Month: November 2015

  • วิธีการปิดช่องโหว่ Logjam,Freak,Poodle,Beast สำหรับ Lighttpd Web Server (Ubuntu 14.04 LTS)

    “จะทำอย่างไรทีดีกับช่องโหว่ SSL เยอะซะเหลือเกิน ปิดใช้แต่ TLS ก็ได้นิ นั่นสินะ”

    • อย่างที่ข้างบนกล่าวไว้ครับวิธีการปิดช่องโหว่นี้ทำง่าย ๆ แค่ปิด SSLv2 SSLv3 และปิด Cipher Suite ที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มเติม
    • ก่อนที่จะทำการปิดช่องโหว่ลองทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server ก็จะได้ดังรูปตัวอย่างนี้ (จะเห็นได้ว่ามีช่องโหว่หลายตัว)

    2015-11-11_134128

    • วิธีการปิด SSL ทำได้โดยแก้ไขไฟล์ /etc/lighttpd/conf-enabled/10-ssl.conf ดังนี้
      sudo vim /etc/lighttpd/conf-enabled/10-ssl.conf
    • ทำการแก้ไขไฟล์โดยทำการเพิ่มท้าย ๆ ไฟล์ ก่อนปิดวงเล็บดังนี้ (อย่าลืม comment cipher-list เดิมทิ้งก่อนนะครับ)
      ssl.use-compression = "disable"
      ssl.use-sslv2 = "disable"
      ssl.use-sslv3 = "disable"
      ssl.cipher-list = "EECDH+AESGCM:EDH+AESGCM:AES128+EECDH:AES128+EDH"
    • จากนั้นทำการ Restart Lighttpd Server ตามปกติ
      sudo /etc/init.d/lighttpd restart
    • ทำการทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server อีกครั้งก็ได้ดังรูป

    2015-11-11_140552

    • เป็นอันว่าเรียบร้อยครับ (เรื่อง Grade ไม่ต้อง Serious นะครับ ผมถือว่าเขียวหมดก็ถือว่าปลอดภัยแล้วครับ
    • สามารถอ่านวิธีแก้ไขช่องโหว่เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
      http://sysadmin.psu.ac.th/2015/11/10/serversecuritypatch
  • วิธีการปิดช่องโหว่ Logjam,Freak,Poodle,Beast สำหรับ Apache Web Server (Ubuntu 14.04 LTS)

    “จะทำอย่างไรทีดีกับช่องโหว่ SSL เยอะซะเหลือเกิน ปิดใช้แต่ TLS ก็ได้นิ นั่นสินะ”

    • อย่างที่ข้างบนกล่าวไว้ครับวิธีการปิดช่องโหว่นี้ทำง่าย ๆ แค่ปิด SSLv2 SSLv3 และปิด Cipher Suite ที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มเติม
    • ก่อนที่จะทำการปิดช่องโหว่ลองทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server ก็จะได้ดังรูปตัวอย่างนี้ (จะเห็นได้ว่ามีช่องโหว่หลายตัว)

    2015-11-11_131008

    • วิธีการปิด SSL ทำได้โดยแก้ไขไฟล์  /etc/apache2/mods-enabled/ssl.conf ดังนี้
      sudo vim /etc/apache2/mods-enabled/ssl.conf
    • ทำการแก้ไขไฟล์ดังนี้ (จะ Comment SSLCipherSuite กับ SSLProtocol แล้วเพิ่มตรงท้าย ๆ ก่อน tag ปิด </IfModule> ก็ได้ครับ)
      SSLCipherSuite ECDH+AESGCM:DH+AESGCM:ECDH+AES256:DH+AES256:ECDH+AES128:DH+AES:RSA+AESGCM:RSA+AES:!aNULL:!MD5:!DSS
      SSLHonorCipherOrder on
      SSLProtocol all -SSLv3 -SSLv2
      SSLCompression off
    • จากนั้นทำการ Restart Apache Server ตามปกติ
      sudo /etc/init.d/apache2 restart
    • ทำการทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server อีกครั้งก็ได้ดังรูป

    2015-11-11_132628

    • เป็นอันว่าเรียบร้อยครับ
    • ถ้าใครต้องการให้ได้คะแนนถึง A+ ให้ทำเพิ่มตามลิงก์ของคุณเกรียงไกรดังนี้ครับ (อ่านเฉพาะส่วนของการปรับ Header นะครับ)
      https://sysadmin.psu.ac.th/2014/12/18/เปลี่ยน-certificate
  • วิธีการปิดช่องโหว่ Logjam,Freak,Poodle,Beast สำหรับ Windows Server 2008 / 2008 R2 / 2012 / 2012 R2

