry Pi ดังนี้

    ขาที่ [2] เพื่อจ่าย +5V ให้กับรีเลย์
    ขาที่ [6] เพื่อจ่าย GND
    ขาที่ [29] GPIO 5 เพื่อควบคุม Relay 1
    ขาที่ [31] GPIO 6 เพื่อควบคุม Relay 2
    ขาที่ [33] GPIO 13 เพื่อควบคุม Relay 3
    ขาที่ [37] GPIO 26 เพื่อควบคุม Relay 4

    ** ไม่จำเป็นต้องต่อให้ครบ ต่อเท่าที่ใช้ก็ได้ **
    ** ในตลาด มีรีเลย์หลายรุ่นทั้งแบบ 1 ตัว, 4 ตัว, 8 ตัว, 16 ตัว ให้เลือกใช้ตามความต้องการได้เลยครับ **

     

    เมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว ก็ Power ON ตัว Raspberry Pi ขึ้นมาเลยครับ จากนั้นลองเขียน Python สั่งงานดู ตามด้านล่างนี้เลยครับ

    เปิด Terminal จากนั้นใช้คำสั่ง

    mkdir projects/relay

    cd projects/relay

    sudo nano test_cycle.py

    เราจะมาลองเขียนให้ on relay 1 ถึง 4 จากนั้นตามด้วย off relay 1 ถึง 4 เพื่อเป็นการทดสอบ Logic ว่ารีเลย์ทำงาน ดังนี้ครับ

    import RPi.GPIO as GPIO
    import time

    GPIO.setmode(GPIO.BCM)
    GPIO.setwarnings(False)

    pins = [5, 6, 13, 26] #เป็น array
    GPIO.setup(pins, GPIO.OUT, initial = GPIO.HIGH)

    time.sleep(1)

    for pin in pins :
     GPIO.output(pin,  GPIO.HIGH)
     print(“PIN: ” + str(pin) + ” is 1 (GPIO.HIGH)”)
     time.sleep(5)
     GPIO.output(pin,  GPIO.LOW)
            print(“PIN: ” + str(pin) + ” is 0 (GPIO.LOW)”)
            time.sleep(5)

    GPIO.cleanup()
    print “Cleaned up relays”

    อธิบายโค้ดคร่าวๆ ดังนี้

    GPIO.setmode(GPIO.BCM) #มีสองแบบคือ GPIO.BCM ใช้ GPIO ID และ GPIO.BOARD ใช้ PIN NUMBER

    GPIO.setwarnings(False) #เพื่อไม่ให้ show warning ของ relay เช่น สถานะเก่าค้างอยู่ เป็นต้น

    pins = [5, 6, 13, 26] #เป็น array ตาม setmode

    GPIO.setup(pins, GPIO.OUT, initial = GPIO.HIGH) #เซ็ตอัพ pins ให้เป็นการทำงานแบบ output (เนื่องจาก gpio สามารถเป็นได้ทั้ง input และ output) และ relay ที่เรามาต่อเป็น Active LOW ซึ่งทำงานเมื่อจ่าย GPIO.LOW หรือ Logic 0 จึงเซ็ตค่าเริ่มต้นเป็น HIGH เอาไว้ไม่ให้ทำงานตอน setup (สามารถใช้ 1 แทน GPIO.HIGH ได้)

    GPIO.output(pin,  GPIO.LOW) #คือการสั่งจ่าย GPIO.LOW หรือ Logic 0 ให้กับ pin ที่เราต้องการ เพื่อให้ทำงาน (Energize)

     

    จากนั้นทดลองรัน ด้วยคำสั่ง python cycle.py

        

    ในระหว่างการทำงาน จะเห็นว่าเมื่อมีการจ่าย GPIO.HIGH หรือ Logic 1 ให้กับรีเลย์ จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
    และเมื่อจ่าย GPIO.LOW หรือ Logic 0 ให้กับรีเลย์ จะได้ยินเสียงรีเลย์ทำงาน และเห็นว่าไฟสถานะ LED ติดขึ้น

     

    เมื่อรีเลย์ทำงานแล้ว เราสามารถนำ Terminal ของ Relay ไปควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ (ตามพิกัดกระแสไฟสูงสุดของรีเลย์)
    ** การทำงานอุปกรณ์ไฟฟ้า (ถึงแม้จะเป็นไฟ 220V แรงต่ำ) ควรใช้ความระมัดระวัง **
    ** ควรทำการตัดกระแสไฟก่อนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง **

     

    วิธีการตรวจสอบช่องต่อของรีเลย์
    สามารถดูได้จากสัญลักษณ์ ทำให้เรารู้ว่าขาไหนคือ COM, NC หรือ NO (รีเลย์แต่ละตัวจะมี 3 ขา ส่วนใหญ่จะวาง pattern เหมือนกัน เพราะฉะนั้น หาขาแค่ตัวเดียวก็พอครับ)
    หรือจะใช้มัลติมิเตอร์วัด เพื่อความมั่นใจ โดยใช้วิธีการดังนี้

    เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ผมขอให้ขาที่ [1] คือขาด้านบน (ของรีเลย์แต่ละตัว) ขาที่ [2] คือ ขาตรงกลาง และขาที่ [3] คือขาด้านล่าง ตามในรูปครับ

    1.ใช้โหมดวัดความต้านทาน ลองดูว่าถ้าความต้านทานเป็น 0 (ปลายของโพรบแตะกัน) จะแสดงผลอย่างไร และถ้าไม่แตะกันจะเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นการทดสอบสายในตัว
    (ในรูปนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น การแสดงผลของมิเตอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น แตกต่างกัน ควรศึกษาและทำความเข้าใจในมิเตอร์ของท่าน)

     

    2.ทดสอบเอาปลายโพรบแตะขาที่ [2] [3] พบว่ามีความต้านทานเป็น 0 นั่นหมายถึงว่า สองช่องนี้ติดต่อกันได้ นั่นคือขา [2] และ [3] ทำงานแบบ NC

     

    3.ทำการ Energize Relay ตัวที่เราวัดขึ้นมา เพื่อหาขา COM และ NO จากในรูปด้านบนนี้ เห็นว่าขาที่เราเคยวัด [2] และ [3] กลายเป็น Open ไปแล้ว (นั่นคือ ขาทั้งสองไม่แตะกัน – ในรูปที่มัลติมิเตอร์ จะมีมีตัว M (Mega) ขึ้นมา นั่นคือความต้านทานเป็นล้านโอห์ม ซึ่งไม่สามารถวัดได้)

     

    4.Energize Relay ทิ้งเอาไว้แบบนั้น เปลี่ยนขาวัดเป็นขา [1] และ [2] ปรากฎว่าความต้านทานเป็น 0 นั่นคือ สองช่องนี้ ไฟสามารถเดินผ่านไปได้

     

    จะเห็นว่าขาที่ใช้ร่วมกันเมื่อรีเลย์ทำงานและไม่ทำงานนั่นคือขาที่ [2] ทำให้ขาที่ [2] คือขา COM นั่นเอง และขา [1] ก็คือขา NO และขา [3] ก็คือ NC ครับ
    เมื่อเราได้ขามาแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับการนำไปประยุกต์ใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการต่อขาแบบ COM กับ NO ครับ

     

    โดยจะมีเฉพาะเส้น L (Line) เท่านั้น ที่จะผ่านสวิตซ์รีเลย์ ส่วนสาย N (Neutral) สามารถต่อเข้าโหลดได้เลย ซึ่งโหลดอาจจะเป็นหลอดไฟ พัดลม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในพิกัดกระแสที่รีเลย์รับได้

     

    ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

    ป.ล. การสั่งงานแบบผ่าน command line ก็ไม่สะดวกนัก สำหรับตอนหน้า จะเป็นการสั่งงาน relay ผ่านทาง web interface และรีโมทเข้ามาผ่านทาง port 80 ได้ด้วยครับ

     

  • Raspberry Pi 3 [Temperature & Humidity Data Chart]

    จากตอนที่แล้ว เราได้เขียนคำสั่งเพื่อที่จะดึงค่าจากเซนเซอร์แล้ว

    ครั้งนี้จะเป็นการใช้วิธีดังค่าดังกล่าว มาเก็บไว้เป็นไฟล์ csv จากนั้นนำไปแสดงเป็นกราฟ โดยแสดงผลผ่าน Web Interface

    ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ครับ

     

