Day: July 14, 2017

  • ติดตั้ง Microsoft Office 2010 บน Linux Mint 18.2

         สวัสดีวันค่ะ… บล็อคนี้เราก็ยังคงอยู่กับ Linux Mint “Sonya” ที่มาพร้อมกับ Applicationพื้นฐานติดตั้งมาด้วย สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับ Linux ก็จะมีคำถามว่าแล้วโปรแกรมนี้ที่เคยใช้ในฝั่ง Windows มันมีให้ใช้ใน Linux มั้ย อย่างเช่น Microsoft Office อันนี้ Linux ก็มี LibreOffice ให้ใช้แทน และ LibreOffice Writer สามารถ Save เป็น นามสกุล .doc, .docx มาเปิดบน Windows ได้ แต่ Fonts อาจจะเพี้ยนๆหน่อยตอนเอามาเปิดบน Windows ก็มีทางเลือกให้เราติดตั้ง Fonts ที่ต้องการลงไป ดังภาพที่ 1

     

     

    ภาพที่1 ติดตั้ง Font บน Linux

    หรือไม่แน่ใจว่า Office ตัวอื่นจะประสบปัญหาอะไรไหมตอนเอาไปเปิดกับ Windows อยากได้โปรแกรมของ Microsoft Office ทั้งหมดเอาไปใช้เลย!! ก็ทำได้ ก่อนอื่นก็ต้องลง PlayOnLinux ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยให้สามารถใช้โปรแกรม Windows บน Linuxได้ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้ค่ะ

    Step1: ไปที่ Software Manager > Search Palyon… > Install > รอวนไปค่ะ ช้าเร็วขึ้นกับเน็ตด้วย ตามภาพที่ 2

    ภาพที่2 Install PlayOnLinux

    Step2: เปิดโปรแกรม PlayOnLinux ดังภาพที่ 3

    ภาพที่3 Open PlayOnLinux

    เมื่อรัน PlayOnLinux ขึ้นมา ให้กด Install ดังภาพที่ 4

    ภาพที่4 หน้าจอ PlayOnLinux 

    เลือกเมนู Office และเลือก Microsoft Office Version ที่ต้องการติดตั้ง ตามภาพที่ 5

    ภาพที่5 List Program in Office Category

    จากนั้นก็ Next Step ไปค่ะ ตามภาพที่ 6

    ภาพที่6 Installation Wizard

    ระหว่างทางนั้น ในเมื่อชีวิตเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ Error ตามภาพที่ 7 ก็มา  ตั้งสติแล้วก็ไปลง winbind ซะ!!!

    ภาพที่7 Fatal Error

    กลับมาลง Office กันอีกที Again & Again(ไปฟังเพลงปลอบใจพลางนะ) ถ้าคุณได้ไปต่อมันก็จะขึ้นให้ Browse ไปยังที่เก็บไฟล์ .exe ตามภาพที่ 8 กด Open ไปอีกหน้าจอ แล้วกด Next รอจนติดตั้งเสร็จ

    ภาพที่8 Setup File

    ในที่สุดก็ติดตั้งเสร็จ จะแสดงผลลัพธ์ดังภาพที่ 9  ซึ่ง Shortcut ถูกสร้างไว้บน Desktop สามารถเรียกใช้ได้เลย ตามภาพที่ 10

    ภาพที่9 Installed Program

    ภาพที่10 Office Shortcut on Desktop

  • การเติมข้อมูล PDF Fill Form ผ่านโปรแกรมด้วย iTextSharp

    เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผมได้เข้าร่วมในโครงการที่ต้องพัฒนาโปรแกรมที่มีการกรอกข้อมูลลงฟอร์ม และต้องการให้พิมพ์ข้อมูลต่างๆเป็น PDF จึงได้มีโอกาสศึกษาการใช้ PDF Fill Form และ iText Sharp Library เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนา ผมจึงคิดว่าน่าจะเอาสิ่งที่ได้ศึกษามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อมีท่านใดสนใจจะนำไปใช้ครับ

    เริ่มต้นทำสร้าง PDF Fill Form

    โดยทั่วไปเราจะใช้งาน Pdf File เพื่ออ่านกันเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงๆแล้ว PDF นั้นสามารถจะสร้าง form สำหรับใช้กรอกข้อมูลลงบนตัวเอกสารได้ด้วยครับ โดยมีวิธีการดังนี้

