ซ่อน/แสดง คอลัมน์ใน ASP.NET GridView ด้วย jQuery

การแสดงผลข้อมูลใน Gridviews ในบางสถานการณ์เราต้องการซ่อนข้อมูลบางคอลัมน์ออกไปก่อนตามเงื่อนไขใดๆ และเมื่อเงื่อนไขเปลี่ยนเราก็จะแสดงข้อมูลในคอลัมน์ที่ถูกซ่อนนั้นออกมา ในบทความนี้ผู้เขียนจะแสดงตัวอย่างการ ซ่อน/แสดง คอลัมน์ใน ASP.NET GridView ด้วยชุดคำสั่ง jQuery โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เพิ่มโค้ด HTML ดังตัวอย่างด้างล่าง ซึ่งเป็นโค้ดที่แสดง Checkbox เพื่อใช้เลือกแสดงคอลัมน์ CallNo และ ASP.NET GridView ที่มีข้อมูล 5 คอลัมน์ 2. เพิ่มโค้ดใน event Page_Load ในหน้า code behind เพื่อจำลองข้อมูลที่จะใช้แสดงใน GridView เนื่องจากโค้ดตัวอย่างมีการใช้งาน class DataTable และ DataColumn ซึ่งอยู่ใน namespace System.Data เพราะฉะนั้นจะต้อง Import namespace นี้ด้วย 3. เพิ่มโค้ด jQuery เพื่อควบคุมการแสดง/ซ่อน คอลัมน์ เมื่อมีการคลิก เลือก/ยกเลิก เช็คบ๊อก (โดยในบทความนี้ผู้เขียนขออนุญาตข้ามขั้นตอนการติดตั้ง jQuery ออกไป) ทดสอบ run ก็จะได้ผลลัพธ์ดังรูปด้านล่าง และเมื่อคลิกเช็คบ๊อก Show CallNo ออก คอลัมน์ CallNo ใน Gridview ก็จะหายไป จากตัวอย่างโค้ดในบทความนี้ จะเห็นว่าการซ่อนหรือแสดงคอลัมน์ด้วย jQuery ไม่ได้มีความยุ่งยาก สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานของท่านได้ ซึ่งผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้น่าจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย สวัสดีครับ แหล่งข้อมูลอ้างอิง https://www.aspsnippets.com/Articles/Show-Hide-ASPNet-GridView-Columns-on-CheckBox-Checked-Unchecked-using-jQuery.aspx

Read More »

กำหนด Lexer สำหรับ Full Text Search บน ฐานข้อมูล Oracle เพื่อค้นหาภาษาไทยให้ถูกต้อง