    สร้างที่เก็บไฟล์ด้วยคำสั่งต่อไปนี้

    mkdir p /home/pi/projects/tempandhumidity
    mkdir p /home/pi/projects/tempandhumidity/sensorvalues
    cd /home/pi/projects/tempandhumidity

    (หากใครไม่ต้องการสร้าง directory เพื่อเก็บข้อมูลตามตัวอย่างนี้ ให้แก้ไฟล์ temp_hud_csv_log.py ด้วยครับ)

    จากนั้นดาวน์โหลดสคริปด้วยคำสั่งนี้

    wget https://sysadmin.psu.ac.th/wp-content/uploads/2018/03/temp_hud_csv_log.txt
    mv temp_hud_csv_log.txt temp_hud_csv_log.py

    (เนื่องจาก sysadmin นี้ไม่รองรับการอัพโหลดไฟล์ .py จึงต้องอัพโหลดเป็น .txt ไปก่อน แล้วค่อยเอามา rename เอาเอง)

     

    ตรวจสอบและติดตั้ง dependencies ด้วยคำสั่งนี้ sudo easy_install apscheduler และรอจนเสร็จ

          

     

    โดยค่า default สคริปนี้จะถูกเซ็ตให้เป็นเซนเซอร์ AM2302 และใช้ GPIO 4 ซึ่งถ้าหากเราใช้เซนเซอร์และขาคนละขากัน ให้เข้าไปแก้ไฟล์ temp_hud_csv_log.py

    จากนั้นเริ่มต้นการทำงานด้วยคำสั่ง sudo python temp_hud_csv_log.py

    รอซัก 2-3 นาที เราจะเห็นว่ามีไฟล์เกิดขึ้นใน sub folder ชื่อ sensor-values

     

    ต่อไปเราจะทำการอ่านค่าใน csv files ไปแสดงผลเป็นกราฟด้วย NVD3 charts for d3.js ใช้งานร่วมกับ node.js JavaScript ซึ่งรวมเว็บเซอร์เวอร์ node.js Express เอาไว้ในตัว (ซึ่ง node.js ได้ถูกติดตั้งเป็น official ใน raspberry pi image os file ซึ่งสามารถเช็คเวอร์ชั่นได้จากคำสั่ง node –version)

     

    ทำการดาวน์โหลด html file ใส่ไว้ในโฟลเดอร์ย่อย public ด้วยคำสั่งต่อไปนี้

    mkdir p /home/pi/projects/tempandhumidity/public
    cd /home/pi/projects/tempandhumidity/public
    wget https://sysadmin.psu.ac.th/wp-content/uploads/2018/03/index.txt
    mv index.txt index.html

    ท่านสามารถแก้ไขไฟล์ index.html ได้ ไม่ว่าจะเป็น Title, DateTime Format, สีตัวอักษร, สีพื้นหลัง และอื่นๆ ได้เลย

     

    จากนั้นติดตั้ง node.js script ด้วยคำสั่งต่อไปนี้

    cd /home/pi/projects/tempandhumidity
    wget https://sysadmin.psu.ac.th/wp-content/uploads/2018/03/nodejs_webserver_soapws.txt
    mv nodejs_webserver_soapws.txt nodejs_webserver_soapws.js

     

    และทำการติดตั้ง dependencies ของ node.js ด้วยคำสั่งต่อไปนี้

    npm install express
    npm install bodyparser
    npm install csvparse@1.1.0
    npm install glob

    ** ถ้ามีปัญหาในการเรียก npm เช่น command not found. ให้ติดตั้งด้วยคำสั่ง sudo apt-get install npm ได้เลย **
     ** เป็นการติดตั้งใน home folder ของตัวเอง เพราะงั้นไม่ต้องใช้ sudo นำหน้า npm ครับ **
    ** csv-parse ผมใช้เป็นเวอร์ชั่น 1.1.0 เนื่องจากเวอร์ชั่นใหม่ ลองคอมไพล์แล้วไม่ผ่าน **

     

    เมื่อเรียบร้อยแล้วลอง start web server service ด้วยคำสั่ง sudo node nodejswebserverwithsoapservices.js

    และลองเปิดเว็บด้วย http://[ไอพีของ Raspberry Pi]:9999/


    ** รูปนี้ผมเปิดจาก gui บน raspberry pi เลย จึงใช้ 127.0.0.1 **

     