    1.นำเอกสารแบบฟอร์ม ซึ่งเป็นไฟล์ word มาทำการสั่ง export  เป็นไฟล์ PDF หรือถ้ามีไฟล์ PDF ที่เป็นแบบฟอร์มอยู่แล้วก็สามารถนำมาใช้ได้เลย โดยทำตามภาพนะครับ

    2.นำไฟล์ PDF ที่ได้มา เปิดด้วยโปรแกรม Adobe Acrobat Pro

    3.คลิก Tools เพื่อทำการ edit โดยโปรแกรมจะถามว่าต้องการให้โปรแกรมสร้าง field อัตโนมัติให้หรือไม่ ถ้าตอบตกลงโปรแกรมจะสร้าง field ข้อมูลให้ในพื้นที่เอกสารที่คาดว่าจะเป็นช่องว่างสำหรับกรอกข้อมูลให้

    4.ทำการแก้ไขชื่อ field ข้อมูลให้เป็นชื่อที่เราต้องการ โดยคลิกเมาส์ขวาที่กล่อง field และเลือกเมนู property จะมี Popup ให้แก้ไขรายละเอียดต่างๆของ field

    5.หากต้องการเพิ่ม field ใหม่ เราสามารถเพิ่ม รูปแบบ field หลายแบบ เช่น

    – Text Box เป็น Field ที่ใช้เก็บข้อความต่างๆ

    – Check Box เป็น Field ที่ใช้เก็บค่าในการเลือกข้อมูลในฟอร์มแบบช่องสี่เหลี่ยม

    – Radio Box เป็น Field ที่ใช้เก็บค่าในการเลือกข้อมูลในฟอร์มเช่นกัน แต่จะแตกต่างกับ Check Box ที่เป็นวงกลม และจะเลือกค่าได้เพียงค่าเดียวในกลุ่มข้อมูลชุดเดียวกัน เช่น การกรอกข้อมูลเพศ ที่จะเลือกได้เพียงแค่เพศเดียว

    6.เมื่อสร้าง field จนครบถ้วนก็ทำการบันทึกไฟล์ คลิกเลือกไปที่เมนู File -> Save เพียงเท่านี้ก็จะได้ไฟล์ PDF ที่เป็นแบบฟอร์มส่งไปให้ผู้ใช้กรอกข้อมูล และบันทึกส่งเป็นไฟล์ PDF กลับมา

     

    ตัวอย่างการใช้ iText Sharp บน C# เติมค่าลงใน PDF Fill Form

    เพียงเท่านี้เราก็สามารถจะสามารถส่งข้อมูลจากโปรแกรมของเราไปกรอกในไฟล์ PDF ที่เราได้สร้างเป็น template ได้ พร้อมให้ user นำข้อมูลไปใช้ได้ทันทีครับ

  • การเรียกดูรายการ object ในฐานข้อมูล Oracle

    คำสั่งที่ใช้ในการเรียกดู รายการ object ในฐานข้อมูล Oracle

    • การเรียกดูรายการ object ทั้งหมดในฐานข้อมูล Oracle (เช่น table, view ฯลฯ)  สามารถเรียกดูได้จาก view ที่ชื่อว่า ALL_OBJECTS  ตัวอย่างคำสั่งคือที่ใช้เรียกดูคือ

     

    SELECT * FROM ALL_OBJECTS;

     

    โดยคำสั่งนี้จะแสดงรายการ object ทั้งหมดที่มี

     

    • แต่ในการใช้งานส่วนใหญ่ อาจจะต้องการเจาะจงดูแค่บางเงื่อนไข เช่น ต้องการดูรายการ table ทั้งหมด โดยเจาะจงแค่ schema ใด schema  หนึ่งเท่านั้น  ซึ่งสามารถใช้เงื่อนไขจากฟีลด์ต่อไปนี้ คือ
      • OBJECT_TYPE เป็นการเรียกดูตามเงื่อนไขของประเภท object เช่น หากต้องการดูเฉพาะ table จะใช้เงื่อนไขเป็น  WHERE OBJECT_TYPE = ‘TABLE’
      • OWNER เป็นการเรียกดูเฉพาะเจาะจง schema ใด schema  หนึ่ง เช่น ต้องการเรียกดูข้อมูลจาก schema ชื่อ SCOTT จะใช้เงื่อนไขเป็น WHERE OWNER = ‘SCOTT’
      • ตัวอย่างคำสั่งเต็ม ๆ กรณีที่ต้องการเรียกดูเฉพาะ table ทั้งหมดที่อยู่ใน schema ที่ชื่อ SCOTT

