Month: March 2016

  • การติดตั้งโปรแกรม ArcGIS 10.4 for Desktop (Trial)

    ArcGIS

    ArcGIS for Desktop เป็นซอฟต์แวรด้าน GIS สำหรับการสร้าง แก้ไข วิเคราะห์ จัดเก็บ และแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน ช่วยใช้ในการตัดสินใจ เพื่อประหยัดงบประมาณ เวลา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน สามารถแสดงผลได้ทั้งแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ

    ในการติดตั้งนี้จะเป็นแบบ Trial version ซึ่งจะมีอายุการใช้งานได้ 60 วัน หลังจากนั้นก็จะไม่สามารถเปิดโปรแกรมได้

    * สามารถติดตั้งได้ทั้งคอมพิวเตอร์ PC และ Notebook
    * การสมัครเพื่อขอรับรหัส EVA จะได้เพียง 1 account ต่อ 1 email ต่อการใช้งาน 60 วัน

    ความต้องการของระบบขั้นต่ำ

    1. ระบบปฏิบัติการ windows 64 bit
    2. CPU Minimum: Hyperthreaded dual core*
      Recommended: Quad core*
    1. RAM Minimum: 4 GB
      Recommended: 8 GB
      Optimal: 16 GB
    1. VGA 24-bit color
      Minimum: DirectX 9 (OpenGL 2.0)—compatible card with 512 MB RAM**
      Recommended: DirectX 11 (OpenGL 3.2)—compatible card with 2 GB RAM**
      Optimal: DirectX 11 (OpenGL 4.4)—compatible card with 4 GB RAM**
    1. Visualization cache up to 32 GB of space
    2. Disk space Minimum: 4 GB
      Recommended: 6 GB or higher
    1. Software Microsoft .NET Framework 4.5.1
      Internet Explorer 11

    การติดตั้งโปรแกรม ArcGIS

    1. เปิดหน้าเว็บไซต์ http://www.esri.com/software/arcgis/arcgis-for-desktop/free-trial
    2. กรอกข้อมูล > คลิกปุ่ม Start Trial เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม
      01
    1. ระบบส่งอีเมล์ของผู้สมัคร ให้เช็คอีเมล์แล้วทำการ Active เพื่อ set password ในการเข้าสู่ระบบ ArcGIS Online
      02
    2. เมื่อเช็คอีเมล์จะพบเมล์ใหม่ subject: Esri – Activate Your Free ArcGIS Trial ให้คลิกที่ลิงค์ เพื่อทำการ Active บัญชีผู้ใช้
      03
    1. เมื่อคลิก Active ลิงค์ในเมล์แล้ว จะเปิดหน้าต่างเว็บขึ้นมาเพื่อให้กรอกข้อมูลสำหรับการสร้างบัญชีผู้ใช้
      04
    2. คลิกปุ่ม บันทึกและดำเนินการต่อ
      05
    1. เสร็จสิ้นขั้นตอนการลงทะเบียน > คลิกปุ่ม ใช้แอพ
      06
    2. เข้าสู่หน้าเว็บสำหรับการดาวน์โหลดไฟล์โปรแกรม ให้คลิกดาวน์โหลด ArcMap และ
      ทำการ copy หมายเลขแสดงสิทธิ์การอนุญาตใช้งาน ArcMap เก็บไว้
      07
    3. รอการดาวน์โหลดไฟล์
      08
    1. ดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ ArcGIS_Desktop_104_exe เพื่อติดตั้งโปรแกรม
      09
    2. คลิกปุ่ม Next
      10
    1. คลิกปุ่ม Close และทำเครื่องหมายเลือก Launch the setup program เพื่อเริ่มติดตั้ง
      11
    1. คลิกปุ่ม Next
      12
    1. เลือก I accept the license agreement แล้วคลิกปุ่ม Next
      13
    1. เลือกติดตั้งแบบ Complete แล้วคลิกปุ่ม Next
      14
    1. คลิกปุ่ม Next ไปเรื่อยๆ
      15
    1. ติดตั้งโปรแกรม ArcGIS 10.4 for Desktop เสร็จแล้ว ให้คลิกปุ่ม Finish
      19
    1. จะปรากฏหน้าต่างสำหรับการ Authorize ขึ้นมาก