    “จะทำอย่างไรทีดีกับช่องโหว่ SSL เยอะซะเหลือเกิน ปิดใช้แต่ TLS ก็ได้นิ นั่นสินะ”

    • อย่างที่ข้างบนกล่าวไว้ครับวิธีการปิดช่องโหว่นี้ทำง่าย ๆ แค่ปิด SSLv2 SSLv3 และปิด Cipher Suite ที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มเติม
    • ก่อนที่จะทำการปิดช่องโหว่ลองทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server ก็จะได้ดังรูปตัวอย่างนี้ (จะเห็นได้ว่า Grade ร้ายแรงมาก)

    2015-11-11_104537

    2015-11-11_054809 2015-11-11_054929

    • จากนั้นทำการ Reboot อีกครั้ง
    • ทำการทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server อีกครั้งก็ได้ดังรูป

    2015-11-11_112904

  • นโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 23 มีนาคม 2561

    นโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

     เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ผ่านความเห็นชอบการจัดทำแนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

    อ่านได้จากไฟล์ตามลิ้งค์นี้
    https://www.cc.psu.ac.th/pdf/PSU_IT_Sec_Policy_23Mar2018.pdf

    ซึ่งฉบับแรกผ่านเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 และล่าสุดทบทวนเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2561

    โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อยู่ในบันทึกลำดับที่ 99 จากทั้งหมด 154 หน่วยงาน ตามประกาศ
    http://www.etcommission.go.th/etc-annoucement-sp-p1.html

    เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่มีการทบทวนนโยบายตั้งแต่มีการเริ่มประกาศใช้

    ผู้ใช้ไอทีทุกระดับควรได้เปิดอ่าน ทำความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติความปลอดภัยไอที ม.อ. ทุกคนมีส่วนร่วมกันดูแล ครับ 😀

    ก้าวต่อไปเพื่อเพิ่มความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่บนระบบไอที ม.อ. จะได้จัดทำแนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของหน่วยงานของรัฐซึ่งตามข้อมูลเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2560 มีเพียง 14 หน่วยงานที่ผ่านความเห็นชอบแล้วตามประกาศ
    http://www.etcommission.go.th/etc-annoucement-dp.html

    และมุ่งไปสู่ความปลอดภัยไอทีของ ม.อ. ที่มีการดูแลอย่างใกล้ชิดตามแนวทาง Center for Internet Security : CIS Control v7
    ซึ่งผมได้เริ่มต้นแปลบางส่วน ให้ผู้สนใจเริ่มทำความคุ้นเคยได้จาก

    https://www.cc.psu.ac.th/pdf/CIS_Control_v7_1May2018.pdf

  • วิธีการปิดช่องโหว่ Logjam,Freak,Poodle,Beast สำหรับ Windows Server 2003 R2

    “จะทำอย่างไรทีดีกับช่องโหว่ SSL เยอะซะเหลือเกิน ปิดใช้แต่ TLS ก็ได้นิ นั่นสินะ”

    • อย่างที่ข้างบนกล่าวไว้ครับวิธีการปิดช่องโหว่นี้ทำง่าย ๆ แค่ปิด SSLv2 SSLv3 และปิด Cipher Suite ที่ไม่ปลอดภัยเพิ่มเติม
    • แต่สำหรับ Windows Server 2003 เนื่องจากไม่รองรับ Cipher Suite ที่ปลอดภัยบางตัว จึงต้องทำการรัน hotfix ก่อน โดยสามารถโหลดได้ที่นี่ (อย่าลืมเลือกให้ตรง platform x86 x64 นะครับ)
      https://support.microsoft.com/en-us/kb/948963
    • ก่อนจะรัน hotfix ลองทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server ก็จะได้ดังรูปตัวอย่างนี้ (จะเห็นได้ว่า Grade ร้ายแรงมาก)

    2015-11-11_053418

    • เมื่อโหลดไฟล์เรียบร้อยแล้วทำการแตก zip และ run ด้วยสิทธิ์ administrator ดังรูป

    2015-11-11_0537382015-11-11_053830

    • หลังจากนั้นเลือก Finish และทำการ Restart เครื่อง
    • จากนั้นทำการโหลดโปรแกรมจาก web https://www.nartac.com ดังนี้
      https://www.nartac.com/Downloads/IISCrypto/IISCrypto.exe
    • จากนั้นรันโปรแกรมดังรูป

    2015-11-11_054809 2015-11-11_054929

    • จากนั้นทำการ Reboot อีกครั้ง
    • ทำการทดสอบ test ความปลอดภัย ที่ website https://ssltest.psu.ac.th/server อีกครั้งก็ได้ดังรูป