    SELECT * FROM ALL_OBJECTS WHERE OBJECT_TYPE=’TABLE’ AND OWNER=’SCOTT’;

     

    ตัวอย่างการนำไปใช้ประโยชน์

    เพื่อให้เห็นภาพการนำไปใช้งานจริง จึงขอยกตัวอย่างที่เคยใช้งาน คือ การสร้างสคริปต์คำสั่ง sql ที่อ้างอิงชื่อ table ที่อยู่ใน schema ใด schema หนึ่ง โดยในที่นี้จะยกตัวอย่างการ grant สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลของ schema หนึ่งไปให้กับอีก schema หนึ่ง

    • ที่มาที่ไปคือ ในบางครั้ง เราต้องการ grant สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลของ schema หนึ่งไปให้กับอีก schema หนึ่ง เช่น ต้องการ grant สิทธิ์การเรียกดูข้อมูลใน table ชื่อ TABLE01 ของ schema ที่ชื่อ SCHEMA01 ให้ schema ที่ชื่อ SCHEMA02 สามารถเรียกดูข้อมูลได้ คำสั่งที่ใช้ในการ grant คือGRANT SELECT ON SCHEMA01.TABLE01 TO SCHEMA02;
    • แต่หากต้องการ grant หลาย ๆ  table ก็ต้องพิมพ์คำสั่งเหล่านี้ทีละคำสั่งซ้ำๆ ไปจนครบตามชื่อ talbe ที่ต้องการ grant ซึ่งถ้า table ที่ต้องการ grant มีเป็นจำนวนมากก็จะยิ่งใช้เวลามากยิ่งขึ้น และอีกปัญหาคือ มีโอกาสพิมพ์ชื่อ table ผิด
    • เทคนิคในการสร้างสคริปต์เพื่อช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้นจะมีรูปแบบดังนี้คือSELECT ‘GRANT SELECT ON OWNER_SCHEMA.’ || OBJECT_NAME || ‘ TO OTHER_SCHEMA;’
      FROM ALL_OBJECTS
      WHERE OBJECT_TYPE = ‘TABLE’;

      เมื่อ

      • OWNER_SCHEMA คือชื่อของ schema ที่เป็นเจ้าของ table
      • OBJECT_NAME คือชื่อฟีลด์ที่อยู่ใน ALL_OBJECTS โดยเป็นข้อมูลของชื่อ object ซึ่งกรณีนี้คือชื่อของ table นั่นเอง
      • OTHER_SCHEMA คือชื่อของ schema ที่ได้รับการ grant สิทธิ์ให้เรียกดูข้อมูลใน table ของ OWNER_SCHEMA
      • WHERE OBJECT_TYPE = ‘TABLE’ เป็นการระบุเงื่อนไขว่าต้องการ object ที่เป็น table เท่านั้น

    ผลลัพธ์ที่ได้คือ

    GRANT SELECT ON OWNER_SCHEMA.TABLE01 TO OTHER_SCHEMA;

    GRANT SELECT ON OWNER_SCHEMA.TABLE02 TO OTHER_SCHEMA;

    GRANT SELECT ON OWNER_SCHEMA.TABLE03 TO OTHER_SCHEMA;

    GRANT SELECT ON OWNER_SCHEMA.TABLE04 TO OTHER_SCHEMA;

    …….

    …….

    …….

    GRANT SELECT ON OWNER_SCHEMA.TABLE99 TO OTHER_SCHEMA;

     

    โดยคำสั่งทั้งหมดจะเท่ากับจำนวน table ของ OWNER_SCHEMA นั่นเอง ซึ่งหากไม่ต้องการ grant table ไหนก็ลบคำสั่ง grant เฉพาะ table นั้นออกไปได้

    • จะเห็นว่าการใช้เทคนิคลักษณะนี้ จะทำให้สามารถสร้างสคริปต์คำสั่งที่มีลักษณะแบบเดียวกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และลดความผิดพลาดของการอ้างอิงชื่อ object ลงไปได้ด้วย
    • อ้างอิงข้อมูล https://docs.oracle.com/cd/B19306_01/server.102/b14237/statviews_2005.htm#i1583352

