ทุกวันนี้อินเตอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร อยู่ที่ไหนในโลกนี้ก็สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าถึงโลกอินเตอร์เน็ตที่กว้างใหญ่ได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามภัยอันตรายที่แฝงอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยอันตรายที่มาจากมัลแวร์ชนิดหนึ่งที่มันจะมาจับเครื่องหรือไฟล์ของเราเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกค่าไถ่ มัลแวร์ชนิดนี้สร้างความตื่นตัวให้กับคนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยมาแล้ว ดังจะเห็นได้จากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในประเทศไทยได้มีการออกหนังสือราชการ ประกาศแจ้งเตือนให้เพิ่มความระมัดระวังในการเปิดอ่านไฟล์ที่แนบมากับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ให้มากยิ่งขึ้น มัลแวร์ที่ประสงค์ร้ายต่อข้อมูลในอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเราดังกล่าว จัดเป็นมัลแวร์ประเภท “Ransomware” หรือ “มัลแวร์เรียกค่าไถ่” มีเป้าหมายที่ตรวจพบการโจมตีแล้วทั้งในระบบปฏิบัติการ Window, Android, iOS และ Linux โดยแบ่งตามการทำงานออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเรานคือ Lock Screen Ransomware Ransomware รูปแบบนี้จะใช้ความสามารถของ Lock Screen ทำการล็อคหน้าจอหรือปิดกั้นการเข้าใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนของเหยื่อไว้ ไม่ให้สามารถเข้าถึงโปรแกรมต่าง ๆ และข้อมูลในเครื่องได้ พร้อมทั้งแสดงข้อความเรียกค่าไถ่เพื่อปลดล็อคดังรูปที่ 2 เป็นหน้าจอของสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android ที่ติด Ransomware ชื่อ iToper File Encrypting Ransomware เครื่องผู้ใช้งานที่ติด Ransomware ในรูปแบบนี้จะสามารถใช้งานอุปกรณ์ และเข้าถึงโปรแกรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ แต่ไฟล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์วีดีโอ หรือไฟล์รูปภาพ และอื่น ๆ จะถูกเข้ารหัสไว้ไม่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ จากนั้นจึงเรียกค่าไถ่โดยการทิ้งข้อความแสดงคำแนะนำวิธีการจ่ายเงินเพื่อแลกกับคีย์ที่ใช้ในการถอดรหัสไฟล์กลับคืนมาดังรูปที่ 3 เป็นตัวอย่างหน้าจอการเรียกค่าไถ่ของ Ransomware รูปแบบนี้ที่ชื่อ CryptoLocker สถิติการโจมตีของ Ransomware มีสถิติที่น่าสนใจจาก Solutionary ซึ่งเป็นบริษัทด้านความปลอดภัยในเครือ NTT Group ได้ออกรายงานสถิติการโจมตีของ Ransomware ที่ตรวจพบได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2016 พบว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุขเป็นหน่วยงานที่ถูกโจมตีมากที่สุดถึง 88% รองลงมาคือหน่วยงานด้านการศึกษา 6% และหน่วยงานด้านการเงิน 4% โดย Ransomware สายพันธ์ที่ตรวจพบมากที่สุดคือ CryptoWall คิดเป็น 94% รูปที่ 4 สถิติการโจมตีของ Ransomware ในไตรมาสที่ 2 ปี 2016 [ที่มา : https://www.helpnetsecurity.com/2016/07/27/ransomware-healthcare-industry ] ช่องทางการโจมตีของ Ransomware การโจมตีส่วนใหญ่จะมาทางอีเมล์หลอกลวงที่แนบไฟล์ Ransomware ไว้ โดยเนื้อหาในอีเมล์จะดึงดูดให้ผู้อ่านอยากคลิกเข้าไปอ่าน เช่น อีเมล์แจ้งเลขที่ใบสั่งซื้อสินค้า (OrderID) หากผู้ใช้ไม่คลิกไปเปิดไฟล์แนบ ก็อาจจะทำให้สูญเสียโอกาสทางการค้าได้ ซึ่งถ้าผู้ใช้คลิกเปิดไฟล์โดยไม่ระมัดระวัง ก็จะตกเป็นเหยื่อของ Ransomware ทันที ไฟล์แนบที่มากับอีเมล์จะเป็น zip file หากแตกไฟล์ออกมาก็จะพบไฟล์นามสกุล .doc, .xls, .ppt หรือไฟล์อื่นๆ ที่เราคุ้นเคย แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่านามสกุลของไฟล์จริง ๆ แล้วเป็น .exe เรียกเทคนิคการตั้งชื่อไฟล์แบบนี้ว่า Double Extensions โจมตีด้วยวิธี Social Engineering เป็นการหลอกผู้ใช้งานให้ดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งในเครื่อง เช่น ในขณะที่ใช้งานระบบลงทะเบียนเรียนออนไลน์ของมหาวิทยาลัย พบว่ามี Pop-up ขึ้นมาบอกว่า ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมเสริมมาติดตั้งเพื่อให้สามารถลงทะเบียนได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น ทั้ง ๆ ที่โปรแกรมนี้ไม่มีอยู่จริง หากผู้ใช้งานหลงเชื่อและทำการดาวน์โหลดมาติดตั้ง ไฟล์ต่าง ๆ ก็จะโดนจับเป็นตัวประกันทันที โจมตีทางช่องโหว่ของ Browser รวมถึง Add-on, Plug-in ต่าง ๆ เช่น Java, Flash และ Acrobat Reader เป็นต้น เทคนิคที่ File Encrypting Ransomware ใช้ในการเข้ารหัส Ransomware ส่วนใหญ่จะเข้ารหัสไฟล์โดยใช้ Asymmetric Key Algorithms ประกอบด้วยกุญแจ 2