    2015-11-11_055801

    • จะเห็นได้ว่ายังได้ Grade F (จริง ๆ ถ้าเป็น Windows 2008 R2 ขึ้นไปจะได้ A เนื่องจากรองรับ TLS 1.2) เนื่องจากช่องโหว่ POODLE(TLS) ไม่สามารถแก้ได้ เพราะจะแก้ได้ต้องปิด TLS 1.0 ใช้ TLS 1.2 ขึ้นไป ซึ่งจะ Windows 2003 และ Windows 2008 (ไม่มี R2) รองรับได้แค่ TLS 1.0 จึงแนะนำให้รีบเปลี่ยน Windows Server OS เป็น Windows 2008 R2 ขึ้นไปเพื่อความปลอดภัย

    2015-11-11_065251

    • จากรูปข้างบนซึ่งเป็น Windows 2003 เช่นกัน “สันนิษฐานว่า” อาจเพราะว่า เครื่องนี้ได้ Windows Update จึงทำให้ไม่มีช่องโหว่ ถ้า Update ถึงระดับนึง ทาง Microsoft น่าจะปิดช่องโหว่ POODLE (TLS) เรียบร้อยแล้ว
    • ต้องแยกกันนะครับระหว่างเปิด TLS 1.0 กับ มีช่องโหว่ เพราะมีอีกหลายปัจจัย เพราะ TLS เป็นแค่ Protocol แต่กระบวนการที่เหลือทั้งวิธีการเข้ารหัส วิธีการแลกเปลี่ยน Key เป็นปัจจัยหนี่งของช่องโหว่ รวมถึงช่องโหว่จากบริการในเครื่องที่ใช้ TLS 1.0 ในการรับส่งข้อมูล แต่ถ้าปิด Protocol ตั้งแต่ต้นก็จะมั่นใจได้มากกว่า เพราะไม่แน่ว่าอนาคตอาจมีช่องโหว่เกี่ยวกับ TLS 1.0 ออกมาอีก
    • แต่การปิด TLS 1.0 จะกระทบกับ Browser ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ window xp,vista
    • อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
      https://www.blognone.com/node/63653
      https://en.wikipedia.org/wiki/Template:TLS/SSL_support_history_of_web_browsers
    • สามารถอ่านวิธีแก้ไขช่องโหว่เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
      http://sysadmin.psu.ac.th/2015/11/10/serversecuritypatch
  • การแก้ไข Certificate สำหรับ Lighttpd Web Server (Ubuntu 14.04 LTS)

    “อยากแก้ Certificate บน Linux Lighttpd Server ทำอย่างไร”

      • ในกรณีที่มีไฟล์ Certificate อยู่แล้วให้ทำการวางไฟล์ Certificate ใหม่ทับแล้วสั่ง Restart Apache Server เป็นอันเสร็จครับ (สำหรับการเปลี่ยน Certificate มีแค่ขั้นตอนนี้จบเลยครับ)
      • ในกรณีที่ยังไม่ได้ติดตั้ง https รวมถึง Certificate ให้ทำการติดตั้ง https ก่อนดังนี้
        sudo lighttpd-enable-mod ssl
      • จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ
        sudo service lighttpd restart
      • ทำการวางไฟล์ Certificate ไว้ในตำแหน่งที่ Lighttpd สามารถเข้าถึงได้ ในกรณีที่ที่นี้ผมจะวางไว้ที่ /etc/cer
      • ในกรณีที่ได้มาเป็นไฟล์ .cer และไฟล์ .key มาต้องการทำไฟล์ .pem สามารถพิมพ์คำสั่งดังนี้
        sudo cat [file_cer_name].key [file_cer_name].crt > [file_cer_name].pem
      • ทำการแก้ไขไฟล์ 10-ssl.conf ดังนี้
        sudo vim /etc/lighttpd/conf-enabled/10-ssl.conf
      • โดยส่วนที่ทำการเปลี่ยนแปลงจะทำการเปลี่ยน 1 บรรทัดดังนี้
        ssl.pemfile = "/etc/cer/[file_cer_name].pem"
      • จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ
        sudo service lighttpd restart

    เป็นอันเสร็จครับ ง่ายมากจริง ๆ ครับ

  • การแก้ไข Certificate สำหรับ Apache Web Server (Ubuntu 14.04 LTS)

    “อยากแก้ Certificate บน Linux Apache Server ทำอย่างไร”