    จากนั้นทำการแก้ไขให้รันสคริปอัตโนมัติเมื่อ boot ขึ้นมา

    ติดตั้ง forever เพื่อให้รัน background ด้วยคำสั่ง sudo npm g install forever

    จากนั้นแก้ไขไฟล์ /etc/rc.local ด้วยคำสั่ง sudo nano /etc/rc.local และเพิ่มบันทัดเหล่านี้ลงไป

    cd /home/pi/projects/tempandhumidity

    /usr/bin/sudo /usr/bin/python temp_hud_csv_log.py & /usr/bin/sudo /usr/local/bin/forever start nodejs_webserver_soapws.js

     

    เรียบร้อยครับ นอกนั้นจะเป็นการแก้ไข gui ซึ่งสามารถแก้เป็น html syntax ที่ไฟล์ index.html ได้เลย

    ในตัวอย่างด้านล่างนี้ ลองทิ้งไว้ 2-3 วัน (รวมเสาร์/อาทิตย์) จากนั้นเปิดกราฟดู จะเห็นว่าเป็นกราฟเริ่มมีข้อมูลเยอะแล้ว

    (ในตัวอย่าง เริ่มเก็บ 9 มีนาคม 13.54 น. – 12 มีนาคม 12.56 น.)

     

    เมื่อเอาเมาส์ไปชี้ที่กราฟ จะปรากฎค่านั้นๆ ด้วย

     

    และเมื่อลองเลือกช่วงวันดู จะปรากฎเป็นดังนี้


    วันที่ 10 มีนาคม ความชื้นจะลดลงในช่วงกลางวัน ตั้งแต่ประมาณ 7.15 น. เป็นต้นไป
    ซึ่งสวนทางกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจาก 27.9 องศา ไปสูงสุดที่ประมาณ 32 องศา

    วันที่ 12 มีนาคม (วันทำงาน) พบว่าอุณหภูมิและความชื้นลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเปิดแอร์ ที่เวลาประมาณ 8.45 น.
    จากนั้นจะสวิงตามรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ (แอร์ธรรมดา มิใช่ inverter แต่อย่างใด) ระหว่าง 22.4 – 25 องศา

     

    ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ ขอบคุณครับ

     

     

  • Raspberry Pi 3 [Temperature & Humidity Sensor]

    สวัสดีและขออภัยที่ห่างหายไป เนื่องจากติดภารกิจทั้งงานราษฏร์และงานหลวงครับ

     

    ครั้งนี้จะเป็นการเริ่มต่อเซนเซอร์ภายนอก เซนเซอร์พื้นฐานที่มีในปัจจุบันก็จะเป็นเซนเซอร์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น เซนเซอร์อุณหภูมิ, เซนเซอร์ความชื้นในอากาศ, เซนเซอร์ความชื้นในดิน, เซนเซอร์น้ำ (ทำงานเมื่อมีน้ำมาสัมผัสเซนเซอร์ – ใช้ตรวจเช็คฝนตก), เซนเซอร์แสง (สวิตซ์), เซนเซอร์ความเข้มแสง, เซนเซอร์วัด pH, เซนเซอร์ UV, เซนเซอร์วัดฝุ่นละอองในอากาศ, เซนเซอร์วัดความชื้นในดิน, เซนเซอร์วัดแรงสั่นสะเทือน และเซนเซอร์อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหลักการทำงานนั้นส่วนใหญ่จะเหมือนกันหมด คือการอ่านค่ามาจากเซนเซอร์ และนำค่านั้นมาแปรผลที่เราสามารถอ่านได้ง่าย

     

    บทความนี้จะเริ่มด้วยเซนเซอร์ที่ Basic ที่สุด เพื่อให้ทุกท่านพอจะได้เห็นหลักการทำงานและเป็นแนวทางในการเชื่อมต่อเซนเซอร์อ่นๆ ต่อไปครับ นั่นคือ เซนเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้น AM2302 (DHT22) นั่นเอง

    โดยจะมี Pinout ดังนี้ (จากซ้ายบน คือขาที่ 1)
    ขาที่ 1 คือ VCC รองรับ 3.6-6V
    ขาที่ 2 คือ Data
    ขาที่ 3 คือ NC (Normal Close)
    ขาที่ 4 คือ GND