    เลือก Advanced(ArcInfo) Single Use แล้วคลิกปุ่ม Authorize Now
    20

    1. เลือก Authorize with Esri now using the Internet แล้วคลิกปุ่ม Next
      21
    2. ใส่ข้อมูลตามที่เคยสมัครผ่านเว็บไว้ก่อนหน้านี้ แล้วคลิกปุ่ม Next
      22
    1. เลือกใส่ข้อมูลตามรูปภาพ แล้วคลิกปุ่ม Next
      23
    2. จะปรากฏหน้าต่างให้ใส่รหัส ซึ่งได้จากการสมัครสมาชิกไว้แล้วก่อนหน้านี้ โดย Esri จะส่งรหัสนี้ให้ทางอีเมล์
      จากนั้นทำการ copy ไปวางไว้ในช่อง แล้วคลิกปุ่ม Next
      24
    1. เลือก I do not want to authorize any extensions at this time > คลิกปุ่ม Next
      25
    1. คลิกปุ่ม Next
      26
    1. รอการตรวจสอบ โดยในขั้นตอนนี้จะต้องทำการเชื่อต่ออินเตอร์เน็ต
    2. การตรวจสอบผ่านและเสร็จเรียบร้อยแล้ว คลิกปุ่ม Finish
      28
    1. จะปรากฏหน้าต่าง ArcGIS Administrator ขึ้นมา ให้คลิกปุ่ม OK
      29
    2. เมื่อติดตั้งโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้วให้เปิดโปรแกรม ArcMap4 > เลือกเมนู Customize > Extensions..
      30
    1. ทำเครื่องหมายเลือกทุก extensions เพื่อเป็นการเปิดใช้ Extensions ในโปรแกรม > คลิกปุ่ม Close
      31
    2. เสร็จเรียบร้อยสำหรับการติดตั้งโปรแกรม ArcGIS 10.4 for Desktop
      32

    *** ส่วนวิธีการใช้งาน ก็สามารถค้นหาได้ใน google นะคับ ^^
    *** หรือสามารถติดต่อขออบรมวิธีการใช้งานโปรแกรม ArcGIS ได้ที่ศูนย์ GIS มอ. ก็ได้เช่นกันนะคับ (http://www.rsgis.psu.ac.th เมนู บริการวิชาการ)
    *** หรือจะลงทะเบียนเรียน(รายวิชาสำหรับ ป.โท) ก็ได้เช่นกันนะคับ ^^

     

    อ้างอิง

    • http://www.esrith.com/
  • การนำเข้า Web Map Services บน Google Earth

    จากคราวที่แล้วพูดถึงเรื่อง การสร้างเว็บแผนที่จุดความร้อน(Hotspot) โดยใช้ WMS บน ArcGIS Server ไปแล้วนะคับ
    วันนี้เลยว่าจะมาพูดถึงเรื่อง การนำเข้า WMS บน Google Earth กันบ้าง เพราะปัจจุบันนี้ กระแส Web Map Service (WMS) กำลังมาแรงทีเดียวเชียว ซึ่งจะเห็นได้จากหลายๆหน่วยงานของรัฐที่จะมีการเผยแพร่ลิงค์ WMS ให้ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ต่อยอดกับงานด้าน GIS ได้ อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นปัจจุบันทันเหตุการณ์ เข้ากับยุคข้อมูลข่าวสารไร้พรหมแดนไร้ขอบเขตกันอีกด้วยนะครับ

     

