Day: July 11, 2015

  • รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 2)

    ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 แนะนำให้อ่านก่อนครับ ที่: รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 1)

    มาต่อกันกับบทความรวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ ตอนที่ 2 ซึ่งในชุดบทความนี้จะมีทั้งหมด 3 ตอน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปเริ่มข้อต่อไปกันเลยดีกว่าครับ

    แนวคิดที่ 11 : Try Merging Similar Functions instead of fragmenting the UI.
    _____แนวคิดนี้จะพูดถึงการจัดกลุ่มเมนูหรือลิงค์ที่มีการทำงานไปยังส่วนเดียวกันหรือเปิดไปทำงานในอีกหน้าจอ การออกแบบให้สิ่งเหล่านี้กระจายไปอยู่ตามจุดต่างๆของหน้าจอ อาจทำให้ดูเหมือนเข้าถึงได้ง่าย แต่จริงๆแล้วกลับส่งผลให้หน้าจอดูรกขึ้นมาโดยทันที และอาจจะทำให้ผู้ใช้งานสับสนได้กับเมนูที่มีซ้ำกันในหน้าจอ การย้ายเมนูหรือลิงค์ดังกล่าวมาอยู่รวมกันเป็นเมนูเดียวหรือสร้างเป็นเมนูย่อยจะทำให้หน้าจอของเรามีพื้นที่ใช้งานมากขึ้นด้วยครับidea003

    แนวคิดที่ 12 : Try Repeating Your Primary Action instead of showing it just once.
    _____สำหรับนักออกแบบ UI หลายท่าน การออกแบบให้มีปุ่มหรือลิงค์หลักกับผู้ใช้เพียงจุดเดียวเป็นสิ่งที่ดูเหมาะสมแล้ว แต่เมื่อนำไปใช้งานจริงบางกรณีอาจทำให้ผู้ใช้งานหน้าจอไม่สะดวกในการใช้งาน มักจะเกิดกับหน้าจอที่มีข้อมูลมากส่งผลให้เกิดสกอร์บาร์ขึ้น เมื่อผู้ใช้งานเลื่อนหน้าจอขึ้นลง ปุ่มหรือลิงค์หลักอาจหายไปจากหน้าจอได้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานต้องเลื่อนหน้าจอไปมาเพื่อที่จะกลับไปกดปุ่มหรือลิงค์ดังกล่าว กรณีนี้ควรเพิ่มปุ่มหรือลิงค์ขึ้นมาในส่วนล่างสุดและบนสุดของหน้าจอ โดยปุ่มหรือลิงค์ดังกล่าวควรมีหน้าตาที่เหมือนหรือคล้ายกันเพื่อไม่ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนidea005

    แนวคิดที่ 13 : Try Suggesting Continuity instead of false bottoms.
    _____จากที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ในการออกแบบรูปแบบการแสดงผลของบทความแบบคอลัมน์เดียวนั้น กรณีที่บทความนั้นยาวมาก หรือเป็นบทความหลายๆเรื่องต่อๆกันไปนั้น ผู้ออกแบบหน้าจอควรมีการเพิ่มช่องว่างหรือลำดับที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงของบทความเมื่อมีการขึ้นเรื่องใหม่หรือย่อหน้าใหม่ แทนการออกแบบให้บทความนั้นๆยาวต่อกันไปเรื่อยๆ เมื่อผู้ใช้เข้ามาอ่านบทความแล้วจะได้ไม่เกิดความสับสนหรือหาจุดที่อ่านต่อไม่เจอเมื่อมีการเลื่อนสอร์บาร์ แต่ข้อควรระวังคือ อย่าใส่ช่องว่างระหว่างบทความมากจนเกินไป จนทำให้ผู้ใช้รุ้สึกว่าบทความนั้นๆจบแล้วidea015

    แนวคิดที่ 14 : Try Visual Hierarchy instead of dullness.
    _____แนวคิดนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจในการออกแบบหน้าจอแสดงผลบทความแบบคอมลัมน์เดียว คือการจัดตัวนำสายตาหรือก็คือการจัดหน้าจอแบบการย่อหน้าเป็นลำดับชั้น ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการใส่เลขที่หัวข้อข้อย่อยในเอกสารจำพวก MS Word จะมีการเลื่อนระดับย่อหน้าเข้าไปเรื่อยๆตามลำดับชั้นที่เล็กลงไป วิธีนี้จะง่ายกับผู้ที่กำลังอ่านบทความได้ เพราะผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าบทความนี้จะจบลงที่ส่วนไหนของหน้าจอและผู้ใช้อาจไม่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเลย เราสามารถนำวิธีการนี้ไปใช้ร่วมกับการออกแบบในข้อก่อนหน้านี้ได้idea031

    แนวคิดที่ 15 : Try Grouping Related Items instead of disordering.
    _____การจัดกลุ่มรายการเครื่องมือการใช้งานพื้นฐานก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการออกแบบเพื่อผู้ใช้โดยเฉพาะ ซึ่งการจัดกลุ่มควรยึดตามหลักพื้นฐานทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นส้อมต้องคู่กับช้อน เป็นต้น หรือจัดกลุ่มตามประสบการ์ณการทำงานของผู้ใช้ เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เข้าใจได้โดยไม่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม การจัดกลุ่มและเรียงลำดับเครื่องมือจึงช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจการทำงานของเครื่องมือๆนั้นได้มากขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้นidea032

    แนวคิดที่ 16 : Try Thanking instead of simply confirming completion.
    _____การขอบคุณดูเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่เมื่อนำมาใช้ใน UI ของเราจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยยกระดับ UI ของเราให้ดูดียิ่งขึ้น โดยให้มีการออกแบบการแสดงผลข้อความขอบคุณเมื่อผู้ใช้มีการกระทำบางอย่างที่เราต้องการในหน้าจอนั้นๆ นอกจากการแสดงผลรับหรือรายงานผลว่าเสร็จสิ้นแล้ว การเพิ่มข้อความขอบคุณผู้ใช้ จะทำให้ผู้ใช้เกิดความรู้สีกว่าตัวเองมีคุณค่าและได้รับความสนใจจากระบบของเรา ส่งผลให้ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อระบบในแง่ดีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาใช้งานระบบของเราอีกครั้งidea052