     

     

     

     

     

  • Unlimited multi level menu in mvc

    สวัสดีค่ะวันนี้เรามาว่ากันเรื่องเมนูกันดีกว่านะคะ คำว่าเมนู ผู้เขียนคิดว่าทุกคนต้องรู้จักแน่นอน เพราะในการพัฒนาแต่ละระบบนั้นส่วนใหญ่จะมีส่วนของงานหลายๆส่วน ทำให้มีการออกแบบหน้าจอการใช้งานหลายหน้าจอเพื่อรองรับการทำงานของระบบนั้น เมื่อส่งมอบระบบ แน่นอน!! ค่ะ ความต้องการของลูกค้าไม่หยุดแค่นั้นแน่นอน เมื่อความต้องการเพิ่ม การทำงานของหน้าจอก็เพิ่ม เมนูก็ต้องเพิ่มตามมาเช่นกัน ทำให้ผู้พัฒนาต้องไปแก้โค้ดในส่วนของเมนูทุกครั้งที่มีการเพิ่มเมนู การจัดหมวดหมูของเมนู หรือต้องการปรับเปลี่ยน path ที่ไปเรียกหน้าจอนั้นๆ แค่คิดก็ดูยุ่งยากต่อการจัดการแล้ว วันนี้ผู้เขียนจึงนำวิธีการออกแบบและพัฒนาในส่วนของเมนูที่ผู้เขียนได้ใช้พัฒนาใน MVC มาเป็นตัวอย่างให้ดูกันนะคะ สำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้ใช้ MVC ก็สามารถนำไปปรับเปลี่ยนได้ค่ะ หลังจากพัฒนาแล้วระบบก็จะสามารถ เพิ่มเมนู หรือเปลี่ยน path ของเมนู หรือ จัดการกลุ่มของเมนู ได้โดยไม่ต้อง publish ระบบ ทุกครั้งที่มีการแก้ไข ทำให้ง่ายและไม่เสียเวลาในการจัดการเลยค่ะ เรามาเริ่มกันเลยค่ะ ผู้เขียนขอแบ่งการพัฒนาเป็นสองส่วนนะคะ คือ
    1.การพัฒนาในฐานข้อมูล : ในส่วนของการออกแบบฐานข้อมูลผู้อ่านต้องออกแบบให้มีการเก็บ id ของ parent เพื่อระบุให้รู้ว่าเมนูตัวนี้เป็นลูกของเมนูตัวไหน

    ตัวอย่างการออกแบบฐานข้อมูลของเมนู

    คอลัมภ์ คำอธิบาย
     ParentID Id ของ parent
    MenuID Id ของเมนู
    MenuName ชื่อของเมนู

    2.การพัฒนาระบบ : เป็นการพัฒนาระบบผู้เขียนจะใช้วิธีการพัฒนาแบบใช้ Recursive เข้ามาจัดการในส่วนของการแสดงเมนู โดยข้อดีของ Recursive คือเราสามารถจัดการได้ทั้งส่วนที่มีเมนูย่อย และไม่มีเมนูย่อย

    ตัวอย่างในส่วนของ Recursive ที่ใช้ใน View เพื่อการแสดงเมนู ( MVC)

    @helper GetSubMenus(IEnumerable<menutable> siteMenu, Nullable<int> parentID)

    {

        foreach (var i in Model.Where(a => a.ParentID.Equals(parentID)))

        {

            var submenu = Model.Where(a => a.ParentID.Equals(i.MenuID)).Count();

     

            <li class=”@(submenu > 0 ? “dropdown-submenu” : “dropdown”)”>

                <a href=”@(!string.IsNullOrEmpty(i.MenuLink) ? Url.Content(i.MenuLink) : “~/default)” style=”font-size:16px;”>@i.MenuName</a>

                @if (submenu > 0)

                {

                    <ul class=”dropdown-menu”>

                        @GetSubMenus(siteMenu, i.MenuID)

                        @* Recursive  Call for Populate Sub items here*@

                    </ul>

                }

            </li>

        }

    }

     

    @{

        var mymenu = @Model;

        var menuParentID = mymenu.First().ParentID;

    @if (mymenu != null && mymenu.Count() > 0)

    {

        <nav class=”navbar navbar-default”>

            <div class=”container-fluid”>

                <div class=”collapse navbar-collapse” id=”bs-example-navbar-collapse-1″>

                    <ul class=” nav navbar-nav”>

                        @GetSubMenus(mymenu, menuParentID)