    WMS ย่อมาจาก Web Map Service ถ้าจะให้อธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ การนำลิงค์ที่เว็บหรือหน่วยงานอื่นๆได้เผยแพร่ข้อมูลภูมิสารสนเทศ(GIS)ให้เรานำมาใช้นำเข้าชั้นข้อมูล เพื่อที่เราจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในงานด้าน GIS หรือเผยแพร่เป็นแผนที่ออนไลน์ ยกตัวอย่างเช่น เรานำ WMS จุดความร้อน(hotspot) ของ NASA มาจัดทำเป็นแผนที่ออนไลน์แสดงจุดความร้อน (โดยมีรายละเอียดในการทำเพิ่มเติมนิดหน่อย) แล้วมาแปะไว้ที่หน้าเว็บของเรา เป็นต้น

    ตัวอย่าง แผนที่แสดงจุดความร้อนทั่วโลก 2559 (updated every hour)

     

    ตัวอย่างหน่วยงานที่เผยแพร่ WMS

     

    *** ข้อดีของ WMS (Web Map Service) คือ จะเป็นการเชื่อต่อข้อมูลจากต้นทางมายังเว็บไซต์เรา โดยหากต้นทางมีการ update ข้อมูล ก็จะทำให้แผนที่ของเรา update ไปด้วยแบบอัตโนมัติ

    *** ข้อเสีย คือ หากเว็บต้นทางล่ม หรือยกเลิกการใช้งาน เว็บเราก็จะล่มไปด้วย (ไม่มีการแสดงผลทางหน้าเว็บ)

     

    โดยมีขั้นตอนดังนี้

    1. เข้าไปที่เว็บไซต์ https://firms.modaps.eosdis.nasa.gov/web-services/

    2. คลิกขวาที่ลิงค์ MODIS 1km > Copy link address

    01

    3. เปิดโปรแกรม Google Earth

    4. เพิ่มเลเยอร์ ภาพซ้อนทับ โดยสามารถเพิ่มด้วยการ

    • คลิกไอคอนบน Tools bar หรือ
    • คลิกขวาที่สถานที่ชั่วคราว > เพิ่ม > ภาพซ้อนทับ หรือ
    • คลิกที่เมนู เพิ่ม > ภาพซ้อนทับ ก็ได้เช่นกัน

    02

    5. แท็บ รีเฟรช > คลิกปุ่ม พารามิเตอร์ WMS

    03

    6. คลิกปุ่ม เพิ่ม… > วางลิงค์ที่คัดลอกมาจากเว็บ NASA จากข้อ 2 > คลิกปุ่ม ตกลง

    04

    7. เลเยอร์โปร่งใส จะแสดงรายการ ให้เลือกชั้นข้อมูลที่ต้องการ แล้วคลิกปุ่ม เพิ่ม ->

    05

    8. รายการที่เลือกจะแสดงในส่วนของเลเยอร์ที่เลือก จากนั้นคลิกปุ่ม ตกลง

    06

    9. ใส่ชื่อชั้นข้อมูล > คลิกปุ่ม ตกลง

    07

    10. จะแสดงข้อมูล Google Earth ตามรูป

    08

    *** ทางตอนกลาง ตอนบน และอีสานของไทยเรา มีความหนาแน่นของจุดความร้อนมากๆเลยนะคับ #ภัยแล้ง

    จากรูปจะเห็นได้ถึงการกระจายตัวหรือจุดความร้อนที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ในด้านต่างๆ ต่อไป อาทิเช่น ภัยแล้ง จุดเสี่ยงการเกิดไฟป่า เป็นต้น

    ___จะเห็นได้ว่า การเผยแพร่ข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์จะช่วยให้สามารถนำข้อมูลนั้นมากช่วยในการคิดและวิเคราะห์ ต่อยอดงานวิจัยต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น หน่วยงานท่านล่ะคับ มีอะไรที่อยากจะมาแชร์บ้าง? หรืออยากแชร์แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? คราวหน้าจะมาเขียนวิธีการทำ WMS เพื่อการเผยแพร่ให้นะคับ ^^

     