    แนวคิดที่ 17 : Try Softer Prompts instead of modal windows.
    _____Popup ถือเป็นส่วนหนึ่งในการตอบโต้กับผู้ใช้ ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวถึงไปแล้วในข้อก่อนหน้านี้ ซึ่งในปัจจุบัน popup ที่นักออกแบบนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายก็คงไม่พ้น modal popup ข้อดีของมันคือไม่มีการเรียกใช้จาวาสคริปแบบ popup รุ่นก่อนๆส่งผลให้รองรับการทำงานทุกเบราเซอร์และจุดเด่นอีกอย่างคือการล๊อคหน้าจอไม่ให้ผู้ใช้งานทำงานในส่วนของเบื้องหลังได้กรณีที่ popup ทำงานอยู่ แต่จุดเด่นข้อนี้จะกลายเป็นข้อเสียทันทีเมื่อเรานำไปใช้แบบผิดวิธี เช่นการ popup ให้กรอกข้อมูล ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับข้อมูลที่อยู่ด้านหลัง popup ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ย้อนไปดูข้อมูลหรือนำข้อมูลดังกล่าวมาอ้างอิงในการตัดสินใจได้ หรือกรณี popup ทำการแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ไม่ทำการบันทึกข้อมูลเป็นเวลานานๆ หรือผู้ใช้ที่กำลังจดจ่อกับการกรอกข้อมูลหรือกำลังทำงานบางอย่างกับหน้าจออยู่ เมื่อมีการแสดผล popup ขึ้นมา จะเป็นการรบกวนสมาธิหรือขัดจังหวะผู้ใช้งานได้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่พอใจหรือตกใจได้ ดังนั้นการนำ popup ประเภทนี้ไปใช้งาน ผู้ออกแบบควรพิจารณาว่าเหมาะสมกับหน้าจอนั้นๆด้วยหรือไม่idea045

    แนวคิดที่ 18 : Try Expectation Setting instead of being ignorant.
    _____การออกแบบหน้าจอให้มีการแจ้งเตือนสถานะของผู้ใช้ในปัจจุบันหรือการแสดงให้ผู้ใช้ทราบว่ากำลังทำงานอยู่ในขั้นตอนไหน และยังเหลืออีกกี่ขั้นตอน หรืออาจออกแบบไปถึงขั้นตอนที่บอกว่าจะได้อะไรในการทำงานในหน้าจอนี้ ส่งผลให้ผู้ใช้งานระบบรู้ถึงจุดประสงค์ของการทำงานในแต่ละขั้นตอนหรือหน้าจอได้ และยังทำให้ผู้ใช้ไม่รู้สึกเป็นกังวลว่ายังเหลือสิ่งที่ต้องทำอีกมากน้อยเพียงใดหรือทำไปเพื่ออะไรidea059

    แนวคิดที่ 19 : Try Providing Feedback instead of silence.
    _____สำหรับแนวคิดนี้ อาจจะดูเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ในการออกแบบหน้าจอ เพื่อใช้ในการตอบโต้กับผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าระบบมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ซ้ำยังช่วยให้ผู้ใช้ทราบถึงผลลัพธ์จากการกระทำบางอย่างของผู้ใช้ด้วย เช่นเมื่อมีการบันทึกหรือลบข้อมูล หลังจากทำกระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว ก็ควรมีข้อความแจ้งเตือนบอกผู้ใช้ให้ทราบถึงผลลัพธ์ว่าสำเร็จลุล่วงหรือไม่ เป็นต้น ส่วนรูปแบบการแสดงผลตอบสนองกับผู้ใช้ก็สามารถออกแบบได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ในส่วนของ popup หรือแถบข้อความแจกเตือนในหน้าจอidea061

    แนวคิดที่ 20 : Try Explaining instead of assuming the obvious.
    _____แนวคิดข้อนี้จะพูดถึงเกี่ยวกับการใช้คำแนะนำมาช่วยขยายความหัวข้อของการกรอกฟอร์มข้อมูล โดยปกติการออกแบบฟอร์มกรอกข้อมูลจะประกอบไปด้วยส่วนของหัวข้อและส่วนของกล่องข้อความหรือเครื่องมืออื่นๆเช่น dropdownlist checkbox เป็นต้น เพื่อทำให้ฟอร์มนั้นๆดูกระชับน่าใช้งาน แต่บางครั้งคำที่เรานำมาเขียนเป็นหัวข้อนั้นเราคิดว่าอธิบายความหมายหรือสิ่งที่เราต้องการได้หมดครบถ้วนแล้ว แต่สำหรับผู้ใช้บางคำอาจทำให้เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด ส่งผลให้ข้อมูลที่ได้มาจากฟอร์มอาจผิดพลาด การใช้คำมาช่วยอธิบายเพิ่มเติมหรือเขียนเป็นคำถามปลายเปิด จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสิ่งที่เราต้องการจากผู้ใช้มากขึ้นidea068


    สำหรับบทความชุด “รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่” ตอนที่ 2 ขอจบแต่เพียเท่านี้ สามารถอ่านตอนที่ 3 ได้ตามลิงคด้านล่างเลยครับ

    รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 3 จบ)

    ขอบคุณครับ

  • มาทำความรู้จักกับ Validator ใน ASP.NET กันเถอะ

                ในการพัฒนาโปรแกรมโดยทั่วไป สิ่งหนึ่งที่นักพัฒนาควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญในการรับค่าข้อมูลจากผู้ใช้ คือ การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รับเข้า เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มาจะเป็นประโยชน์ สามารถนำไปใช้ในการประมวลผลต่อไปได้ และลดปัญหาการเก็บข้อมูลขยะไว้ในฐานข้อมูลซึ่งอาจทำให้ฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น อีกทั้งยังถือเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในกรณีเลวร้ายอาจมีผลกระทบทำให้ฐานข้อมูลเกิดความเสียหายได้ ดังนั้น การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนบันทึกถือเป็นสิ่งหนึ่งที่นับว่ามีความสำคัญสำหรับนักพัฒนาที่จะต้องคำนึงถึงในการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้
                วิธีที่ใช้ในการตรวจสอบสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งเดิมผู้พัฒนาจะต้องเขียน Client-Script (อาจจะเป็น JavaScript VBScript หรือ JQuery) เพื่อใช้ในการตรวจสอบเองทั้งหมด โดยวิธีการนี้ผู้พัฒนาจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ Client Script เหล่านั้นพอสมควร และอาจต้องใช้เวลานานในกรณีที่มีการตรวจสอบที่ซับซ้อน แต่นับว่าเป็นโชคดีของนักพัฒนาที่ใช้เครื่องมือ ASP.NET ในการพัฒนาโปรแกรม เนื่องจาก .NET framework ได้จัดเตรียมเครื่องมือในการตรวจสอบเหล่านี้ไว้ให้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เวอร์ชั่น Visual Studio .NET 2003 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้พัฒนาสามารถหยิบมาใช้ได้โดยง่าย ทำให้การตรวจสอบไม่ใช่เรื่องยากและซับซ้อนอีกต่อไป และยังถือเป็นการประหยัดเวลา ไม่จำเป็นต้องเขียนสคริปต์ตรวจสอบเองทั้งหมด เพียงกำหนด properties ต่างๆที่จำเป็นให้ validator เหล่านั้นและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการก็จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้โดยง่ายดาย ผู้เขียนจึงเห็นว่าการทำความเข้าใจกับความสามารถของ validator เหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือก validator มาใช้ให้เหมาะสมกับงานและความต้องการในการตรวจสอบนั้นๆ
                หากแบ่ง Validator control ที่มีใน ASP.NET ตามลักษณะการทำงาน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