                    </ul>

                </div>

            </div>

        </nav>

    }

    ตัวอย่างหน้าจอของเมนูที่เรียกใช้ Recursive เพื่อจัดการเมนู

    จากรูปจะเป็นตัวอย่างของเมนูที่มีเมนูย่อย โดยมีเมนูหลักเป็น Parent ในรูป คือ testsub2 โดยมีลูก(Child) เป็น jar2 และ jar และ jar ก็เป็น Parent โดยมี testSub เป็นลูก(Child) อีกครั้ง จะเห็นว่าไม่ว่าจะต้องการให้มีเมนูย่อยแค่ไหน Recursive ก็สามารถทำเราง่ายในการจัดการมากขึ้น โดยไม่ต้องมา copy code วางหลายๆครั้งให้ยุ่งยากอีกต่อไปค่ะ และที่สำคัญในตัวอย่างเราจะดึงข้อมูลเมนูมาจากฐานข้อมูล ไม่ว่าเราจะเพิ่มเมนู หรือเปลี่ยน path หรือเพิ่มเมนูย่อยในเมนูหลักลงลึกแค่ไหน เราก็ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งแก้โค้ดในหน้าของเมนูอีกต่อไปแล้วนะคะ ผู้อ่านท่านใดมีการจัดเมนูหลายเมนู ลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ ขอบคุณค่ะ^^

     

     

     

    แหล่งอ้างอิง

    https://stackoverflow.com/questions/35326302/unlimited-multi-level-menu-in-mvc

     

     

     

  • Oracle: retrieve top n records for each group

    วิธีการเขียน Query เพื่อดึงข้อมูลข้อมูลสูงสุดหรือต่ำสุด N ลำดับแรกของแต่ละกลุ่มออกมาจากตาราง
    สมมติว่าเรามีข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่ซึ่งประกอบด้วย 5 ฟิลด์ข้อมูลดังตัวอย่างข้างล่าง
    ข้อมูล: ตาราง TEST_NEW_STUDENT เป็นตัวอย่างข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่จำนวน 773 รายการ

    โจทย์: ต้องการดึงข้อมูลนักศึกษาที่ได้คะแนนภาษาอังกฤษสูงสุดแยกตามคณะจากข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่จำนวน 773 รายการนี้

    เริ่มต้นด้วย query ดังนี้

    SELECT a.*,
    ROW_NUMBER ()
    OVER (PARTITION BY fac_id ORDER BY eng_score DESC)
    AS val_row_number
    FROM test_new_student a

    จุดสำคัญของ query ข้างต้นก็คือฟังก์ชัน ROW_NUMBER ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่จะให้เลขบรรทัดของผลลัพธ์ออกมาตามการจัดกลุ่มข้อมูลหรือการเรียงลำดับที่เรากำหนดไว้ด้วยคำสั่ง OVER, PARTITION BY และ ORDER BY ที่ตามมา

    จากตัวอย่างข้างต้นหมายความว่า เรากำลัง Select * จากตาราง TEST_NEW_STUDENT พร้อมกับดึงเลข ROW_NUMBER ออกมา โดยเป็นเลขบรรทัดที่ให้แบ่งกลุ่มด้วยคณะ และให้เรียงลำดับด้วยคะแนนภาษาอังกฤษจากมากไปน้อย ซึ่งผลที่ได้จะเป็นดังนี้

    สังเกตที่ฟิลด์ VAL_ROW_NUMBER จะเห็นว่ามันแสดงตามอันดับของคะแนนภาษาอังกฤษ และถูกแบ่งตามคณะอย่างเรียบร้อย แค่นี้เราก็สามารถที่จะ select เอา Top ที่เท่าไหร่ของแต่ละกลุ่มได้แล้ว โดยเลือกเอา VAL_ROW_NUMBER ที่ต้องการ ซึ่งสามารถทำได้โดยเขียน select…where ซ้อน query ข้างต้นเข้าไปอีกทีดังนี้

    SELECT *
    FROM (SELECT a.*,
    ROW_NUMBER ()
    OVER (PARTITION BY fac_id ORDER BY eng_score DESC)
    AS val_row_number
    FROM test_new_student a)
    WHERE val_row_number <= 1;

    ผลลัพธ์:

    สรุปจากความต้องการที่ตั้งไว้ เราสามารถแก้ได้โดยใช้ Window Function ซึ่งมันสามารถหาเลขลำดับบางอย่างภายในกลุ่มข้อมูลออกมาให้ได้รูปแบบทั่วไปของ query คือ

    1 SELECT *,
    2 WFUNCTION OVER (PARTITION BY GROUP_FIELDS ORDER BY ORDER_FIELDS) n
    3 FROM SOURCE

    โดยที่

    SOURCE คือตัวข้อมูล
    WFUNCTION  หมายถึง Window Function ตัวอย่างที่เราเลือกใช้คือ ROW_NUMBER()
    GROUP_FIELDS คือรายการฟิลด์ที่จะแบ่งกลุ่ม เขียนเหมือนตอนที่เราจะ group by สามารถแบ่งด้วยหลายฟิลด์ก็ได้
    ORDER_FIELDS คือรายการฟิลด์ที่ใช้เรียงลำดับ, สามารถเรียงด้วยหลายฟิลด์ก็ได้, ใส่ ASC หรือ DESC ได้เหมือนคำสั่ง order by ปกติเราไม่จำเป็นต้องใส่ทั้ง partition by และ order by อาจจะใส่แค่อันใดอันหนึ่ง แล้วแต่ว่าต้องการแบ่งกลุ่มหรือเรียงลำดับหรือไม่
    n เป็นชื่อ alias ของผลลัพธ์ จะตั้งชื่ออย่างไรก็ได้ เมื่อเราได้เลขลำดับ n ของแต่ละกลุ่มออกมาแล้ว ทีนี้จะเอาไปหา Top N หรือพลิกแพลงยังไง ก็แล้วแต่จะ query ออกมา

  • Oracle: retrieve top n records from a query

    Top-N queries เป็นวิธีการดึงข้อมูลสูงสุดหรือต่ำสุด N ลำดับแรกออกมาจากตาราง โดยวิธีการดึงข้อมูลแบบ Top-N นั้นมีได้หลายวิธี แต่ในบทความนี้จะนำเสนอวิธีการดึงข้อมูลแบบ Top-N records เพียง 3 วิธีการดังนี้

    1. Inline View and ROWNUM
    2. WITH Clause and ROWNUM
    3. ROW_NUMBER

     

    สมมติว่าเรามีข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่ซึ่งประกอบด้วย 5 ฟิลด์ข้อมูลดังตัวอย่างข้างล่าง
    ข้อมูล: ตาราง TEST_NEW_STUDENT เป็นตัวอย่างข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่จำนวน 773 รายการ

    โจทย์: ต้องการดึงข้อมูลนักศึกษาที่ได้คะแนนภาษาอังกฤษสูงสุด 5 อันดันแรกจากข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษของนักศึกษาใหม่จำนวน 773 รายการนี้

     

    เริ่มต้น Top-N query ตามลำดับเพื่อแก้โจทย์กันค่ะ

    Inline View and ROWNUM
    Classic Top-N style query

    SELECT a.*,rownum
    FROM (SELECT *
    FROM test_new_student
    ORDER BY eng_score desc) a
    WHERE ROWNUM <= 5;

    ผลลัพธ์:

    • จากผลลัพธ์ที่ได้ข้อมูลจะถูกจัดเรียงจากคะแนนจากมากไปน้อยก่อนด้วย ORDER BY clause และหลังจากนั้นก็จะจำกัดจำนวนข้อมูลที่ต้องการด้วย ROWNUM
    • Pseudocolumn ROWNUM เป็นค่าตัวเลขแสดงลำดับที่ของการดึงข้อมูลจากตาราง
    • กรณีที่ต้องการข้อมูลคะแนนภาษาอังกฤษต่ำสุด ใส่ ASC แทน DESC ตรง ORDER BY clause

     

    WITH Clause and ROWNUM
    จากตัวอย่างข้างต้นเรายังสามารถเขียน query ด้วย WITH clause แทนที่ inline view ได้ดังนี้

    WITH ordered_query AS
    (SELECT *
    FROM test_new_student
    ORDER BY eng_score desc)
    SELECT ordered_query.*,rownum
    FROM ordered_query
    WHERE rownum <= 5;

     