    เราจะต้องทำการต่อ R (Resistor) ด้วย 4.7KOhm ระหว่างขา Data และ VCC ไว้เพื่อป้องกันการรับ/ส่ง ข้อมูลผิดพลาด

    ดังรูปนี้

    ซึ่งถ้าเกิดเราเอามาต่อกันภายนอก จะทำให้เกิดความไม่สวยงามแยะยุ่งยาก จึงขอแนะนำเป็นอุปกรณ์ที่ Built-In R ลงในบอร์ดเลย ดังตามที่กำลังจะนำเสนอให้ดูนี้

    จากนั้นเราทำการต่อสาย ซึ่งผมใช้ Jump Wire ตัวเมียทั้งสองฝั่ง เพื่อสะดวกในการต่อเข้ากับ GPIO ของ Raspberry Pi และเพื่ออนาคตสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย

    ** เนื่องจากมีแค่ 3 เส้น จึงไม่ได้เน้นว่ามีแดงต้องเป็น +5V, สีดำต้องเป็น GND แค่เสียบให้ถูกทั้งต้นและปลาย ก็พอแล้วครับ **

     

    จากนั้นทำการเสียบเข้าบอร์ด โดยดูจาก Diagram และผมเลือกต่อเข้าช่อง GPIO 4 (ขาที่ 7 – สายสีแดง ในรูป)

    ทำการประกอบลง Enclosure (ไม่จำเป็น) เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่าที่จะทำได้ จากนั้นทำการต่อสายและ Boot เครื่องครับ

     

    จากนั้นมาในส่วนของโปรแกรมกันครับ

    เริ่มทำการเขียน Python อย่างง่าย เพื่อที่จะดึงค่าอุณหภูมิและความชื้นมาแสดงบนหน้าจอ ดังนี้ครับ

     

    ทำการอัพเดทระบบด้วยคำสั่ง sudo apt-get update -y

     

    จากนั้นติดตั้ง dependency ที่ต้องใช้ด้วยคำสั่ง sudo aptget install y buildessential pythondev git

    (ถ้าใครติดตั้งมาก่อนในบทความก่อนหน้านี้ ก็ผ่านไปได้เลยครับ)

    จากนั้นทำการติดตั้ง Library จาก Adafruit (เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเขียน GPIO Connection เอง ซึ่งยุ่งยาก) ด้วยคำสั่งต่อไปนี้ครับ

    mkdir p /home/pi/sources
    cd /home/pi/sources
    git clone https://github.com/adafruit/Adafruit_Python_DHT.git
    cd Adafruit_Python_DHT
    sudo python setup.py install

          

    รอจนเสร็จเรียบร้อย

     

    จากนั้นทดลองเรียกค่าจากเซนเซอร์ด้วยคำสั่ง

    sudo /home/pi/sources/Adafruit_Python_DHT/examples/AdafruitDHT.py 2302 4

    โดย 2302 คือ ชนิดของเซนเซอร์และ 4 คือ GPIO ID (ดูจาก Pinout ของ Raspberry Pi และไม่ใช่เลขขานะครับ)
    ก็จะได้ค่ามาดังรูป

    ตามตัวอย่างด้านบนนี้ เป็นการใช้ Python Example ที่มีมากับ Library ที่เรา Clone มา
    อันที่จริงแล้วเราสามารถเขียน Python ให้สามารถเรียกค่าได้โดยง่ายเพียงไม่กี่บันทัด โดยผ่าน Python ดังนี้

    1. เข้า python interactive mode ด้วยคำสั่ง sudo python
    2. พิมพ์คำสั่งข้างล่างนี้ (ขึ้นบันทัดใหม่ด้วย Enter)

    import Adafruit_DHT
    humidity, temperature = Adafruit_DHT.read_retry(Adafruit_DHT.AM2302, 4)

    3. จากนั้นลองพิมพ์ temperature จะได้ค่าอุณหภูมิออกมา

    4. ลองพิมพ์ humidity จะได้ค่าความชื้นออกมา

    5. ออจาก python interactive mode ด้วยการกด Ctrl+D

     

    จะเป็นว่าการดึงค่ามาจากเซนเซอร์นั้น ไม่ได้ยากแต่อย่างใดเลย ครั้งหน้า จะเป็นการเก็บค่าอุณหภูมิและความชื้น นำไปแสดงบน Web Interface เป็นกราฟ เพื่อให้สามารถดูค่าและนำไปวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น ได้โปรดรอติดตามครับ