    การตรวจสอบข้อมูลในฝั่ง Client โดยการตรวจสอบข้อมูลในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นทันทีเมื่อผู้ใช้มีการป้อนข้อมูลเข้ามาและการตอบโต้นี้จะยังไม่มีการส่งค่าไปยังฝั่ง server ซึ่งข้อดีของการตรวจสอบในลักษณะนี้ คือ สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ในเวลาอันรวดเร็วและแสดงให้ผู้ใช้ทราบได้ทันทีว่าเกิดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูล โดยไม่ต้องรอให้มีการเรียกใช้ไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์ก่อนจึงจะตอบสนองกลับมายังผู้ใช้ และยังถือเป็นการลดจำนวนครั้งในเรียกใช้ไปยังฝั่งเซิร์ฟเวอร์โดยไม่จำเป็น ซึ่งหลักการทำงานของ Validator ของ ASP.NET ในลักษณะนี้ คือ Validator จะทำหน้าที่แปลง Validation เป็น JavaScript และถูกทำงานที่ฝั่ง Client ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการทำงานของ Validation Control แต่ละประเภทที่ใช้นั่นเอง
    การตรวจสอบข้อมูลในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ โดยการตรวจสอบในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีข้อดี คือ สามารถเพิ่มความปลอดภัยและความแม่นยำในการตรวจสอบอีกระดับก่อนจะบันทึกข้อมูลเหล่านั้นลงฐานข้อมูลในกรณีที่อาจมีข้อมูลผิดพลาดที่ตกสำรวจมาจากการตรวจสอบในฝั่ง Client โดยการตรวจสอบในลักษณะนี้ ผู้พัฒนาจะเป็นผู้เขียนโค้ดในการตรวจสอบตามเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นเอง ซึ่ง ASP.NET ก็ได้มีการเตรียม validation control เพื่อรองรับการตรวจสอบในลักษณะนี้ไว้แล้วเช่นกัน

    โดย Validation control ที่มีเตรียมไว้ใน ASP.NET ประกอบด้วย Validator ชนิดต่างๆ ดังนี้
    • RequiredFieldValidator
    • RegularExpressionValidator
    • RangeValidator
    • CompareValidator
    • CustomValidator
    • Validation Summary

                เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ผู้เขียนจะขอพูดถึงการกำหนดค่า Properties ให้กับ validator หลักๆที่สำคัญที่ทุกตัวต้องมีไว้เป็นเบื้องต้น และจะเพิ่ม properties เพิ่มเติมที่แตกต่างจาก properties หลักของ validator แต่ละตัวดังนี้

    ID : เป็นการกำหนดชื่อ ID ให้กับตัว validator ซึ่งผู้เขียนแนะนำให้ตั้งชื่อให้สื่อความหมาย เพื่อง่ายต่อการต่อยอดในการพัฒนาร่วมกับผู้อื่น
    ControlToValidate : เป็นการกำหนดว่าจะให้ validator ดังกล่าวทำการควบคุมและตรวจสอบ control หรือ element ตัวใดในหน้าจอ
    Display : เป็นการกำหนดลักษณะในการแสดงผลของ validator ซึ่งมีด้วยกัน 3 แบบคือ

    o Static : แบบจองพื้นที่ในการแสดงผล validator กรณีมีข้อผิดพลาด แม้ไม่พบข้อผิดพลาด validator ก็จะยังคงจองพื้นที่ส่วนนั้นไว้เช่นกัน
    o Dynamic : จะแสดงผล validator เมื่อพบข้อผิดพลาด และเมื่อมีการแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวแล้ว Error message ของ validator ตัวดังกล่าวจะหายไปและลดพื้นที่ส่วนการแสดงผลให้เหมือนก่อนจะพบข้อผิดพลาด
    o None : ไม่แสดงผลบนหน้าจอ

    Error Message : เป็นการกำหนดข้อความที่ต้องการให้แสดง เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลผิดพลาด ซึ่งถือเป็นการชี้แนะให้ผู้ใช้ทราบว่าความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และควรแก้ไขอย่างไร
    SetFocusOnError : เป็นการกำหนด Focus ให้กับ control ที่พบความผิดพลาด แต่หากในหน้าจอดังกล่าวพบข้อผิดพลาดหลายจุดและ validator ทุกตัวมีการกำหนดค่า SetFocusOnError เป็น true จะทำให้ Focus เลื่อนไปยังจุดที่มีข้อผิดพลาดจุดแรกที่พบทันที
    Text : เป็นการกำหนดในส่วนที่จะแสดงผล เมื่อ validator พบข้อผิดพลาดนั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักกำหนดให้แสดงเป็นเครื่องหมายดอกจันท์ หรือ * และวางไว้หลัง control ตัวที่ validator ดังกล่าวกำลังควบคุม เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าข้อมูลที่กรอกส่วนใดกำลังมีปัญหาหรือพบข้อผิดพลาดจากการตรวจสอบอยู่นั่นเอง
    ToolTip : เป็นการกำหนดข้อความที่ต้องการให้แสดงเมื่อผู้ใช้นำเมาส์ไปชี้ที่ validator ที่กำลังแสดงข้อผิดพลาดอยู่
    Validation group : เป็นการจัดกลุ่มให้กับ validator ที่ใช้ในการตรวจสอบ ซึ่งโดยปกติหากไม่กำหนดค่าในส่วนนี้จะถือว่า control ทั้งหมดในหน้าจอถูกจัดกลุ่มการควบคุมไว้เป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหน้าจอ แต่หากมีบางกรณีที่ต้องการแยกกลุ่มในการตรวจสอบ ต้องมีการระบุ ValidationGroup ของปุ่มและ validator ที่ต้องการตรวจสอบเหล่านั้นให้เป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ validator ตัวอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มดังกล่าวไม่ถูกนำมาตรวจสอบ เพราะถือว่าเป็นการตรวจสอบคนละส่วนกัน

                หลังจากที่ทราบ properties หลักที่จำเป็นต้องใช้ในการกำหนดค่าให้กับ validator ที่จะใช้งานแล้ว ผู้เขียนขออธิบายในรายละเอียดเพิ่มเติมทั้งในส่วนของหน้าที่การทำงานและการกำหนดค่า properties ที่จำเป็นอื่นๆของแต่ละ validator control ดังนี้