    สวัสดี—-

  • มาใช้งาน letsencrypt กันเถอะ

    สำหรับใครก็ตามที่มีความจำเป็นที่จะต้องดูแลเว็บเซิร์ฟเวอร์ในปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่าจะหลีกไม่พ้นที่จะต้องรู้เรื่องของการเซ็ตอัพให้เซิร์ฟเวอร์ที่ต้อดูแล สามารถใช้งานผ่านโปรโตคอล https ได้ นอกเหนือไปจากการใช้งานผ่านโปรโตคอล http ซึ่งเป็นโปรโตคอลมาตรฐานดั้งเดิม สำหรับการให้บริการเว็บเซิร์ฟเวอร์

    เอาล่ะ ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว งานที่ต้องเพิ่มขึ้นมาสำหรับการที่จะทำให้ เว็บเซิร์ฟเวอร์สามารถใช้ https ได้ ถ้าทำให้มันใช้ http ได้แล้ว โดยทั่วไปก็ไม่ได้ยุ่งยากมากขึ้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับเซอร์ติฟิเคท (certificate) ที่ใช้ด้วย แต่ว่ากันโดยทั่วไป ระบบที่มีผู้ใช้งานเยอะ ตัวติดตั้งซอฟต์แวร์ของระบบปฏิบัติการ ก็มักจะจัดเตรียมวิธีการตรงนี้ไว้ให้แล้ว เหลือแค่การเรียกใช้งานเพิ่มแค่ไม่กี่คำสั่ง ก็สามารถใช้งานได้เลย
    ขอยกตัวอย่างเลยก็แล้วกัน สำหรับระบบปฏิบัติการเดเบียนลินุกซ์ (Debian Linux) รุ่น เจสซี่ (jessie) และ ใช้งาน apache เวอร์ชัน 2 เป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์

    วิธีการติดตั้งตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์ก็คือ

    $ sudo apt-get install apache2

    เพียงเท่านี้ เราก็สามารถใช้งานเว็บเซิร์ฟเวอร์ สำหรับให้บริการแบบสแตติกไฟล์ และสามารถใช้สคริปต์แบบ CGI ได้แล้ว
    แล้วถ้าต้องการให้มันรองรับแบบไดนามิก โดยใช้ภาษา php ได้ด้วยล่ะ? ก็ไม่ได้ยากอะไร ก็เพียงเพิ่มโมดูลของ php เข้าไป โดยใช้คำสั่ง

    $ sudo apt-get install libapache2-mod-php5

    ตัวโปรแกรมสำหรับติดตั้ง (apt-get) ก็จะตรวจสอบ แพกเกจที่จำเป็นต้องใช้และยังไม่ได้ติิดตั้งเอาไว้ เช่น php5 แล้วก็ติดตั้งแพกเกจเหล่านั้นให้ด้วยเลยโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นเราก็สามารถสร้าง index.php ในไดเรคตอรี่ /var/www/html/ แล้วก็เขียนโปรแกรมภาษา php ให้บริการบนเว็บได้เลย

    ทีนี้ถ้าต้องการให้บริการเว็บ โดยใช้ https โปรโตคอลล่ะ เพื่อให้มีการเข้ารหัสข้อมูลที่มีการรับส่งระหว่าง ตัวเว็บเบราเซอร์ และ เว็บเซิร์ฟเวอร์ อันนี้ ไม่จำเป็นจะต้องติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เพราะตัว apache ติดตั้งให้โดยปริยายตั้งแต่แรกแล้ว แต่ ไม่ได้เปิดให้ใช้งานโดยอัตโนมัติ ผู้ดูแลระบบจะต้องสั่งเพิ่มว่า ให้เปิดบริการแบบ https ด้วย โดยใช้คำสั่งดังนี้

    $ sudo a2enmod ssl
    $ sudo a2ensite default-ssl

    และสั่ง restart ตัวเว็บเซิร์ฟเวอร์โดยใช้คำสั่ง

    $ sudo systemctl restart apache2

    เท่านี้ ก็จะสามารถใช้งาน https โปรโตคอลเพิ่มเติมขึ้นมาจากเดิม ที่ใช้งานได้เฉพาะ http โปรโตคอล