     

    ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ

     

     

     

  • Raspberry Pi 3 [LCD Text Display with Python]

    จากตอนที่แล้ว เราทำการเชื่อมต่อจอ LCD 16×2 และเขียน Basic Python ให้สามารถแสดงข้อความง่ายๆ ได้แล้ว

    ตอนนี้เราจะลองนำค่าที่อยู่ในตัว Raspberry Pi 3 มาแสดง เช่น

    Date & Time
    Network Adapter IP Address
    CPU Percentage Usage
    CPU Temperature
    Memory Total
    Memory Usage
    Memory Free
    Disk Total
    Disk Usage
    Disk Free

    เป็นต้น

     

    ** ส่วนตัวผมจะถนัดใช้ nano เป็น text editor นะครับ ส่วนท่านอื่นที่ไม่คล่อง จะใช้ผ่าน vi หรือ text editor บน gui ก็ไม่ว่ากันครับ **

    ** ไฟล์ทั้งหมดผม mkdir LCD เอาไว้บน home directory ของ user: pi ครับ **
    ซึ่งดาวน์โหลดตัวอย่าง ได้ที่นี่ จากนั้นนำไฟล์ RPi_LCD_Driver.py (จากตอนที่แล้ว) วางไว้ที่ directory เดียวกัน

     

    การแสดงวัน/เวลาบนหน้าจอ

    ใช้คำสั่งเพื่อสร้างไฟล์ sudo nano show_dt.py จากนั้นเขียนโค้ดตามด้านล่างนี้ครับ

     

    import RPi_I2C_Driver
    from datetime import datetime
    mylcd = RPi_I2C_Driver.lcd()

    while True:
        mylcd.lcd_display_string(“%s” %datetime.now().strftime(“%d/%m/%Y”), 1)
        mylcd.lcd_display_string(“%s” %datetime.now().strftime(“%H:%M:%S.%f”), 2)

     

    while True เนื่องจากต้องการให้รันแบบ infinite loop แสดงวันเวลาโดยที่

    %d แสดงวันที่
    %m แสดงเดือน
    %Y แสดงปี ค.ศ.

    %H แสดงหลักชั่วโมง
    %M แสดงหลักนาที
    %S แสดงหลักวินาที
    %f แสดง milli-seconds

     

    เมื่อทดลองรันด้วยคำสั่ง sudo python show_dt.py หน้าจอ LCD จะแสดงดังตัวอย่างข้างล่างนี้


    หลัก milli-seconds จะวิ่งเร็วมากจนหน้าจอแสดงไม่ทัน

    จากนั้นท่านจะเห็นว่าไม่สามารถพิมพ์คำสั่งอื่นๆ ที่ terminal ได้อีก เนื่องจากโปรแกรมรันอยู่นั่นเอง ให้ท่าน Ctrl+C ออกมา

     

    การแสดงค่า IP Address

    ใช้โค้ดด้านล่างนี้ พร้อมกับเซฟไว้ในชื่อ myip.py

     

    import RPi_I2C_Driver
    import socket

    mylcd = RPi_I2C_Driver.lcd()

    s = socket.socket(socket.AF_INET, socket.SOCK_DGRAM)
    s.connect((‘psu.ac.th’, 80))
    ip = s.getsockname()[0]
    s.close()

    mylcd.lcd_display_string(“IP Address:”, 1)
    mylcd.lcd_display_string(ip, 2)

     

    หน้าจอ LCD ก็จะแสดงข้อความดังนี้

    ** มีวิธีการเขียนแสดง ip address อีกหลายวิธี แต่ใช้วิธีนี้เนื่องจากเป็นวิธีที่จะได้ ip address ที่ใช้งานจริง เพราะในบางกรณีจะได้ loopback ip 127.0.0.1 แทน และในบางแบบ ก็สามารถระบุ interface เช่น eth0 หรือ wlan0 ได้ด้วย **

     

    ต่อจากนี้ไปจะเป็นการเขียนเพื่อแสดงค่า Environment ของเครื่อง (เช่นเดียวกับ Performance ใน Task Manager ของ Windows) และเนื่องจากหน้าจอ LCD มีขนาดจำกัด จึงได้เขียนให้มีการวนแสดงค่าต่างๆ ออกมาตามเวลาที่กำหนด