    RequiredFieldValidator
                การทำงานโดยทั่วไปของ validator นี้ จะใช้ในการตรวจสอบค่าว่างในการกรอกข้อมูล โดยหากกำหนดว่าต้องการควบคุมตัวใด การกรอกข้อมูลของ control ดังกล่าวจะถือเป็นข้อมูลบังคับกรอก หากไม่กรอกระบบจะแสดงข้อความแจ้งเตือนให้ทราบและไม่บันทึกข้อมูลให้ โดยการกำหนดค่า properties ต่างๆเพิ่มเติมจากที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น คือ

    • InitialValue : ใช้เปรียบเทียบค่าจาก InitialValue ที่กำหนดใน validator กับค่าที่ผู้ใช้กรอกมาใน control ที่ validator ตัวนี้ควบคุมอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปการใช้งาน RequiredFieldValidator อาจไม่จำเป็นต้องกำหนดค่าให้กับ  properties นี้ แต่ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างเพื่อให้ผู้พัฒนาเห็นภาพการทำงานของลักษณะการกำหนดค่า InitialValue  เพื่อนำไปประยุกต์ใช้งานได้ ดังนี้

    ตัวอย่างที่ 1 การเรียกใช้งาน RequiredFieldValidator  แบบทั่วไป(ไม่ได้กำหนดค่า InitialValue )

    <asp:TextBox ID="TxtEmail" runat="server"></asp:TextBox>
    <asp:RequiredFieldValidator ID="ReqEmail" runat="server"
    ErrorMessage="Please enter your email-address" 
    ControlToValidate="TxtEmail" SetFocusOnError="True">*
    </asp:RequiredFieldValidator>

    ตัวอย่างที่ 2  เช่น กรณีที่มีการกำหนดค่า InitialValue และมีการเลือกประเภทจาก dropdownlist ที่มีชื่อว่า DdlType และบังคับเลือก

    <asp:DropDownList ID="DdlType" runat="server"> 
    <asp:ListItem Value="--Select--">--Select--</asp:ListItem>
    <asp:ListItem Value="Item1" />
    <asp:ListItem Value="Item2" />
    <asp:ListItem Value="Item3" />
    </asp:DropDownList>
    <asp:RequiredFieldValidator ID="ReqType" runat="server"
    ErrorMessage="Please select type" ControlToValidate="DdlType" 
    SetFocusOnError="True" InitialValue="--Select--" >*
    </asp:RequiredFieldValidator>

    จากตัวอย่างที่ 2 จะเห็นว่า ค่า InitialValue คือ “–Select–” นั่นหมายถึงว่า หากผู้ใช้เลือกรายการ “–Select–” จาก dropdownlist แล้วกดปุ่มบันทึก validator ดังกล่าวจะแสดงข้อผิดพลาดทันที

    RegularExpressionValidator

                เป็น validator ที่ใช้ในการตรวจสอบรูปแบบการกรอกของข้อมูล เช่น อีเมล์ หมายเลขโทรศัพท์ URL ของเว็บไซต์ หรือรหัสไปรษณีย์ เป็นต้น โดย properties  ที่สำคัญเพิ่มเติมจากที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้นของ validator นี้คือ

    • ValidationExpression ซึ่งทาง .NET ได้มีการกำหนดรูปแบบ regular expression สำเร็จรูปในการตรวจสอบไว้ให้แล้วในเบื้องต้น แต่ผู้พัฒนาสามารถประยุกต์ใช้ และปรับแก้ให้รูปแบบของ regular expression ที่ใช้ในการตรวจสอบเป็นไปในแบบที่ต้องการได้

    ตัวอย่าง การใช้งาน ValidationExpression ในการตรวจสอบรูปแบบ URL ของเว็บไซต์

    <asp:TextBox ID="txtURL" runat="server"></asp:TextBox>
    <asp:RegularExpressionValidator ID="RegExURL" runat="server"
    ControlToValidate="txtURL" ErrorMessage="Internet URL 's format is incorrect" SetFocusOnError="True" ValidationExpression="http(s)?://([\w-]+\.)+[\w-]+(/[\w- ./?%&amp;=]*)?">*</asp:RegularExpressionValidator>

    จากตัวอย่าง พบว่า regular expression ที่ใช้ในการตรวจสอบรูปแบบของข้อมูล คือ  http(s)?://([\w-]+\.)+[\w-]+(/[\w- ./?%&amp;=]*)? ซึ่งเป็นแบบสำเร็จรูปที่ ASP.NET ได้เตรียมไว้ให้แล้ว

    RangeValidator

                เป็น validator ที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลว่าอยู่ในช่วงของข้อมูลที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งสามารถกำหนดชนิดของช่วงข้อมูลได้  โดย validator ตัวนี้จะไม่พบข้อผิดพลาดหากผู้ใช้ไม่กรอกข้อมูล หากต้องการตรวจสอบข้อมูลห้ามเป็นค่าว่างด้วยจะต้องทำงานร่วมกับ RequiredFieldValidator  สำหรับการใช้งาน validator ชนิดนี้มี properties ที่สำคัญในการกำหนดการใช้งานเพิ่มเติม ดังนี้

    • MaximumValue : เป็นการกำหนดค่าสูงสุดที่สามารถกรอกได้
    • MinimumValue : เป็นการกำหนดค่าข้อมูลต่ำสุดที่สามารถกรอกได้
    • Type :เป็นการกำหนดชนิดของข้อมูลที่จะทำการตรวจสอบช่วงของข้อมูลว่าให้มองเป็นชนิดใด โดยชนิดของข้อมูลประกอบด้วย
      • String : การตรวจสอบช่วงข้อมูลชนิดที่เป็นชนิด String นี้จะคำนวณค่าโดยเทียบกับ Ascii Code (http://www.lookuptables.com/)
      • Integer
      • Double
      • Date

    ตัวอย่างที่ 1 : การตรวจสอบช่วงของข้อมูลที่เป็นชนิด string

    <asp:DropDownList ID="DdlChoice" runat="server">
    
    <asp:ListItem Value="--Select--">--Select--</asp:ListItem>
    <asp:ListItem Value="A" >A</asp:ListItem>
    <asp:ListItem Value="B" >B</asp:ListItem>
    <asp:ListItem Value="C" >C</asp:ListItem>
    <asp:ListItem Value="D">D</asp:ListItem>
    <asp:ListItem Value="E">E</asp:ListItem>
    </asp:DropDownList>
    <asp:RangeValidator ID="RangeChoice" runat="server"
    ControlToValidate="DdlChoice" 
    ErrorMessage="Please select between A-D"
    MaximumValue="D" MinimumValue="A">*</asp:RangeValidator>