เนื่องจากระบบสืบค้นที่ดูแลอยู่เจอปัญหาค้นหาเลขไทย “๑ ๒ ๓ …” ไม่เจอ หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าก่อนจะส่งคำสั่ง Query ไปยังฐานข้อมูลไม่ได้เผลอตัดเลขไทยออกที่ขั้นตอนไหน จึงทำการตรวจสอบคำสั่งที่ใช้ในการค้นหา พบว่าใช้ฟังก์ชัน SELECT * FROM THAI_LIBRARY WHERE CONTAINS(BOOK_NAME, ‘๑๐๐ ปีชาติไทย’, 1) > 0; จากคำสั่ง (ที่สมมุติขึ้น) ด้านบนจะเห็นได้ว่าใช้ CONTAINS ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่อยู่ในกลุ่ม Oracle Text ซึ่งฟังก์ชันนี้จะค้นหาคำใกล้เคียงจาก Index แล้วคืนค่า Score มาให้เราเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขพิจารณาว่าจะใช้ข้อมูลรายการนั้นหรือไม่ ที่มาภาพ ภาพด้านบนแสดงขั้นตอนการสร้าง Oracle Text Index เนื่องจากระบบจัดเก็บข้อมูลเป็น Text อยู่แล้วจึงไม่มีการกำหนด Fillter, Sectioner ทำให้จุดที่ต้องตรวจสอบว่า เลขไทยเราหายไปจาก Index ได้ยังไงเหลืออยู่คือ Lexer ที่จะเป็นตัวกำหนด Wordlist, Stoplist ในการทำ Index ต่อไป ไปดูว่ามี Lexer อะไรบ้าง จากตารางด้านบน เนื่องจากฐานข้อมูลของระบบที่ดูแลอยู่ประกอบไปด้วย ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เป็นหลัก และอาจจะมีภาษาอื่นๆปนอยู่ด้วย Lexer ที่น่าจะใช้ได้คือ AUTO_LEXER, MULTI_LEXER, WORLD_LEXER หลังจากได้ทดสอบกำหนดค่า Lexer ให้กับฐานข้อมูล และทดสอบค้นหาด้วย เลขไทย พบว่าจะต้องใช้ WORLD_LEXER จึงจะสามารถรองรับกรณีนี้ได้ โดยใช้คำสั่งดังนี้ EXEC CTX_DDL.CREATE_PREFERENCE(‘WorldLex’, ‘world_lexer’); DROP INDEX USER01.IDXFT_THAI_LIBRARY_BOOKNAME; CREATE INDEX USER01.IDXFT_THAI_LIBRARY_BOOKNAME ON USER01.THAI_LIBRARY(BOOK_NAME)INDEXTYPE IS CTXSYS.CONTEXTPARAMETERS(‘LEXER WorldLex STOPLIST CTXSYS.EMPTY_STOPLIST SYNC(ON COMMIT)’)NOPARALLEL; USER01 คือ User ของฐานข้อมูล Oracle THAI_LIBRARY คือ ชื่อตาราง BOOK_NAME คือ ชื่อคอลัมภ์ ที่ต้องการทำ Index IDXFT_THAI_LIBRARY_BOOKNAME ชื่อ ตาราง index ผลพลอยได้ จากการปรับในครั้งนี้พบว่าเดิมต้องทำการตัดคำให้เรียบร้อย (เนื่องจากค่า Default คือ Basic Lexer ที่แบ่งคำด้วยช่องว่างเท่านั้น) เพื่อค้นหา แต่เมื่อปรับ Lexer ให้ถูกต้องสามารถส่งคำค้นเป็นประโยคยาวๆ ไปค้นหาได้เลย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านที่ใช้งาน Full Text Search ของ Oracle และประสบปัญหาคล้ายๆกันนี้ครับ

Read More »

Bootstrap Modal Full Screen