      • ในกรณีที่มีไฟล์ Certificate อยู่แล้วให้ทำการวางไฟล์ Certificate ใหม่ทับแล้วสั่ง Restart Apache Server เป็นอันเสร็จครับ (สำหรับการเปลี่ยน Certificate มีแค่ขั้นตอนนี้จบเลยครับ)
      • ในกรณีที่ยังไม่ได้ติดตั้ง https รวมถึง Certificate ให้ทำการติดตั้ง https ก่อนดังนี้
        sudo a2enmod ssl
        sudo a2ensite default-ssl
      • จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ
        sudo service apache2 restart
        
      • ทำการวางไฟล์ Certificate ไว้ในตำแหน่งที่ Apache สามารถเข้าถึงได้ ในกรณีที่ที่นี้ผมจะวางไว้ที่ /etc/apache2/cer
      • ทำการแก้ไขไฟล์ default-ssl.conf ดังนี้
        sudo vim /etc/apache2/sites-enabled/default-ssl.conf
      • โดยส่วนที่ทำการเปลี่ยนแปลงจะทำการเปลี่ยน 3 บรรทัดดังนี้
        SSLCertificateFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].crt
        SSLCertificateKeyFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].key
        SSLCertificateChainFile /etc/apache2/cer/[cer-file-name].ca-bundle
      • จากนั้นให้สั่ง Restart Apache ตามปกติ
        sudo service apache2 restart
        

    เป็นอันเสร็จครับ ง่ายมากจริง ๆ ครับ

  • การแก้ไข Certificate สำหรับ Windows Server 2008 / 2008 R2 / 2012 / 2012 R2

    “อยากแก้ Certificate บน Windows Server 2008 ขึ้นไป ทำอย่างไร”

    เนื่องจาก Windows 2008 R2 ขึ้นไป มีการตั้งค่าคล้ายคลึงกันจึงขอยกตัวอย่างที่เป็น Windows Server 2008 R2 เท่านั้นครับ

    • วิธีการเปลี่ยนให้เข้าไปยัง IIS ในเครื่อง Windows Server 2008 R2

    2015-11-10_181324

    • เลือกชื่อเครื่องจากนั้นเลือกหัวข้อ Server Certificates ทางด้านขวาดังนี้

    2015-11-10_181456

    • ในกรณีที่เคยมี Certificate เก่าอยู่แล้ว (ต้องการเปลี่ยน Certificate) ให้ดำเนินการ Remove ออกก่อนดังรูป จากนั้นทำการ Restart เครื่อง (ถ้ายังไม่เคยใส่ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปเลย)

    2015-11-10_181636 2015-11-10_181702

    • ในกรณีที่ยังไม่เคยมี Certificate ให้ทำการ Import ดังรูป

    2015-11-10_181803 2015-11-10_1819352015-11-10_183936

    • จากนั้นทำการเลือก Web Site ที่ต้องการเปลี่ยน Certificate ในกรณีที่ยังไม่มี https ให้กด Add ในกรณีมีอยู่แล้วให้กด Edit จากนั้นเลือก SSL certificate ที่ต้องการใช้งาน จากนั้นกดปุ่ม OK

    2015-11-10_182305

    เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเปลี่ยน Certificate ให้ล่าสุดและปลอดภัยครับ

  • การแก้ไข Certificate สำหรับ Windows Server 2003 R2

    “อยากแก้ Certificate บน Windows Server 2003 R2 ทำอย่างไร”

    • วิธีการเปลี่ยนให้เข้าไปยัง IIS ในเครื่อง Windows Server 2003 R2

    2015-11-10_171414

    • จากนั้นเลือกเครื่องกด + เข้าไปเรื่อย ๆ ในหัวข้อ Web Sites และเลือก Web Site ที่ใช้งาน คลิกขวาเลือก Properties

    2015-11-10_171812

    • เข้าไปยังหน้าจัดการ Certificate ดังรูป

    2015-11-10_172407

    • จากนั้นกด Next เพื่อทำการ Import Certificate เข้าสู่ IIS

    2015-11-10_172431

    • ในกรณีที่เคยมี Certificate เก่าอยู่แล้วจะต้องทำการ Remove Certificate เก่าออกก่อนดังนี้ (ถ้ายังไม่เคยมีให้ข้ามขั้นตอนนี้ไป)

    2015-11-10_172833 2015-11-10_172918 2015-11-10_172938

    • ในกรณีที่ยังไม่เคยมี Certificate ให้ดำเนินการ Import Certificate จากไฟล์ .pfx ดังนี้

    2015-11-10_172508 2015-11-10_172558 2015-11-10_172619 2015-11-10_172648 2015-11-10_172709 2015-11-10_172730 2015-11-10_172748เป็นอันเสร็จสิ้นวิธีเปลี่ยน Certificate สำหรับ Windows Server 2003 R2 ครับ