    จากตัวอย่างจะพบข้อผิดพลาดหากผู้ใช้เลือกรายการ “E” เนื่องจากเมื่อนำค่าดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับค่าแบบ Ascii code แล้วจะมีค่าเกินช่วงที่กำหนดใน validator คือ A-D นั่นเอง

    ตัวอย่างที่ 2 : การตรวจสอบช่วงของข้อมูลที่เป็นชนิดตัวเลข

    Enter number (between 1 - 10) :
    <asp:TextBox ID="txtAmount" runat="server"></asp:TextBox>
    <asp:RangeValidator ID="RangeNumber" runat="server"
    ControlToValidate="txtAmount" 
    ErrorMessage="The data must be from 1 to 10"
    MaximumValue="10" MinimumValue="1" Type="Integer">*</asp:RangeValidator>

    CompareValidator

                เป็น validator ที่ใช้ในการเปรียบเทียบค่าหรือตรวจสอบชนิดของข้อมูลที่กรอก โดยตัวอย่างที่ใช้กันบ่อยมักเป็นการเปรียบเทียบค่า 2 ค่า เช่น กรณีการระบุรหัสผ่าน และยืนยันรหัสผ่าน หรือกรณีต้องการตรวจสอบชนิดของจำนวนเงินว่าต้องเป็นตัวเลขเท่านั้น เป็นต้น โดย properties เพิ่มเติมที่ใช้ในการกำหนด มีดังนี้

    • ValueToCompare : เป็น properties ที่ใช้ในกรณีที่ต้องการเปรียบเทียบค่าที่รับจากผู้ใช้กับค่าคงที่ที่ระบุ
    • ControlToCompare : เป็น properties ที่ใช้กำหนดคอนโทรลตัวที่ต้องการเปรียบเทียบค่า(ในกรณีที่มีการเปรียบเทียบค่าจาก 2 คอนโทรล)
    • Operator :เป็นpropertiesที่ใช้ในการกำหนดการปฏิบัติการในการเปรียบเทียบค่า มีดังนี้
      • Equal : ค่าของข้อมูลที่รับมาต้องมีค่าเท่ากันกับค่าที่ต้องการเปรียบเทียบ
      • NotEqual : ค่าของข้อมูลที่รับมาต้องไม่เท่ากับค่าที่ต้องการเปรียบเทียบ
      • GreaterThan : ค่าของข้อมูลที่รับมาต้องมีค่ามากกว่าค่าที่ต้องการเปรียบเทียบ
      • GreaterThanEqual : ค่าของข้อมูลที่รับมาต้องมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับค่าที่ต้องการเปรียบเทียบ
      • LessThan : ค่าของข้อมูลที่รับมาต้องมีค่าน้อยกว่าค่าที่ต้องการเปรียบเทียบ
      • LessThanEqual : ค่าของข้อมูลที่รับมาต้องมีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าที่ต้องการเปรียบเทียบ
      • DataTypeCheck : เป็นการระบุการตรวจสอบชนิดของข้อมูล และทำงานร่วมกับ properties ที่ชื่อว่า Type โดยการกำหนด properties นี้ จะส่งผลให้ค่าที่ถูกกำหนดไว้ให้กับ properties ที่มีชื่อว่า ValueToCompare และ ControlToCompare ไม่ทำงาน
    • Type : ชนิดของข้อมูลที่ต้องการตรวจสอบ
    หมายเหตุ : ค่าที่ต้องการเปรียบเทียบอาจเป็นค่าที่มาจากคอนโทรลอีกตัวที่ต้องการเปรียบเทียบ(ControlToCompare) หรือมาจากค่าที่กำหนดไว้ใน ValueToCompare นั่นเอง ซึ่งค่า properties ทั้งสองนี้ไม่ควรกำหนดร่วมกัน ควรเลือกใช้เพียงตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น แต่หากมีการกำหนดทั้ง 2 ค่าพร้อมกัน การทำงานของ ControlToCompare จะมีลำดับในการทำงานก่อน


    ตัวอย่างที่
    1
    การเปรียบเทียบค่าข้อมูล 2 ค่าจากคอนโทรล เช่น กรณีการพิมพ์รหัสผ่านและยืนยันรหัสผ่าน เป็นต้น

    Password :<asp:TextBox ID="txtPassword" runat="server">
    </asp:TextBox><br />
    Retype-password :<asp:TextBox ID="txtConfirmPassword" 
    runat="server"></asp:TextBox> 
    <asp:CompareValidator ID="CmpPassword" runat="server" 
    ErrorMessage="Password must be the same" 
    ControlToCompare="txtPassword" ControlToValidate="txtConfirmPassword">*</asp:CompareValidator>
    
    

    ตัวอย่างที่ 2 การเปรียบเทียบค่าของข้อมูลกับค่าคงที่ที่กำหนด กรณีที่ต้องกรอกข้อมูลที่มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 18

    Age :<asp:TextBox ID="txtAge" runat="server"></asp:TextBox>
    <asp:CompareValidator ID="CmpAge" runat="server" 
    ControlToValidate="txtAge" 
    ErrorMessage="Age must greater than or equal 18 years old"
    Operator="GreaterThanEqual" ValueToCompare="18">*
    </asp:CompareValidator>
    
    

    ตัวอย่างที่ 3 การตรวจสอบชนิดของข้อมูล กรณีกรอกข้อมูลราคาต้องเป็นตัวเลขเท่านั้น

    Price : <asp:TextBox ID="txtPrice" runat="server"></asp:TextBox>
    
    <asp:CompareValidator ID="CmpType" runat="server" 
    ControlToValidate="txtPrice" ErrorMessage="Price must be number" 
    Operator="DataTypeCheck" Type="Double">*</asp:CompareValidator>

    CustomValidator

                หากการตรวจสอบด้วย validator ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ยังไม่ครอบคลุมการตรวจสอบที่ต้องการ นักพัฒนาสามารถกำหนดเงื่อนไขในการตรวจสอบ และการทำงานนอกเหนือจากที่ validator ที่ ASP.NET เตรียมไว้ให้ขึ้นได้เอง โดยใช้ validator ประเภท CustomValidator ซึ่ง validator ประเภทนี้ จะมีช่องทางในการตรวจสอบสำหรับผู้พัฒนาเตรียมไว้ให้ทั้ง 2 ฝั่ง คือทั้งฝั่ง client และฝั่ง server โดยมี properties ที่จำเป็นเพิ่มเติมจาก properties หลัก ดังนี้