     

    ซึ่งเราจะต้องทำการอาศัย library ชื่อ python package ชื่อ psutil มาใช้เป็น library เพื่อดู process และเพื่อทำ system monitoring ครับ

     

    ทำการติดตั้ง psutil ด้วยคำสั่งต่อไปนี้

    sudo apt-get install build-essential python-dev python-pip

     

    จากนั้นทำการติดตั้ง psutil ด้วย PIP คำสั่ง

    sudo pip install psutil

     

    จากนั้นทำการทดสอบการติดตั้ง จะต้องไม่แสดง error ให้เห็น (ไม่แสดงอะไรเลยนั่นเอง)

    sudo python -c “import psutil”

     

    ตามตัวอย่างต่อไปนี้

     

    เมื่อเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านลองเขียนโค้ดตามด้านล่างนี้ จากนั้นเซฟไว้ในไฟล์ชื่อ resource_mon.py

     

    import os
    import time
    import socket
    import psutil
    import RPi_I2C_Driver

    mylcd = RPi_I2C_Driver.lcd()

    # Return CPU temperature as string
    def getCPUtemperature():
        res = os.popen(‘vcgencmd measure_temp’).readline()
        return(res.replace(“temp=”,””).replace(“‘C\n”,””))

    # Return RAM info (in kb)
    # [0]: total RAM
    # [1]: RAM in used
    # [2]: free RAM
    def getRAMinfo():
        p = os.popen(‘free’)
        i = 0
        while 1:
            i = i + 1
            line = p.readline()
            if i==2:
                return(line.split()[1:4])

    # Return disk info (with unit)
    # [0]: disk space total
    # [1]: disk space in used
    # [2]: disk space remaining
    # [3]: percentage of used space
    def getDiskInfo():
        p = os.popen(“df -h /”)
        i = 0
        while 1:
            i = i +1
            line = p.readline()
            if i==2:
                return(line.split()[1:5])

    #CPU Usage
    CPU_usage = str(psutil.cpu_percent(interval=1))

    # CPU Temp
    CPU_temp = getCPUtemperature()

    # RAM info (converted to MB)
    RAM_info = getRAMinfo()
    RAM_total = round(int(RAM_info[0]) / 1000,1)
    RAM_used = round(int(RAM_info[1]) / 1000,1)
    RAM_free = round(int(RAM_info[2]) / 1000,1)

    #Disk info
    DISK_info = getDiskInfo()
    DISK_total = DISK_info[0]
    DISK_free = DISK_info[2]
    DISK_perc = DISK_info[3]

    while True:
     mylcd.lcd_display_string(“CPU Temperature:”, 1)
     mylcd.lcd_display_string(CPU_temp + ” DegCelcius”, 2)
     time.sleep(5)
     mylcd.lcd_clear()
     mylcd.lcd_display_string(“CPU Usage:”, 1)
     mylcd.lcd_display_string (CPU_usage + “%”, 2)
     time.sleep(5)
     mylcd.lcd_clear()
     mylcd.lcd_display_string(“RAM Total/Used”, 1)
     mylcd.lcd_display_string(str(RAM_total) + ” / ” + str(RAM_used) + “MB”, 2)
     time.sleep(5)
     mylcd.lcd_clear()
     mylcd.lcd_display_string(“DISK Total/%Used”, 1)
     mylcd.lcd_display_string(str(DISK_total) + ” / ” + str(DISK_perc), 2)
     time.sleep(5)
     mylcd.lcd_clear()

     

    โดยในโค้ดนี้จะมีการเขียนแยก method และเขียนคำอธิบายเอาไว้ใน comment ของโค้ดให้แล้ว
    สามารถนำปรับการแสดงผลได้ตามที่ท่านต้องการครับ และเมื่อรันด้วยคำสั่ง sudo python resource_mon.py
    ก็จะพบกับหน้าจอวนไปเรื่อยๆ ดังนี้

               

    บนซ้าย แสดงอุณหภูมิ CPU
    บนขวา แสดง CPU Usage %
    ล่างซ้าย แสดงการใช้ RAM ทั้งหมด/ที่ใช้ไป
    ล่างขวา แสดงการใช้ DISK ทั้งหมด/%ที่ใช้ไป

               

     