หลายๆ ท่านที่เคยใช้งาน Bootstrap เป็น Frontend Framework น่าจะเคยใช้ modal กันมาบ้าง ซึ่ง modal เป็นจาวาสคลิปต์ปลั๊กอิน มีไว้สำหรับการแสดงผลข้อมูล ทั้งรูปภาพ ข้อความ หรือแบบฟอร์มรับข้อมูล ( html input form ) ในลักษณะป๊อปอัพ ซึ่ง modal ของ bootstrap สามารถแสดงผลได้หลายขนาด ทั้งแบบปกติ แบบเล็ก และแบบใหญ่ ขึ้นอยู่กับ class ที่เราสามารถระบุเพิ่มเข้าไปว่าต้องการให้แสดงผลเป็นแบบไหน ตัวอย่างโค้ด modal dialog และปุ่มสำหรับเปิด modal จะได้ผลลัพธ์ดังรูป ถ้าต้องการให้ modal แสดงผลใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง ให้ระบุ modal-lg modal-sm หลัง modal-dialog ดังตัวอย่าง ถ้าเราต้องการให้ modal สามารถแสดงผลแบบเต็มจอ (full screen) จะไม่สามารถทำได้ (อ้างอิงจากเวอร์ชัน 3.3 ที่ผู้เขียนใช้งาน แต่จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่าเวอร์ชัน 5.0 สามารถทำได้แล้ว) แต่เราจะใช้ความรู้ในเรื่อง css มาปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถแสดงผลได้ตามความต้องการ โดยเราจะต้องเพิ่ม css class ที่ระบุคุณสมบัติที่จำเป็น ดังตัวอย่าง ระบุ class fullscreen ไว้ด้านหลัง modal-dialog modal จะได้แสดงผลเต็มจอดังรูป และเพื่อให้การแสดงผล modal มีความยืดหยุ่นและมีการทำงานใกล้เคียงกับ dialog ของ Windows ทั่วไป คือสามารถขยายให้เป็น full screen และย่อให้กลับมาขนาดเท่าเดิม โดยสิ่งที่เราต้องทำเพิ่มคือ เพิ่มปุ่ม fullscreen เมื่อ modal แสดงผลอยู่ในสภาพปกติ เมื่อคลิกปุ่ม fullscreen จะเปลี่ยนการแสดงผล modal ให้เป็นแบบ fullscreen ซ่อนปุ่ม fullscreen และแสดงผลปุ่ม restore แทน เพิ่มปุ่ม restore เมื่อ modal แสดงผลในรูปแบบ fullscreen เมื่อคลิกปุ่ม restore จะเปลี่ยนการแสดงผล modal กลับไปเป็นสภาพปกติ ซ่อนปุ่ม restore และแสดงผลปุ่ม fullscreen แทน โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. เพิ่มปุ่ม fullscreen และปุ่ม restore ใน div class=”modal header” จะเห็นว่าปุ่มที่เพิ่มขึ้นมาจะมีการระบุชื่อ class “restore-dialog” และ “fullscreen-dialog” ซึ่งจะใช้ในการอ้างถึงในโค้ด jQuery ที่ใช้ควบคุมการทำงานเมื่อมีการคลิกปุ่มนั้นๆ 2. เนื่องจากผู้เขียนใช้ icon ที่อยู่ใน font awesome ดังนั้นจะต้องเพิ่ม link style sheet เพื่ออ้างไปถึงไฟล์ css ของ font awesome ภายนอกไซต์ที่กำลังพัฒนา (CDN) โดยไปเพิ่มไว้ใน tag <head></head> 3. เพิ่มชุดคำสั่ง jQuery 4. ทดสอบ ก็จะได้ผลลัพธ์ดังภาพ จะเห็นว่ามีปุ่ม fullscreen แสดงอยู่ เมื่อกด modal จะแสดงผลเป็น fullscreen ดังภาพ และเมื่อกดปุ่ม restore หน้าจอ modal ก็จะแสดงผลกลับไปเป็นเหมือนเดิม หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย น่าจะพอเป็นแนวทางให้ผู้อ่านนำไปประยุกต์ใช้กับงานของตัวเองนะครับ สวัสดีครับ แหล่งข้อมูลอ้างอิง https://www.jquery-az.com/minimize-maximize-modal-of-bootstrap-by-using-jquery-3-demos/ https://getbootstrap.com/docs/3.3/javascript/#modals