    • ClientValidationFunction : เป็นการกำหนดค่าของฟังก์ชั่นในฝั่ง client ที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูล
    • OnServerValidate : เป็นการกำหนดฟังก์ชั่น event หรือเมธอดที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลในฝั่งเซิร์ฟเวอร์

    ตัวอย่างที่ 1 การใช้งาน custom validator ในการตรวจสอบค่าข้อมูลจากฝั่ง client

    <script type="text/javascript">
    function CheckData(oSrc, args) {
    if(args.Value.length >= 5 && args.Value.search('-') == -1)
    args.IsValid = true;
    else
    args.IsValid = false;
    oSrc.innerText = "(Your custom message here) ";
    }
    </script>
    
    <asp:TextBox ID="txtUserName" runat="server"></asp:TextBox>
    <asp:CustomValidator ID="CustomUsername" runat="server" 
    ClientValidationFunction="CheckData" ControlToValidate="txtUserName" 
    ErrorMessage="Username must be greater than or equal 5 letters and cannot contain contain '-'">*</asp:CustomValidator>
    
    หมายเหตุ : หากต้องการเปลี่ยนแปลงข้อความผิดพลาดที่ต้องการแสดงสามารถทำได้โดยกำหนด      oSrc.innerText ในฟังก์ชั่น JavaScript นั้น

    ตัวอย่างที่ 2 การใช้งาน custom validator ในการตรวจสอบค่าข้อมูลจากทั้งฝั่ง client และฝั่งเซิร์ฟเวอร์

    ฝั่ง Client

    <script type="text/javascript">
    function CheckData(oSrc, args) {
    if(args.Value.length >= 5 && args.Value.search('-') == -1)
    args.IsValid = true;
    else
    args.IsValid = false;
    
    </script>
    <asp:TextBox ID="txtUserName" runat="server"></asp:TextBox>
    <asp:CustomValidator ID="CustomUsername" runat="server"
    ClientValidationFunction="CheckData" 
    ControlToValidate="txtUserName"
    ErrorMessage="Username must greater than or equal 5 letters and cannot contain '-' " onservervalidate="CustomUsername_ServerValidate">*
    </asp:CustomValidator>
    
    

    ฝั่งเซิร์ฟเวอร์

    protected void CustomUsername_ServerValidate(object source, ServerValidateEventArgs args)
    {
    string username = args.Value;
    string[] Users = {"Amanda","Robert","John","Jennie"};
    if (Users.Contains(username))
    {
    args.IsValid = false;
    
    CustomUsername.ErrorMessage = "Username is already exists in database.";
    }
    else
    args.IsValid = true;
    }
    

                จากตัวอย่างจะมีการตรวจสอบค่าข้อมูลรหัสผู้ใช้จากฝั่ง client ก่อน ว่าต้องมีความยาวตั้งแต่ 5 ตัวอักขระขึ้นไปและต้องไม่ประกอบด้วย “-” หากมีเงื่อนไขครบตามกำหนดจะทำการตรวจสอบอีกครั้งในฝั่งเซิร์ฟเวอร์ว่าจะต้องไม่ซ้ำกับค่าที่มีอยู่แล้วจากข้อมูลรหัสผู้ใช้สมมติที่มีอยู่ และหากพบข้อผิดพลาดจะมีการแสดงข้อความแจ้งบอก

    Validation Summary

                เป็น validator ที่ใช้ในการสรุปข้อผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหน้าจอดังกล่าว ซึ่งอาจมีการระบุ ValidationGroup เพื่อแยกกลุ่มการตรวจสอบตามที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นได้ โดยการใช้งาน validator ตัวนี้จะประกอบด้วย properties ที่สำคัญ ดังนี้

    • DisplayMode :เป็นรูปแบบในการแสดงผลสรุปรวมข้อผิดพลาด ซึ่งประกอบด้วย
      • List : เป็นการแสดงผลแบบเว้นบรรทัด
      • BulletList : เป็นการแสดงผลแบบ bullet ซึ่งโดยปกติจะมีค่าตั้งต้นเป็นการแสดงผลในรูปแบบนี้
      • SingleParagraph : เป็นการแสดงผลข้อผิดพลาดแบบเว้นวรรคต่อกันในบรรทัดเดียวกันไปเรื่อยๆ

    ตัวอย่างผลลัพธ์การแสดงผลของ DisplayMode ในแต่ละแบบ

    DisplayMode

    • HeaderText : เป็นการระบุข้อความที่ต้องการให้แสดงในส่วนบนของข้อสรุปผิดพลาดทั้งหมดที่เกิดขึ้น
    • ShowMessageBox : เป็นการกำหนดว่าต้องการให้แสดงผลสรุปในรูป MessageBox หรือไม่ ซึ่ง properties ดังกล่าวจะไปทำการสร้างฟังก์ชั่นที่เรียกใช้งาน alert() ของ JavaScript เพื่อการแสดงผลสรุปข้อผิดพลาดนี้
    • ShowSummary : เป็นการแสดงผลรายการข้อผิดพลาดในรูปแบบ HTML ในตำแหน่งที่ validator ตัวนี้ถูกวางอยู่

    ตัวอย่างที่ 1 การใช้ ValidationSummary ในการสรุปข้อผิดพลาดในหน้าจอโดยแสดงผลในรูปแบบ MessageBox

    Username : <asp:TextBox ID="txtUserName" runat="server">
    </asp:TextBox>
    <asp:CustomValidator ID="CustomUsername" runat="server" 
    ClientValidationFunction="CheckData" ControlToValidate="txtUserName" 
    ErrorMessage="Username must greater than or equal 5 letters and cannot contain '-' "  onservervalidate="CustomUsername_ServerValidate">*
    </asp:CustomValidator><br />
    Password :
    <asp:TextBox ID="txtPass" runat="server"></asp:TextBox>
    <asp:RequiredFieldValidator ID="ReqPass" runat="server" 
    ControlToValidate="txtPass" ErrorMessage="Password">*
    </asp:RequiredFieldValidator>
    <asp:ValidationSummary ID="ValidationSummary" runat="server"
    HeaderText="Errors:" ShowMessageBox="True" />
    
    

                จากบทความข้างต้น หากผู้พัฒนาเลือกใช้ validator ให้ตรงและเหมาะสมกับงาน น่าจะเป็นประโยชน์และช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูลให้ง่ายและรวดเร็วขึ้น และผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลการใช้งาน validator จากบทความนี้จะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจของผู้พัฒนาในการเลือกหยิบ validator มาใช้งานไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

    แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
    http://www.codeproject.com/Articles/3882/ASP-NET-Validators-Unclouded
    http://www.codeproject.com/Articles/334310/Understanding-ASP-NET-Validation-Techniques
    http://www.codeproject.com/Articles/7943/Validator-Controls-in-ASP-NET

  • รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 1)

         ปัจจุบันในการทำงานด้าน IT นั้น ผู้ทำงานต้องมีความสามารถหลายๆด้านเพื่อให้รองรับกับงานที่ได้รับ โดยงานส่วนใหญ่ก็คือการพัฒนาเว็บไซต์เป็นหลัก ซึ่งทำตั้งแต่เก็บ Requirement จนถึงส่งมอบลูกค้า ปัญหาใหญ่ของคนที่เป็นโปรแกรมเมอร์  เวลาทำเว็บไซต์ / แอพ คือจะขาดเซ้นส์ด้านดีไซน์  ไม่ว่าจะลองออกแบบยังไงก็เลือกสีได้ไม่โดน เลือกฟ้อนต์ได้ไม่สวยสักที หน้าจอผสมกันออกมาดูเละเทะ

         วันนี้ผู้เขียนจึงเขียนบทความนี้ซึ่งอาจมีประโยชน์กับผู้ที่สนใจและกำลังศึกษาเกี่ยวกับการออกแบบ UI โดยเฉพาะกับคนที่ประสบปัญหาเดียวกับผู้เขียน  เลยนำบทความเทคนิคต่างๆมาเรียบเรียงเป็นภาษาไทยให้อ่านกัน ไม่ว่าคุณจะไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ หรือเป็นดีไซเนอร์ก็อยากแนะนำให้ลองอ่านดูครับ

         ก่อนที่จะเข้าสู่รายละเอียดเรามาดูกันก่อนว่าภาพรวมทั้งหมดแล้วเกี่ยวกับอะไรบ้าง
    ________• การจัดวางเครื่องมือและองค์ประกอบต่างๆ
    ________• ส่วนตอบสนองกับผู้ใช้
    ________• การนำเสนอและอำนวยความสะดวกกับผู้ใช้

    แนวคิดที่ 1 : Try A One Column Layout instead of multicolumns.
    _____การจัดรูปแบบบทความให้มีเพียงคอลัมน์เดียวจะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมความต่อเนื่องของบทความได้ดี ช่วยอำนวยความสะดวกและสามารถกำหนดทิศทางการอ่านบทความของผู้อ่านได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากมีเพียงการเลื่อนขึ้นและลงเท่านั้น ในขณะที่การจัดบทความแบบหลายคอลัมน์จะทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน ส่งผลให้ผู้อ่านเสียสมาธิหรือหมดความสนใจในบทความดังกล่าวได้idea001

    แนวคิดที่ 2 : Try Distinct Clickable/Selected Styles instead of blurring them.
    _____ในการออกแบบหน้าจอโดยเฉพาะส่วนของ links, buttons สิ่งที่กำลังถูกเลือก(chosen items) และข้อความ(text)หรือบทความ(content) ควรออกแบบให้ไปในรูปแบบเดียวกันหมดทุกๆหน้าจอ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานไม่สับสนหรือต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมในรูปแบบพื้นฐานที่ได้ออกแบบไว้ ดังตัวอย่างภาพทางด้านซ้าย โดยผู้ออกแบบเลือกสีฟ้าแทนในส่วนของ links, buttonsและสีดำแทนส่วนที่กำลังถูกเลือก(chosen items) และสีเทาแทนข้อความโดยในแต่ละองค์ประกอบใช้รูปแบบเดียวกันภายในองค์ประกอบนั้น ส่วนในภาพทางด้านขวา เป็นการเลือกสีและรูปแบบที่หลากหลายในองค์ประกอบเดียวกันซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้สับสนกับหน้าจอดังกล่าวได้idea006

    แนวคิดที่ 3 : Try More Contrast instead of similarity.
    _____การเพิ่มความน่าสนใจหรือการยกระดับความคมชัดในส่วนขององค์ประกอบสำคัญๆส่งผลให้เกิดความแตกต่างจากองค์ประกอบรวมอื่นๆในหน้าจอจะเป็นการยกระดับ UI ของคุณให้มีประสิทธ์ภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทนสีที่เข้มขึ้น การไล่เฉดสีหรือการใส่เงาให้กับองค์ประกอบนั้นๆทำให้ผู้ใช้งานรับรู้ถึงองค์ประกอบสำคัญนั้นได้ทันทีจากการเข้าใช้งาน ช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวกและเข้าใจการทำงานของหน้าจอได้ง่ายยิ่งขึ้นidea011

    แนวคิดที่ 4 : Try Fewer Borders instead of wasting attention.
    _____การจัดรูปแบบองค์ประกอบโดยใช้เส้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีการนำมาใช้เพื่อเพิ่มจุดน่าสนใจให้กับตัวUI ทั้งยังสามารถนำมาจัดหรือแบ่งขอบเขตของกลุ่มองค์ประกอบในหน้าจอได้อย่างชัดเจน จนบางครั้งนักออกแบบก็ใช้งานการจัดองค์ประกอบแบบนี้มากจนเกินจำเป็นไปในแต่ละส่วนของหน้าจอส่งผลให้กลุ่มองค์ประกอบนั้นถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิงและทำให้การควบคุมทิศทางของหน้าจอผิดจากที่ได้ตั้งเอาไว้ ดังนั้นการเลือกใช้เส้น ควรใช้แค่พอจำเป็นจนไม่ทำให้หน้าจอดูรกจนเกินไป เราอาจจะใช้วิธีอื่นๆมาช่วยในการจัดกลุ่มองค์ประกอบได้ ไม่ว่าจะใช้ช่องว่างระหว่างกลุ่มองค์ประกอบ การเน้นตัวอักษรหรือสีเป็นต้นidea023

    แนวคิดที่ 5 : Try Designing For Zero Data instead of just data heavy cases.
    _____โดยทั่วไปแล้วเรามักจะออกแบบหน้าจอให้รองรับกับการแสดงข้อมูล ไม่ว่าเป็น 1, 10, 100 หรือเป็น 1000 ข้อมูลโดยบางทีเราอาจลืมออกแบบสำหรับกรณีที่ข้อมูลเป็น 0 ส่งผลให้เวลาแสดงหน้าจอ อาจเป็นหน้าจอว่างๆหรือมีการแจ้งเตือนว่าไม่พบรายการหรือข้อมูล โดยสำหรับนักออกแบบแล้วอาจคิดว่าไม่ส่งผลกระทบใดๆกับหน้าจอมากนัก แต่สำหรับผู้ใช้งานระบบที่เจอหน้าจอที่ว่างเปล่าแล้วอาจเกิดข้อสงสัยได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเกิดความสับสนว่าจะทำอะไรในขั้นตอนต่อไป ดังนั้นการออกแบบในส่วนของกรณีที่ไม่พบข้อมูลหรือรายการ อาจใส่ข้อความอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ไม่พบข้อมูลหรือแนะนำขั้นตอนที่จะทำให้เกิดข้อมูลต่างๆได้ ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่สะดุดและสะดวกกับการใช้งานระบบได้มากยิ่งขึ้นidea025