    ท่านสามารถปรับค่าที่ต้องการให้แสดงได้ตามที่ต้องการ
    โดยค่าที่สามารถดึงมาใช้ได้ จะ comment เอาไว้ในโค้ดของ method ที่ทำการ assign ค่าให้กับตัวแปรมาแสดง

     

    ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ

     

    สำหรับตอนหน้า จะเป็นการเชื่อมกับเซนเซอร์ภายนอก

    จะเป็นเซนเซอร์อะไรนั้น ติดตามต่อตอนหน้า ในอีกระยะเวลาหนึ่ง

     

    สวัสดีครับ

  • Raspberry Pi 3 [Writing Text to 16×2 LCD]

    จากตอนที่แล้วเราได้ทำการเชื่อมต่อ hardware ซึ่งได้แก่ จอ LCD ขนาด 16×2 ผ่าน I2C Module ไปเรียบร้อยแล้วนั้น

    เราจะเริ่มทำการ Config I2C และเขียน Python เพื่อแสดงข้อความตัวอักษรอย่างง่าย

     

    Enable I2C Module

    เริ่มด้วยการ login เข้าสู่ Raspberry Pi และใช้คำสั่ง sudo raspi-config บนหน้าจอ Terminal

    จากนั้นเลือก 5 Interfacing Option และเลือก P5 I2C (Enable/Disable automatic loading…)

    ทำการคอนเฟิร์ม ด้วยการตอบ YES จากนั้น Reboot

     

    จากนั้นทำการอัพเดทไฟล์ /boot/config.txt ด้วยคำสั่ง sudo nano /boot/config.txt

    ใส่ข้อความ (หรือ uncomment) ต่อไปนี้

    dtparam=i2c1=on

    dtparam=i2c_arm=on

    จากนั้นทำการ reboot ครับ

     

    ลองใช้คำสั่ง sudo i2cdetect -y 1 เพื่อดูว่าเจอ I2C Module หรือไม่ ซึ่งผลที่ได้คือ address ของอุปกรณ์ (อาจแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง ซึ่งในที่นี้คือ address 0x3f นั่นเอง)

     

    จากนั้นทำการตรวจสอบว่ามีการติดตั้ง Python ไว้หรือยัง ด้วยการทดลองเรียกใช้ซะเลย ด้วยคำสั่ง

    python3 จะพบกับหน้าจอดังนี้ (ใช้คำสั่ง exit() เพื่อออกกลับไปยัง prompt เดิม)

    แต่ถ้าหากยังไม่เคยติดตั้ง ให้ติดตั้งด้วยคำสั่ง sudo apt-get install python ครับ

     

    เริ่มเขียน Python เพื่อแสดงตัวอักษรบน LCD กันเลย

    เนื่องจากเราไม่ใช่คนแรกในโลกที่ใช้งานส่วนนี้ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราจะทำการดาวน์โหลด library มาใช้งาน

    ซึ่ง ดาวน์โหลดได้ที่นี่ (ต้อง Extract Zip จะเจอไฟล์  RPi_I2C_Driver.py) โดยจะต้องทำการแก้ไข บันทัดที่ 54 ADDRESS = 0x3f ให้เป็น Address ของเราเอง (ต้นฉบับจากที่นี่ https://gist.github.com/DenisFromHR/cc863375a6e19dce359d)

     

    จากนั้นลองทำการเขียนกันดูครับ

    import RPi_I2C_Driver
    from time import *

    mylcd = RPi_I2C_Driver.lcd()
    mylcd.lcd_display_string(“Hello PSU !”, 1)

    เซฟไฟล์ชื่อ hello.py จากนั้นสั่งรันด้วยคำสั่ง python hello.py จะพบว่า LCD สามารถแสดงข้อความได้แล้ว

     

    คำสั่งพื้นฐานอื่นๆ ที่อาจต้องใช้ได้แก่

    mylcd.lcd_display_string(“Hello PSU !”, 2, 3) แสดงข้อความที่ row 2, column 3

    mylcd.lcd_clear() เพื่อเคลียร์หน้าจอ

    เป็นต้นครับ

     

    สำหรับตอนหน้า จะเป็นเรื่องของการแสดงข้อความอื่นๆ ในระบบ เช่น วัน/เวลา, IP Address, CPU/Memory/Disk Usage ครับ

     

    ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