Read More »

จะทำอย่างไรให้สามารถดึงข้อมูลมาแสดงผลด้วย Progress bar โดยใช้ .Net (C#)

          จากบทความก่อนหน้านี้ ผู้เขียนได้แนะนำเกี่ยวกับ Progress bar และวิธีการใช้งานเบื้องต้นกันไปแล้ว ซึ่งใครที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ มาถึงในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอนำความรู้ดังกล่าวมาต่อยอดประยุกต์ใช้กับการทำงานจริงที่มีการดึงข้อมูลตอน Runtime มาแสดงผลด้วย Progress bar โดยผู้เขียนจะไม่ขอลงรายละเอียดในส่วนของการสร้างสไตล์ชีทและการกำหนดค่าต่างๆแล้ว แต่จะเน้นในส่วนของการดึงข้อมูลมาแสดงแทน โดยผู้เขียนจะพยายามยกตัวอย่างให้เห็นหลายแนว เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพในการนำไปใช้มากขึ้น ซึ่งแต่ละแบบจะต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ แบบแถบละสี ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล และจัดเตรียม Tag Html ที่จะใช้ในการแสดงผล 2. เมธอดในการแปลงค่าสไตล์ชีทเพื่อปรับสีตามจำนวนที่ส่งมาเป็นพารามิเตอร์ จากโค้ดข้างต้นจะเป็นการกำหนดสไตล์ชีทที่จะใช้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับจำนวนค่า % ที่ส่งมาเป็นพารามิเตอร์ โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง สีแดง ช่วงตั้งแต่ 0 – 25 % สีส้ม ช่วงตั้งแต่ 26 – 50 % สีฟ้า ช่วงตั้งแต่ 51 – 75 % สีเขียว ช่วงตั้งแต่ 76 – 100 % ตัวอย่างการเรียกใช้งาน ผลลัพธ์ แบบหลายสีในแถบเดียวกัน(แบบที่ 1)           โดยในตัวอย่างนี้ จะเป็นการแสดงข้อมูลจำนวนผลไม้เป็น % รวมในแถบ Progress bar เดียวกัน ซึ่งจะแยกตามสี และมีบอกจำนวนรวมถึงชื่อผลไม้ให้ทราบ อีกทั้งยังแสดงจำนวนรวมของผลไม้ทุกชนิดด้วย โดยมีวิธีการทำ ดังนี้ค่ะ ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล และจัดเตรียม Tag Html ที่จะใช้ในการแสดงผล           จากโค้ดตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าการสร้างแท็ก Html จะแตกต่างจากแบบแรก คือจะมีการสร้างใน <div class=\”progress\”> เดียวกัน ซึ่งมีหลักการคล้ายกับการสร้าง Progress bar อย่างง่ายหลายสีในแถบเดียวกันที่เคยกล่าวไว้แล้วในบทความก่อนหน้านั่นเอง ผลลัพธ์ แบบหลายสีในแถบเดียวกันและแสดงหลายแถบ Progress Bar(แบบที่ 2)           ในตัวอย่างนี้ เป็นการแสดงผลแถบสีแยกตามช่วงของข้อมูลบน Progress bar แต่ละแถบ โดยการแสดงผลจะแบ่งสีตามปริมาณข้อมูลในแต่ละช่วง ดังนี้ สีแดง ช่วงตั้งแต่ 0 – 25 % สีส้ม ช่วงตั้งแต่ 26 – 50 % สีฟ้า ช่วงตั้งแต่ 51 – 75 % สีเขียว ช่วงตั้งแต่ 76 – 100 % หากข้อมูลที่ต้องการแสดงผลตกอยู่ในช่วงใดก็จะมีการแสดงแถบสีนั้นขึ้นมาให้เห็นตามลำดับ โดยมีวิธีการทำต่อไปนี้ค่ะ ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล และจัดเตรียม Tag Html ที่จะใช้ในการแสดงผล 2. สร้างเมธอดที่ใช้ในการสร้างแท็ก Html ในการแสดงผลแถบสี ซึ่งในส่วนของกระบวนการคำนวณแถบสีจะไม่ขอลงในรายละเอียด แต่แสดงไว้ให้เห็นภาพการทำงานหลักๆเท่านั้น ดังนี้ค่ะ ผลลัพธ์ หมายเหตุ : จากตัวอย่างข้างต้น เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจการประยุกต์ใช้งาน และการทำงานร่วมกับ Progress bar เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งผู้อ่านสามารถดัดแปลง และมีวิธีการรวมถึงเทคนิคที่แตกต่างออกไปที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาเพื่อแสดงผลข้อมูล ขึ้นกับอัลกอริธึมของแต่ละท่าน           จากบทความนี้จะเห็นได้ว่า วิธีการดึงข้อมูลมาแสดงผลด้วย Progress bar แบบนี้ จะมีความยืดหยุ่นกว่าแบบที่มีการกำหนดค่าตายตัวในบทความก่อนหน้า อีกทั้งยังสามารถแสดงจำนวนแถบ Progress bar และสีได้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับข้อมูล การกำหนดเงื่อนไขในการแสดงผล และความต้องการของผู้พัฒนาที่จะดึงข้อมูลมาแสดงผลนั่นเอง และผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้ จะพอเป็นแนวทางในการนำไปใช้งานจริงให้กับทุกท่านได้นะคะ ขอบคุณค่ะ ^^ แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://bestjquery.com/tutorial/progress-bar/demo78/ https://www.jquery-az.com/boots/demo.php?ex=51.0_5

Read More »