    ROW_NUMBER
    ฟังก์ชัน ROW_NUMBER เป็นฟังก์ชันที่กำหนดค่าลำดับของข้อมูลที่จัดเรียงตามข้อมูลที่กำหนดไว้ใน order_by_clause โดยจะมีค่าเริ่มต้นเท่ากับ 1 โดยเราจะมีวิธีการเขียน query ได้ดังนี้

    SELECT *
    FROM (SELECT a.*, row_number() OVER (ORDER BY eng_score DESC) AS val_row_number
    FROM test_new_student a)
    WHERE val_row_number <= 5;

    ผลลัพธ์:

    สังเกตที่ฟิลด์ VAL_ROW_NUMBER จะเห็นว่ามันแสดงตามอันดับของคะแนนภาษาอังกฤษแล้ว แค่นี้เราก็สามารถที่จะ select เอา Top ที่เท่าไหร่ได้แล้ว โดยเลือกเอา VAL_ROW_NUMBER ที่ต้องการ

  • เปลี่ยน ubuntu sources.list ก่อนสร้าง image ด้วย dockerfile

    การใช้งาน docker นั้นเราสามารถใช้ image จาก docker hub หรือเราจะสร้าง image ของเราเอง ซึ่งมีหลายวิธีในการสร้าง image แบบของเราเอง (custom) วิธีหนึ่งคือการใช้ dockerfile อย่างคร่าว ๆ คือ

    mkdir ~/mydocker
    cd ~/mydocker
    touch dockerfile
    docker built -t test_app:20170713 .
    docker images

    ในไฟล์ชื่อ dockerfile นี้จะมีไวยกรณ์ประมาณนี้

    # Image tag: test_app:20170713 <– บรรทัดนี้คือ comment
    FROM ubuntu:16.04 <– บรรทัดนี้คือ ไปเอา image ชื่อ ubuntu:16.04 จาก docker hub
    RUN apt-get update <– บรรทัดนี้คือ คำสั่งบอกว่าจะติดตั้ง หลังคำว่า RUN นั่นเอง
    RUN apt-get dist-upgrade -y
    RUN apt-get install -y apache2 libapache2-mod-php7.0 php7.0
    COPY …
    ADD …
    EXPOSE …
    CMD …
    และยังมี command อื่น ๆ อีก

    ทีนี้จากการที่ต้องลองผิดลองถูกบ่อย ๆ จึงพบว่า หากเราเพิ่มคำสั่ง 2 บรรทัดนี้เข้าไปก่อนบรรทัด RUN apt-get update ก็จะทำให้เราได้ใช้ ubuntu repository ที่ต้องการแทนค่า default ที่ archive.ubuntu.com เช่นต้องการให้มาใช้ th.archive.ubuntu.com ก็เขียนคำสั่งดังนี้

    RUN sed -i 's/\/us.archive/\/th.archive/g' /etc/apt/sources.list
    RUN sed -i 's/\/archive/\/th.archive/g' /etc/apt/sources.list

    ผลลัพธ์คือ หลังจากทำคำสั่ง docker built -t test_app:20170713 . จะเห็นว่าในขั้นตอนการ build นั้นจะดาวน์โหลดไฟล์ได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก

    จึงนำความรู้มาบอกกันครับ อ้อลืมบอกว่าบทความที่เขียนนี้ ผมทดสอบกับ docker version 17.06.0-ce ครับ

    อยากแนะนำความรู้เกี่ยวกับ docker ที่อ่านมา พบว่าน่าสนใจ ลองอ่านดูครับ อ่านง่าย

     

    บทความในต่างประเทศ

    1. How To Install and Use Docker on Ubuntu 16.04 (https://www.digitalocean.com/community/tutorials/how-to-install-and-use-docker-on-ubuntu-16-04)
    2. How to Build an Image with the Dockerfile (https://www.sitepoint.com/how-to-build-an-image-with-the-dockerfile/)
    3. Dockerfile reference (https://docs.docker.com/engine/reference/builder/)
    4. Best practices for writing Dockerfiles (https://docs.docker.com/engine/userguide/eng-image/dockerfile_best-practices/)
    5. How to update Docker image to maintain your containers secure  (https://bobcares.com/blog/update-docker-image/2/)
    6. How to upgrade docker container after its image changed
      (https://stackoverflow.com/questions/26734402/how-to-upgrade-docker-container-after-its-image-changed)
    7. Manage data in containers (https://docs.docker.com/engine/tutorials/dockervolumes/)