    แนวคิดที่ 6 : Try Conventions instead of reinventing the wheel.
    _____การสื่อสารกับผู้ใช้ถือเป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญในการออกแบบหน้าจอ ซึ่งในการออกแบบนั้น เราควรออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้งานของผู้ใช้ระบบหรือความเคยชินที่ผู้ใช้เคยได้ทำมาโดยตลอด ส่งผลให้หน้าจอที่ได้ออกแบบไว้ตอบสนองความต้องการและลดเวลาในการเรียนรู้หน้าจอเพิ่มเติม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีรูปแบบหลักๆอยู่พอสมควร เช่นการให้มีปุ้มปิดหน้าจอมุมบนขวา ปุ่มกดถัดไปอยุ่ด้านขวาและย้อนกลับอยู่ด้านซ้าย สัญลักษณ์รูปเฟืองสื่อถึงการตั้งค่า เป็นต้นidea029

    แนวคิดที่ 7 : Try Bigger Click Areas instead of tiny ones.
    _____จากหัวข้อที่ 3 นี้ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่จะเพิ่มความน่าสนใจให้กับองค์ประกอบประเภท links, buttons ได้ คือการเพิ่มขยายหรือขอบเขตในการกดองค์ประกอบนั้นๆ เพราะในปัจจุบัน หน้าจอที่ได้ออกแบบไว้ถูกนำไปใช้งานในอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้นการออกแบบให้สิ่งเหล่านี้มีขนาดที่เหมาะสมในหน้าจอหนึ่ง อาจจะไม่สะดวกที่จะใช้งานในอีกหน้าจอหนึ่ง หรือการออกแบบให้ปุ่มกดหรือลิงค์เล็กจนเกินไป อาจส่งผลให้ผู้ใช้ไม่สะดวกกับการหาหรือกดสิ่งเหล่านั้นได้การขยายขนาดหรือขอบเขตของการกดจะช่วยให้ผู้ใช้สะดวกมากอีกขึ้น และยังมีวิธีการเพิ่มข้อความให้มีความยาวมากขึ้น หรือใช้ไอคอนร่วมกับข้อความ เป็นต้นidea038

    แนวคิดที่ 8 : Try Icon Labels instead of opening for interpretation.
    _____ถ้าพุดถึงเรื่องของไอคอนแล้ว ไอคอนมีส่วนช่วยให้หน้าจอของเราดูดีขึ้นได้และยังทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจถึงการทำงานของไอคอนนั้นได้เกือบทันที แต่ในบางครั้งกลุ่มผู้ใช้งานบางกลุ่ม อาจจะไม่สามารถตีความหมายของไอคอนตามวัตถุประสงค์การใช้งานที่เราได้ออกแบบเอาไว้ หรือไอคอนที่เรานำมาใช้ อาจไม่แสดงความหมายได้คลุมเครือ ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้ไอคอนสามารถแสดงวัตถุได้อย่างชัดเจนคือการเพิ่มข้อความควบคู่ไปกับตัวไอคอนด้วย จะทำให้ผู้ใช้งานหน้าจอเข้าใจได้ทันทีและไม่สับสนกับความหมายที่จะสื่อถึง และบางกรณีไอคอนที่นำมาใช้อาจเล็กหรือสีที่ใช้ดูกลมกลืนไปกับองค์ประกอบอื่นๆ การใส่ข้อความจึงเป็นการช่วยให้ไอคอนดูคมชัดมากขึ้นidea047

    แนวคิดที่ 9 : Try Natural Language instead of dry text.
    _____แนวคิดข้อนี้ออกจะแปลกตาสำหรับผู้เขียนสักหน่อย เพราะเป็นการนำภาษาธรรมชาติ (ภาษาพูด)มาใช้เป็นคำอธิบายแทนการใช้คำทางการหรือราชการที่ปัจจุบันเราใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งการนำภาษาธรรมชาติมาใช้ช่วยเขียนคำชี้แจ้ง จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจถึงจุดหมายที่ผู้ใช้จะต้องกระทำกับหน้าจอ แต่ในเว็บไซต์ที่ใช้งานในเชิงราชการ อาจดูไม่ค่อยเหมาะสมหรือไม่เป็นที่ชอบใจของผู้ใช้งานได้ ข้อนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปใช้ในลักษณะไหน มากน้อยเพียงไหนขึ้นอยุ่กับกลุ่มผู้ใช้งานระบบด้วย แต่อาจนำมาใช้ผสมกับคำที่เป็นทางการในบางจุดได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจมากขึ้นและไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไป แต่ในอนาคตอาจการเป็นที่นิยมแทนการใช้คำทางราชการก็เป็นได้idea048

    แนวคิดที่ 10 : Try Extra Padding instead of overcrowding elements.
    _____ช่องว่างสำคัญไฉน เมื่อพูดถึงช่องว่างนักออกแบบบางท่านอาจบอกว่าไม่ค่อยสำคัญมากนัก แต่จริงๆแล้วช่องว่างก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้หน้าจอเราดูสะอาดตามากขึ้น และสามารถนำช่องว่างมาใช้สำหรับแยกกลุ่มองค์ประกอบได้ นอกจากการใช้เส้นแล้ว เราสามารถนำช่องว่างมาแยกข้อความในตารางให้รับรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย เพราะบางกรณีที่มีการแสดงผลแบบตาราง จะมีการนำข้อมูลจำนวนมากมาแสดงให้ผู้ใช้งานรับรู้ แต่กลับไม่ได้ออกแบบส่วนของการแบ่งแยกขอบเขตของcolumn หรือ row ไว้เลย ส่งผลให้ข้อมูลที่นำมาแสดงอาจติดกันยาวเหยียดจนผู้ใช้สับสนกับจุดสิ้นสุดของข้อมูลได้ การเพิ่มช่องว่างก็เป็นอีกวิธีที่สามารถนำมาใช้ได้ หรือเราอาจนำมาใช้ควบคู่กับเส้นก็เป็นอีกวิธีที่ดีเช่นกันidea063


    สำหรับบทความชุด “รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่” ตอนที่ 1 ขอจบที่ 10 ข้อแรกติดตามตอนที่ 2 ได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยครับ

    รวมเทคนิคการออกแบบ UI ให้สวยงามสำหรับ Designer มือใหม่ (ตอนที่ 2)

    ขอบคุณครับ