มาทำความรู้จักและเรียนรู้การใช้งาน Progress bar ในเบื้องต้นกันเถอะ

          โดยปกติแล้วในการพัฒนาเว็บไซต์ของเรา คงมีบางเวลาที่เราอาจจะอยากแสดงผลข้อมูลของเราในรูปแบบของ Progress bar ซึ่งเป็นแถบของข้อมูล เพื่อเพิ่มมุมมองให้กับการแสดงผลให้ไม่น่าเบื่อจำเจแทนที่จะเป็นเพียงการแสดงผลตัวเลขเฉยๆ โดยเจ้า Progress bar นี้จะทำให้เราเห็นภาพได้ว่า ข้อมูลของเราได้ดำเนินการใกล้ถึงเป้าหมายแล้วหรือยัง ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ ดังนั้นในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำวิธีการใช้งาน Progress bar แบบเบื้องต้น โดยจะมีขั้นตอนง่ายๆ 3 ขั้นตอน ดังนี้ การกำหนสไตล์ชีท โดยเราจะใช้สไตล์ชีทเหล่านี้ เพื่อช่วยให้การแสดงผลของ Progress bar ของเราสวยงามมากยิ่งขึ้น ซึ่งการกำหนดสไตล์ชีทสามารถทำได้ 2 วิธี คือแบบที่กำหนดในไฟล์เลย หรือแยกเป็นไฟล์สไตล์ชีทต่างหากได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนขอแนะนำให้ทำเป็นแบบแยกไฟล์สไตล์ชีทออกมาต่างหากแล้วอ้างถึงจากไฟล์ที่เรียกใช้แทน เพื่อง่ายต่อการปรับปรุง และใช้งานในครั้งต่อไปค่ะ ไฟล์ Progress.css เพิ่มเติม : การอ้างอิงไฟล์สไตล์ชีทจากภายนอก โดยที่อยู่ของไฟล์ก็ขึ้นกับการระบุของแต่ละท่าน 2. การกำหนดพื้นที่ในการแสดงผล Progress bar ในส่วนของแท็ก body ในไฟล์ html คำอธิบาย : จากตัวอย่าง จะเห็นว่าเราสามารถปรับแต่งและใส่ข้อมูลให้กับ Progress bar 3 ส่วนคือ ข้อความบนแถบ Progress bar ได้ในส่วนของ Progress-title คือ <h3 class=”progress-title”>Basic Progress</h3> กำหนดความกว้างของ Progress bar ได้ผ่านทาง style-inline คือ style=”width:85%;” แสดงข้อความจำนวนของข้อมูลบนแถบ Progress bar คือ <div class=”progress-value“><span>85</span>%</div> นั่นเอง 3. การเรียกใช้งาน jQuery เพื่อการแสดงผล Progress bar ของเราให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนเลขที่แสดงตั้งแต่ 0 จนถึงจำนวนเลขนั้น เช่น หากเลขที่ต้องการแสดงคือ 60% ตัวเลขแสดงจำนวนดังกล่าวจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นโดยเริ่มจาก 0 จนถึง 60 นั่นเอง ผลลัพธ์ เพิ่มเติม           จากตัวอย่างข้างต้น จะเป็นการแสดงผล Progress bar แบบพื้นฐานอย่างง่าย เพียงเท่านี้ท่านก็จะสร้าง Progress bar ได้ด้วยตนเองแล้ว แต่หากท่านใดที่อยากเพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับ Progress bar ของท่าน ก็สามารถทำได้ดังตัวอย่างนี้ค่ะ1. ปรับแก้เพิ่มเติมในส่วนของการกำหนดพื้นที่ในการแสดงผล 2. เพิ่มสไตล์ชีทที่ใช้สำหรับเพิ่มสีสันให้กับ Progress bar ของเรา ผลลัพธ์           จากตัวอย่างข้างต้น จะเป็นวิธีการสร้าง Progress bar ที่มีการใส่สีสันให้กับแต่ละแถบเส้น แต่ลูกเล่นของการแสดงผล Progress bar ยังสามารถทำได้หลายแบบ ซึ่งผู้เขียนจะขอแนะนำอีกวิธี ซึ่งเป็นการสร้าง Progress bar แบบหลายสีในแถบเดียวกันโดยมีวิธีการเพิ่มเติม ดังนี้ค่ะ การกำหนดพื้นที่ในการแสดงผล Progress bar ในส่วนของแท็ก body ในไฟล์ html           จากโค้ดตัวอย่างข้างต้น จะสังเกตเห็นว่าการกำหนดค่าต่างๆจะมีลักษณะกับหลักการที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่จะแตกต่างกันตรงที่การแสดงผลหลายแถบสีในแถบเดียวกันจะมีการกำหนด progress bar ภายใต้แท็ก <div class=”progress”> เดียวกัน และหากต้องการกำหนดให้มีกี่แถบสีก็สามารถเพิ่มสี และกำหนดขนาดของแต่ละแถบสีได้ตามต้องการ ผลลัพธ์           โดยบทความนี้ก็ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแนะนำการใช้งาน รวมถึงลูกเล่นของ Progress bar ในเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากรูปแบบและการใช้งานของ Progress bar ยังมีให้เลือกใช้ เลือกลองกันอีกมากมายหลายแบบเลยนะคะ ผู้เขียนหวังว่าความรู้จากบทความนี้จะเป็นพื้นฐานและตัวช่วยให้กับนักพัฒนาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานของตนได้ไม่มากก็น้อยค่ะ ^^ แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://bestjquery.com/tutorial/progress-bar/demo78/ https://www.jquery-az.com/boots/demo.php?ex=51.0_5

Read More »