    แต่ … มันไม่ได้จบง่ายๆแค่นั้นน่ะสิ ถึงแม้ว่าการให้บริการจะโดยใช้ https โปรโตคอลจะมีการเข้ารหัสข้อมูลที่มีการรับส่งระหว่างตัวเบราเซอร์กับตัวเซิร์ฟเวอร์ แต่ เซอร์ติฟิเคท (certificate) สำหรับกุญแจที่ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลนั้น จะเป็นแบบที่เรียกว่า self-signed certificate ซึ่งตัวเบราเซอร์โดยทั่วไปจะ ไม่เชื่อถือ (un trusted) ว่าเป็นเซอร์ติฟิเคท ที่ออกให้กับเว็บไซท์ ที่ระบุว่าเป็นโดเมนนั้นๆจริง

    ในการใช้งานเว็บไซท์ที่ตัวกุญแจเข้ารหัสใช้ self-signed certificate ตัวเบราเซอร์ก็จะ “เตือน”, และสร้างความยุ่งยากในการใช้งานให้กับ ผู้ใช้ที่ต้องการเข้าใช้งานเว็บไซท์นั้นๆ

    นั่นอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร สำหรับเว็บไซท์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้บริการภายในหน่วยงานกันเอง ซึ่งผู้ใช้งานในหน่วยงาน อาจจะใช้วิธีการอื่นๆ เช่นเดินไปถาม, โทรศัพท์ไปถาม, ส่ง e-mail ไปถาม … หรือในกรณีที่เป็นจริงส่วนใหญ่ ก็คือ ไม่ต้องถาม ก็แค่กดปุ่มยอมรับความเสี่ยง ให้ตัวเบราเซอร์จำเซอร์ติฟิเคทนั้นไว้ แล้วก็ใช้งานไปแค่นั้นเอง

    แต่นั่น อาจจะเป็นปัญหาในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ถ้าเว็บไซท์ดังกล่าว เปิดให้บริการให้กับบุคคลภายนอกหน่วยงานด้วย

    ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเว็บไซต์ของภาควิชาใดภาควิชาหนึ่ง ในหลายๆคณะของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดให้บริการแบบ https ขึ้นมา และบุคคลภายนอก ซึ่งบุคคลภายนอกนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็น บุคคลภายนอกของมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งบุคคลากรของมหาวิทยาลัย แต่อยู่ต่างคณะ หรือแม้ต่างภาควิชา การที่จะตรวจสอบว่า เว็บดังกล่าว เป็นเว็บของหน่วยงานนั้นจริงๆ ก็เริ่มเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาระดับนึงแล้ว ถ้าต้องให้บริการกับบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยด้วย การที่จะตรวจสอบว่าเป็นเว็บของหน่วยงานนั้นๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่ ยุ่งยากเกินเหตุ … แน่นอน ในทางปฏิบัติ ใครที่จำเป็นจะต้องเว็บไซท์เหล่านั้น ก็คงจะต้องใช้ต่อไป ก็เพราะจำเป็นที่จะต้องใช้ ไม่ว่าตัวเบราเซอร์จะเตือนให้ระวังอย่างไร

    มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ในทางหนึ่ง มันเป็นการฝึกให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์ ยอมรับ ในความไม่ปลอดภัยที่อาจจะมี และ นำไปใช้งานกับเว็บไซท์อื่นๆด้วย

    ทางแก้ล่ะ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยาก “มาก” แต่อย่างใด ก็แค่หาเซอร์ติฟิเคทที่ยอมรับโดยตัวเบราเซอร์มาใช้งานแค่นั้นเอง

    อย่างไร? … ก็ … จ่ายตังค์ ซื้อ … 🙂

    นั่นอาจจะทำให้เป็นเรื่องยุ่งยาก “มาก” ขึ้นมาทันทีสำหรับ หลายๆหน่วยงาน (ฮา)

    สำหรับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อาจจะมีอีกหนึ่งทางเลือก นั่นคือว่า ถ้าเว็บไซท์ที่ผู้ดูแล มีโดเมนเป็น .psu.ac.th และไม่ได้เป็นโดเมนย่อยของ .psu.ac.th อีกที ตัวอย่างเช่น เว็บไซท์ www.psu.ac.th ถือว่าอยู่ในโดเมน .psu.ac.th แต่เว็บไซท์ www.coe.psu.ac.th จะอยู่ในโดเมนย่อย .coe ของ โดเมน .psu.ac.th อีกทีนึง

    สำหรับเว็บไซท์ ที่อยู่ภายใต้โดเมน .psu.ac.th และไม่ได้อยู่ในโดเมนย่อย ก็จะสามารถติดต่อทาง ผู้ดูแลระบบเครือข่ายของศูนย์คอมพิวเตอร์ เพื่อขอใช้เซอร์ติฟิเคทสำหรับเว็บไซท์นั้นได้ เนื่องจากศูนย์คอมพิวเตอร์ จะซื้อเซอร์ติฟิเคทแบบที่เรียกว่า wildcard สำหรับโดเมน .psu.ac.th ซึ่งจะสามารถออกใบเซอร์ติฟิเคทสำหรับเว็บไซท์ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โดเมนย่อยของ .psu.ac.th ให้ได้

    แล้วสำหรับผู้ดูแลของเว็บไซท์ ที่ไปขอเซอร์ติฟิเคทของศูนย์คอมพิวเตอร์มาใช้งานไม่ได้ล่ะ ไม่ว่าจะสาเหตุเนื่องจาก โดเมนที่ใช้อยู่เป็นโดเมนย่อยของ .psu.ac.th อีกที หรือ ใช้โดเมนอื่นอยู่ที่ไม่ใช่ .psu.ac.th ทำอย่างไรดี?

    ก็ … จ่ายตังค์ซื้อสิ … เฮ่ย ไม่ใช่!
    งั้น … ใช้ self-signed certificate ต่อ … เฮ้ย! … แล้วจะเขียนมาหาพระแสงของ้าว อะไร …

    โอเค อีกทางเลือกนึง ก็ตามที่เขียนไว้ในหัวข้อบทความน่ะแหละครับ มันมีทางเลือกที่เราจะใช้เซอร์ติฟิเคทที่รองรับโดยเบราเซอร์ทั่วไป และ ไม่ต้องจ่ายตังค์ นั่นคือใช้บริการของ letsencrypt ซึ่ง … ยังมีเรื่องที่ต้องพูดถึงกันอีกยาวพอสมควร และ โดยความขึ้เกียจของผู้เขียน ถ้าจะรอให้เขียนเสร็จเป็นบทความเดียวแล้วค่อยตีพิมพ์เลย ก็เดาได้ว่า คงจะไม่เสร็จแหละ สำหรับใครๆที่สนใจจะอ่านก่อนว่าขั้นตอนที่จะเอามาใช้งานทำได้อย่างไรบ้าง ก็เริ่มต้นจาก ที่นี่ https://letsencrypt.org/getting-started/ ได้ครับ

    ผมขอจบบทความนี้ ไว้แค่นี้ก่อน แล้วค่อยมาต่อ ภาค 2 (หวังว่า) ในเวลาอีกไม่นาน 🙂

  • รีวิวทดลองใช้ฟรี Google Cloud Platform สร้าง Web Server (LAMP)

    1. ไปที่  https://cloud.google.com/ คลิกลงชื่อเข้าใช้และล๊อกอินด้วย gmail (หรือ @psu.ac.th ก็ได้)

    image001

    (more…)

  • Spam 2/3/59

    จดหมายหลอกลวง สังเกตุ from และ to
    และการหลอกถามรหัสผ่านแบบ …. สิ้นคิด

    2016-03-02 08_42_09-PSU __ Webmail

    ส่วนอันนี้จากคุณสงกรานต์แจ้งมาครับ หลอกให้คลิกไฟล์แนบ ข้างใน Trojan ครับ คอยดักเก็บข้อมูลจากเครื่องของท่าน

    ใครเจอให้ลบทิ้งทันที ไม่ต้องลองเปิดนะครับ

    12804831_10204291062435780_4470881441801361379_n